ลำดับตอนที่ #17
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : วองโกเล่มุ่งสุ่อิตาลี!! +วันสบายๆ ของโคลม โดคุโร่
ประกาศจากน.ส.น.
จากที่ได้อ่านคอมเม้นท์ของทุกคน ดูเหมือนจะเป็นห่วงเรื่องโคโลเนลโล่อยู่มาก จึงต้องขอแจ้งให้ทราบ
จากที่ได้อ่านคอมเม้นท์ของทุกคน ดูเหมือนจะเป็นห่วงเรื่องโคโลเนลโล่อยู่มาก จึงต้องขอแจ้งให้ทราบ
คนเขียนไม่ลืมตัวละครไหนทั้งนั้นแหละ แน่นอนว่าโคโลเนลโล่ต้องได้มีบทแน่
แต่อย่าว่างู้นงี้เลยนะ โคโลเนลโล่เป็นคนดีพอในเรื่องยังงี้
แล้วยังเอ็นดูรัลยังกับเป็นน้องสาวหรือเพื่อนสมัยเด็กอีกตะหาก(ดูจากโคโลเนลโล่ฝ่ายเดียว)
ส่วนสิบปีข้างหน้านั้นมันช่างมีแต่หมอกควัน ไม่กระจ่างแจ้ง แต่เดี๋ยวคนเขียนก็คิดออกเองแหละ(ยังไม่ได้คิด)
สุดท้ายนี้คนเขียนจึงขอบอกว่า
คนเขียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพันเอกจะหึงรึเปล่า แต่หวงน่ะมันแหง(จะในฐานะอะไรก็เป็นอีกเรื่อง)
แต่อย่าว่างู้นงี้เลยนะ โคโลเนลโล่เป็นคนดีพอในเรื่องยังงี้
แล้วยังเอ็นดูรัลยังกับเป็นน้องสาวหรือเพื่อนสมัยเด็กอีกตะหาก(ดูจากโคโลเนลโล่ฝ่ายเดียว)
ส่วนสิบปีข้างหน้านั้นมันช่างมีแต่หมอกควัน ไม่กระจ่างแจ้ง แต่เดี๋ยวคนเขียนก็คิดออกเองแหละ(ยังไม่ได้คิด)
สุดท้ายนี้คนเขียนจึงขอบอกว่า
คนเขียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพันเอกจะหึงรึเปล่า แต่หวงน่ะมันแหง(จะในฐานะอะไรก็เป็นอีกเรื่อง)
--
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีผนังและเพดานสีขาวสนิท เก้าอี้เบาะสีชมพูอ่อนเป็นแถวๆ แบ่งสองฟากซ้ายขวาโดยมีพรมแดงปูพื้นระหว่างกลาง หน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมที่ผนังแต่ละข้างมองเห็นภาพของปุยเมฆสีขาวทั้งใกล้ไกล บนความสูงหนึ่งหมื่นสองพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล สิ่งอื่นที่จะขึ้นไปที่สูงขนาดนั้นได้ย่อมไม่มีอื่นใดนอกจากเครื่องบิน
เด็กหนุ่มผมฟูสีน้ำตาลอ่อนนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เบาะอย่างดีด้วยท่าทีอึดอัด ไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากอากาศ แต่เป็นเพราะแรงกดดันจากบรรยากาศความไฮคลาสของเที่ยวบินชั้นหนึ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าทั้งชีวิตนี้จะได้นั่ง ...จนกระทั่งชีวิตต้องพลิกผลันกลายเป็นว่าที่บอสมาเฟีย
เด็กหนุ่มผมขาวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นความผิดปกติของสึนะจึงถามด้วยความเป็นห่วง
“รุ่นที่สิบสีหน้าไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายรึเปล่าครับ?”
“ปเปล่าหรอก โกคุเดระคุง แค่ตื่นเต้นน่ะ ฉันไม่เคยนั่งเครื่องบินชั้นไฮคลาสยังงี้มาก่อน ครั้งที่แล้วก็นั่งเจ็ตส่วนตัวของวองโกเล่ ก็เลยไม่ค่อยชิน” สึนะตอบเสียงสั่น
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับรุ่นที่สิบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะปกป้องรุ่นที่สิบเอง ผมเคยนั่งเครื่องบินแบบนี้มาก่อนหลายครั้งแล้ว ผมรู้ครับว่าต้องทำยังไง!” มือขวาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
‘เคยนั่งมาหลายครั้งแล้วงั้นเหรอ สมกับที่เคยเป็นลูกเศรษฐีมาก่อน ...ไม่เหมือนเรา =_=;’ สึนะแอบสมเพชตัวเองอยู่ในใจที่แค่นั่งเครื่องบินก็เป็นเรื่องเป็นราว
สึนะมองไปที่นั่งด้านข้างซึ่งผู้ร่วมทางอีกคนนึงนั่งอยู่ อัลโกบาเลโน่อรุณหลับอุตุอยู่ในถุงนอนดักแด้ซึ่งได้รับมาเมื่อครั้งอยู่ในโลกอนาคต
‘ท่าทางสบายใจจริงจริ๊ง นี่พวกเรากำลังจะไปเสี่ยงตายถล่มแก๊งมาเฟียนะเฟ้ย =_=;’ สึนะผู้มีสามัญสำนึกเสมอคิดในใจ
--
ข้ามซีกโลกกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง
ในบ่ายแก่ๆ ของวันพฤหัสฯที่โรงเรียนนามิโมริหยุดให้นักเรียนไปเชียร์ทีมเบสบอลแข่งระดับจังหวัด ในจำนวนนักเรียนซึ่งใช้โอกาสนี้หยุดอยู่บ้านหรือไปเที่ยวที่มีอยู่ไม่น้อย เด็กสาวคนหนึ่งเองก็กำลังเดินไปบนถนนสายหนึ่ง สองแขนกอดสามง่ามในสภาพพับเก็บเหมือนกับทุกครั้ง
ผมสีม่วงของเธอไม่ได้อยู่ในทรงสัปปะรดอีกแล้ว เนื่องจากถูกผู้บังคับบัญชา(?)สั่งให้ไปเปลี่ยน เธอจึงไปปรึกษาเพื่อนประจำห้องของเธอ สองสาวเคียวโกะฮานะ
และหลังจากคิดแล้วคิดอีก(R:คนเขียนนี่แหละคิด) คิดอยู่นานก็ได้ข้อสรุปว่า ‘ปล่อยผมตามธรรมชาติไปเลย แล้วจัดทรงเปิดหน้าผากให้ดูเรียบร้อยดีที่สุด’ เธอจึงมีเส้นผมสีม่วงที่ลู่ลงมาตามใบหน้าอย่างสวยงาม
แต่ถ้าปล่อยเฉยๆ ก็อาจะดูธรรมดาและสิ้นคิดเกินไป จึงสวมที่คาดผมหนึ่งอัน(ลักษณะนามถูกต้องรึเปล่า?) ซึ่งก็ได้เด็กสาวผู้ใจดีอีกนั่นแหละ เป็นคนออกเงินให้ เด็กสาวผมม่วงจึงเลือกมาหนึ่งอัน เป็นที่คาดผมลูกไม้สีขาวธรรมดาๆ (เพราะคนเขียนสิ้นคิดนั่นเอง)
[ผู้ใดอยากเห็นภาพโคลมในที่คาดผมแล้วไม่เข้าใจคำอธิบายอันสุดแสนจะคลุมเครือของคนเขียน กรุณาจินตนาการตามสะดวก แต่ให้น่ารักๆ หน่อย เดี๋ยวคนเขียนหน้าแตก หรือจะวาดมาให้เลยก็ดี จะพิจารณาขอขึ้นใช้ในตอนหากสวยพอ(มีหน้าไปวิจารณ์คนอื่นด้วยเว้ยเฮ้ยเรา)]
เอาล่ะกลับมาที่เรื่องของโคลมกันต่อ สาเหตุที่เธออกมาเดินคนเดียวกลางวันแสกๆ ยังงี้เป็นเพราะเธอได้รับอนุญาตให้ออกมาเดินเที่ยวเล่นได้ โดยมีข้อแม้ว่าต้องเปิดโทรศัพท์มือถือเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อที่ผู้ปกครองของเธอจะได้ติดต่อได้
...อะไรนะ? เธอไปได้โทรศัพท์มือถือตั้งแต่เมื่อไร? โอเค ไม่อยากเล่ายาวเหมือน ‘The Chronicle of ที่คาดผม’ จึงขอสรุปสั้นๆ ว่า ผู้ปกครองซื้อให้(คงรู้แล้วนะว่าหมายถึงใคร)
โคลมรู้สึกอึดอัดจนแทบจะมุดเข้าไปอยู่ในผมสัปปะรดของมุคุโร่ เป็นเพราะมีแต่คนซื้อของให้เธอ โดยเฉพาะอย่างหลังสุด ราคาไม่ใช่น้อยๆ ถึงจะเป็นการยัดเยียดให้ซะมากกว่าก็ตาม
เขายังมีค่าขนมให้เธออีก ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ค่าขนมของเธอมันอนาถเกินกว่าศักดิ์ศรีเขาจะทนเห็นได้’ เธอจึงได้มาอีกสามพันเยน +ห้าร้อยเยนที่เธอได้รับมาเป็นครั้งล่าสุดจากเคนกับจิคุสะ พอจะทำสิ่งที่เธอต้องการได้สบาย
‘วันนี้ฉันมีงานต้องทำ ฉันจะปิดบ้านเอาไว้ อยากไปไหนก็ไป แต่อย่าออกจากเขตนามิโมริ แล้วก็พกเจ้านี่เอาไว้ตลอดเวลา’
เธอนึกไปถึงคำพูดของเด็กหนุ่มก่อนที่เธอจะออกมาจากบ้าน
‘ถ้าเห็นใครทำลายความสงบสุขของนามิโมริให้ติดต่อฉันทันที’
...สรุปว่าเธอได้ภารกิจเสริมเป็นตรวจตราเมืองโดยปริยาย และสถานที่ที่เธอกำลังจะไปนั้นก็เสี่ยงต่อการเกิดความไม่สงบอย่างที่เด็กหนุ่มว่าเอาไว้มาก เพราะเธอกำลังจะไปเยี่ยมเพื่อนทั้งสองที่ตึกร้างโกคุโย
ราวกับเป็นฉากในละครเกาหลีที่พระเอกและนางเอกถูกพรหมลิขิตบันดาลให้มาเจอกันในสถานที่ธรรมดาๆ อย่างหัวมุมถนน ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งโผล่ออกมาจริงๆ ในชุดนักกีฬาเบสบอลของโรงเรียนซะด้วย
“อ้าวโคลม! หวัดดี ^ ^!” สปอร์ตแมนสุดเท่ของเรานั่นเอง ยามาโมโตะ ทาเคชิเพิ่งกลับจากแข่งรอบรองชนะเลิศระดับจังหวัดกลับมาจากตัวจังหวัด และด้วยอารมณ์ที่เบิกบานเช่นนี้ โคลมไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผลการแข่งเป็นยังไง ...ถึงแม้ว่าปกติเขาก็เบิกบานอย่างนี้อยู่แล้วก็เถอะ
“สสวัสดีค่ะ คุณพิรุณ” เธอตอบเสียงติดขัด ถึงเธอจะเริ่มชินกับผู้คนขึ้นมาบ้าง แต่จู่ๆ โผล่มาไม่ได้เตรียมตัวเลยก็ไม่ไหวซะทีเดียว
“ผมทรงใหม่เหรอ เหมาะกับเธอดีนะ ^ ^” สปอร์ตแมนของเรายังคงมีคำพูดที่รื่นหูผู้อื่นไม่เปลี่ยนแปลง โคลมได้ฟังก็คำนับขอบคุณ
“วันนี้ได้ไปดูฉันแข่งรึเปล่า ^ ^?” ยามาโมโตะถามหน้าบาน ทำเอาเด็กสาวสะอึกอยู่ในใจ
“...ไม่ได้ไปดูค่ะ คุณเมฆาสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ออกจากเมือง...” เธอตอบหน้าสลด
“ยังงั้นเหรอ ถ้าเขาว่ายังงั้นก็ช่วยไม่ได้นะ ^ ^” ยิ้มของสปอร์ตแมนหุบลงนิดหน่อย แต่โชคดีที่เขาเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย
“งั้นก็ อย่างน้อยๆ พรุ่งนี้ก็ช่วยมาดูรอบชิงด้วยนะ ถ้าตั้งใจขอยังไงรุ่นพี่ก็ให้อยู่แล้วล่ะ ^ ^!” ยามาโมโตะพูดเหมือนกับฮิบาริ เคียวยะคนนั้นเป็นผู้ใจโอบอ้อมอารี ซึ่งเราทุกคนรวมทั้งเขาต่างก็รู้ดีว่ามันตรงกันข้ามตะหาก
“ฉันจะลองขอดูค่ะ” โคลมตอบรับด้วยรอยยิ้ม...ถึงจะแค่รอยยิ้มเล็กๆ ก็ตาม
“ฉันมีธุระต้องทำ ไปก่อนนะคะ” เธอโค้งคำนับสามสิบแปดองศา และเมื่อสปอร์ตแมนโบกมือลาตอบเธอก็เดินต่อไปตามทางของเธอ
“นี่”
เธอหยุดเท้าก่อนจะหันกลับไปมองเด็กหนุ่มด้านหลังเป็นเชิงถาม
“ทีหลังเรียกฉันว่ายามาโมโตะดีกว่านะ ถ้าเป็นไปได้ก็เรียกคนอื่นๆ ด้วยชื่อดีกว่า”
โคลมพยักหน้า ถึงเธอจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่แต่ก็จะลองพิจารณา
“แล้วก็...ยิ้มบ่อยๆ นะ สึนะดีใจแน่ๆ ^ ^” สปอร์ตแมนเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะโบกมือลาอีกครั้งและหันหลังเดินจากไป
โคลมรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง เธอลองยิ้มให้กับคนอื่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนก็เพราะเคียวโกะแนะนำ ถ้ามันทำให้คนอื่นๆ ดีใจ เธอก็ยินดีเช่นกัน
เมื่อคิดได้ดังนี้ เด็กสาวก็นึกถึงใครบางคน ความคิดที่แล่นผ่านหัวเธอระหว่างที่กำลังเดินอยู่นี้...
‘เรา...ลองยิ้มให้คุณเมฆาบ้างดีมั้ยนะ...’
--
เด็กหนุ่มทั้งสองยืนหันรีหันขวางอยู่บนพื้นลานบิน ทั้งคู่เพิ่งจะลงจากตัวเครื่องมาได้ไม่นาน ซึ่งตามกำหนดการที่ทารกชุดดำบนไหล่ขวาของสึนะบอกเอาไว้ จะมีเจ้าหน้าที่ของเซเดฟมารับด้วยรถที่ไม่สะดุดตา
เอี๊ยด!!
แล้วมันก็มา...มาอย่างเด่นด้วยการดริฟต์ปัดลำตัวเบรกหยุดตรงหน้าทั้งสามแบบพอดิบพอดี ทำเอาสึนะเหงื่อตก
‘ไม่สะดุดตากับผีแน่ะ! แต่ตัวรถก็ไม่สะดุดตาจริงๆ นั่นแหละ...’
รถที่มารับเป็นรถที่เรียกได้ว่าจืดที่สุดเมื่อวิ่งอยู่บนท้องถนน เพราะมันคือรถเก๋งสีขาวจืดชืดธรรมดาๆ ที่มีป้ายเล็กๆ บนหลังคารถเขียนเอาไว้ว่า TAXI จะมีอะไรเกลื่อนกว่านี้อีก...
รีบอร์นเปิดประตูรถด้านคนขับออก ก่อนจะพูดกับคนขับหน้าเหี้ยมด้วยเสียงดังฟังชัดเป็นภาษาอิตาเลี่ยน
“@คาปูชิโนที่นึง@”
‘คุยกับแท็กซี่แต่สั่งกาแฟเฉยเลย =[ ]=!’ สึนะอ้าปากค้าง เขาฟังภาษาอิตาเลี่ยนไม่รู้เรื่อง แต่ฟังคำศัพท์เฉพาะแบบนั้นออก
“ฉันรู้นะว่านายคิดอะไร มันเป็นรหัสเฟ้ย ใช้คำไหนก็ได้ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษออกมาได้ตัว C เท่ากับจำนวนคน” (Cappuccino)
สึนะยังไม่ค่อยยอมรับรหัสอันสุดแสนจะประหลาดหลุดโลก แต่ก็ยอมเข้าไปนั่งแต่โดยดี ก่อนจะต้องเสียใจเมื่อมารู้ทีหลังว่าคนขับแท็กซี่คนนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีตีนผี...
--
เย็นแล้ว(อย่างเร็ว) เด็กสาวผมม่วงเพิ่งกลับจากการไปเยี่ยมเพื่อนทั้งสองของเธอที่อยู่ในที่อันสุดแสนจะกันดาร
การไปเยี่ยมของเธอประกอบด้วยใช้เงินค่าขนมครึ่งหนึ่งคือหนึ่งพันเจ็ดร้อยเยนซื้อขนมไปเซ่น(?)เคนที่ทะเลาะกับเธอก่อนที่เธอจะย้ายไปอยู่ที่บ้านของประธานกรรมการรักษาระเบียบแห่งโรงเรียนใหม่ของเธอ ...ถึงแม้ความจริงแล้วจะเป็นการถูกตะโกนใส่อยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ตอบโต้ก็ตาม
ถึงจะทำฟอร์มอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ของกิน มีรึเด็กหนุ่มผู้สวมวิญญาณสัตว์ป่าคนนั้นจะทนโมโหเธออยู่ได้ เพราะความจริงเขาก็ไม่ได้โกรธเธอแต่แรกแล้ว แค่ไม่รู้จักแสดงออกว่าเป็นห่วงดีๆ เท่านั้นเอง
จะยังไงก็แล้วแต่ เมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองของเธอยังคงสบายดี เธอก็สบายใจ ทั้งสองฝากเธอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือ ถ้าท่านมุคุโร่ติดต่อมาให้รีบบอกพวกเขาทันทีเท่านั้น และดูจากที่ท่านมุคุโร่ของพวกเขาโดนคนเขียนลดอำนาจลงในฟิคนี้ คงยากจะได้ปรากฏตัวอีก
(M:*กระซิก~กระซิก~* คนเขียนรังแกผม ให้บทกระจ้อยร่อยกับผมแบบนี้ไร้ความยุติธรรมสิ้นดี~] R:พอเลย อย่าแอคมาก เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วว่าแกเชื่อถือไม่ได้ แต่ยังไง 69FC ของแกก็จะมาบุกยิงบ้านฉันอยู่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากโดนจับเป็นโล่กันกระสุน อย่า)
ผัวะ... ตุ้บ...
เสียงเหมือนคนชกต่อยกันดังมาจากถนนใกล้เคียง เธอเหลียวดูที่หัวมุมก็พบกลุ่มนักเลงสามคนรุมทำร้ายเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ท่าทางแหยๆ เหมือนบอสของเธอ (T:ฉันเกี่ยวอะไรด้วยเล่า!?)
‘ต้องแจ้งคุณเมฆา’ ด้วยสำนึกในหน้าที่ เธอรีบเปิดโทรศัพท์ขึ้น แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ ว่า เธอ...ใช้ไม่เป็น... หมายความว่าเธอต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
เธอเรียนรู้จากประสบการณ์คราวที่แล้วว่าอย่าช่วยแต่คนอื่น เอาตัวเองให้รอดด้วย เธอจึงหลบหลังกำแพงที่หัวมุม ตั้งด้ามสามง่ามลงกับพื้น แล้วภาพลวงตาก็เข้าครอบงำนักเลงทั้งสาม ครั้งนี้ประสาทตาของคนทั้งสามถูกบิดเบือนให้ภาพทั้งหมดดำมืด และเด็กชายผู้โชคร้ายก็อาศัยจังหวะที่เหล่าอันธพาลท่าทางแปลกๆ หนีไปได้อีกครั้ง
สภาพเหตุการณ์กลายเป็นเช่นเดียวกับในอดีต อันธพาลทั้งสามเมื่อคลายจากภาพลวงตาก็วิ่งออกตามหาเหยื่อที่หายไป ครั้งนี้เด็กสาวไม่ยืนบื้อให้ซวยอีก เธอกำบังตัวเองเอาไว้จนกระทั่งทั้งสามผ่านไป
วันนี้ช่างเป็นวันดีสำหรับโคลม โดคุโร่ มีคนยินดีกับรอยยิ้มของเธอ ได้ช่วยผู้ที่กำลังลำบากโดยไม่หาเรื่องใส่ตัว เป็นวันที่เด็กสาวรู้สึกว่าดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิต กำลังใจเต็มเปี่ยม วันนี้เด็กสาวจะขอทำทุกอย่างที่นึกได้เลย!
--
R:”จบแบบดื้อๆ เพราะตอนมันยาวเกิน ช่วงนี้อาจจะดูไม่มีอะไรนะครับ แต่คนเขียนกำลังเตรียมการแผนกระชับความสัมพันธ์แบบซูเปอร์สปีดให้กับคู่หลักของเรื่องอยู่”
Ryohei(23):”โอ้!! ลุยหน้าสุดหูรูด!!~”
R:‘= =; ...อะไรของมัน? มันมาได้ไง?’
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น