..White Rose.. - ..White Rose.. นิยาย ..White Rose.. : Dek-D.com - Writer

    ..White Rose..

    เรื่องราวแอบป่วนเล็กๆ ฮาหน่อยๆ ติดตามได้น้า

    ผู้เข้าชมรวม

    417

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    417

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ธ.ค. 48 / 08:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      กุหลาบที่เคยเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ตอนนี้ได้กลายเป็นสีดำคล้ำไปเสียแล้ว  เพราะมันได้ผ่านสายลมแห่งกาลเวลามาเป็นเวลาเนิ่นนาน  ผมบรรจงหยิบดอกกุหลาบที่สอดไว้ในสมุดวาดเขียนสีฟ้าขึ้นมาอย่างช้าๆ   ภาพความทรงจำสีจางๆ เริ่มไหลย้อนกลับมาอีกครั้ง  วันแรก..ที่ผมได้พบกับเธอ
              แสงแดดสีเหลืองอ่อน  ทอประกายสาดส่องผ่านไม้ยืนต้นที่ตั้งตระหง่านเรียงรายอยู่รอบอาคารเรียน  ใบโบกพลิ้วไสวไปตามแรงลม เป็นบรรยากาศยามเช้าที่ผมได้พบเป็นประจำ เมื่อมาถึงโรงเรียน
              มือซ้ายถือจานข้าว  มือขวาถือแก้วโอวัลตินเย็น  เครื่องดื่มที่จะดื่มเป็นประจำทุกเช้า  ดวงตากลอกไปมาทั่วบริเวณโรงอาหาร เพื่อมองหาที่ว่างสำหรับรับประทานอาหารมื้อเช้าที่แสนจะสำคัญที่สุด
              ตึก ตึก ตึก พลั่ก แผละ เพล้ง!!!
              “โอ๊ย ๆ”  ผมร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ  จะไม่ให้ผมเจ็บได้อย่างไร ก็ก้นผมตอนนี้นี่สิ มันกระแทกกับพื้นโรงอาหารเข้าอย่างจัง ชามข้าวที่เคยอยู่ในมือซ้าย ตอนนี้แตกกระจายอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว  แก้วโอวัลตินที่อยู่ในมือขวา ยังคงถูกกำไว้แน่น  โดยที่น้ำในแก้วเหลืออยู่เพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ของแก้วเท่านั้น
              “โอ๊ย  ยี้!!”  เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมา มันดังมาจากที่ใกล้ๆ ผมนี่เอง  เป็นเสียงของเด็กผู้หญิง  สันนิษฐานว่า เธอคงเป็นคนที่ชนผมจนล้มอยู่กับพื้นอย่างนี้เป็นแน่  ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเธอก็คงเจ็บอยู่ไม่น้อย  แต่ไอ้คำว่า “ยี้” นี่สิ  มันหมายถึงอะไรกัน  ผมไม่รีรอ มือขวายกขึ้นมา พร้อมกระดกโอวัลตินที่รักษาไว้ได้จนหมดแก้ว  ไม่อยากจะเสียมันไปเหมือนกับข้าวจานนั้นอีก  มือค่อยๆ ขยับแว่นให้เข้าที่  ภาพเลือนลางข้างหน้า ตอนนี้เริ่มชัดขึ้นแล้ว  ผมเพ่งมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า
              ใบหน้าของเธอยาวเรียว  ผมยาวสีดำสนิทถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย  ผิวที่ขาวนวลเนียนของเธอมันช่างเปล่งปลั่ง ไม่เฉพาะผิวกายที่ขาวนะ  แต่ผิวหน้าของเธอยังขาวมากๆ อีกด้วย  จะไม่ให้ขาวได้อย่างไร ก็ใบหน้าเธอเลอะเทอะไปด้วยครีมเค้กสีขาว  นี่คงเป็นสาเหตุให้เธอร้อง “ยี้” เป็นแน่  ผมรีบใช้กำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดพยุงตัวเองขึ้นมา ผมยื่นมือไปให้ผู้หญิงที่ล้มอยู่ตรงหน้าจับ  หวังเพียงเพื่อดึงให้เธอลุกขึ้นเท่านั้น ไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสเลยสักนิด  เธอมองผมด้วยสายตาที่ดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วมือที่ดูอ่อนนุ่มอันประกอบด้วยนิ้วมือเรียวยาวทั้งห้า ก็ถูกยื่นมายังมือผม ช่วงวินาทีนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองได้หยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง ผมเห็นความงามของเธอ ที่แม้ว่าใบหน้าจะยังคงมีครีมของเค้กละเลงอยู่ทั่วก็เถอะ แต่ผมก็รู้สึกจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้แหละ ใช่เลย!!
              “เอ้า” เสียงของเธอที่ร้องออกมา ทำให้ผมตื่นจากภวังค์  ผมรีบยื่นไปจับมือเธอ เพื่อดึงให้เธอลุกขึ้นจากพื้น  มือของเธอนั้นนุ่มราวกับ…ตัวหนอน  ผมไม่ได้รังเกียจเธอนะ ผมแค่เปรียบว่านุ่มเหมือนตัวหนอนแก้วที่ผมเคยจับตอนเด็กๆ เท่านั้น  ตัวหนอนแก้วมันจะนิ่มๆ  ถ้าใครเคยจับก็คงจะรู้ เพราะมือเธอนุ่มประมาณนั้นแหละ
              “ขอบใจจ้ะ”  นี่คือเสียงที่ผมได้ยินเมื่อเธอลุกขึ้นได้  น้ำเสียงทุ้มต่ำ ฟังดูแล้วนุ่มหู  ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ตั้งใจจะพูดว่า “ไม่เป็นไร”  แต่มันเป็นสิ่งที่ได้แต่คิด  ร่างกายมันไม่อาจขยับได้  เมื่อผมได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ  เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดครีมที่อยู่บนใบหน้าของเธอออก  เผยให้เห็นใบหน้าขาวนวลเนียน  แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ  ริมฝีปากเล็กน่ารัก  คิ้วสีดำหนาได้รูป  และดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นกำลังจ้องมองมายังผม  วินาทีที่หัวใจหยุดเต้นมาเยือนผมอีกครั้ง ครั้งที่สองในรอบวันแล้วนะ  อาการแบบนี้ เขาเรียกว่า “รักแรกพบ” หรือเปล่า  เธอยิ้มให้ผม พร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งผมได้ยินไม่ถนัด  แต่ด้วยความสามารถอันแสนจะชาญฉลาดของผม อ่านปากเธอได้ว่า “ขอโทษนะ”  แล้วเธอก็วิ่งจากไป  ทิ้งให้ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น  คุณอาจจะว่าผมบ้าก็ได้  แต่ผม “ชอบเธอเข้าแล้ว”
              ชั่วโมง Home Room เริ่มต้นขึ้น  อาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้อง ๕/๖๕ เริ่มแนะแนวเกี่ยวกับการศึกษาในปีนี้  นับว่าเป็นชั่วโมงแห่งการเริ่มต้นชีวิต ม. ๕ ของทุกๆ คนเลยทีเดียว  สายลมที่ลอดผ่านมาทางหน้าต่าง ให้ความรู้สึกเย็นสบาย ความรู้สึกในเหตุการณ์เมื่อเช้ายังคงหลงเหลืออยู่  ผมยิ้มให้กับความรู้สึกนั้น  จะให้ผมยิ้มทั้งวันก็ยังได้เลย
              “นั่งนี่  นั่งนี่สิ”  เพื่อนผู้หญิงในห้องส่งเสียงร้องกันเจี๊ยวจ๊าว  ผมไม่รู้หรอกว่าทำไม  ตอนนี้จิตใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว  สายตากำลังจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง
              “สวัสดีค่ะ  ฉันชื่อมะลิลา  หรือเรียกสั้นๆ ว่าลิลาก็ได้นะ”  น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังมาจากหน้าห้อง ผมรู้สึกคุ้นกับมันมากเหลือเกิน เหมือนเป็นเสียงที่เคยได้ยิน  ได้ยินเมื่อไม่นานนี่เอง  ใช่แล้ว!!! เสียงของเธอคนนั้น  ศีรษะของผมหันกลับไปยังหน้าห้องอย่างรวดเร็วจนคอผมเกือบเคล็ด  ภาพที่ได้เห็นก็คือ เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก สูงประมาณ ๑๖๐ เซนติเมตร  สวมชุดนักเรียน ม.ปลาย ผมถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย  เธอจริงๆ ด้วย!!
              “มีที่ว่างอยู่ตรงนั้นจ้ะ  เดินไปสิ”  อาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้อง พูดขึ้น
              “ค่ะ”  เธอตอบ พร้อมกับไหว้อาจารย์อย่างนอบน้อม  ขาเรียวยาวของเธอ พาร่างบางๆ ตรงมายังที่นั่ง ที่อยู่ริมหน้าต่าง เช่นเดียวกับที่นั่งผม  เธออยู่ข้างหน้าผมนี่เอง  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ตอนนี้รู้สึกดีใจแค่ไหน….  แทบจะกระโดดหอมแก้วอาจารย์เชียวล่ะ
              เธอวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้  ทุกกิริยาอาการของเธอดูเรียบร้อยน่ารัก
              “อ้าว  เธอเมื่อเช้านี่  เอ่อ..เมื่อเช้าต้องขอโทษจริงๆ นะ”  เธอพูดขึ้นทันทีที่หันมาพบผม
              “….”  ผมพูดไม่ออก  ร่างกายมันแข็งทื่อ  คราวนี้ใจผมเต้นแรงจนแทบขยับไม่ได้  เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผม  ตอนนี้หน้าของพวกเราอยู่ห่างกันประมาณ ๑ ช่วงแขน  แต่ผมกลับรู้สึกว่า มันห่างกันแค่ ๑ คืบเท่านั้น  ใบหน้าเธอตอนนี้บอกให้รู้อย่างง่ายดายทีเดียวว่ากำลังสงสัยกับอาการของผม
              “มะ มะ มะ” ผมพยายามจะพูดว่า “ไม่เป็นไร”  แต่ริมฝีปาก เหมือนถูกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ  ผมไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าทำไมตัวเองถึงเป็นได้ขนาดนี้  ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเกิดอาการอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนเลย ตอนนี้ผมจึงทำได้แค่เพียงโบกมือไปมาเป็นเชิงบอกให้รู้ว่า  “ไม่เป็นไร”  เห็นผมกลัวๆ กล้าๆ อย่างนี้ก็เถอะ  แต่ผมก็เป็นคนที่เสน่ห์แรงพอตัวอยู่เหมือนกันนะ
              “งั้นก็ดีแล้ว  ยินดีที่รู้จักค่ะ” ดูเธอจะเข้าใจภาษามือของผมซะด้วย  เธอพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้  มันทำให้ผมรู้สึกว่า โลกนี้มันสว่างไสวขึ้นมาทันตา  ที่ไม่บอกว่าโลกนี้มันเป็นสีชมพูก็เพราะว่า ผมน่ะ…ตัวดำ ผมไม่เคยรังเกียจความดำของตัวเองเลยสักครั้ง  เพราะถึงจะดำ แต่ก็หน้าตาคม หล่อ เท่ระเบิดไปเลย  ชมตัวเองมากเกินไปก็ไม่ดี  เอาเป็นว่า ผมหล่อมากก็แล้วกัน ^_^
              “เฮ้ย  เขียว จ้องสาวตาเป็นมันเชียวนะเว้ย”  เสียงไอ้โด๊ะ เพื่อนผู้ชอบกวนเท้าแซวมา  ทำเอาผมหันไปค้อนมันแทบจะทันทีทีเดียว  อ้อ!!  ผมไม่ได้ชื่อ เขียว นะ  ผมชื่อ “กรีน”  แต่เพื่อนๆ ชอบเรียกว่า “เขียว”  ก็เพราะความดำยังไงล่ะ  แต่ก็ชินซะแล้วล่ะ
              และแล้วการเรียนชั่วโมงแรกก็ได้เริ่มขึ้น มันเป็นคาบคณิตศาสตร์ที่แสนจะน่าเบื่อของใครๆ หลายคน  แต่สำหรับผม  มันเป็นชั่วโมงที่สนุกที่สุด  ผมชอบคณิตศาสตร์  ชอบการคำนวณ
              “วันนี้เราจะทบทวนความรู้พื้นฐาน ม.๔ ก่อนนะครับ  โจทย์ข้อแรกนะ”  อาจารย์พูดขึ้น พร้อมกับจดโจทย์ลงบนกระดานดำ  ตาผมจดจ้องอยู่ที่กระดานดำจนแทบจะถลนออกมาทีเดียว  เมื่อจดโจทย์เสร็จ  ก็ได้เวลาหาคำตอบ  ใช้เวลาเพียง ๒ นาทีผมก็ทำเสร็จ  แต่ดูเธอ “ลิลา” คนข้างหน้า  ดูจะไม่ถนัดวิชาเลขเอาซะเลย
              “ลิลา  ออกมาเฉลยข้อแรกครับ”  เสียงอาจารย์เรียก ทำเอาเธอสะดุ้งเฮือก  ผมชำเลืองดูที่สมุดของเธอ มีวิธีทำอยู่แค่ ๒ บรรทัดเท่านั้น  เธอยังทำไม่เสร็จ!!  ไม่นานนัก ก็มีกระดาษก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่ง ถูกโยนไปยังโต๊ะเธอ  มือน้อยๆ คลี่มันออกอย่างช้าๆ  เก้าอี้ของเธอถูกดันถอยมาข้างหลัง  เธอลุกขึ้นจากโต๊ะ  หยิบสมุดเล่มน้อยสีชมพูออกไป แล้วเขียนคำตอบลงบนกระดานดำ  แน่นอน  คำตอบไม่ได้มาจากสมุดเล่มน้อยที่เธอหยิบไปด้วย  แต่มันมาจากกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ถูกส่งไปให้ต่างหาก เมื่อเขียนเสร็จ  เธอจึงกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม
              “ถูกต้องครับ”  อาจารย์กล่าวขึ้น เมื่อเห็นคำตอบของลิลา  แล้วโจทย์ข้อต่อๆ มาก็ทยอยกันมาให้หาคำตอบ  จนในที่สุดก็หมดชั่วโมง  ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน  แม้ว่าจะชอบวิชาคำนวณ แต่มันมากขนาดนี้   ก็ทำเอาปวดหัวได้เหมือนกัน
              ผมยาวๆ ของหญิงสาวร่างบางที่นั่งอยู่ข้างหน้า  เริ่มขยับเล็กน้อย  ใบหน้าที่หันมามอง  เป็นภาพช้าๆ คล้ายกับที่เคยเห็นในภาพยนตร์
              “ขอบใจนะจ้ะ”  เธอกล่าว พร้อมกับเผยให้เห็นรอยยิ้ม  รอยยิ้มที่ทำเอาผมใจละลาย  ผมได้แต่ก้มหน้า  ก่อนจะโบกมือ  บอกให้รู้ว่า “ไม่เป็นไรครับ”
              วันนี้มีความรู้สึกสุขใจอย่างประหลาด  อาจเป็นเพราะผมได้พบกับเธอ  ลิลาจะมองเห็นผมอยู่ในสายตาหรือเปล่า  ก็ไม่แน่ใจ  เพียงแต่รู้สึกดีใจที่มีโอกาสที่ได้ช่วยเหลือเธอ
              ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีดำ  ความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่ความสว่าง  ทั้งๆ ที่เวลานี้เพียง ๕ โมงเย็นเท่านั้น  
              ผมรีบเดินออกจากอาคารเรียน  วันนี้นับว่ากลับบ้านเร็วเป็นพิเศษ  เพราะว่าที่บ้านนั้นมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ…“เล่นเกมส์” นั่นเอง  มันเป็นเกมส์ใหม่ที่เก็บเงินมาทั้งเดือนเพื่อซื้อเชียวนะ
              ด้านล่างของอาคารเรียน มีโต๊ะหินอ่อนวางเรียง อยู่เป็นแนวเดียวกัน  สายลมเย็นๆ พัดผ่านมา  ใบไม้โบกพลิ้วไสว  ภาพชินตาพวกนี้ ยังคงเป็นภาพที่ผมชอบมากที่สุด
              ที่โต๊ะหินอ่อนตัวสวย หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่  ผมสีดำสนิทถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย  เด็กผู้หญิงใส่ชุดนักเรียนช่างดูเหมาะเจาะ  เป็นภาพเบื้องหลังที่คุ้นเคยดี  ขาทั้งสองเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นทุกที  จนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง  เสียงนั้น… ทำให้ผมใจสลาย  รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาในทันที  เมื่อได้ยินเสียงเธอ…เธอกำลังร้องไห้  ใจของผมสั่งให้ขาที่สั่นๆ เดินตรงเข้าไปหาลิลา  อยากจะใช้อ้อมกอด ปลอบเธอ  กอดเธอไว้ให้เธอหายเศร้า แต่ก็ทำได้แต่ห้ามใจเอาไว้  ไม่อาจทำได้ในความเป็นจริง
              เด็กผู้หญิงที่นั่งร้องไห้อยู่เมื่อครู่ รีบเช็ดน้ำตาทันที เมื่อเห็นผมเดินเข้ามาใกล้
              “อ้าว  กรีน นั่งสิ”  ลิลาเรียก  ผมเข้าไปนั่งลงข้างๆ เธอ บนม้านั่งตัวเดียวกัน  ในใจได้แต่คิดอยากจะปลอบเธอว่า “ยังมีผมคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ คุณนะ”  ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร  หรือใคร ทำให้เธอต้องมาร้องไห้แบบนี้  
              ผมรีบควานหาสมุดและปากกาที่อยู่ในกระเป๋าใบเก่าของตัวเองขึ้นมา  แล้วเขียนบางอย่างลงไปในสมุด
              “อย่าร้องไห้นะครับ”  เธออ่านคำที่ผมเขียนเมื่อครู่อย่างชัดถ้อยชัดคำ  มันทำให้เธอยิ้มออก  ลิลาตัวน้อยๆ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ
              “ฉันไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”  เธอตอบ  แต่ดวงตาที่เธอมองมานั้น ยังคงเศร้า  
              “พอจะบอกอะไรผมบ้างได้ไหม”  เธออ่านสิ่งถูกเขียนอีกครั้ง  อาการที่ตอบมานั้นคือ  เธอนิ่งเงียบ  ผมคงทำได้แค่นี้สินะ  คงแบ่งเบาความทุกข์ของเธอมาบ้างไม่ได้
              “ฉันก็แค่…มีปัญหากับเพื่อนนิดหน่อยค่ะ  อย่าใส่ใจกับมันเลย”  เธอตอบกลับมา พร้อมกับยิ้มเล็กๆ  
              “ถ้าลิลามีอะไรไม่สบายใจ  จำไว้ว่ายังมีผมอยู่ข้างๆ คุณนะครับ”  ถ้อยคำถูกเขียนลงไปอีกครั้งหนึ่ง  ลิลาอ่านมันในใจ  เมื่ออ่านจบ ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง  ในใจผมได้แต่ภาวนาว่า ขอให้เธอไม่เป็นอะไร  ผมไม่อยากให้เธอเสียใจหรือร้องไห้เลย  อยากเพียงแค่แบ่งเบามันบ้าง
              เรานั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนริมสระน้ำจนถึง ๕ โมงครึ่ง  ช่วงเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงนี้ มันยาวนานเหมือนกับ ๑ ชั่วโมง  
              “๖ โมงแล้ว กลับบ้านกันเถอะจ้ะ”  ลิลาพูด  แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น  ผมรีบหันกลับมาดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ที่เมื่อกี้ก็เพิ่งจะดูไปหยกๆ  เข็มไม่เดิน  มันตายแล้ว  เห็นไหมว่า ไม่ได้คิดไปเอง  มันยาวนานเหมือน ๑ ชั่วโมงจริงๆ ด้วย
              “วันนี้ขอบใจมากนะ  ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ”  เธอพูด  น้ำเสียงดูร่าเริง  ดวงตาผมจ้องมองดูใบหน้ายิ้มแย้ม รู้สึกเขินๆ ชอบกลแฮะ   ตอนนี้หน้าตาผมคงจะดูไม่ได้  ก็เพราะผมเกิดอาการหน้าแดง บนใบหน้าดำๆ ฟังดูแล้วทะแม่งๆ ไหมล่ะ  
              มือขาวๆ ที่เคยบอกว่ามันนุ่มเหมือนตัวหนอน ยื่นมาตรงหน้าผม  ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเธอเลยในตอนนี้  จึงได้แต่ลุกขึ้นด้วยกำลังของตัวเอง  ลิลาชักมือกลับไปทันที  ใบหน้าของเธอเริ่มมีสีแดงเข้ามาแต่งแต้มซะแล้ว  
              “กลับด้วยกันนะ”  ลิลาพูดกับผม  คำพูดเพียงไม่กี่คำของเธอ ทำเอาหัวใจผมกระตุก  ความดีใจ ตื้นตัน  ความรักมันล้นจนจะทะลักออกมาอยู่แล้ว  เวลาที่เดินกลับบ้านกับเธอ  ไม่ต้องเดาก็รู้  ว่าระหว่างทาง  ผมต้องอาศัยภาษามือ  ส่ายหน้า  พยักหน้า ไปตลอดทาง
              …………………………………………………………………….
              ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่  ผมก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้นทุกที  ไม่รู้ว่าเธอคิดอย่างไรบ้าง  แต่ผมน่ะ  อยากจะบอกรักเธอมากเหลือเกิน…
              วันนี้เป็นวันเกิดของลิลา  วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ระยะเวลาการเป็นเพื่อนกับเธอ ผ่านมาได้เพียง ๑๕ วัน  แต่ใจมันกลับผูกพัน จนยากที่จะตัดใจ
              ผมอยากให้ลิลามีความสุขมากที่สุด ในวันเกิดของเธอ  
              สายลมเย็นๆ ยังคงพัดมาในทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ  ใจดวงนี้ก็ยังคงรักลิลาอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน  ผมรีบสาวเท้าก้าวเดินไปยังห้องเรียน  มือถือกล่องที่ถูกห่อไว้อย่างสวยงาม  ใจมันแทบจะรอเวลานี้ไม่ไหว  วันทั้งวันได้แต่เก็บซ่อนความดีใจเอาไว้  รอให้ถึงตอนเย็นแล้วผมจะบอก “รัก” เธอ
              ห้องที่มาหยุดอยู่ คือห้อง ๖๕  ดวงตาที่อยู่หลังกรอบแว่นกำลังกวาดไปทั่วห้องแสกนหา “ลิลา”  โดยเฉพาะ  เธอกวาดพื้นอยู่ในห้อง  ผมเธอถูกปล่อยออกมา  เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น  ผมยาวถึงกลางหลัง  ตอนนี้ผมกำลังรวบรวมความกล้า ที่จะเดินออกไปหาเธอ  แต่แล้วมันก็ต้องชะงัก..
              มีคนอยู่ในห้อง  เพื่อนเธอนั่นเอง   เท้ามันค่อยๆ แกล้งเดินผ่านห้องไปอย่างช้าๆ
                          “เธอชอบ..เขียวหรือเปล่า”  เสียงเพื่อนของเธอพูดขึ้น  ซึ่งผมได้ยินไม่ค่อยถนัด
              “ไม่… ฉันไม่ชอบ”  ลิลาตอบ  ผมแทบใจสลาย เมื่อได้ยินคำนี้ “เธอชอบเขียวหรือเปล่า”  “ไม่...ฉันไม่ชอบ”  ซึ่งนั่นก็แปลว่า  เธอ…เธอไม่ชอบผม  กล่องในมือตกลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  หมดแรง  ขาสั่น  ใจมันเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ  อกหักแล้วสิเรา  ผมก้มตัวลงเก็บกล่องที่เพิ่งหล่นลงพื้นขึ้นมา  แล้วเดินจากไปจากที่ตรงนั้น
              
              “กรีน”  เช้าวันนี้น้ำเสียงใสๆ ที่ได้ยินเป็นครั้งแรก คือเสียงของลิลา  ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไปให้ ใจมันยังไม่อาจลืมเลือน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้  ผมทรุดตัวลงนั่ง ที่นั่งตัวเดิม  ที่นั่งมันในทุกๆ วัน  แต่วันนี้ มันแปลกไป  รู้สีกไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะนั่ง  ไม่มีแรงจะทำอะไร  สายตาเดิมๆ คู่นี้ มองออกไปนอกหน้าต่าง…ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป  จะต้องเรียน  อย่าคิดมากเลย  นี่คือสิ่งที่ผมคิด  สายตาหันกลับมายังหน้าห้อง  ตั้งสมาธิ  ตั้งใจเรียนอีกครั้งหนึ่ง
              ผมพยายามไม่มองหน้าเธออีกต่อไป  ไม่รู้ว่าใจจะทานทนไปได้อีกนานแค่ไหน  จนถึงนี้  ก็ยังไม่เคยพูดอะไรกับเธอเลย  เราไม่สนิทกันเหมือนเดิมแล้ว  ผมเอง…ที่ไม่เหมือนเดิม  
               การที่ไม่ได้พูด  ไม่ได้มองหน้าเธอมาถึง  ๑  เดือนกว่าๆ มันเป็นช่วงเวลาที่โหดร้าย ตอนนี้ลิลาจะยังเห็นว่าคนตัวดำๆ คนนี้มีตัวตนอยู่หรือเปล่านะ  
              “เอาก็เอาวะ”  ผมพูดกับตัวเอง   ทนไม่ไหวที่เห็นเธอทุกข์แล้วปลอบไม่ได้  ทนไม่ไหวที่จะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เธอ  วันนี้ ผมจะบอก “รัก” เธอ  แม้จะรู้คำตอบ  ผมก็จะต้องบอก  ต้องบอกด้วยตัวของผมเอง!!!
              
              สายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาเบาๆ ในตอนเย็น ทำเอาผมใจสั่น  ความตั้งใจที่จะพูด มันก็สั่นไปด้วย  ร่างบางๆ ที่เห็นเป็นประจำวิ่งลงมาจากอาคารเรียน  เพื่อตรงกลับบ้าน  เธอไม่มีร่ม  สายฝนที่โปรยปรายลงมาเบาๆ ตอนนี้เริ่มหนักขึ้นทุกทีๆ ลิลาของผม ไม่อยากให้เธอต้องเปียกฝนเลย  
              ผมเดินออกมาจากมุมตึกที่หลบอยู่เมื่อครู่  มือและขายังสั่นๆ  ดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ที่ถือในมือ ก็เริ่มสั่นๆ อาการเดิมๆ ยังอยู่  ผมรวบรวมความกล้าเพื่อจะเข้าไปยืนตรงหน้า เพื่อบอก “รัก” เธอ ลิลา ยังคงไม่เห็นผม  
              “อื้อ  วิ่งงงง”  เธอพูดกับตัวเอง  พร้อมกับรีบวิ่งออกนอกอาคารเรียน เพื่อฝ่าสายฝนกลับบ้าน
              “ลี้ลา”  เสียงเรียกของผมลากยาว  แต่เธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว  เธอออกวิ่งไปแล้ว  
              “วิ่งด้วยยย”  ผมพูดกับตัวเอง พร้อมกับออกวิ่งตามเธอไป  มือหนึ่งถือร่ม อีกมือหนึ่งถือช่อดอกไม้   ภาพที่ผมเห็นคือ เธอกำลังจะข้ามถนน  สายตาของผมตอนนี้มันพร่ามัวไปหมด  เธอเริ่มเลือนลางออกไป  ตัวผมกำลังร้อนขึ้น  ร้อนขึ้นเรื่อยๆ  อาการหวัดที่เป็นอยู่มันออกฤทธิ์เสียแล้ว  เธอกำลังเดินข้ามถนนอย่างช้าๆ ดวงตาอันร้อนผ่าว รีบมองตรงไปยังรถที่วิ่งมาทางเธอ  ผมรู้สึกว่ามันวิ่งมาเร็วมาก ขาที่ไร้เรี่ยวแรงกำลังทำหน้าที่ของมัน  มันรีบวิ่งตรงไปยังเธอ  ในใจผมหวังเพียงว่า อยากช่วยลิลาให้พ้นจากรถคันนั้น  วิ่งไป...  วิ่งไป อีกนิดเดียว ก็ใกล้จะถึงแล้ว
              ตุ๊บ...ผมล้มลงไปกองกับพื้น  ขามันขัดกันเอง  หรือเรียกง่ายๆ ว่า วิ่งสะดุดขาตัวเอง  ผมล้มลง  หัวแทบจะทิ่มพื้น  เจ็บจนเกินจะบรรยาย  ...ไม่มีเวลาที่จะบรรยายได้  วินาทีนี้ต้องมองหาลิลา  “คนที่ผมรัก”
              ภาพของเธอใกล้เข้ามาทุกทีๆ ไม่รู้ว่าฝันไปหรือเปล่า แต่ผมเห็นอย่างนั้น
              “กรีน  ทำไมล้มหัวทิ่มอยู่อย่างนี้ล่ะ”  เสียงของเธอ  ใช่..ใช่เธอจริงๆ ด้วย
              “ผะ ผะ”  ผมพูด  พยายามรวบรวมความกล้าอีกครั้งหนึ่ง
              “ผะ  ผมรีบวิ่งมาช่วยคุณ”  คำตอบตะกุกตะกัก  ถูกกล่าวออกมา
              “อ้าว  พูดได้เหร%C

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×