คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : KAIDO | รุ่นพี่ที่รัก 4 end.
รุ่นพี่ที่รัก
Epidsode 4
Kai Part.
จากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว...
ตั้งแต่วันที่ผมพารุ่นพี่ตัวเล็กคนนั้นไปที่คอนโดนี่ก็ย่างเข้าวันที่สิบเอ็ดแล้วที่ผมไม่ได้เห็นหน้าพี่เค้าอีกเลย ตั้งแต่ตอนที่พี่เค้าวิ่งหนีผมไปตอนนั้น วันต่อมาผมก็ออกไปหาเค้าทันที ไม่ว่าจะไปดักรอที่คณะ ที่โรงอาหาร หรือแม้กระทั่งไปถามกับพวกพี่ลู่ฮาน ก็ไม่ได้เจอกันเลย ตอนแรกผมคิดว่าพี่เค้าคงจะยุ่งก็เลยเป็นคลาดกันแบบนี้
แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่นั้นแล้วล่ะ...
“ช่วงนี้ฉันได้เจอพี่คยูฮยอนบ่อยมากอ่ะแก โคตรดีเลยอ่ะ เห็นพี่เค้าเช้าเย็น”
“อิจฉาอ่ะ แกอยู่คณะเดียวกับพี่คยองซูใช่มั้ย”
“ก็ใช่ แต่ถ้าแกจะอิจฉาฉันนะ แกไปอิจฉาพี่คยองซูที่เค้าได้คนที่ฮ็อตที่สุดในเกาหลีตอนนี้มาเป็นแฟนดีกว่า โอ้ยยย เวลาฉันมาที่คณะตอนเช้าๆนะ เห็นพี่เค้ายืนคุยกันอยู่หน้าคณะตลอด น่ารักมากกกกก”
“แกอย่าพูดให้ฉันอิจฉาสิ พูดไปแล้วเค้าก็เหมาะสมกันเนอะ สองคนนั้นน่ะ พี่คยูฮยอนก็เป็นซป’ตาร์ระดับประเทศ สูงยาวเข่าดี สไตล์เกาหลี พี่คยองซูก็ตัวเล็กๆน่ารัก น่ากอด น่าฟัดชะมัดเลย ขนาดฉันเป็นผู้หญิง เห็นหน้าทีไรยังอายทุกทีเลย”
เจ้าตัวคู่สนทนาประโยคเมื่อกี้น่ะเดินผ่านไปนานแล้วครับ แต่ไอ้บทสนทนามันไม่ไปด้วยดันติดค้างอยู่ในหัวคนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆมาตลอดตรงนี้อย่างผมเอง
ผมพยายามคิดมาตลอดว่าพี่คยองซูแค่ไม่ว่าง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ เพราะบางครั้งที่ผมมีนัดกับพวกพี่ลู่ฮาน ตอนเจอกันผมจะเห็นเงาคนตัวเล็กแว้บๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นพี่คยองซู ผมจำได้ และมันก็เป็นแบบนั้นอยู่สองสามครั้งจนผมเริ่มจะมั่นใจแล้วล่ะว่าพี่เค้าหลบหน้าผมอยู่
ช่วงสามสี่วันที่ผ่านมานี่ ไอ้บทสนทนาข้างบนยิ่งผ่านเข้าหูผมบ่อยยิ่งกว่าข่าวซุบซิบดาราด้วยซ้ำ และไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งผมก็อดหงุดหงิดไม่ได้ทุกครั้ง มันทำให้ผมหัวเสียเอามากๆรวมทั้งตอนนี้ด้วย!
“ไอ้ดำ หน้ามึงไปละ ใจเย็นดิ่วะ”
เสียงไอ้เซฮุนลอยมาก่อนตัวจะตามมานั่งลงข้างๆผม คำพูดออกไปทางล้อเลียนนั่นไม่ได้ทำให้ผมสนใจเท่าไหร่ ผมยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อย่างนั้น เซฮุนถึงได้ยกมือขึ้นเขย่าหัวผมอย่างหมั่นไส้ มีไอ้เซฮุนคนเดียวไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ไอ้ชานยอลดันร่วมด้วยช่วยเซฮุนยื่นมือมาฟาดหัวผมซะแรง ทำเอาผมมึนหัวไปพักนึง ถึงได้ละความสนจากอากาศหันไปมองหน้าพวกมัน แล้วก็เห็นว่าทำหน้าสะใจกันอยู่ นี่ถามจริง พวกมึงจะปลอบกูหรือแค่อยากทำร้ายกูเล่น - -
“กวนตีน”
คิดออกแค่นี้จริงๆ
“เออ แล้วตกลงมึงจะเอาไงเรื่องพี่คยองซู” ยักคิ้วให้ผมแล้วมาทำหน้าจริงจังใส่อย่างนี้ผมควรจะปรับอารมณ์ตามชานยอลมันให้ทันใช่ไหม ผมถอนหายใจออกมาทีหนึ่งเผื่อจะช่วยระบายความเครียดออกไปได้บ้าง ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตามที
“เอายังไงได้ล่ะ กูแทบจะไปสิงอยู่หน้าคณะพี่เค้าทุกวัน ยังไม่เห็นแม้แต่เงา กูก็ไม่รู้จะทำยังไงถึงจะได้คุยกันซักที มึงคิดว่ากูควรจะเอายังไง” ผมพูดไปพลาง ขยี้หัวตัวเองไปพลาง
“ก่อนอื่น กูอยากรู้ว่า พี่คยูฮยอนกับพี่คยองซูเป็นแฟนกันจริงไหมมากกว่า..” อยู่ๆ ไอ้เฉินที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก็พูดแทรกขึ้นมา ผมเหลือบตาไปมองมันนิดนึงแล้วก็รู้สึกอยากจะถอนหายใจอีกสักรอบ ไม่สิ..ขออีกสักสองสามสี่ห้าจนถึงแปดล้านรอบไปเลยได้มั้ย
อุตส่าห์ไม่พูดแล้วมันก็ยังจะพูดแทนให้... ใช่ครับ ผมเองก็สงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่คยองซูกับพี่คยูฮยอนอยู่ เคยถามพี่คริสไปแล้วครั้งนึงว่าทั้งสองคนนั้นเป็นอะไรกัน คำตอบก็คือ ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“กูก็อยากรู้พอๆกับมึงนั่นแหละ” ผมตอบไอ้เฉิน แล้วก็นั่งคอตกต่อไป
“เอางี้ดิ่ไอ้ดำ” เออ เอาเข้าไป เมื่อกี้ไอ้ฮุนกับไอ้ยอลไม่พอ มึงก็จะเอากับเขาด้วยใช่ไหมไอ้เทา ผมบ่นในใจเมื่อเพื่อนร่วมแก๊งอีกคน คือ ฮวังจื่อเทา เดินมาร่วมวงพร้อมกับผลักผมเป็นการทักทายหนึ่งที อย่าให้มีอารมณ์นะ พ่อจะถีบให้
“เอาอะไรมึง” เป็นไอ้โอเซฮุน ที่ถามแทน ผมเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะกำลังคิดเหมือนมันพอดี ติดแค่พูดไม่ทันเท่านั้น
“เอามึงไง” ไอ้เทาหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้ไอ้ฮุนทีนึง เอาตรงๆนะ ขนาดเป็นแค่คนฟังยังขนลุกเลย ผมอดขำเบาๆกับบทสนทนาที่ไร้สาระของเพื่อนร่วมแก๊งโขยงนี้ ไม่ได้
“อ้าว เพื่อนกูก็ยังหัวเราะเป็นอยู่นี่หว่า นึกว่าจะดำหายไปกับอากาศ” มึงจะทำตัวเป็นคนดีด้วยการช่วยให้กูอารมณ์ดีเฉยๆแบบไม่ต้องกวนตีนกูก็ได้ฮวังจื่อเทา ผมส่ายหัวเอือมๆแล้วเอื้อมมือไปผลักหัวมันทีนึง ซึ่งมันก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยักไหล่ให้อีกด้วย
“แล้วสรุปมึงจะให้ไอ้ดำมันทำอะไร” ชานยอลที่นั่งเงียบอยู่นานถามขึ้นมา พวกเราทั้งหมดจึงหันไปมองที่ไอ้แพนด้าเมืองจีนเป็นตาเดียว
“กูมีแผน งานนี้ต้องให้พวกพี่ลู่ฮานช่วย”
Luhan Part.
คยองซูอ่า.. นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันเชียร์นายกับเจ้ารุ่นน้องตัวดีคนนี้ แล้วทำไมนายถึงได้ไปบังเกิดข่าวลือแบบนั้นกับพี่คยูฮยอนได้เล่า
ทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ เสี่ยวลู่ฮานขอไม่รับรองความปลอดภัยของนายล่ะนะ โดคยองซู!
ก็เพราะอย่างนั้นล่ะครับ.. ตอนนี้ผมถึงได้กำลังนั่งให้คำปรึกษากับกลุ่มรุ่นน้องที่น่ารักทั้งหลายอยู่ที่โต๊ะข้างสนามบอล จริงๆโต๊ะมันก็ค่อนข้างจะกว้าง แต่คุณลองนึกภาพตามผมดูนะ ผู้ชายไซส์หมียักษ์สิบกว่าคนนั่งอัดๆกันเนี่ย ใครจะสิงร่างใครไปคิดเอาละกัน
“ก่อนจะคุยเรื่องคยองซู พี่ต้องคุยกับเราก่อนนะจงอิน” ผมพูดพลางมองหน้ารุ่นน้องผิวสีเข้มที่นั่งคอตกอยู่ตรงหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมามองตอบผมด้วยแววตาสงสัย รวมทั้งคนอื่นๆก็มองตามเขาเช่นกัน
“ครับ?”
“คราวก่อนที่นายรับฝากคยองซู นายไม่ได้ไปส่งเขาที่ห้องใช่ไหม?” ผมกดเสียงเข้มมองเจ้าตัวที่ยกมือขึ้นเกาหลังหัวพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆส่งมาให้ เพื่อนๆของเขาพร้อมใจกันหันขวับไปมองทันทีที่ผมพูดจบ
“ไอ้เชี่ย กูก็ว่าแล้วมึงจะไปรู้จักห้องพี่เขาได้ไง” เซฮุนเป็นคนแรกที่เอ่ยปากออกมา เขาก่นด่าเบาๆและผลักไหล่จงอินไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้
“มิน่าล่ะมันแหม่งๆ ไปส่งพี่เขาอีท่าไหนถึงได้หลบหน้ากันซะขนาดนี้” ซิ่วหมินก็พูดตามมาอีกคน พร้อมกับยื่นมาไปยีหัวจงอินช่วยอีกหนึ่งแรง หลังจากนั้นเพื่อนๆของจงอินก็รุมกันผลักนั่นหยิกนี่กันคนละทีจนผมกลัวรุ่นน้องผิวเข้มคนนี้ของผม ผมกลัวจงอินจะช้ำตายซะก่อนเลยรีบออกปากห้ามทัพเอาไว้ก่อน
“พอๆ เอาเป็นว่าคราวหลัง จะพาเพื่อนพี่ไปไหนก็บอกพี่ก่อนนะ ไม่ใช่โกหกพี่แบบนี้”
“ครับ”
“โอเค.. เอ้า แล้วไหนที่บอกว่าจะให้พี่ช่วย จะให้ช่วยอะไร”
ผมพยักหน้าให้จงอินหนึ่งทีแล้วพูดกลับเข้าสู่ประเด็นหลักที่คุยกันในตอนแรก คือเมื่อกี้ เจ้าเด็กกลุ่มนี้เรียกพวกผมสามคน มีผม คริส แล้วก็เลย์ ให้มาหาแล้วบอกว่ามีเรื่องอยากให้ช่วย พอผมพูดไปแบบนั้นปุ้บ น้องจื่อเทาที่นั่งทำหน้าง่วงๆอยู่จนถึงเมื่อกี้ก็ยืดหน้าเข้ามาในวงสนทนาทันที.. อ๋อ ตัวตั้งตัวตีคือ เจ้าคนนี้นี่เอง
“คืออย่างงี้ครับพี่ลู่ฮาน พวกเราตั้งใจว่า...”
“วันนี้ก็น่าจะไม่มีอะไรแล้วนะคะ งานที่ครูสั่งไปก็ขอให้ทุกคนรีบทำแล้วเอามาส่งให้ทันกำหนดด้วย งั้นวันนี้เลิกคลาสได้เลยค่ะ”
ที่หน้าห้องเรียนคณะศิลปกรรมชั้นปีที่สี่ หลังเลิกคลาสสุดท้ายก็ใกล้จะถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปเต็มที นักศึกษาหลายคนก็เริ่มออกลวดลายง่วงเหงาหาวนอนจากการเรียนมาตลอดวัน บางคนก็ดูสดชื่นตื่นเต็มตาเพราะหลับมาทั้งวัน หนึ่งในนั้นยังมีคนสองคนที่เดินเคียงคู่กันออกมาจากห้อง ในมือมีกองหนังสือพะรุงพะรังจนแทบจะบังตัวพวกเขาสองคนจนมิด
“คยองซู เย็นนี้มีนัดไปไหนรึเปล่า” หนึ่งในนั้นพยายามยืดหน้าไปถามเพื่อนคนข้างๆที่เดินออกมาด้วยกัน
“อืมม.. ไม่มีนะ ทำไมเหรอ” ร่างเล็กเจ้าของชื่อเมื่อได้ยินคำถามจากคนข้างกายก็หยุดคิดไปสักพักและตอบออกมา สองขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังไม่ให้ของในมือหล่นลงไป
“พอดี... มีคนๆนึงอยากเจอนายน่ะ” คยองซูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบจากเพื่อนร่วมคลาสคนนี้ ด้วยความสงสัยร่างบางจึงเอ่ยปากถามต่อไป
“ใครเหรอ?”
“เอ่อ..เค้าเป็น...” เพื่อนคนนั้นกลับมีท่าทางอึกอักไปเล็กน้อยเมื่อต้องตอบคำถามนี้ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ตอบออกมาจริงๆก็มีเสียงใครบางคนเรียกร่างเล็กมาแต่ไกล
“คยองซู!”
“อ้าว คริส”
เป็นเพื่อนตัวสูงโย่งของคยองซูนั่นเอง เดือนของมหาลัยก้าวยาวๆไม่กี่ทีก็เดินมาถึงตัวเพื่อนตัวเล็กของเขาพร้อมกับเอื้อมมือมาแบ่งของส่วนหนึ่งไปถือช่วย เขาเอ่ยปากถามร่างเล็ก
“จะไปไหนกันคยองซู” คริสยิ้มบางๆพร้อมกับหันไปทักทายเพื่อนของคยองซูที่มองอยู่ก่อน ซึ่งทางนั้นก็ผงกหัวรับด้วยท่าทางเกร็งๆ
“เรายังไม่ได้คิดเหมือนกัน อาจจะกลับหอเลยล่ะมั้ง วันนี้ไม่ต้องไปทำงาน.. อ้ะ ไม่ใช่สิ เมื่อกี้นายบอกเราว่ามีคนอยากเจอเรารึเปล่านะคีย์?” คยองซูส่ายหัวน้อยๆเป็นการตอบ ก่อนจะนึกขึ้นถึงบทสนทนาเมื่อครู่ขึ้นมาได้และหันไปถามคนข้างๆ
“อ่า.. ไม่เป็นไรๆ เขาบอกว่าถ้านายไม่ว่างเอาไว้วันหลังก็ได้น่ะ”ร่างบางเจ้าของชื่อ คีย์ ส่ายหัวเร็วๆพร้อมกับยิ้มแห้งๆให้ “เย็นแล้ว งั้นเราขอตัวก่อนนะคยองซู ขอตัวนะครับคริส ^^’ ”
“อ้าว จะไปแล้วเหรอ งั้นกลับดีๆนะ” คยองซูยิ้มและโบกมือลาให้กับเพื่อนร่วมคลาสของเขา ก่อนจะหันกลับมาหาคริสที่เดินอยู่ข้างๆแทนเป็นเชิงถาม
“คิดยังไงมาหาเราที่คณะเนี่ย”
“เปล่าคิด ลู่ให้มาหา” ร่างสูงยักไหล่ให้ทีหนึ่ง ก่อนจะพูดพาดพิงไปถึงเพื่อนอีกคนที่ไล่เขามาที่นี่
“ลู่น่ะนะ? ให้มาหาทำไมอ่ะ”ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมต้องให้คริสมาหาล่ะ ก็เรียนด้วยกันทำไมไม่มาเอง ไม่ก็พร้อมกันเลย
“ติดธุระน่ะ ฝากให้เอานี่มาให้ด้วย” คริสตอบ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบสิ่งของบางอย่าง คยองซูเองก็เหลือบตามองตามมืออีกคนด้วยใบหน้าที่ยังไม่หายสงสัย
ซองจดหมายขนาดมาตรฐานสีขาวโผล่พ้นออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักศึกษาสีดำ บนหน้าซองมีแค่ หมึกสีดำเขียนไว้เป็นคำว่า ลู่ฮาน ด้วยลายมือหวัดๆ คริสส่งมันให้คยองซูที่ยื่นมือออกมารออยู่ก่อนหน้า
“จดหมายเหรอ? เอามาให้เราทำไมล่ะ” คยองซูเริ่มทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไมตั้งคำถามอยู่เรื่อยๆ
“ลู่ฝากให้นายไปแทนให้ทีน่ะ” คริสยิ้ม แล้วพยักเพยิดไปทางจดหมายเป็นเชิงบอกให้เปิดมันออกซึ่งคนตัวเล็กก็ทำตามอย่างว่าง่าย ข้างในซองมีกระดาษสีขาวที่เหมือนถูกฉีกออกมาจากสมุด เขียนไว้เพียงข้อความสั้นๆเหมือนที่จ่าหน้าซองว่า จะรอที่หลังตึกเอนกประสงค์เก่า
“อ้าว.. ทำไมเราต้อง..”
“เจ้าตัวบอกว่าติดธุระ มาม๊าเขามาน่ะ นายช่วยไปแทนลู่หน่อยนะ เดี๋ยวของพวกนี้ฉันเอาไปส่งที่ห้องสมุดให้เอง สู้ๆ” คริสพูดรัวๆพร้อมกับช้อนเอาของอีกส่วนหนึ่งที่คยองซูถืออยู่มาถือไว้แล้วรีบเดินแยกไปอีกทางทันทีปล่อยให้เพื่อนของเขายืนทำตาโตอย่างงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว
อะไรของคริสเนี่ย ?
- - - - - -(40%)- - - - - -
“ลู่นี่ก็จริงๆเลย เล่นอะไรของเขาก็ไม่รู้..”
เสียงหวานติดทุ้มของคนร่างเล็กดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบภายในสวนเล็กๆหลังอาคารเรียนหลังหนึ่ง ขาเรียวก้าวผ่านพุ่มไม้ไปทีละพุ่มสองพุ่มอย่างไม่รีบร้อน เขามองซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังหาอะไรบางอย่างเหมือนกับครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ มาเพื่อตามหาใครบางคนที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา
ถูกแล้ว โดคยองซูพยายามหลบหน้าคิมจงอินอยู่
และเขาก็คิดว่าเขาทำมันได้เป็นอย่างดีด้วย เพราะไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาจะคอยสอดส่องไปรอบตัวในระยะร้อยเมตรอยู่เสมอ ถ้าวันไหนที่รุ่นน้องผิวสีแทนคนนั้นมาดักรอที่หน้าประตูคลาสเรียน เขาก็จะแอบออกทางประตูหลังที่เปิดให้ใช้เฉพาะอาจารย์เท่านั้น ส่วนวันไหนที่พวกเพื่อนๆชวนไปสังสรรค์แล้วต้องเจอกับกลุ่มน้องๆล่ะก็.. เผ่นอย่างเดียวเลยล่ะ
ไม่ใช่สิ!
วันนี้เขาไม่ได้มาเพื่อจะมาหาจงอินซะหน่อย แต่ว่าให้มาหาใครเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน คยองซูได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอากับเพื่อนหน้าหวานของเขา ถึงจะบอกว่าหน้าหวาน แต่เอาเข้าจริงๆ บางทีคยองซูก็รู้สึกว่าลู่ฮานนี่แมนกว่าคริสอีก... อย่าเอาไปบอกคริสเชียวนะ รายนั้นเห็นขี้เก๊กอย่างนั้นแต่แอบเหมือนเด็กไม่น้อยเลย
ร่างเล็กหยุดยืนอยู่ข้างต้นไม้ต้นหนึ่งและพิงมันอยู่อย่างนั้นพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่า กระดาษแผ่นนี้จงใจจะส่งถึงเขา ลู่ฮานก็ทำอะไรไม่แนบเนียนเอาซะเลย ใช้ใครไม่ใช้ดันมาใช้อู๋อี้ฟาน แผนไม่แตกก็แปลกแล้ว แต่ที่สงสัยก็คือทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยเล่า บอกให้เขามาดีๆก็ได้นี่นา
มือบางหยิบเอากระดาษแผ่นเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง และใช้สายตากวาดมองข้อความบนเนื้อกระดาษสีขาวอีกครั้งอย่างชั่งใจ
จะรอที่หลังตึกเอนกประสงค์เก่า
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันน้อยๆ ในระหว่างนั้นเขาก็ยังคงเอี้ยวตัวเหลียวมองไปยังทางเข้าสวนเผื่อจะมีใครสักคนเดินเข้ามา
ใครสักคน..ที่เป็นเจ้าของกระดาษแผ่นนี้
กริ๊งงงงงงงงงงงงง
“.....!”
ร่างเล็กที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองถึงกับต้องสะดุ้งโหยงทันทีเมื่อเสียงกริ่งแบบนาฬิกาโบราณแผดร้องดังลั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ เขาหันรีหันขวางมองหาต้นเสียงนั้น เรียวขาบางก้าวไปตามเสียงจนพบกับนาฬิกาเรือนเล็กๆเรือนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้น ข้างกันนั้นเป็นซองสีน้ำตาลเก่าๆวางไว้ จ่าหน้าซองถึงตัวเขาเอง
ถึง โดคยองซู
ร่างบางนึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมานัก เขาก้มลงหยิบของทั้งสองอย่างขึ้นมาปัดเศษดินออก ก่อนจะลงมือเปิดซองสีน้ำตาลเป็นอันดับแรก
ภายในซองมีเพียงปากกาหนึ่งด้ามและเศษกระดาษที่ถูกเขียนไว้หนึ่งใบเท่านั้น คยองซูเลือกที่จะหยิบกระดาษแผ่นน้อยออกมาดู บนนั้นมีเพียงน้ำหมึกสีเข้มเป็นประโยคคำสั่งง่ายๆว่า หันไปทางซ้าย แล้วเดินตรงไป
ร่างเล็กหันหน้าไปมองทางซ้ายทันที นอกจากจะไม่เห็นอะไรแล้วเขายังรู้สึกได้ว่า ท้องฟ้าเริ่มจะกลายเป็นสีส้มบ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาพระอาทิตย์จะแลกเวรกับดวงจันทร์เต็มที ถึงอย่างนั้น คยองซูก็ยังคงเก็บกระดาษกลับเข้าไปในซองยัดใส่ในกระเป๋าสะพายข้างของเขา และออกเดินไปยังทิศทางที่กระดาษบอกไว้
และเป็นอีกครั้งที่... กริ๊งงงงงงงง
ไม่คิดจะเปลี่ยนเสียงบ้างหรือไงนะ...
คยองซูคิดในใจขำๆพลางเดินตรงไปยังที่มาของเสียง เขาเหลือบไปเห็นนาฬิกาเรือนเล็กคุ้นตาวางอยู่ที่ข้างพุ่มไม้ ถัดจากนาฬิกาเรือนน้อยมีกล่องของขวัญขนาดพอดีมือตั้งอยู่ ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มออกมาและนั่งลงข้างๆต้นไม้หยิบเอาเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมขึ้นมาบนตักและลงมือแกะห่อของขวัญอย่างบรรจง
อ้ะๆ เบาๆนะครับ แกะเสร็จแล้วอย่าลืมหลับตาด้วยนะคนเก่ง : )
ข้อความยาวๆจากกระดาษสีสดที่วางไว้เหนือสิ่งของที่บรรจุอยู่ภายในทำให้คยองซูหลุดหัวเราะออกมา เขาเก็บเอากระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋ากางเกงไว้และหยิบของเล่นชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ในกล่องออกมาดู
มันเป็นพัดลมของเล่นขนาดเล็กที่พบเห็นได้ทั่วไป นิ้วเรียวเลื่อนกดปุ่มเปิดการทำงานของเจ้าของเล่นชิ้นนี้ดู บังเกิดลมน้อยๆพัดเข้ามายังใบหน้าของเขา
เพียงครู่เดียว คยองซูก็ปิดเครื่องเล่นชิ้นเล็กและเก็บใส่กระเป๋าอีกครั้ง ทันใดนั้นเขานึกขึ้นมาได้ถึงข้อความจากกระดาษแผ่นน้อยเมื่อครู่และค่อยๆหลับตาลง
แกร่ก แกร่ก...
เสียงย่ำเท้าค่อยๆดังใกล้เข้ามาจากทางด้านหลังของคนตัวเล็กเรียกให้ความรู้สึกตื่นเต้นบังเกิดขึ้นมาในหัวใจดวงน้อย
ใครกันนะ..
เสียงฝีเท้ายิ่งดังใกล้เข้ามาเท่าไหร่ จังหวะการเต้นของก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของคนตัวเล็กยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้น
"จ๊ะเอ๋.."
ตึกตัก .. ตึกตัก
มือหนาของใครบางคนทาบทับลงมาบดบังทัศนวิสัยของคยองซูทำให้ร่างบางใจเต้นระรัวขึ้นมา อุณภูมิจากอุ้งมือของคนด้านหลังพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มที่ข้างหูทำให้ความร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาบนใบหน้าของคยองซูทันที
จงอิน... เหรอ?
ชื่อของใครบางคนที่เฝ้าหลบหน้ามาตลอดสิบกว่าวันแล่นเข้ามาในความคิด ก่อนเสียงของคนๆนั้นจะดังเฉลยขึ้นมา ดังก้องกังวานสะท้อนในใจของร่างเล็ก
“คยองซูจำได้มั้ย เสียงใครเอ่ย ?...”
“....”
“คยองซู...?”
“พี่คยูฮยอน ..เหรอครับ ?”
ร่างเล็กเอ่ยเสียงแผ่วเบา ทันทีที่ได้ยินอีกคนเรียกชื่อของเขา เขาก็จำได้แล้วว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร เพราะมันคือเสียงที่เค้าได้ยินทุกเช้าเย็นตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา
“เก่งมาก จำเสียงพี่ได้แล้วเหรอครับ”
อ้อมกอดจากวงแขนแกร่งดึงตัวร่างบางให้หมุนกลับไปซบแผ่นอกกว้าง รอยยิ้มจางๆจากร่างสูงพร้อมความอ่อนโยนจากมือหนาที่ลูบกลุ่มผมนุ่มของเขาเบาๆ โดยไม่รู้เลยว่าคนในอ้อมกอดมีสีหน้าหม่นหมองแค่ไหน
ไม่ใช่จงอิน..จริงๆสินะ..
คยองซูฝืนยิ้มออกมาบางๆและผละตัวออกมาจากอ้อมกอดนั้น เขาหน้าขึ้นมองคนที่ตัวสูงกว่าเขาเกือบหนึ่งช่วงมือ
“พี่นัดผมมาเหรอครับ”
“อืม.. ขอโทษที่ฝากเพื่อนเราไปบอกนะ พี่..อายน่ะครับ..”
ร่างสูงของคยูฮยอนกำลังยืนก้มหน้าและเกาท้ายทอยอย่างเก้ๆกังๆดูก็รู้ว่ากำลังขัดเขินเป็นอย่างมาก ท่าทางที่ต่างจากตอนเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนเมื่ออยู่กับเขาของรุ่นพี่คนดัง ทำให้ร่างเล็กอดเผยอยิ้มออกมาไม่ได้
“แล้วพี่คยูฮยอน นัดผมมามีอะไรรึเปล่าครับ?”
คยองซูเลือกที่จะถามเข้าประเด็นในทันที แม้ในใจเขาจะพอรู้อยู่แล้วว่าอีกคนต้องการจะบอกอะไรกับเขา..
สิ่งที่คนตรงหน้า..ถามเขามาตลอดอาทิตย์
“คบกับพี่ได้มั้ยครับ ?”
ร่างบางหลบสายตาทันทีเมื่ออีกคนพูดจบ คำถามที่เขาปล่อยให้มันยืดเยื้อมานานโดยไม่เคยให้คำตอบใดๆเลย จะให้เขาตอบได้ยังไงในเมื่อเขาไม่อยากทำร้ายความรู้สึกรุ่นพี่ที่แสนดีคนนี้.. แต่เขาก็ไม่อยากฝืนใจตัวเองเหมือนกัน ตั้งแต่วันนั้น...
วันที่เขาหนีออกมาจากร้านอาหาร หนีจากรุ่นน้องที่เขาหลงรักคนนั้น..
“พี่คยูฮยอนอยู่ไหนครับ ?”
เสียงหวานทุ้มกรอกลงในสาย ถามพลางโบกแท็กซี่ที่ขับผ่านมาพอดีก่อนจะย้ายตนเองขึ้นไปนั่งบนพาหนะเคลื่อนที่คันนี้แล่นออกสู่ถนนที่พลุกพล่านใจกลางเมือง
“อยู่หน้าหอของเราน่ะ..”
“หอผม? ไหนพี่ว่าพี่เกิดอุบัติเหตุไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็..ครับ แต่พี่อยากให้เราทำแผลให้..”
“พี่รออยู่นั่นก่อนนะครับ ผมกำลังไป อีกประมาณสิบนาที”
ร่างเล็กกดตัดสายและทิ้งโทรศัพท์ลงที่เบาะข้างตัวทันทีก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆหนึ่งทีและสูดกลับเข้าไปใหม่เพื่อเรียกสติของตนเองให้กลับเข้าที่เข้าทาง
“เห็นจนได้สินะ..”
เสียงหวานรำพึงกับตัวเองเมื่อนึกไปถึงใครบางคนที่เขาทิ้งไว้ที่ร้านอาหารและวิ่งหนีออกมา ภาพเหตุการณ์ที่อีกคนยืนจ้องหน้าจอโทรศัพท์ของเขาด้วยสายตางุนงงและประหลาดใจสร้างความตื่นตระหนกให้เขาได้เป็นอย่างดี นาทีนั้นเขาคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง นึกอยากขอบคุณคนปลายสายเมื่อครู่ที่โทรมาขัดจังหวะได้เหมาะเจาะ เขาจึงหาโอกาสแอบหลบออกมาจากสถาการณ์ที่น่าอึดอัดนั้นได้
คยองซูนึกจากจะถอนหายใจออกมาสักหลายๆรอบแต่ก็เกรงใจคนขับรถที่มองผ่านกระจกหลังมาเป็นระยะๆ เขาเบนสายตามองออกไปนอกรถพบกับอาคารสูงที่คุ้นตาจึงเอ่ยบอกกับคนขับรถให้จอดข้างหน้าและจัดการจ่ายค่าบริการ ก่อนจะก้าวเร่งรีบก้าวลงจากรถเดินตรงไปหาก้อนกลมๆก้อนหนึ่งที่แอบตัวหลบอยู่มุมหนึ่งของอาคาร
“พี่..คยูฮยอน..”
คยองซูเดินเข้าไปใกล้ๆคนตัวสูงที่นั่งก้มหน้าอยู่และเอ่ยเรียกชื่อเบาๆด้วยความเป็นห่วง เขากลัวใครจะได้ยินเข้าจะลำบากคนตรงหน้าเอา
“คยองซู..มาแล้วเหรอ”
ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เพิ่งมาถึงด้วยสายตาที่คนตัวเล็กไม่เข้าใจ เขาละความสนใจจากมันและพยายามมองไปทั่วตัวอีกคนเพื่อหาบาดแผลที่เคยบอกกับเขาว่าประสบอุบัติเหตุ
“ไหน เจ็บตรงไหนครับ ขอดูแผลหน่อย”
“.....”
“พี่คยูฮยอนครับ ?”
เมื่อคนเป็นรุ่นพี่ไม่ให้ความร่วมมือแถมเอาแต่ก้มหน้านิ่ง คยองซูจึงต้องเอ่นเรียกชื่ออีกคนอย่างเสียไม่ได้พร้อมกับมองไปที่กลุ่มสีดำสนิทเนื่องจากคนตัวสูงเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น
“คบกับพี่..ได้ไหม?”
“....!?”
ความนึกคิดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้หลุดหายไปทันทีที่อีกคนพูดจนจบประโยค ร่างบางผงะถอยหลังไปเล็กน้อยโดยมีมือของคยูฮยอนเอื้อมมาดึงแขนไว้กันไม่ให้คยองซูล้มหงายหลังลงไปซะก่อน
เขาถูก..รุ่นพี่คนสนิทขอคบงั้นเหรอ ?
จากครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่พาคนตรงหน้านี้ไปทานข้าวด้วยกันที่ห้อง และรุ่นพี่ที่แสนดีก็ขออาสาไปรับไปส่งเขาเวลาไปเรียนที่มหาลัย ซึ่งเขาไม่ได้ขัดอะไร จึงทำให้กลายเป็นข่าวลืออย่างที่คนเค้าลือกันให้แซ่ดมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา
และตอนนี้..คำถามนั้นก็กลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยท่าทีที่จริงจังหนักแน่นราวกับจะบอกว่า ยังไงวันนี้เขาก็ต้องให้คำตอบที่ชัดเจนสักที
“ผม...”
แกร่ก..
“ใครน่ะ!”
ท่ามกลางความเงียบ เสียงเสียดสีกันของฝีเท้ากับใบไม้แห้งจึงเด่นชัดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโสตประสาทของคนทั้งคู่ คยูฮยอนหันหน้าไปตามเสียงและออกปากถามทันทีด้วยความหงุดหงิดใจ
ทั้งที่เมื่อกี้ คยองซูกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแท้ๆ ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย!
ร่างสูงนึกด้วยความกระวนกระวายปนหงุดหงิดพลางรอการปรากฏตัวของบุคคลที่สามที่เข้ามาขัดบทสนทนาของเขากับคนตัวเล็ก
“รุ่นพี่..คยองซู..”
“....!”
“นาย..?”
ขาเรียวยาวก้าวพ้นออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งเรียกสายตาประหลาดใจและความตกใจให้คนทั้งสองคนได้ในทันที คยูฮยอนมองไปที่ผู้มาใหม่ด้วยความประหลาดใจ อีกคนเป็นวัยรุ่นนักศึกษาของมหาลัยนี้ ร่างกายสูงและสมส่วนกับสีผิวที่เข้มจนเกือบจะเป้นสีแทนดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด แต่..แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้จักกับคนตรงหน้าเขาจึงเพียงแค่รู้สึกประหลาดใจ ผิดกับคยองซูที่เบิกตาค้างมองคนที่เดินเข้ามาใหม่
คนที่เขารู้จักดี...
คิมจงอิน
ความตื่นตระหนกและสับสนถาโถมเข้ามาในใจของร่างเล็กผลักดันให้ขาเรียวก้าวย่างออกวิ่งไปอีกทางในทันที
“รุ่นพี่... พี่คยองซูเดี๋ยวสิครับ!”
โดยไม่ทันตั้งตัว คยองซูก็วิ่งหายออกไปจากสวนทิ้งให้คนสองคนยืนมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน
“รุ่นพี่คยูฮยอน... ถ้าพี่กับพี่คยองซูไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วล่ะก็.. ขอร้องนะครับ หัวใจของพี่คยองซู ขอมันให้ผมด้วยนะครับ”
จงอินหันไปหาคนที่ยืนทำหน้าสับสนอย่างตั้งตัวไม่ทัน เขาเอ่ยปากพูดในสิ่งที่ทำให้คยูฮยอนถึงกับอึ้งไปหลายวิทีเดียว กว่าที่คยูฮยอนจะเค้นเสียงออกมาได้ จงอินก็วิ่งลับหายตามคยองซูไปอีกคนเสียแล้ว...
“รุ่นพี่ครับ! รุ่นพี่! หยุดวิ่งก่อนได้ไหม”
เสียงเข้มที่ตะโกนไล่หลังมาเรียกให้ดวงตาคู่โตเบิกกว้าง เขาเอี้ยวคอกลับไปมองที่ต้นเสียงพบว่ารุ้นน้องผิวเข้มกำลังเร่งฝีเท้าตามเขามา เขารีบหันหน้ากลับมาและตั้งหน้าตั้งตาวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่แรงของเขาจะทำได้
จงอินเห็นอย่างนั้นก็ไม่ละความพยายาม เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นและเอื้อมมือไปคว้าข้อมือเล็กของอีกคนทก่อนจะออกแรงดึงตัวอีกคนให้หยุดการวิ่งไล่จับนี้เสียที
“จะหนีไปถึงไหนกันน่ะ...”
เสียงหอบหายใจปนมากับคำถาม น้ำเสียงของคนตัวสูงเต็มด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจว่าเขาเอ่ยออกไปด้วยเสียงแบบใดกันแน่
ร่างเล็กเม้มปากแน่นมองมือของตนที่ถูกอีกคนกุมไว้ แม้เขาจะพยายามบิดข้อมืออย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดเสียที เขาละความพยายามและเลือกที่จะยืนก้มหน้านิ่งเงียบแทนคำตอบ
“พี่ไม่คิดจะคุยกับผมอีกแล้วเหรอครับ”
“.....”
“ผมขอโทษ....”
คำขอโทษเบาๆเคล้าคลอไปด้วยความรู้สึกผิดมากมายในเนื้อเสียงเรียกให้คยองซูเงยหน้าขึ้นมามองสบตาอีกคนอย่างไม่เข้าใจทันที เขาเลิกคิ้วมองจงอินอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไปเช่นเคย
จงอินเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขายกมือข้างที่ว่างขึ้นสางผมตัวเองทีหนึ่งเบาๆ ก่อนจะใช้สายตาที่จริงจังและเหนื่อยล้าจ้องมองคนตัวเล็กไม่วางตา
“ทำไมรุ่นพี่ถึงใจร้ายขนาดนี้ครับ...”
“จงอิน...”
เป็นครั้งแรก ที่ริมฝีปากบางยอมขยับเอื้อนเอ่ยเป็นชื่ออีกคน
เพราะน้ำเสียงของจงอินนั้น ฟังดูเจ็บปวดมากเหลือเกิน..
“ทำไมถึงหลบหน้าผม..”
“....”
“ทำไมต้องทำให้ผมคิดมาก..”
“....”
“ทำไมต้องเอาแต่หนี...”
“.....”
“ทำไมไม่รอฟังผมบ้าง...”
“....”
“ทำไมครับ”
“พี่...”
“คำว่าชอบของผม พี่ไม่ได้อยากฟังมันจริงๆเหรอ? ...”
“อะไรนะ?”
ร่างเล็กเบิกตากว้างทันทีที่ประโยคสุดท้ายหลุดออกมาจากปากร่างสูง ถ้อยคำที่คิดไว้ก่อนหน้านี้กลืนหายไปกับแรงสั่นระรัวที่อกข้างซ้าย เขาทำได้เพียงเอ่ยถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเองราวกับเมื่อกี้เขาอาจจะหูฝาดชั่วคราว
เมื่อกี้จงอินบอกว่า...
“ผมชอบพี่ คิมจงอินชอบโดคยองซูครับ ได้ยินบ้างไหม..?”
จงอินย้ำเสียงอีกครั้งพร้อมกับจ้องมองไปที่หน้าหวานไม่วางตา สีแดงฝาดๆที่เริ่มปกคลุมใบหน้าขาวค่อยๆทำให้เขาเผยยิ้มออกมาทีละน้อย
โดคยองซู ยังคงเป็นโดคยองซู ผู้ชายตัวเล็กที่ขี้อายคนนั้น
“อะ..คือ..”
คยองซูสะดุ้งกับคำถามสุดท้าย จะบอกว่าไม่ได้ยินก็ไม่ได้ ก็ยืนใกล้กันขนาดนี้ แต่ตอนนี้เขาสับสนจนทำอะไรไม่ถูกแล้วจริงๆ
จ..จงอินชอบเขา? จงอินคนนั้นน่ะนะ... จงอิน..จงอินชอบโดคยองซูคนนี้..? จงอิน..จงอิน..
“ฮึ..”
เสียงหัวเราะเบาๆของจงอินดังขึ้นพร้อมกับแขนแกร่งที่ดึงร่างเล็กๆของคยองซูเข้ามาสู่อ้อมกอดของตน
“ผมชอบพี่นะ.. ถึงแม้ว่าพี่จะชอบผมมาก่อนสักตั้งสามปีปี หรือผมจะเพิ่งเจอกับพี่ได้แค่ไม่กี่วัน แต่ผมชอบพี่จริงๆนะครับ พี่คยองซู..”
จงอินกระซิบเบาๆที่ข้างหูของคนในอ้อมกอดด้วยรอยยิ้มละมุน เขาค้อมตัวลงเอาคางเกยที่ลาดไหล่เล้กๆนั้นไว้
“จ..จริงเหรอครับ”
คยองซูที่เลือดทั่วร่างกายเหมือนจะไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงแค่เพียงใบหน้าเท่านั้นเอ่ยปากถามอย่างสั่นๆ หัวใจของเขาเต้นรัวและแรงๆจนอีกคนรู้สึกได้ถึงอาหารสั่นไหวของมันอย่างชัดเจน
“พี่ได้เก็บของในสวนไว้รึเปล่าครับ” จงอินจับไหล่อีกคนดันออกให้ทั้งคู่ได้มองสบตากัน เขายิ้มพร้อมกับไปอีกเรื่องหนึ่งจนคยองซูตั้งตัวไม่ทัน
“ข..ของ ? อ๋อ..เก็บครับ”
“มันยังขาดอีกอย่างนึงนะรู้ไหม...”
“เอ๋...?”
จงอินพูดด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย ทำให้คยองซูร้องอุทานด้วยความสงสัยเบาๆ จงอินรู้เรื่องที่เขาได้ของมาจากในสวนได้ยังไงกัน ?
หรือว่า.... ?
กริ๊ก
เสียงเล็กๆดังขัดจังหวะความพร้อมกับภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเขาในเวลาต่อมา
ปืนของเล่นสีดำสนิท ถูกดึงออกมาจากกระเป๋านักศึกษาของร่างสูงพร้อมด้วยเสียงลั่นไกเบาๆโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปืนของเล่น ?
“เอาของที่ให้ออกมาสิครับ..”
“ของ..อ๋อ”
คยองซูทวนคำสั่งนั้นเล็กน้อย ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายของเขาและหยิบปากกาแท่งน้อยกับพัดลมของเล่นออกมาถือไว้
ปากกา พัดลม ?
นี่มัน..
คยองซูเบิกตากว้างอย่างตกใจทันทีที่เขาเข้าใจความหมายที่รุ่นน้องผิวเข้มอยากจะสื่อ
“เป็นแฟนกันนะครับ”
- - - - - -(95%)- - - - - -
“แบค มึงอย่าดันดิ่วะ”
“มึงอ่ะอย่าทับกูไอ้เชี่ยยอล เขยิบไปดิ้”
“มึงเหยียบตีนกูอยู่ไอ้ยอล ถ้ามึงเบียดมาอีกกูจะทับพี่ลู่แล้วนะสัส”
“กูเห็นมึงแทบจะรวมร่างพี่เขาอยู่แล้วเนี่ย อย่าเอาไอ้ยอลมาเป็นข้ออ้างครับ โอเซ”
“ตกลงจะแอบดูเงียบๆ หรือจะให้พี่เอาโทรโข่งมาเปิดให้สองคนนั้นฟังครับ”
เสียงคนกลุ่มใหญ่ๆที่พยายามจะกระซิบกระซาบกันอยู่หลังเสาต้นน้อยเรียกสายตาขบขันจากคนแถวนั้นได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มนักศึกษาเกือบสิบชีวิตที่ยืนเบียดเสียดกันกำลังเพ่งสายตาจับจ้องไปที่คนสองคนที่ยืนสารภาพรัก(?)กันอยู่กลางมหา’ลัยอย่างพร้อมเพรียง ตอนแรกก็แค่กระซิบกันธรรมดา ไปๆมาๆเริ่มจะมีการเอ่ยปากแซวมั่งผลักกันมั่งจนกลายเป็นจุดสนใจอย่างที่เห็น
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ นี่ถ้าไอ้ดำมันไปช้ากว่านี้อีกนิด แดกแห้วชัวร์ป้าบ”
“มึงก็ไปแช่งเพื่อนเค้าเนอะ ไอ้ตัวแดกไผ่”
“แซวเฉยๆ มือไม่ต้องก็ได้ครับเพื่อน”
ฮวังจื่อเทา แยกตัวออกมาจากกองคน(?) ยืนกอดอกวางมาดอยู่ข้างๆเสาพูดขึ้นมาด้วยท่าทางมั่นใจและถูกขัดทันทีด้วยแรงผลักจนหัวแทบคะมำของซิ่วหมินที่ก้าวตามออกมา จื่อเทาจึงหันไปถลึงตาใส่เพื่อนตัวกลมของเขาทีนึงและหันกลับไปมองทางเดิมต่อ
“พี่ว่า พี่คยองซูเค้าจะโอเคป่ะ”
เซฮุนซึ่งยืนอยู่ข้างๆลู่ฮานหันมาถามคนข้างกาย เขาสังเกตเห็นว่าอีกคนโดนกลุ่มเพื่อนๆของเขาเบียดจนแทบจะกลายเป็นกวางอัดกระป๋องจึงคว้าแขนอีกคนดึงออกมายืนอีกฟากของเสา ลู่ฮานที่ถูกดึงออกมาผงกหัวขอบคุณเซฮุนเบาๆและหันไปมองทางคนสองคนซึ่งกำลังเป็นเป้าสายตาของพวกเขาในขณะนี้
“นายคิดว่าเพื่อนของนายจะทำสำเร็จไหมล่ะ”
“ระดับเพื่อนผมแล้วน่า”
“โอเซครับ กูชวนให้มาดูเพื่อนมึงสารภาพรัก ไม่ได้ชวนมึงมาเต๊าะกวาง”
ชานยอลที่ได้ยินเสียงคนสองคนกระซิบกระซาบกันอยู่ไม่ไกลก็หันไปแซะเพื่อนคนสนิท พร้อมยักคิ้วให้ทีหนึ่ง
“มึงแอบหอมแก้มแบคกูยังไม่พูดอะไรเลย”
เซฮุนได้ยินดังนั้นก็พยักเพยิดหน้าไปทางคนตัวเล็กที่ยืนตัวแข็งทื่อเลือดไหลขึ้นมาหล่อเลี้ยงบนใบหน้าลามไปถึงใบหู..
“ไม่พูดอะไรก็ไม่มีใครว่านะครับโอเซฮุน!!” เสียงแหลมสูง ตวาดแว้ดออกมาอย่างลืมตัว
“เอ้า เสียงดังจนสองคนนั้นได้ยินแล้วนะแบคฮยอน” จางอี้ชิง รุ่นพี่คนสวยพูดพลางสะกิดแขนรุ่นน้องตัวเล็กเบาๆ
“เออถูก ได้ยินแล้วครับ เนอะปาร์คชานยอล ^___^” คิมจงอินโผล่หน้าเข้ามาในวงสนทนาโดยไม่มีใครทันได้ตั้งตัว แขนข้างนึงก็โอบไหล่รุ่นพี่ตัวเล็กไว้ อีกข้างก็ใช้ศอกกระทุ้งที่สีข้างเพื่อนตัวสูงโย่งแรงๆ
“เชี่ยจงอิน!!”
....ถึงกับสบถใส่หน้ากันเลยทีเดียว
“คยองซูอ่า!!” ลู่ฮานเห็นคยองซูก็เริ่มปฏิบัติการย้ายตัวเองมายืนข้างๆเพื่อนตัวเล็กโดยการเกี่ยวคอเสื้อแล้วดึงออกมาจากวงแขนจงอิน โดยที่ร่างสูงเพียงแค่เลิกคิ้วและวางแขนกลับสู่ที่เดิมเท่านั้น ทุกคนเห็นดังนั้นก็ค่อยๆขยับตัวเคลื่อนย้ายมาล้อมคนหน้าหวานทั้งสองคนไว้จนเป็นภาพที่คนไทย(?)คุ้นชินกัน
เกาหลีมุง
....ข้ามบรรทัดนี้ไปแล้วกันเนอะ - _ -
“ว..ว่าไงลู่ฮาน” คยองซูหันเสี้ยวหน้าไปมองเพื่อนรักด้วยรอยยิ้มเขินๆ
“ตกลงนายกับน้องจงอิน.. ?” ลู่ฮานเห็นท่าทางของคยองซูก็แอบอมยิ้มในใจ พยายามห้ามใจไม่ให้เอ่ยแซวเพื่อนขี้อายคนนี้
“......”
ปฏิกิริยาตอบรับของคยองซูมีเพียงใบหน้าแดงแปร๊ดเป็นลูกตำลึงกับดวงตาหวานที่เบิกกว้างขึ้นแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากหมายเลขที่เสี่ยวลู่ฮานเรียก ทุกคนที่ยืนล้อมอยู่เห็นท่าทางนั้นถึงกับแทบจะกลั้นยิ้มกันไว้ไม่ไหวเลยทีเดียว
“เป็น...”
“.....?”
ผ่านไปนานนับนาที กว่าปากบางจะยอมขยับ แต่ถึงอย่างนั้นคยองซูก็ยังอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนจบ หน้าขาวที่ขึ้นสีเลือดฝาดก้มลงต่ำจนแทบจะชิดกับคอ ริมฝีปากเล็กค่อยๆขยับทีละนิดอีกครั้ง..
“ฟ..แฟนกันครับ”
“เฮฮฮฮฮ!!”
End.
โบกมือลารุ่นพี่ที่รัก
บ๊ายบายน้าพี่คยองซูน้องจงอิน # ปาดน้ำตา
ปล. คอมเม้นในทวิต ติดแท็ก #รพทร ได้นะคะ
ความคิดเห็น