ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    - ( e x o f i c ) - A D M I SS I O N - ( c h a n b a e k ) -

    ลำดับตอนที่ #13 : - ( a d m i s s i o n 2 0 1 3 ) - e v e n t

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.85K
      3
      5 ต.ค. 56

      

       

     

     

    Title : Admission at Heart 

    Auther : แซมซมูเอล

     

     

     

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก...

     

    เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเซฮุนก็ผละออกจากผมทันที

    เดี๋ยวกูเปิดเอง มึงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป

    พออีกฝ่ายพูดแบบนั้นผมก็รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากหน้า...

     

    เมื่อกี้... เซฮุน...จูบผม...

     

    แล้วใครกันที่มาเคาะประตูเวลานี้...

     

     

    โหยไอ้สัส กว่าจะเปิด

    พอเซฮุนเปิดประตูปุ๊บ เสียงด่าก็ลอยเข้ามาปั๊บ ก่อนที่ผมจะเห็นผู้ชายสองคนเดินเข้ามาในห้อง ผมจึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

    อ่าว แบคฮยอน ทำไมมึงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้วะ

    จงอินทักผม...

    จงอินกับลู่หานนั่นเองที่มา ผมยิ้มให้อีกฝ่ายเพราะไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรดี ตอนนี้สมองผมยังประมวลอะไรไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ เซฮุนเลยเป็นฝ่ายตอบแทนผม

    มันเดินตากฝนกลับมา

    เวร คราวหน้ามึงโทรบอกพวกกูก็ได้ เดี๋ยวกูให้ลู่หานมันขับรถไปรับ

     

    เอ่อ... ผมไม่มีเบอร์พวกมัน...

     

    มึงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี

    เซฮุนพูดพร้อมกับดันผมเข้าห้องน้ำ แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงลู่หานตะโกนบอกตามหลังมา

    รีบๆ หน่อยนะ ไอ้เหี้ยจงอินแม่งหิวยังกะปอบ

     

     

    *************************************************************************

     

     

    แบคฮยอน นั่งลงแดกเดิกกันก่อน เดี๋ยวไอ้จงอินแม่งแดกหมด

    ลู่หานเรียกผมเมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ครั้งที่แล้วเราเจอกันแล้วไม่ค่อยได้คุยอะไรกันเท่าไหร่ แต่ดูๆ แล้วเหมือนลู่หานจะเป็นคนที่เฟรนลี่พอสมควรเลยนะครับ

    แล้วนี่มากันยังไงอะ

    ลู่หานมันขโมยรถที่บ้านมันมาจงอินตอบแทน

    ฝนตกหนักขนาดนี้ ขับรถมากันเร็วรึเปล่าเซฮุนถาม

    โห ถ้ามันขับเร็วนะ กูจะต้องมาทนหิวไส้กิ่วขนาดนี้หรอ หิวชิบหาย

    จงอินกินไปตอบไป หมอนี่กินได้ตะกละตะกรามมากเลยครับ

    มึงไม่ต้องมาพูดมาก นั่งกินเงียบๆ ไปเลย

    ลู่หานหันไปฟาดหัวจงอินเต็มๆ มือ... เอ่อ... ฮาร์ดคอร์ไปนะครับบางที

    มึงมันจะไปเข้าใจอะไรกู ขับรถยังกะเต่าคลาน แม่งขับได้ไร้จิตวิญญาณชิบหาย

    ผมกับเซฮุนนั่งดูพวกมันสองคนเถียงกัน สองคนนี้เขาดูสนิทกันดีจังเลยนะครับ ก็อย่างว่าแหละนะ เขาเป็นรูมเมทกันถ้าไม่สนิทกันก็คงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้

    มึงยังอยากกินอยู่ป่ะ?”

    ลู่หานหันไปมองหน้าจงอินแล้วแยกเขี้ยวใส่ จงอินก็เลยทำหน้าตาล้อเลียนแบบกวนตีนๆ ใส่

    จริงๆ ผมก็อยากจะขำอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้ผมขำไม่ออก สมองมันตึงๆ มึนๆ อึนๆ เหมือนมีเรื่องอะไรให้คิด แต่มันก็คิดไม่ออกว่าตอนนี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่

    “เห้ยมึง ตุ๊กตาตัวนั้น!

    อยู่ดีๆ จงอินพูดขึ้นมา ข้าวกระเด็ดออกมาจากปากเป็นเม็ดๆ อย่างเห็นได้ชัด

    “มึงแดกให้หมดแล้วค่อยพูดก็ได้นะ เต็มหน้ากูเลยไอ้สัด!” ลู่หานพูดพร้อมกับปัดเศษข้าวติดขี้ฟันของจงอินออกจากหน้า

    “โทษๆ กูเห็นแล้วนึกขึ้นได้เลยพูดเลยไง... มึงจำตุ๊กตาตัวนั้นได้ป้ะล่ะ”

    จงอินชี้ไปที่ตุ๊กตาหมีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มุมห้อง

    มันคือตุ๊กตาที่ผมได้มาวันค่ายเฟิร์สสเต็บ วันที่ผมโดนเรียกออกไปข้างหน้าคนเป็นล้าน มันคือความอัปยศครั้งสำคัญครั้งนึงในชีวิตของผม ผมจำมันได้ค่อนข้างแม่นทีเดียว

    “อ้อ เออใช่ ว่าจะบอกเรื่องนี้หลายครั้งแล้วแหละ กูเป็นคนเอาไปฝากให้พี่เขาเอาให้มึงเองอะแบคฮยอน”

    “หือ????”

    ลู่หาน...

    เอ่อใช่... วันนั้นพี่เขาก็บอกอยู่นี่หว่าว่าคนที่ฝากมาให้ชื่อลู่หาน ผมลืมชื่อๆ นี้ไปได้ยังไงกัน ชื่อของคนที่ทำให้ผมต้องอับอายคนทั้งคณะ

    “คือ... ยังไงดีวะ ก็วันนั้นอะ กูเดินๆ อยู่หน้าคณะจะไปค่ายอะแหละ แล้วมีพี่ผู้ชายคนนึงเดินมายื่นตุ๊กตาตัวนี้ให้กู แล้วบอกว่าฝากให้บยอนแบคฮยอน แล้วเขาก็เดินไปเลย... เชี่ย! กูก็งงดิ บยอนแบคฮยอนแม่งเป็นใครวะ กูจะไปรู้จักได้ไง กูก็เลยเอาไปฝากให้พี่ข้างหน้าเขาประชาสัมพันธ์ให้เฉยๆ”

    ลู่หานอธิบายมาเป็นฉากๆ จนผมเริ่มจะเห็นภาพ

    “แล้วพี่คนนั้นเขาเป็นใครวะ มึงรู้จักป่ะ” ผมถาม

    “ก็คนที่กูเจอที่ร้านข้าวหน้ามอวันนั้นอะ กูว่าจะทักพี่เขาอยู่ แต่พี่เขาไม่สนใจกู กูไม่มีโอกาสทัก เขาเป็นใครวะ?”

    “...”

    “เขาบอกให้กูบอกมึงด้วยว่าดีใจด้วยนะที่สอบติด”

    “...”

    “ทำไมมึงเงียบวะ”

    จงอินถามขึ้นมา สายตาของจงอินและลู่หานกำลังจับจ้องมาที่ผม แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าเซฮุนกำลังมองผมอยู่รึเปล่า ผมไม่กล้าหันไปมองและผมก็ทำได้แค่ยิ้มออกมานิดๆ

    “เปล่าๆ กูเก็ทละ”

    “มึงเก็ทแต่กูไม่เก็ท” จงอินเซ้าซี้ต่อ

    “มันก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องเก็ท”

    เซฮุนพูดแทรกขึ้นมาหลังจากเงียบอยู่นาน

    “เอ้า เชี่ยนี่ ตะกี้นั่งเงียบ บทจะพูดก็เสือกกวนตีนกูอีก”

    “มึงหิวไม่ใช่ไง จะแดกไม่แดก ถ้าไม่แดกเดี๋ยวกูเอาไปเทให้หมาหน้าหอแดก”

    เซฮุนพูดพร้อมกับทำท่าจะแย่งจานข้าวของจงอิน

    “มึงอย่าเอาของกินมาเล่นดิ หู้ว! มึงแม่งเล่นไม่รู้เรื่อง” คนตัวดำพูดพร้อมกับดึงจานข้าวของตัวเองเข้าไปกอดไว้ในอ้อมอกอย่างหวงแหน ให้อารมณ์เหมือนของรักของข้าในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงมาก โคตรจะอภินิหารข้าวครองพิภพ

    “งั้นมึงก็หุบปากแล้วแดกไป”

    “ครับพี่ครับ ผมจะไม่พูดละครับ จะตั้งใจแดกเงียบๆ ละครับ”

    ลู่หานขำท่าทางการหวงอาหารของจงอิน

    แต่ผมนี่สิ... รู้สึกชาไปทั้งตัว...

     

    ทำไมกันครับ... ทำไมเรื่องทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนี้...

    ผมอยากคิดนะว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นแค่ความบังเอิญ...

    บังเอิญมาเจอกัน... บังเอิญรักกัน... บังเอิญเลิกกัน...

    ถ้าทุกอย่างเป็นแค่ความบังเอิญที่เกิดขึ้น ผมคงไม่รู้สึกเจ็บขนาดนี้

    ผิดที่ผมเอง ไม่ใช่ใคร ผิดที่ผมบังเอิญรักเพื่อนมากเกินไป

    และผิดที่ผมอยู่ข้างๆ พี่ชานยอลอีกต่อไปไม่ได้

     

     

     

     

     

     

    ให้ตายเถอะครับ ผมไม่ชอบการมากินข้าวที่โรงอาหารในมอสักเท่าไหร่เลยครับ ไม่ใช่อะไรนะครับ เพราะมันเยอะจนผมเลือกไม่ถูก... นาทีนี้หิวจนกินคนได้ทั้งโรงอาหารละ แต่ว่าไอ้สองตัวตรงหน้าผมมันก็ยังไม่หยุดกวนตีนกันและกันสักที

    “มึงไปซื้อดิ กูเล่นเกมอยู่ ไม่ว่างมึงเห็นไหมเนี่ย เพื่อเพื่อนแค่นี้มึงทำให้ไม่ได้หรอวะ” <- จงอิน

    “เกมเชี่ยไรมึง อยากแดกก็ไปซื้อเองดิวะ” <- ลู่หาน

    “มึงเห็นไหมเนี่ย กูกำลังเลือกตัวนักฟุตบอลลงทีมอยู่เนี่ย” <- จงอิน

    จงอินมันติดเกมฟุตบอลเกมนึงในไอโฟนมากครับ มันเป็นเกมที่เล่นเป็นโค้ชทีมฟุตบอล มันเคยมาเซ้าซี้ให้ผมเล่นกับมันอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่สนใจ

    “สมองอย่างมึงเนี่ยนะริอ่านอยากเป็นโค้ช แยกลูกบาสกับลูกบอลให้ได้ก่อนเถอะครับสัส”

    ผมว่าวันนี้ผมคงไม่ได้กินข้าวหรอกครับ ถ้าพวกมันสองคนยังเถียงกันไม่เสร็จ ผมคงกินข้าวอิ่มไปแล้วถ้าพวกมันสองคนไม่ขวางทางผมอยู่ ผมเลยออกไปซื้อข้าวไม่ได้ จะหาจังหวะพูดก็ไม่ได้ มันเถียงกันไม่เว้นวินาทีให้ผมได้พูดบ้างเลย เซฮุนมันก็หายหัวไปไหนไม่รู้ เมื่อกี้ก็เห็นเดินตามกันมาอยู่ สงสัยแอบหนีไปซื้อแล้วมั้ง

    ใครจะน่าสงสารกว่าผมไม่มีอีกแล้ว orz

    “แม่ง เพื่อนก็วัดกันตรงนี้แหละวะ”

    จงอินยังไม่เลิกกวนตีน และผมกำลังจะหิวตาย....

    “เอ่อ... จงอิน มึงฝากกูซื้อก็ได้”

    “เหยด แบคฮยอนคนงามช่างใจดีอะไรขนาดนี้”

    อ่าวเชี่ย... กวนตีนกูอีก....

    “กินไรอะ”

    “เอาผัดกะเพราหมูตัวเมียที่ตายแบบไม่ตกใจอะมึง กูไม่ชอบกินหมูตัวที่มันตกใจ เนื้อแม่งเหนียว”

     

    -_-

     

    “พ่อมึงครับ”

    “55555555 ล้อเล่นๆ เอาบะหมี่น้ำหมูแดงแห้งก็ได้”

    “ไอ้เชี่ยจงอิน แห้งแล้วจะมีน้ำหาพ่อมึงหรอ!!

    ลู่หานเป็นคนด่าแทนผมที่กำลังจะอ้าปากด่า เห้อ... ถามจริงๆ เถอะครับ คนตัวดำกวนตีนแบบนี้ทุกคนรึเปล่าครับ

     

     

    พูดได้คำเดียวครับ... ไม่เคยจะทำให้สบายใจ orz

     

     

    “ก็หยอกเล่นได้ป่ะวะ กูอยากเห็นเพื่อนหัวเราะ พวกมึงอย่าซีเรียลกันให้มากนักดิวะ”

    “ซีเรียสพอครับสัส ซีเรียลนั่นมันอาหารเช้า...”

    “กูนึกว่ามึงจะไม่แก้ให้กูซะละเพื่อน กลัวแป้กนะเนี่ยยยยย 55555555 กูเอาข้าวไก่เทอริยากิก็ได้”

     

    ขอบคุณพระเจ้า ที่พวกมันจริงจังกับชีวิตกันสักที... (กราบ)

     

    ผมแอบหัวเราะออกมานิดๆ กับมุกแป้กๆ ของจงอินที่พยายามจะสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อน ก่อนหูจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคย... เสียงที่คิดถึง...

    จนผมต้องหันไปมอง...

    “ต้องไปตึกหนะ...”

     

    ผมกับเขาสบตากัน...

    นั่นทำให้พี่เขาหยุดพูดไป ขณะที่ผมเองก็หยุดเดินเหมือนกัน ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้า...

    อยากหายตัวไปจากตรงนี้ชะมัดเลยครับ...

    “แบคฮยอน...”

    “เชี่ย มึงรีบไปดิวะ”

    ผมก้มหน้าหลบสายตาอีกคนและทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงที่พี่ชานยอลเรียก ก่อนจะรีบหันหลังเดินหนีออกมา เป็นผมเองที่ไม่กล้าเผชิญหน้า เป็นผมเองที่รู้สึกผิด

    ไม่สิ... ไม่ใช่รู้สึกหรอก... ผมไม่ได้รู้สึกไปเองว่าผมผิด...

    ผมเองแหละที่เป็นคนผิด ผิดที่ทำให้มันเกิดเรื่องแบบนี้

     

    ผมเดินก้มหน้าหนีออกมาเลยทำให้ชนเข้ากับคนๆ นึงที่กำลังเดินสวนมา ผมกำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อจะขอโทษเขา แต่กลับโดนกดหัวให้แนบอยู่กับอกเขา ผมพยายามออกแรงขืน แต่อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นมาก่อน

     

    “อยู่เฉยๆ”

     

     

    เซฮุน...

     

     

    “เซฮุน... กูขอร้อง... มึงอย่าทำแบบนี้...”

     

     

    ผมพูดออกไปแบบนั้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่ารู้ว่ามีใครอีกคนกำลังมองอยู่และอีกใจนึงก็รู้ว่าเซฮุนทำแบบนี้เพราะต้องการอะไร

     

     

    “แล้วถ้ากูบอกว่าไม่ล่ะ”

    “กูขอร้อง...”

     

     

    แม้ว่าผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เซฮุนก็ยังไม่ยอมปล่อย

     

     

    “ท่านปาร์คชานยอลครับ รีบเดินสิครับ มึงจะหยุดทำเชี่ยไร พ่องติดสตั๊นหรอครับ กูรีบครับกูรีบ กูกลัวไม่มีที่เรียน กูอยากไปคุยกับอาจารย์ครับ กูแทบจะกดวินวอร์คเดินอยู่แล้วเนี่ยยยยยยยยยย”

    “แปปได้ป่ะวะ”

    “ไม่ได้! มึงมากับกูเดี๋ยวนี้เลย”

     

     

    ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ชานยอลกำลังมองผมอยู่รึเปล่า ไม่รู้แล้วว่าควรต้องทำยังไง ไม่รู้แล้วจริงๆ...

    หมดปัญญา... ใช้คำนี้คงจะไม่มากเกินไป...

     

    “วิดวิ้วววว... จัดว่าเด็ด!! ยืนกอดกันกลมกลางโรงอาหาร”

    จงอินร้องแซวขึ้นมาในตอนที่เซฮุนยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ

    “มึงอยู่เงียบๆ ก็ไม่มีใครหาว่ามึงเป็นใบ้หรอกเชี่ยดำ”

    “อะไรของมึงวะลู่หาน กูแค่แซวเพื่อน”

    “มึงแซวดูเวล่ำเวลาบางเถอะ”

    “อะไรวะ”

    ผมเงยหน้ามาเจอกับหน้าจงอินที่ทำหน้าเอ๋อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ผิดกับลู่หานที่เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ได้เร็ว

    “มึงมานี่เลยมา!

    ลู่หานล็อกคอจงอินลากออกไปที่อื่น ปล่อยให้ผมกับเซฮุนอยู่กันสองคน มันไม่ดีเอาซะเลยครับ เวลาที่ต้องอยู่กันสองคนแบบนี้ในสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดแบบนี้

     

    “มึงบอกว่ามึงเลือกกูไม่ใช่รึไง แล้วมึงยังจะสนใจเขาอีกทำไม”

    “...”

    “มึงอย่าพูด ถ้ามึงทำไม่ได้”

    “...”

    “แต่ถ้ามึงทำเพราะความสงสาร กูอยากให้มึงรู้ว่าความสงสารที่ไม่เข้าท่าของมึงมันทำให้กูเจ็บ

     

      

    “แล้วมึงคิดว่ากูไม่เจ็บหรอ”

    “...”

    “มึงคิดว่ากูอยากให้มันเป็นแบบนี้หรอเซฮุน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เป็นอีกหนึ่งวันที่กินข้าวไม่ลง ไมใช่ไม่หิวนะครับ แต่มันกินไม่ลง ไม่มีอารมณ์กิน และเหมือนเป็นโชคดีที่คาบเรียนภาษาเกาหลีตอนบ่ายของผมอาจารย์ยกเลิกคลาส ผมเลยตัดสินใจเดินกลับมาหาของกินที่คณะ

     

    ต้องขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ครับ ที่คาบเรียนตอนบ่ายไม่ใช่วิชาคณะ เรียนแยกกับเซฮุน ลู่หานและจงอิน ไม่มีใครได้เรียนด้วยกันเลย ต้องแยกตัวไปเรียนกับเด็กคณะอื่นกันหมด ไม่อย่างนั้นคงได้อึดอัดกันน่าดู ผมรู้ตัวพอสมควรว่าตอนนี้อารมณ์ของผมอยู่ในระดับไหน มันอาจจะเก็บกดมาจนมันถึงขีดสุดแล้วก็ได้มั้ง (หัวเราะ)

     

    ผมเลือกเซฮุน เพราะผมคิดว่ามันจะสามารถรักษาความสัมพันธ์ของเราสองคนไว้ได้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย เหมือนเรื่องทุกอย่างมันจะแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

     

    ทั้งความสัมพันธ์และความรู้สึก

     

    ผมกับเซฮุนคงกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

     

     

     

     

     

    “อ่าวแบคฮยอน ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ ไม่ได้อยู่กับชานยอลมันหรอ”

    ผมได้ยินเสียงเรียกจากข้างหลังเลยหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นพี่แทมิน พี่รหัสของผมนั่นเอง ไม่ได้เจอกันนานเลยแหะ

    “เอ่อ... เปล่าครับ.... ผมพึ่งเรียนเสร็จ”

    “อ่าวจริงดิ แล้วรู้ไหมว่าตอนนี้มันอยู่ไหน”

     

    ผมส่ายหัวแทนคำตอบ

     

    ผมคิดว่าพี่แทมินอาจจะยังไม่รู้ว่าผมกับพี่ชานยอล... เราเลิกกันแล้ว

     

    “จริงดิ พี่หามันไม่เจอเหมือนกัน ไม่รู้มันเป็นไงบ้าง”

    “มีอะไรหรอครับ”

    “อ่าว นี่เรายังไม่รู้เรื่องหรอ”

    “เรื่อง?”

    “เห็นว่าเกรดมันต่ำกว่าโปร เหมือนว่าจะโดนรีไทร์... พี่ได้ยินมางี้นะ พี่ยังไม่เจอมันเหมือนกัน”

    “จริงหรอครับ...”

    “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน โทรหามันก็ไม่ติด ไม่รู้หายหัวไปไหน”

    “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่พี่เคยบอกผมว่าพี่ชานยอลเขาเรียนโอเคไม่ใช่หรอ?”

     

    ตอนที่ผมพึ่งเจอกับพี่แทมิน ผมจำได้ว่าพี่เขาบอกผมว่ามีอะไรปรึกษาพี่ชานยอลได้ ผมเข้าใจว่าพี่เขาเป็นคนเรียนดีมาตลอด

     

    “ก็ใช่ แต่มันดันขาด Lab เคมีไปสามครั้ง มันเลยติด F ตัวนี้ ตอนแรกเกรดมันก็สองปลายๆ แหละ แต่ Lab มันหน่วยกิตเยอะ เลยฉุดเกรดลงมาเยอะ มันพึ่งมาตั้งใจเรียนเอาหลังๆ เทอมแรกมันทิ้ง มันติดเพื่อนอีกกลุ่ม ติดเที่ยวด้วย แล้วทีนี้มหาลัยพึ่งมาเปลี่ยนระเบียบปีนี้ ไม่คิดเกรดเทอมสามที่ลงเรียนซัมเมอร์ให้ แล้วไอ้ชานยอลเกรดมันเยอะเทอมสามไง ที่มันเรียนซัมเมอร์ เกรดเฉลี่ยมันเลยเพิ่มขึ้นมาเยอะ แต่พอเขาเปลี่ยนระเบียบใหม่ก็เลยโดนเรียกไปคุย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นไงบ้าง พี่ยังติดต่อมันไม่ได้”

    “แล้วถ้าเกรดต่ำกว่าโปรจะโดนอะไรหรอครับ”

    “ก็รีไทร์น่ะสิ”

    “รีไทร์นี่คือ...”

    “ก็โดนไล่ออกนั่นแหละ... มันคงเครียดน่าดูอยู่เหมือนกัน”

     

     

    ตอนนี้พี่ชานยอลอยู่ที่ไหนครับ...

    ผมอยากเจอพี่... พี่อยู่ที่ไหน...

     

     

     

     

     

    ผมเดินกลับหอมาคนเดียวหลังจากแยกย้ายกับพี่แทมิน ผมพยายามโทรหาพี่ชานยอลคิดว่าน่าจะซักร้อยสายได้แล้วมั้ง

     

    เหมือนกับวันนั้นเลย

    วันที่พี่ชานยอลพยายามโทรหาผม

    วันที่ผมส่งข้อความไปบอกเลิกเขา... ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ผิดอะไร

     

    กรรมตามสนองทันเร็วจริงๆ เลยครับ

    วันนั้นพี่เขาก็คงเป็นห่วงผมเหมือนกับที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้

     

     

     

    ผมหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของอีกคนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่

     

    ทำไมกันนะ ทั้งที่ผมเป็นห่วงพี่เขามากมายขนาดนี้

    แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะยกมือขึ้นมาเคาะประตูเรียกคนในห้องให้ออกมาเปิดประตู

     

    ยังไม่กล้าเผชิญหน้า... แต่ก็เป็นห่วง...

    อยากเจอ... อยากคุย...

    อยากถามว่าเป็นยังไงบ้าง...

     

     

     

    “กูเคาะให้ไหม”

    ผมสะดุ้งและหันไปมองข้างหลังทันที พบว่าเป็นเซฮุนนั่นเองที่ยืนซ้อนหลังผมอยู่ ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเป็นเพราะผมกำลังใจจดใจจ่อคิดถึงเจ้าของห้องนี้อยู่ก็ได้มั้ง

    “มึงเลิกเรียนแล้วหรอ”

    “อือ”

    “อาฮะ”

    “กูถามก็ตอบสิ จะให้กูเคาะให้ไหม”

    “ไม่ต้อง...”

    “กูขอโทษ”

    อยู่ดีๆ เซฮุนก็พูดขึ้นมา ผมกลับหลังหันและเงยหน้าสบตากับคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

    “ขอโทษทำไม”

    “ขอโทษที่กูเห็นแก่ตัว”

    “...”

    “พอกูมาคิดอีกที กูว่ากูไม่ได้ชอบมึงหรอก... กูก็แค่หวงเพื่อนเท่านั้นเอง กูแค่อยากชนะ แต่ก็เพราะแบบนี้กูถึงอยากขอโทษ...”

    “มึง...”

    “มึงไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แบคฮยอน... กูรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่การเอาชนะหรือเล่นเกมอะไรทั้งนั้น...”

     

    เซฮุนยกมือขึ้นมาปิดปากผมไว้ไม่ให้ผมได้ท้วงถามอะไรทั้งสิ้น

     

    “แต่มึงก็ต้องเข้าใจกูด้วยนะ กูมีมึงเป็นเพื่อนมาคนเดียวมาตลอด กูไม่มีใคร พอมึงมีแฟน กูก็ต้องรู้สึกหวงเป็นธรรมดา... กูรู้สึกเหมือนกูแพ้ เหมือนกูเสียมึงให้พี่เขาไป แถมยังต้องมาถูกมึงเห็นใจอีก มึงไม่รู้หรอกว่ากูรู้สึกสมเพชตัวเองแค่ไหน...”

     

    เซฮุน...

     

     

    “กูคิดว่ากูพูดแค่นี้มึงน่าจะเข้าใจนะแบคฮยอน”

     

    เซฮุนปล่อยมือจากปากผมและทำท่าเหมือนจะเดินหนีผมไป ผมเลยรีบคว้าแขนมันไว้

     

    “มึงจะไปไหน”

    “กูต้องคอยรายงานมึงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ว่ากูจะไปไหน”

     

    มันยักคิ้วกวนตีนส่งมาให้ผม

     

    แต่นั่นกลับทำให้ผมยิ้มออกมา

     

     

     

    มันกลับมาเป็นโอเซฮุน คนที่กวนตีนที่สุดในศตวรรษเหมือนเดิมแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

    เหมือนกับโล่งใจไปเรื่องนึง

    อย่างน้อยๆ วันนี้ ผมก็ได้เพื่อนกลับมาแล้ว

     

    แต่แฟนผมล่ะ... ผมจะได้เขากลับมาไหมอะครับ T_T

     

    ผมพยายามติดต่ออีกคนตลอดเวลา จนรู้สึกโมโหเสียงคอลเซ็นเตอร์ที่บอกแต่ว่าติดต่อไม่ได้ๆ แล้วเมื่อไหร่จะติดต่อได้!! ผมเผลอตะโกนใส่โทรศัพท์ไปหลายครั้งเลย ทั้งที่รู้ว่าปลายสายเป็นแค่สัญญาณตอบรับอัตโนมัติ

     

     

    ผมเดินวนไปวนมา เปิดประตูเข้าออกห้องเป็นว่าเล่น เพื่อดูว่าคนห้องข้างๆ กลับมารึยัง

     

    และผมก็เดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ อีกครั้ง... ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้...

     

     

    แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกได้ถึงไอแอร์เย็นๆ ที่รอดผ่านช่องใต้ประตูออกมา

    พี่ชานยอลอยู่ในห้องแน่ๆ... ผมคิดแบบนั้น....

     

    ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ

     

    ผมรีบเคาะประตูรัวๆ ทันที...

    เคาะอยู่นานก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนข้างในห้องจะมาเปิดประตูให้

     

    ก๊อกๆๆๆๆๆๆ

     

    ปึง!!!!!!!!!!!!!!!!

     

     

    ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ก็มีเสียงทุบประตูตอกกลับมาจากอีกฝั่ง

    แน่นอนครับผมว่าผมตกใจและทำอะไรไม่ถูก

     

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดได้และผมต้องการที่จะพูดมันออกไปให้คนที่อยู่ข้างในห้องนี้ได้ยิน...

     

     

    “พี่ครับ... ผมขอโทษ”

     

     

     

     

     

     

    TBC.

    อัพครบ 100% สักที

    ตอนหน้าก็จบแล้วนะ T_T

    จะจบแล้ว จะจบแล้ว...

     THE★ FARRY    

      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×