คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : - ( a d m i s s i o n 2 0 1 3 ) - l o v e a t f i r s t s i g h t
Title : Admission at Heart
Auther : แซมซมูเอล
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
ทุกคนครับ ตอนนี้ผมกำลังมึน อึน อึ้ง ทึ้ง ตะลึง งึนงัน อารมณ์ตอนนี้ มันเหมือนคนที่กินยาบ้าจนประสาทหลอนไปแล้ว ผมแทบจะนั่งหยิกตัวเองตลอดทางระหว่างนั่งรถกลับมาที่บ้าน ได้ยินเสียงเซฮุนกร่นด่าว่า ประสาท ปัญญาอ่อน โรคจิต อยู่ตลอด แต่ผมก็ไม่คิดจะเก็บมันมาใส่ใจ ในหัวผมมีแต่ประโยคที่ใครคนนั้นพูดตอนที่เดินมาส่งผม
‘พี่จะจีบแบคฮยอน.. พี่จะจีบแบคฮยอน.. พี่จะจีบแบคฮยอน..’
จีบ..
แบบที่ผู้ชายจีบผู้หญิงน่ะเหรอ
แล้วผู้ชายจีบผู้ชายด้วยกันเองมันมีที่ไหนกัน
นอกซะจากว่าเป็นเกย์...
หรือว่าพี่ชานยอลจะเป็นเหมือนกันกับผม นอกจากหัวใจตรงกันแล้วยังเผ่าพันธุ์เดียวกันอีก แบบนี้ผมก็ไม่ต้องเป็นบ้าอีกต่อไปแล้วใช่ไหม ไม่ต้องเป็นไอ้โรคจิตที่แอบมองเพศเดียวกันแบบคิดไม่ซื่ออีกต่อไปแล้ว
“โบยอน พี่เข้าไปนะ”
ผมหลุดออกมาจากห้วงแห่งความคิดอันน่าพิศวงนั่นเพราะเสียงพี่ชายสุดหล่อที่ร้องเรียกอยู่ที่หน้าประตูห้อง ก่อนที่ร่างสูงชะลูดจะเปิดประตูเดินเข้ามานั่งที่เตียงผม
“พี่เคาะประตูตั้งนานไม่ได้ยินรึไง”
“ได้ยิน แต่ผมไม่สนใจหรอก” ผมพูดพร้อมกับยิ้มยิงฟันจนตาปิดใส่อีกคน
“อารมณ์ดีเกินไป ดูมีพิรุธ น่าสงสัย” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นมามาดีดตรงกลางระหว่างคิ้วผม โดดดีดบ่อย ๆ แบบนี้ ผมว่าสักวันผมอาจจะเป็นเลือดคลั่งในสมองตาย
“สงสัยอารายยยยย” ผมร้องตอบเสียงยานคางก่อนจะพูดต่อ “แล้วพี่เข้ามาทำไมเนี่ย ทำไมไม่หลับไม่นอน”
“ไม่มีอะไรแล้วเข้ามาไม่ได้รึไง”
“ไม่ได้!”
“ทำไมไม่ได้ห้ะ?!” ร่างสูงที่อยู่ในชุดนอนสีน้ำเงินครามไม่พูดเปล่า แถมด้วยการกระทำที่อุกอาจล็อกคอผมกดลงกับเตียงเหมือนในกีฬามวยปล้ำที่พ่อชอบดูทุกเย็นตอนผมยังเด็ก
“เฮ้ย! ทำไรเนี่ย น้องพี่โตเป็นหนุ่มแล้ว ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้างไรบ้าง ปล่อยผมเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ผมส่งเสียงโวยวายลั่นบ้าน อีกสักพักแม่ต้องเปิดประตูเข้ามาดุพวกเราสองคนที่เอะอะเสียงดังแน่ ๆ ไม่ก็คนข้างบ้านต้องปาอะไรสักอย่างใส่หน้าตาบ้านผม
“จะให้ปล่อยหรอ หึๆ... ตบพื้นสามที” แขนแกร่งล็อกคอผมแน่นกว่าเดิม ผมดิ้นพล่านๆ อย่างสิ้นไร้ไม้ตอก และเพื่อจะให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยุติลง ผมเลยตบที่เตียงป้าบๆ ไปสามที
“ตบแล้วก็ปล่อยเด้!”
“บอกให้ตบพื้น ไม่ใช่ตบเตียง” ปากเรียวสวยเอ่ยก่อนจะกระตุกยิ้มออกมาอย่างมีชัย ไอ้พี่บ้า T_T ล็อกผมไว้กับเตียงแล้วจะให้ผมตบพื้นได้ยังไง เตียงผมสูงแบบตกลงไปคอหักตายได้เลยนะ แขนผมจะยาวขนาดนั้นได้ยังไง คนนะไม่ใช่นางนาคพระโขนง
“แค่ก ๆ.. หายใจไม่ออกนะโว้ย พี่คิดจะฆ่าน้องที่น่ารักอย่างผม รึไงกัน”
พอผมพูดว่าหายใจไม่ออก พี่อี้ฟานก็ปล่อยผมจากการรัดกุมทันที แต่ก็ไม่วายหัวเราะเยาะเย้ย โถ่ว! ตัวใหญ่กว่า แรงเยอะกว่าแล้วทำมาแกล้ง ชาติหน้าผมจะเกิดเป็นเดอะฮัคมาเอาคืน - _-
“ออกไปเลยป่ะ ชอบเข้ามาแกล้ง โรคจิตป้ะครับ”
“ไม่ได้เข้ามาแกล้ง แต่ดันทำตัวน่าหมั่นเขี้ยวเองนะ ช่วยไม่ได้ แม่ให้เข้ามาบอกว่าให้เก็บของ จะให้ย้ายเข้าหอพรุ่งนี้”
“จะผลักไสไล่ส่งผมอะไรขนาดนั้น ตอนแรกบอกจะให้ย้ายไปวันเสาร์ นี่พึ่งวันพุธเองนะ”
“เสาร์นี้พี่ไม่ว่าง ถ้าไม่ไปพรุ่งนี้ เราคงต้องเก็บของขึ้นแท็กซี่ไปเอง จะเอาไหมล่ะ”
“พ่อไง ผมมีพ่อ พี่จะไปไหนก็ไปเหอะ”
“พ่อไปดูงานที่ไทเปตั้งแต่เย็นแล้ว รู้เรื่องอะไรบ้าง”
อ่าว.. ว่าแล้วกลับมาตั้งแต่เย็นทำไมยังไม่เจอ -_-
“โอเคๆ ผมไม่ขนไปเองคนเดียวแน่ๆ ปุบปับแบบนี้ถ้าผมลืมอะไร พี่นั่นแหละที่ต้องลำบากขับรถเอาไปให้ผม รู้ไว้ซะด้วยนะครับ คุณพี่ชาย!”
ผมผลักพี่อี้ฟานกลิ้งลงจากเตียง ก่อนจะฉุดลากกระชากดึง ร่างสูงออกไปจากห้อง ปล่อยให้อยู่ในนี้นานๆ ไม่ได้ เอะอะเป็นแกล้ง เอะอะเป็นทำร้าย โดนมาแต่เด็กจนโต แต่ถึงยังไงผมก็ยังไม่ชิน พ่อแม่ พี่ชายชอบรุมรังแกผมกันหมด ทำอะไรไม่ได้อะครับ ก็เป็นคนเล็กของบ้านนี่นะ
ของก็ไม่ค่อยมีของอะไรให้เก็บเท่าไหร่แล้ว นอกจากกางเกงในกับของใช้ส่วนตัวบางอย่าง นอกนั้น แม่ช่วยแพคไว้ให้หมดแล้ว แล้วนี่ผมต้องไปเสร่ออยู่คนเดียวก่อนเปิดเทอมตั้งเป็นอาทิตย์ ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องโทรไปเร่งเซฮุนให้รีบ ๆ ตามมา
ครืด ครืด...
ผมหันไปมองโฟนที่สั่นเรียกร้องความสนใจก่อนจะยืดตัวไปหยิบมากดดู
Notifications :
Engineering ParkChanyeol posted on your timeline.
‘ฝันดีนะครับที่รักในอนาคต <3’
พี่ชานยอลปล่อยคาถามหารัญจวนใส่ผมชัดๆ ...
TTTTvTTTT
อยากจะตอบไปว่า ‘ไม่เอาอนาคตได้ไหม ปัจจุบันเลยได้รึเปล่า’
แต่ทำแบบนั้นคงไม่ดี... ผมยังจำเพลงสมัยเด็กๆ เพลงนึงได้ มันยังฝังลึกในความทรงจำของผมอยู่จนถึงวันนี้.
ไม่เอาไม่พูด ไม่เอาไม่เอาไม่บอก แม่ไม่ให้บอกเพราะยังไม่ เป็นผู้ใหญ่...
ผมแกล้งไม่รู้เห็นไม่เห็นไม่ตอบไปคงจะดีกว่าในสถานการณ์แบบนี้ คิดได้แบบนั้นก็กระโดดขึ้นเตียงนอนคลุมโปรง ถึงจะยังไม่อยากนอนเพราะกลัววันนี้จะเป็นแค่ความเพ้อเจ้อละเมอเพ้อพบของผมเอง แต่ผมก็ต้องข่มตาหลับแล้วล่ะครับ พรุ่งนี้ต้องขนของไปหอแต่เช้า
ขอโทษนะครับพี่ชานยอลที่รัก
ผมไม่ได้เล่นตัวนะ ผมแค่เขินก็เท่านั้นเอง TOT
“กูจะนอนเตียงนี้” <<<ผม
“เตียงไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ มึงอย่าง้องแง้ง” <<<เซฮุน
“ก็กูอยากนอนติดกำแพง มึงนั่นแหละอย่าง้องแง้ง” <<<ผม
เซฮุนที่แพ้ความร่ำไรของผมยอมยกของย้ายจากเตียงที่ผมต้องการจะเป็นเจ้าของไปไว้อีกเตียงนึงแทน ทำไงได้ล่ะ เพราะถ้าผมไม่ได้นอนติดกำแพงมันจะรู้สึกระแวงไปหมด ถ้าคุณเป็นโรคกลัวพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นเหมือนผม คุณจะเข้าใจครับ
“กูไม่น่าเสียสละขนของย้ายเข้าหอพร้อมมึงเลยจริง ๆ น่าปล่อยให้มึงมาจัดของๆ มึงให้เข้าที่ก่อนกูจะได้ไม่ต้องมาฟังมึงร่ำไร”
อย่างที่ได้ยินครับ ผมโทรไปเร่งให้มันขนของเข้าหอพร้อมผมเมื่อเช้า คุยไปคุยมาผมคิดได้ว่า ผมไม่ควรเฟ้งฟ้างคนเดียวในสถานที่แปลกใหม่แบบนี้ ผมเลยบังคับให้มันย้ายเข้าหอพร้อมผม โดยการให้พี่อี้ฟานขับรถไปช่วยมันขนของถึงที่บ้าน แล้วก็ออกมาพร้อมกันเลย ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ผมไม่ลงทุนขนาดนี้หรอกนะครับจะบอกให้
เราสองคนเก็บนู่นจัดนี่จนห้องเรียบร้อย โชคดีที่เซฮุนเป็นคนรักความสะอาดสะอ้านผมเลยรู้สึกเบาใจเรื่องงานบ้านไปบ้าง ปกติอยู่บ้านมีแม่คอยทำให้ พอต้องมาอยู่หอแบบนี้ก็กลัวว่าจะลำบากอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่คิดจะให้เซฮุนทำทุกอย่างหรอกนะครับ แต่ถ้ามันทำทุกอย่างได้จะดีมาก ผมจะได้มีหน้าที่แค่ไม่ทำให้ห้องสกปรกเลอะเทอะพอ
“มึงหิวยัง” เซฮุนถามขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตอนนี้เราทั้งคู่ต่างนอนแผ่อยู่บนเตียงของตัวเองหลังจากจัดการกับข้าวของที่ขนมาเสร็จเรียบร้อย
“หิว”
“กูเห็นใต้หอมีใบปลิวร้านอาหารตามสั่งวางไว้อยู่ มึงลงไป เอามาดิ”
“ทำไมต้องกู”
“เพราะมีแค่กูกับมึงสองคน กูไม่ลงไปมึงเลยต้องลงไป”
เพื่อนสารเลว... -__-
เอาเถอะ แค่เดินลงไปหยิบใบปลิว ลิฟต์ก็มี เป็นการทดแทนพระคุณที่เซฮุนยอมเสียสละย้ายเข้าหอพร้อมผม แถมยังเสียสละเตียงติดกำแพงให้ผมอีกต่างหาก
คิดได้แบบนั้นผมก็ลุกเดินไปเปิดประตูออกจากห้อง พอเปิดประตูออกมาผมได้เจอเข้ากับเพื่อนข้างห้อง ที่ทำให้ผม...
“อ้าว” <<ผม
“อ้าว” <<เพื่อนข้างห้อง
“...” <<ผม
“อ้าว” <<เพื่อนข้างห้อง
“...” <<ผม
“อ้าว” <<เพื่อนข้างห้อง
“...” <<ผม
“อ้าวเห้ย นี่จะไม่พูดอะไรหน่อยหรอครับน้อง พี่อ้าวไปหลายอ้าวแล้วนะ” <<เพื่อนข้างห้อง
เพื่อนข้างห้องที่ว่า = พี่ชานยอล!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
บยอนแบคฮยอนคนนี้อยากจะบ้าตายครับ แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าพรหมลิขิตผมก็คงต้องเรียกว่าบุพเพสันนิวาสแล้วล่ะครับ
“ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”
“พี่ว่าพี่ต้องเป็นฝ่ายถามแบคฮยอนมากกว่ามั้งว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ เพราะพี่อยู่ที่นี่มาหนึ่งปีกับอีกหนึ่งเดือนแล้วนะครับน้อง” พี่ชานยอลพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ บวกกับรอยยิ้มละมุนละไมแบบนั้นอีกแล้ว ให้ตายเถอะ Orz
“ผมพะ..พึ่งย้ายเข้ามาอยู่..พอ..พอดีเสาร์นี้พี่ชายไม่ว่างช่วยขนของผมก็เลยย้ายเข้ามาเร็วน่ะครับ” ทำไมผมต้องติดอ่าง แม้แต่สบตาก็ไม่กล้า ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกัน T_T
“อ้อ แล้วนี่จะไปไหนล่ะ”
“ลงไปเอาใบปลิวร้านอาหารตามสั่งข้างล่างครับ ผมกับรูมเมทรู้สึกหิวเลยว่าจะสั่งอะไรมากินกันสักหน่อย” ไม่ติดอ่างแล้ว... เฮือก... หายใจเข้าลึกๆ จะได้ไม่ตื่นเต้น
“เดี๋ยวพี่พาออกไปกินข้าวข้างนอกดีกว่า รอแป๊บนึงพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า ผมไปนะครับ!!”
อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมรีบหันหลังเดินตรงมุ่งไปที่ลิฟต์ทันที ก่อนที่ร่างกายผมจะสลายเป็นผงเหมือนโดนน้ำมนต์กองอยู่ที่หน้าห้องต่อหน้าต่อตาอีกคน ผมไม่ควรออกอาการขนาดนั้นป่ะ TvT
“ทำไมล่ะ เดี๋ยวก่อนสิ”
อย่าเดินตามมาสิครับ ผมกำลังหนีพี่อยู่นะ ผมไม่พร้อมจะพบเจอพี่ตอนนี้ อย่ามาหลอกมาหลอนผมเลย ได้โปรด... ผมกดปุ่มเรียกลิฟต์รัวๆ ขณะที่หูเองก็ยังตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าอีกคนที่เดินใกล้เข้ามา เรื่อยๆ
เมื่อลิฟต์มาถึงผมรีบบึ่งเข้าลิฟต์ในทันที พร้อมกับกดปิดประตูรัวๆ แต่มันไม่ปิดให้ผม เพราะมีร่างใครอีกคนยืนขวางตรงประตูลิฟต์อยู่ เซ็นเซอร์ลิฟต์คงจับได้ว่ามีวัตถุบางอย่างขวางประตูไว้เลยไม่ยอมปิด เรื่องมันจะเศร้าอะไรขนาดนี้ บยอนแบคฮยอนอยากกัดลิ้นตาย
“ทำไมต้องหนีด้วยล่ะ พี่ไม่ใช่ฆาตกรฆ่าคนตายนะ”
พี่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าฆาตกรอีกครับ นอกจากจะทำให้ผมใจสั่นแล้วยังทำให้หวั่นไหวอีกด้วย (คิดในใจเบาๆ)
“...”
“เฮ้ ได้ยินที่พี่พูดไหมครับ”
“ดะ..ได้ยินครับ”
ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ให้กับท่าทีเคอะเขินของผม ทำไมผมต้องมาเสร่อเอ๋อต่อหน้าพี่ชานยอลด้วยนะ ผมไม่เข้าใจ ทำไมเจอพี่เขาทีไรผมไม่เคยเป็นผู้เป็นคนดีๆ กับเขาสักที ผมเกลียดตัวเองตอนนี้ที่สุด T_T
“เรื่องที่พี่บอกว่าจะจีบน่ะ...”
“...”
“พี่จริงจังนะครับ”
“...”
“แล้วแบคฮยอนคิดว่าไง อนุญาตไหม”
T_T เรื่องแบบนี้ต้องขออนุญาตกันด้วยหรอ
“...”
“อย่าเงียบสิ พูดอะไรบ้าง ออกมาจากลิฟต์ก่อนดีไหม เผื่อมีใครต้องการใช้ลิฟต์เหมือนกัน เขาอาจจะเดินขึ้นมาด่าเอาก็ได้นะ (ขำ)”
ผมตัดใจเดินออกมาจากลิฟต์อย่างเชื่อง ๆ... ออกมายืนก้มหน้าเงียบไม่พูดไม่จา ตอนนี้ผมรู้สึกอยากตัดขาดจากทางโลกมากถึงมากที่สุด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอใครอีกคนที่ทำให้ผมใจเต้นระรัวยืนจ้องหน้าผมอยู่ ฮือออออ TwT จ้องผมขนาดนี้ สิงผมเลยไหม
“ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรอ ทำไมปล่อยให้พี่พูดเป็นบ้าเป็นหลังคนเดียวแบบนี้ล่ะครับ” คนพูดไม่พูดเปล่า พูดเสร็จก็ยกมือขึ้นมาดีดจมูกผม จนผมสะดุ้งเดินถอยหลังไปชนกับกำแพงหน้าลิฟต์
“เอ่อ..ผมไม่รู้จะพูดอะไรอะครับ”
“คบกันไหม”
ห้ะ!!! O_o
ผมเชื่อว่าตอนนี้ตาผมคงโตยิ่งกว่าไข่ไดโนเสาร์หลังจากได้ยินประโยคเมื่อกี้ เหมือนโดนฮุคด้วยหมัดขวาแล้วตามด้วยเข่าซ้าย..
ร่างสูงพูดจบก็เดินขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะกักขังผมไว้กับกำแพงลิฟต์ด้วยแขนทั้งสองข้าง ตอนนี้หน้าเราสองคนอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฟุต.. พระเจ้าครับ อย่ากลั่นแกล้งผมแบบนี้สิ ผมสัญญาว่าผมจะไปสารภาพบาปกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยก่อมากับท่านที่โบสถ์พรุ่งนี้ อย่าลงโทษผมแบบนี้เลยครับ.. หัวใจผมเต้นเหมือนจังหวะเพลงใน ดิสโก้เทคแถวใจกลางเมืองแล้วล่ะ มันแทบจะระเบิดได้อยู่แล้ว
“คำตอบล่ะ...”
ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดันอกแกร่งที่ทำท่าจะแนบชิดผมเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกคนตรงๆ
“คือ.. มันระ..เร็วไปรึเปล่าครับ ระ..เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเอง”
ผมตอบไปตามที่คิด ถึงแม้จะตะกุกตะกักนิดหน่อย แต่คิดว่าอีกคนน่าจะพอฟังเข้าใจ
“ไม่ได้เคยได้ยินเรื่องรักแรกพบหรอ”
“ก็เคยครับ”
ผมเองก็แอบคิดว่าพี่คือรักแรกพบของผมด้วย TTTvTTT
“แล้วเชื่อไหมว่ามันมีอยู่จริง...”
“...” ถ้าผมบอกว่าเชื่อเท่ากับผมตอบตกลงคบกับพี่เขาแน่ๆ แต่ถ้าผมบอกว่าไม่เชื่อ ก็เป็นการหักหน้าแถมหักหาญน้ำใจพี่เขาอีกต่างหาก คำถามนี้ผมขอไม่ตอบนะ T_T
“พี่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง และเมื่อไหร่ที่พี่มั่นใจว่าพี่เจอมันแล้วพี่จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ หรือแบคฮยอนคิดไม่เหมือนพี่?”
“ผม... ไม่รู้...”
“...”
พี่ชานยอลเงียบไป ผมเองก็เงียบ เราสองคนค้างอยู่ในท่าที่ล่อแหลมมาก ถ้ามีใครเดินออกมาเห็น ผมจะเอาหน้ามุดลงพรมเช็ดเท้าหน้าห้องให้ดู T-T
“อ่า...” ร่างสูงผละตัวออกก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ “ขอโทษนะครับที่ทำให้ตกใจ” อีกคนพูดพร้อมกับระบายยิ้มออกมาบางๆ
“มะ...ไม่เป็นไรครับ”
“เร็วเกินไปงั้นหรอ...” คิ้วหนาย่นเข้าหากันจนน่าจับผูกเป็นโบว์ ดูเหมือนพี่ชานยอลจะกำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนผมก็ได้แต่ยืนเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไร ป่านนี้เซฮุนรอผมจนกระเพาะอาหารทะลุไปแล้ว เข้าห้องไปแล้วโดนด่าผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าไม่ด่าสิแปลก เพราะถ้าเป็นผม... ผมก็จะด่าเหมือนกัน
“งั้นเอางี้... อีกหนึ่งอาทิตย์ พี่จะขอคำตอบใหม่ พี่จะให้เวลาชาวเพโคปองได้ตัดสินใจ ตกลงตามนี้นะครับ ^^”
=_=!
อีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้างั้นหรอ... มันแตกต่างจากตอนนี้สักเท่าไหร่กัน อย่างน้อยมันต้องเป็นเดือน สองเดือน สามเดือนหรืออาจจะเป็นปีๆ เลยไม่ใช่เหรอ ผมได้แต่ค้านในใจอีกแล้ว T_T
แล้วชาวเพโคปองนั่นมันอะไรกัน...
เรื่องนี้ล้อได้จนผมบวชเลยใช่ไหม...
“หิวข้าวไม่ใช่หรอ จริงๆ พี่มีใบปลิวอยู่ในห้อง ไม่ต้องลงไปหรอก เดี๋ยวพี่เอาให้”
มืออุ่นๆ จูงมือผมเดินกลับไปที่ห้องอย่างถือวิสาสะมากๆ แม้จริงๆ แล้วผมไม่ได้ถืออะไรหรอกนะครับ แต่สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นคือหัวใจผมที่มันกำลังเต้นแรงมากๆ นี่แหละครับ ผมจะจัดการกับมันยังไงดี T_T
“ผมรออยู่ข้างนอกดีกว่าครับ”
“เข้ามาเถอะน่า ห้องพี่ไม่มีงูหรอก”
พอได้ยินแบบนั้นผมก็จำต้องถอดรองเท้าแล้วตามอีกคนเข้าไปในห้อง อ่า..สะอาดกว่าที่ผมคิดไว้ ผมจินตนาการไว้ว่าพวกนักศึกษาวิศวะจะต้องเป็นพวกใช้เป็นแต่กำลัง รักความสกปรก สะสมความแค้นอะไรแบบนี้ซะอีก
“เอานี่ ร้านนี้อร่อยที่สุดแล้ว พี่รับประกัน”
“พี่คงลองกินมาหมดทุกร้านแล้วสินะครับ ถึงได้กล้ารับประกันขนาดนี้”
“เกือบหมดแล้วแหละ ไว้ว่าง ๆ พี่จะพาไปกินร้านประจำพี่ ร้านนั้นไม่มีเดลิเวอรี่แต่รสชาตินี่ที่หนึ่ง”
พี่ชานยอลพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาโชว์ ตั้งใจการันตีขนาดนี้คงไม่ได้รับจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ร้านหรอกนะ... ผมคิดขำๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา ทำให้อีกคนขมวดคิ้ว
“ขำอะไรเหรอ” พี่ชานยอลทำหน้าเหรอหราก่อนจะหันไปมองรอบๆ ตัวว่ามีอะไรผิดปกติรึเปล่า
“เปล่าครับ”
“แปลกคน อยู่ดีๆ ก็ขำ เอาน้ำอะไรหน่อยไหม”
“ไม่ดีกว่าครับ เพื่อนผมรอนานแล้ว เข้าไปผมว่าผมต้องโดนมันโขกสับจนเละเป็นหมูปั่นแน่ๆ”
“ฮ่าๆๆๆ ขนาดนั้นเลยหรอ ให้พี่ไปส่งไหม เดี๋ยวพี่บอกว่าพี่เป็นคนทำให้ช้าเอง”
ไม่-ได้-เด็ด-ขาด!
“ไม่เป็นไร ผมไปนะครับ” ผมกลับหลังหันเดินออกมาข้างนอกก่อนจะปิดประตูให้ แถมล็อกให้ด้วยอีกต่างหาก ถ้าให้พี่ชานยอลมาบอกเซฮุนว่าเพราะคุยกับพี่อยู่เลยช้า ผมคงโดนข้อหาไวไฟ ไว้ใจไม่ได้ ใจง่าย ใช้ร่างกายเปลือง ล้านสิ่งล้านอย่างที่เซฮุนมันจะสรรหามาว่าผมได้แน่ๆ
“เดี๋ยว!” อยู่ ๆ ประตูที่ผมพึ่งปิดไปเมื่อกี้ก็เปิดพรวดออกมา ผมเลยหันไปมองคนที่พุ่งล้าวออกมาจากห้องและได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ
“ครับ?”
“หนึ่งอาทิตย์นะครับ อย่าลืม”
ไม่มีทางลืม TTTT-TTTT
ผมเปิดประตูเข้าห้องมาแล้วยืนพิงประตูสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่ง เซฮุนที่เหมือนจะรอจนหลับไปแล้ว ลืมตาขึ้นมามองหน้าผมพร้อมกับแววตาจับผิด
“อะไร” กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายร้อนตัวร้องทักมันก่อน
“มึงนั่นแหละอะไร อยู่ดีๆ ก็มาถามกูว่าอะไร ประสาท”
“กูเปล่า”
ผมปั้นหน้าตายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินไปยื่นใบปลิวให้เซฮุน แล้วทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียง โดยไม่สนใจสายตาจับผิดของเซฮุนอีกต่อไป เขาว่ากันว่าการทำเป็นไม่สนใจนี่แหละเนียนที่สุด
“เออใช่ มึงจะเข้ารับน้องป้ะ” หาเรื่องคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจดีกว่า กันมันถามว่าทำไมหายไปนาน
“ไม่ไป มันไม่ถูกต้อง”
“ไม่ถูกต้องยังไงวะ” ผมหันไปจ้องหน้าเซฮุนอย่างสงสัย
“กูคือความถูกต้อง อะไรที่ขัดกับความรู้สึกกูนั่นคือความไม่ ถูกต้อง”
ถุย!!!!!
“ทฤษฎีบ้าอะไรของมึง” ผมนอนหันหลังให้ทันที เบื่อจะสนใจ คนประหลาด ๆ แบบนี้ก็มีบนโลก ผมล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ นะจอร์จบุช
“มึงไปเอาใบปลิวนี่มันจากไหน”
....!!!!!!
“ใต้หอดิ มึงจะให้กูไปเอามาจากไหนล่ะ มึงอย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อได้ป้ะ มันมีอยู่ใต้หอ กูก็ต้องไปเอามาจากใต้หอดิ มึงอย่ามั่วนะ!!”
“กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย มึงร้อนตัวอะไรรึเปล่าแบคฮยอน มีพิรุธนะ”
“ก็เปล่า ก็กูเห็นมึงถาม ( . .)”
ผมว่าไปนั่น...แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่ากินปูนร้อนท้อง
“ที่กูถามก็เพราะลายมือขยุกขยิกตัวเบอเร่อนี่ต่างหาก”
ลายมืออะไร ?!!!!
ผมรีบกระชากใบปลิวนั่นมาจากเซฮุน พลิกหน้าพลิกหลังแล้วก็มองมองมองแล้วก็ต้องสลายร่างเป็นผุยผงไปในทันที T__T
‘ªÍº¹Ð’
TBC.
ความคิดเห็น