คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 1 : เหนือมังกรเพลิง ใต้ปีกสีเงิน (6/11)
เสียงร้องตื่นตระหนกดังไม่ได้ศัพท์ไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหลายหลบออกจากที่ซ่อนด้วยความโกลาหล ความวุ่นวายแผ่ขยายทั่วทั้งเมืองเพียงแค่อึดใจเดียว และด้วยน้ำมันที่เจิ่งนองทำให้ชาวเมืองรีบวิ่งหนีตายเกรงว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะถูกต้อง แต่ไม่ต้องรอให้เสียเวลานานรีสเลย์ก็ดำเนินแผนขั้นต่อไปทันที
ลมหายใจแห่งมังกรเพลิงอันโชติช่วง
“บรีธออฟไฟร์!” เมื่อสิ้นคำเปลวไฟก็ถูกพ่นออกมาจากปากของรีสเลย์โดยมีเป้าหมายเป็นกองน้ำมันเบื้องล่าง เพียงแค่เสี้ยวสะเก็ดไฟสัมผัสโดนน้ำมันมันก็ลุกลามไปทั่วอย่างรวดเร็ว ความร้อนสีแดงกลืนกินพื้นที่โดยรอบโดยไร้ความปรานี กลายเป็นสัญญาณให้ธนูเพลิงจำนวนมากถูกขึ้นคันศรและยิงออกไปแทบจะพร้อมกันราวกับห่าฝนสีเลือด
ชั่วพริบตาเมืองเกือบครึ่งก็ถูกย้อมด้วยสีแดงส้มของเปลวเพลิงอันเกรี้ยวกราด ไฟร้ายลามเลียยากหยุดยั้งได้ ชาวเมืองหนีตายกันจ้าละหวั่น เสียงกรีดร้องระงมทั่ว แม้ว่าทหารนาเลียพยายามดับไฟเท่าใดถุงน้ำมันของหน่วยรบมังกรก็ถูกโยนลงมาเรื่อย ๆ เช่นกัน
บริเวณปากทางเข้าด้านหน้าของเมืองที่ถูกขนาบด้วยแนวเขาสูงทั้งสองฟากฝั่ง บรรดาทหารนาเลียที่ซุ่มอยู่ต่างรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นแทบจะในทันที มีทหารหลายนายผละจากหน้าที่ประจำการเพื่อกลับไปหาครอบครัวในเมืองจนถูกสั่งทำโทษเสียหลายราย
รีสเลย์ซึ่งขี่มังกรบินวนอยู่ในมุมสูงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างดี หน่วยทะลวงฟันอันมี ลิสเกอร์ ผู้เป็นผู้นำต่างควบม้าบุกเข้าจากทางด้านหน้าเมืองอย่างกล้าหาญ ปากตะโกนเรียกชื่อเขาตลอดจนเรียกความฮึกเหิมจากบรรดาทหารหาญได้เป็นอย่างดี พวกเขาโหมปะทะกับทหารนาเลียดุจพายุลูกย่อมอย่างไม่หวั่นเกรง
ทหารทั้งสองฝ่ายต่างล้มตายคนแล้วคนเล่าราวกับใบไม้ร่วง แต่สิ่งที่เห็นถึงความแตกต่างได้ชัดเจนคือทหารทางด้านนาเลียทั้ง ๆ ที่ได้เปรียบทางด้านชัยภูมิแต่ทหารเกินกว่าครึ่งกลับหมดกำลังใจสู้รบต่อเสียแล้ว ไม่นานนักกองทัพเชสนาจึงสามารถทะลวงกองทัพผ่านเข้าเมืองไปได้สำเร็จ
เมื่อเข้าเมืองได้ สิ่งแรกที่ลิสเกอร์ทำคือนำกองกำลังบุกเข้าทำลายเครื่องยิงศรยักษ์ก่อน และเมื่อเครื่องยิงส่วนใหญ่ถูกทำลายลงเหล่านักรบมังกรซึ่งบินวนอยู่ห่าง ๆ ก็สามารถเข้าร่วมสงครามได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอีกต่อไป
“ถอยทัพ! ถอย!!” แม่ทัพนาเลียตะโกนสุดเสียงพลางถูลู่ถูกังนายกองคนสนิทหนีตาย กองทัพของนาเลียที่เหลือก็ถูกบีบให้ถอยทัพไปด้วยสภาพน่าเวทนา แต่ยังรู้สึกว่าโชคเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อทหารเชสนาไม่ได้ติดตามมา ซ้ำยังปล่อยให้ชาวเมืองหนีไปโดยไม่ได้ทำร้ายอีกด้วย
เหล่าทหารเชสนากู่ร้องลั่นด้วยชัยชนะที่ได้รับมา ชื่อรีสเลย์ถูกตะโกนด้วยความรู้สึกยินดี ประวัติศาสตร์ป้อมนาเลียไร้พ่ายถูกลบออกไปเพียงชั่วข้ามคืนในยุคของพวกเขานี่เอง
ค่ำคืนอันยาวนานผ่านพ้นไป ดวงตะวันแห่งรุ่งอรุณฉายแสงวันใหม่ขึ้น แสงส้มแดงสาดส่องกระทบนาเลียซึ่งกลายเป็นเพียงซากเมืองดำไหม้เท่านั้น รีสเลย์บังคับมังกรโผทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า สายตาของเขาจับจ้องไปยังมหานครแห่งหนึ่ง
...โดนาเมส...
“อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ข้าก็จะแก้แค้นให้เจ้าสำเร็จ”
รีสเลย์รำพึงกับตัวเองด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าว ในขณะที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมายอยู่นั้น พลันสายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มแสงจำนวนมากราวกับหิ่งห้อยลอยไปรวมตัวกันที่ป่าข้างเมือง แม้จะเลือนลางท่ามกลางแสงสว่างยามเช้าแต่เขาก็เชื่อว่าไม่ได้ตาฟาดหรือคิดไปเองอย่างแน่นอน จุดมุ่งหมายของกลุ่มแสงเหล่านั้นมีร่างของบุคคลลึกลับสองคนยืนอยู่
...ใครกัน? การแต่งกายแบบนั้นไม่น่าใช่ทหารของโดนาเมส...
เขาชักมังกรบินต่ำลงไปใกล้เพื่อมองให้ชัดเจนขึ้น แต่เพียงเขาเผลอยกมือขึ้นบังเนื่องจากแสงอาทิตย์แยงตา สองร่างนั้นก็หายไปเสียแล้วราวกับไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน
...หรือว่าข้าจะเหนื่อยจนตาฟาดไปจริงๆ...
รีสเลย์ใช้นิ้วนวดขมับด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะคุมมังกรบินกลับไปยังนาเลีย
ระหว่างที่นาเลียถูกทัพเชสนาบุกยึดได้นั้น ทางด้านจีดัสเองก็ออกเดินทางพร้อมคนสนิทเพียงสองคน และมาดาฟที่ดึงดันจะไปคุ้มกันเขาให้ได้ พวกเขาควบม้าเต็มฝีเท้าแทบไม่ได้หยุดพัก ผ่านเส้นทางอันตรายและหมู่บ้านต่าง ๆ หลายแห่ง แวะเปลี่ยนม้าที่เมืองทางผ่านอยู่สองครั้ง ลัดเลาะเข้าไปในอาณาเขตของเชสนากระทั่งถึงที่หมายในที่สุด
ซากรถม้าเสียหายยับเยิบปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาอย่างไม่ได้เก็บกู้ คราบเลือดแดงคล้ำเกรอะกรังกระจายไปทั่วบริเวณ แม้ว่าร่างของผู้เคราะห์ร้ายจะถูกนำออกไปแล้ว แต่ทุกอย่างอยู่ในสภาพดีกว่าที่คิด และตราราชวงศ์ที่ประทับอยู่ข้างรถม้านั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดว่านี่คือจุดเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์องค์ราชินีเชสนาในครั้งนี้
จีดัสกระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะผูกไว้ไม่ไกล เขาเดินวนดูรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งโดยมีสายตาอีกสามคนจับจ้องตาม
“ใครกันนะที่ทำเรื่องป่าเถื่อนแบบนี้ โหดร้ายที่สุด” เมื่อเห็นสภาพโดยรอบ อามู นักจารกรรมสาวฝีมือดีอดที่จะสังเวชใจไม่ได้ ถึงเธอจะพบเจอเรื่องป่าเถื่อนมามากก็ตาม “ดูสิท่าทางจะถูกบุกฆ่ารวดเดียวทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในรถม้าอยู่เลย”
“รถม้ามาจากทางนั้น มีหน่วยทหารม้าคอยอารักษ์อยู่สี่นาย ทหารเดินเท้าอีกหกนาย น้อยกว่าที่คาดไว้” จีดัสกอดอกหลับตานิ่งพึมพำกับตัวเอง เขาเริ่มจำลองสถานการณ์จากร่องรอยเพียงเล็กน้อยที่พบในที่เกิดเหตุ
“คนร้ายมีสองคนและเริ่มดักโจมตีจากตรงนี้" เขาพึมพำ "จากนั้นทหารม้าหลายนายล้มตายลงอย่างรวดเร็ว ทหารหกนายที่เหลืออยู่เพิ่งรู้ตัว ต่างก็วิ่งเข้ามาป้องกันรถม้า แล้ว...” เขาลืมตาขึ้นมองรอยเท้าที่เหลืออยู่แล้วเดินไปยังจุดที่ตนบอก เสนาธิการผู้ปราดเปรื่องลำดับเหตุการณ์ได้เป็นฉาก ๆ เสียจนเหมือนกับพาทุกคนย้อนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง แม้แต่รายละเอียดปลีกย่อยเพียงเล็กน้อยก็ถูกบรรยายออกมาราวกับเขาเป็นผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วย
“แต่หลังจากปลงพระชนม์องค์ราชินีแล้ว คนร้ายมีโอกาสที่จะฆ่าองครักษ์ทั้งหมด แต่กลับปล่อยรอดไปได้คนนึง”
“เพราะว่าตั้งใจปล่อยให้รอดสินะ” มาดาฟเอ่ยต่อเครียด ๆ อย่างเข้าใจในสิ่งที่จีดัสกำลังคิดอยู่
“ใช่ อามู เธอเคยบอกใช่ไหมว่าทหารที่รอดตายเล่าว่าถูกทหารของฝ่ายเรานับสิบคนโจมตี” จีดัสถามย้ำ
“ไม่ผิดแน่ค่ะ เป็นอย่างที่ท่านคาดการณ์ไว้จริง ๆ ข้อมูลที่เราได้รับมาไม่ตรงกับเหตุการณ์จริงโดยสิ้นเชิง”
“แสดงว่าอาจจะถูกบังคับให้พูดเช่นนั้น หรือไม่ก็อาจถูกยาหรือสะกดจิตสั่งเอาก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม คนร้ายตั้งใจให้มังกรเชสนาเข้าใจไปแบบนั้น แต่เราก็ไม่รู้ว่าทางโดนาเมสเองอาจมีคนต้องการทำสงครามกับเชสนาจริง ๆ ก็ได้"
"แต่ก็ยากที่จะเป็นไปได้" จีดัสยังคงพูดต่อไป "ถ้าหากฝ่ายเราเป็นผู้กระทำจริง ๆ อัศวินมือดีเพียงสองคนที่ล้มทหารองครักษ์ระดับสูงนับสิบได้ คนที่ทำแบบนี้ได้ไม่มีทางที่จะมาไกลขนาดนี้โดยที่เราไม่รู้ได้หรอก กลับไปคงต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนอีกครั้งและรีบแจ้งให้ฝ่าบาททราบแล้วล่ะ”
จีดัสหัวเราะไปกับตลกร้ายที่เขากำลังเผชิญอยู่
ความคิดเห็น