คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ 2: เทพปีศาจอัลกีโรอา (3/4)
การประชุมถูกจัดขึ้นในห้องโถงขนาดกลางสามารถจุคนได้หลายร้อยคน ห้องโถงที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษไร้เสาค้ำยันให้รกสายตา โต๊ะทรงกลมตัวใหญ่ถูกสร้างขึ้นกลางห้องนี้เป็นกรณีพิเศษสำหรับการประชุมโดยเฉพาะเช่นกัน เก้าอี้ยี่สิบกว่าตัววางเรียงรอบโต๊ะโดยมีรีสเลย์กับจีดัสนั่งอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะ ส่วนตำแหน่งของผู้นำท่านอื่น ๆ จะจัดเรียงตามผู้ที่เดินทางถึงก่อน ถึงกระนั้นก็ไม่มีตำแหน่งที่ใดดูเหนือกว่ากันเลย
ห้องประชุมอันเงียบสงัดไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงพูดคุยอะไรกันด้วยหลาย ๆ เหตุผล หนึ่งคือผู้ที่นั่งข้างไม่ได้สนิทสนมกัน สองแต่ละคนก็พยายามรักษาภาพของตน สามคือเป็นห้องนี้ถูกออกแบบให้เสียงก้องสะท้อนแต่ภายในห้อง แม้จะเป็นเสียงกระซิบก็สามารถดังได้ยินทั่วถึงในขณะที่มันสามารถเก็บเสียงไม่ให้ภายนอกได้ยินอีกด้วย ดังนั้นถ้าจะพูดอะไรกันก็ได้ยินทั่วถึงทั้งห้องแน่นอน
“ขอขอบคุณทุกท่านที่ยอมตกลงเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้” รีสเลย์เกริ่นขึ้นเมื่อเห็นทุกคนนั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว เสียงของเขาดังก้องได้ยินไปทั่วที่ประชุม “ขอเอ่ยแนะนำตัวเสียหน่อย ข้ารีสเลย์ ลีออน กษัตริย์แห่งเชสนา และที่นั่งข้างข้าก็คือ จีดัส คอร์นีลัส ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของโดนาเมส”
จีดัสยืนขึ้นโค้งกายทำความเคารพซ้ายขวาแล้วนั่งลง มีเสียงฮือฮาเล็กน้อยโดยรอบ ก่อนที่รีสเลย์จะเอ่ยต่อ
“อย่างที่ทุกท่านได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์นั้นข้าขอยืนยันว่านั่นคือเรื่องจริง ไม่ใช่ข่าวลือแต่ประการใด เพราะข้าทั้งสองได้พบเห็นมากับตาตัวเองแล้ว”
“แล้วท่านรู้ไหมว่ามันคือตัวอะไร” กษัตริย์ประเทศหนึ่งถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความคลางแคลงสงสัย
“เทพปีศาจ” จีดัสตอบให้แทน เสียงพึมพำดังตีกันวุ่นวายภายในห้องประชุมฟังไม่ได้สรรพสักนิด
“หนวกหูมาก นายจะสั่งทำห้องประชุมแบบพิเศษนี้ทำไมนะ” จีดัสกระซิบว่า
“ก็จะได้ไม่ต้องคอยตะโกนให้เสียบุคลิกยังไงล่ะ” รีสเลย์กระซิบตอบ
“เอาเถอะ...” จีดัสกระแอมในลำคอพอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
“พวกท่านคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เทพปีศาจเป็นแค่เรื่องเล่า แต่จะหาเหตุผลใดมาอธิบายการหายไปทั้งประเทศของโดนาเมสได้เล่า ข้าจะเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟัง”
ว่าแล้วจีดัสก็เล่าสิ่งที่พวกเขาประสบพบเจอมาด้วยตนเอง ไปจนถึงตำนานเทพให้ผู้นำทั้งหมดฟัง แต่เว้นเรื่องที่ตนและรีสเลย์มีสายเลือดเอลเลนนอสไว้ก่อน
เมื่อผู้นำทุกคนได้รับฟังเรื่องราวเรื่องราวเหล่านั้น ก็แสดงสีหน้าต่างกันไป บ้างก็กระอักกระอ่วน บ้างอยากปฏิเสธสิ่งที่ตนได้รับรู้ บ้างนิ่งอึ้งไปเหมือนโดนสะกด
“ประเด็นก็คือ ในอดีตเราเคยปราบมันได้ และถ้าเราทุกคนร่วมมือกันเราก็มีโอกาสที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน” จีดัสพยายามชักจูงเหล่าผู้นำ
”แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าท่านจะหาจุดอ่อนได้ไม่ใช่รึ ท่านก็เห็นสิ่งที่มันทำกับโดนาเมสเองกับตาแล้วนี่ เราจะเอาอะไรไปต่อกรกับมัน” ราชาเอนริโคหยั่งเชิงจีดัส
“แล้วท่านจะให้เรายอมตายรึ” ราชาสวอนดูรัสสวนขึ้นทันควัน
“เราหลบซ่อนตัวได้ไม่ใช่รึ เจ้านั่นสักวันอาจจะออกไปจากทวีปเราเองก็ได้” ราชาเอนริโคยังคงเสนอทางที่จะเลี่ยงการปะทะโดยตรง เพราะเกรงว่าจะต้องเสียกำลังรบไปเปล่า ๆ
“เผื่อว่าพวกท่านจะไม่ได้ตั้งใจฟังนะ เรื่องที่ข้าเล่าบอกชัดเจนว่าเทพปีศาจยังมีอีกเจ็ดตน ท่านคิดว่าโลกนี้ยังมีที่ใดปลอดภัยอีกหรือ ในเมื่อตอนนี้เรายังมีโอกาสท่านจะไม่คว้าไว้หรือไร รึท่านต้องรอให้เป็นอย่างโดนาเมสก่อนถึงจะลุกขึ้นสู้” จีดัสพยายามใช้ความกลัวของทุกคนในการจูงใจ ผู้นำหลายคนก็เริ่มที่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา รีสเลย์เห็นเป็นจังหวะที่ดีจึงพูดย้ำลงไปอีก
“เราจะไม่ยอมให้มนุษยชาติต้องมาสูญสิ้นในยุคของพวกเรา แต่ลำพังแค่เชสนาและโดนาเมสคงไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยปราศจากความร่วมมือของพวกท่าน”
บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบ ผู้นำทุกคนล้วนได้คำตอบภายในใจตรงกันหมด หากไม่ร่วมมือตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้ร่วมมืออีกเป็นแน่
ในที่สุดกองทัพผสมจากทุกประเทศในทวีปก็ถูกจัดตั้งขึ้นใกล้กับอาณาจักรสวอนดูรัสซึ่งมีการพบเห็นเทพปีศาจเป็นครั้งสุดท้าย ร่างอันมหึมาของเทพปีศาจประกอบกับความเสียหายตามทางผ่านของมันทำให้หน่วยข่าวกรองสามารถตามรอยและยืนยันตำแหน่งของมันได้ไม่ยากนัก หลายวันต่อมาทัพขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในทวีปนี้ก็เคลื่อนทัพเข้าสู่สมรภูมิ
“ดูขนาดตัวมันสิ ใหญ่กว่าภูเขาซะอีก” ทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ
เทพปีศาจขนาดมหึมานอนแน่นิ่งอยู่ในทะเลทรายขนาดใหญ่ที่ไม่ห่างจากสวอนดูรัสนัก พวกเขาเคลื่อนทัพเข้าใกล้มากขึ้น ๆ และยิ่งพบว่าไม่ว่าจะเดินสักเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใกล้มันเสียที
จีดัสยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดีเหมือนเพิ่งประสบมาไม่นาน แม้จะเตรียมใจมาแล้วแต่เมื่อได้พบเห็นร่างของเทพปีศาจอีกครั้ง ด้วยสายตาที่ชัดเจนที่สุด ด้วยสติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนที่สุด ความหวาดกลัวในตอนนั้นมันก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาพยายามห้ามตัวเองไม่ให้สั่นกลัวเพราะมันอาจจะทำให้เหล่าทหารรู้สึกเสียขวัญไปด้วย
รีสเลย์ที่ลอบสังเกตอาการของเขาอยู่นานเข้าใจได้ถึงความผิดปกติ ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นมาก่อนย่อมรู้สึกไม่แตกต่างกันแน่นอน แม้แต่ยอดคนอย่างจีดัสก็ไม่ยกเว้น แต่สำหรับเขา มังกรแห่งเชสนา ผู้สืบเชื้อสายจากซิลเวอร์เทพแห่งความกล้าหาญ ถ้ารู้สึกกลัวคงจะไม่มีใครมีความกล้าพอจะเผชิญหน้ากับเทพปีศาจอีกแล้ว
...นี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ข้าเหนือกว่าจีดัสก็เป็นได้...
รีสเลย์คิด ความรู้สึกภูมิใจอย่างประหลาดแทรกเข้ามาในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
เขาชักม้าเข้าไปตบไหล่ของจีดัสเพื่อทักทาย แต่ชายหนุ่มกลับสะดุ้งแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็เป็นปฏิกิริยาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นว่าเป็นอดีตคู่ปรับคนสำคัญก็หัวเราะเบา ๆ
“น่าตลกใช่ไหมล่ะ เป็นตัวตั้งตัวตีให้ทุกคนมาออกรบแท้ ๆ แต่พอเจอเข้าจริง ๆ กลับโดนกดดันซะได้”
“ไม่แปลกหรอกที่นายจะกลัว มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่กลัวไม่เป็น” รีสเลย์ยืดอกแสดงความเหนือกว่าแต่หารู้ไม่ว่าเขาพลาดเสียแล้ว
“แสดงว่านายคงเฉย ๆ จริงสินะสายเลือดเทพแห่งสติปัญญาจะไปกล้าหาญเหมือนสายเลือดเทพแห่งความกล้าได้ยังไง” จีดัสย้อนกลับด้วยประโยคที่เจ็บแสบและชักม้าจากไปทันที
“...”
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุดทัพทั้งหมดก็เดินทางไปถึงร่างของเทพปีศาจ ร่างอันใหญ่โตบัดนี้สงบนิ่งไม่ต่างกับภูเขาหิน พวกเขายังต้องเสียเวลาอีกไม่น้อยกว่าที่จะสามารถกระจายทัพโอบรอบภูเขาลูกนี้ได้ หลายคนรู้สึกโล่งใจทันทีที่เทพปีศาจไม่เคลื่อนไหว ความกล้าและความหวังจึงฟื้นคืนกลับมาสู่บรรดาทหารทั้งหลายอีกครั้ง
ทันทีที่สัญญาณเปิดศึกดังขึ้น ปืนใหญ่ทั้งหมดก็ถูกจุดขึ้นพร้อมกัน เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ปืนใหญ่ทุกกระบอกถูกยิงและถูกจุดขึ้นใหม่นัดแล้วนัดเล่าโดยมีเป้าหมายคือร่างเทพปีศาจ ทหารปืนใหญ่ต่างทำหน้าที่อย่างแข็งขัน บ้างใส่ถุงดินปืน บ้างก็กระทุ้งปากกระบอก บ้างก็บรรจุลูกปืน บ้างก็จุดไฟที่ชนวน กระสุนถูกระดมยิงออกมาจนฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วเป็นวงกว้าง
“เป็นยังไงล่ะ รสชาติของปืนใหญ่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกของสวอนดูรัส” ราชาสวอนดูรัสคุยโอ่อย่างภูมิใจ
“เกือบหนึ่งในสี่นั่นก็เป็นปืนใหญ่ของเอนริโค” ราชาเอนริโคเกทับ "ปืนใหญ่ของเราคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าใครในโลก"
ความคิดเห็น