คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 1 : เหนือมังกรเพลิง ใต้ปีกสีเงิน (11/11)
พระเจ้าซาร์ททรงเห็นว่าการปะทะกันในครั้งหลัง ๆ กองทัพฝ่ายศัตรูถูกกดดันให้ต้องถอยตลอด นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่ได้กวาดล้างโดยการส่งทัพหลวงมาร่วมกำจัดเชสนาให้สิ้นซาก พระองค์ทรงสั่งเคลื่อนทัพหลวงเข้าปะทะกองทัพเชสนาร่วมกับทัพหน้าของจีดัส
ศัตรูสู้พลางถอยพลางอย่างมีพิรุธจีดัสจึงสั่งทัพให้หยุดรีรอดูสถานการณ์ แต่พระเจ้าซาร์ทไม่คิดเช่นนั้นยังคงส่งทัพหลวงโจมตีกดดันไปต่อไปกระทั่งทัพของรีสเลย์ส่วนหนึ่งต้องถอยเข้าไปตั้งรับในนาเลีย
...กับดักชัด ๆ...
จีดัสมองสถานการณ์ก็เข้าใจแผนการอีกฝ่ายทันที เขารับสั่งหยุดทัพ แต่มันสายไปเสียแล้วสำหรับทัพหลวงที่ไล่ตามเข้าไปในปากทางเข้าแคบ ๆ ของนาเลีย
ฉับพลันกำลังพลที่แอบซุ่มอยู่ก็ปรากฏขึ้น มันเป็นทัพปืนใหญ่ที่รีสเลย์เก็บซ่อนไว้ใช้เป็นไพ่ตาย รีสเลย์สั่งให้ทหารยิงปืนใหญ่ทันที หากแต่เป้าหมายที่พวกเขาเล็งนั้นไม่ใช่กองทัพโดนาเมสโดยตรง ปืนใหญ่เหล่านั้นกลับระดมยิงแนวหินผาแทนทั้งสองด้านแทน
ชั้นหินและดินมากเกินประมาณพังทลายลงมาทับทหารโดนาเมสตายอย่างอเนจอนาถ ทั้งก้อนหินยักษ์ ทั้งกองดินทรายถล่มตามลงมา ทำเอาบรรดาทหารแตกตื่นด้วยความหวาดกลัว ต่างคนต่างก็ทิ้งอาวุธที่ถืออยู่วิ่งหนีตายจากช่องทางแคบ ๆ จนเหยียบกันเอง
สิ่งที่ทัพของจีดัสรวมทั้งทัพรีสเลย์เองตกตะลึงกลับเป็นสิ่งอื่น มันคือบางอย่างที่ถูกฝังอยู่ในแนวผาและปรากฏขึ้นมาหลังจากที่แนวหินถล่มลงมา ไม่ว่าจะมองอย่างไรสิ่งนั้นก็ดูราวกับหางของอสรพิษขนาดยักษ์ ทั้งรูปร่าง ทั้งเกล็ด และสีที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีเทาของหินกลายเป็นลายสีดำสลับแดง
นี่มันคืออะไรกันแน่?
นั่นมัน..
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ตำนานเทพโบราณมีอยู่จริงหรือนี่
หรือว่าจะเป็น
เทพปีศาจ?!
คำถามต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาไม่จบสิ้น เหล่าทหารที่เคยห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่ต่างตะลึงงันเหม่อมองตาค้าง พวกเขายืนตัวแข็งทื่อไม่อาจขยับได้เมื่อเห็นสิ่งนั้นเคลื่อนไหวช้า ๆ ไปพร้อมกับการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาขนาดใหญ่ทั้งลูกปริแตกทีละเล็กทีละน้อย
ไม่ว่าจะเป็นคนประเทศใด ทั้งเชสนา ทั้งโดนาเมส ประเทศใด ๆ ก็ตามในโลกนี้ ต่างเติบโตมากับเทพปกรณัมนี้ ตำนานของเหล่าเทพปีศาจที่แต่ละตนสามารถทำลายโลกนี้ให้เป็นจุณภายในพริบตา
มันปรากฏอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
และมันกำลัง...
เคลื่อนไหว!!!
ภาพสุดท้ายที่ทุกคนในที่แห่งนั้นเห็นก็คือแสงสีแดงดำสว่างวาบ ตามด้วยเสียงระเบิดก้องกัมปนาทสั่นสะเทือนถึงแก้วหูราวกับสัญญาณบอกว่าโลกถึงกาลอวสานแล้ว...
“อุ่ก...” จีดัสรู้สึกเจ็บปวดทุกอณูในร่าง ความรุนแรงนั้นทำเอาสมองด้านชาไปครู่ใหญ่จนไม่สามารถควบคุมร่างกายให้ขยับได้
...เกิดอะไรขึ้น...
เมื่อสติกลับคืนมา เขาจึงนึกย้อนเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น
...สงครามกับเชสนา ภูเขาถล่ม อะไรบางอย่าง แสงสีแดง… เทพปีศาจ!...
เสนาธิการหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหันด้วยความตกใจแต่ก็ต้องล้มลงไปเพราะบาดแผลและความเจ็บปวดอันมากล้นนั่น เข้าหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะร่ายเวทรักษาให้ตนเอง
ด้วยพรแห่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์
เขากัดฟันร่ายเวทอย่างยากลำบาก แสงสีขาวอันอบอุ่นแผ่วาบทั่วร่างพลันความเจ็บปวดเมื่อครู่ทุเลาลงจนสามารถลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ
เขากวาดตามองรอบข้างพบว่าเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพดำเกรียมที่ส่งกลิ่นไหม้ชวนคลื่นเหียนออกมา เศษชิ้นเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วรัศมีจนสุดสายตา บางส่วนยังคงลุกไหม้ และบางส่วนไม่อาจรู้ได้ด้วยซ้ำว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
จีดัสค่อย ๆ ลากเท้าฝืนเดินต่อไป ถึงแม้แผลภายนอกจะหายไปหมดแล้วแต่อาการบาดเจ็บภายในยังคงกระทบกระเทือนอยู่ สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วขาดวิ่น ทั้งผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั้งเสื้อผ้าไหม้ขาดและเปรอะเลือด หากใครมาเห็นเข้าในตอนนี้คงไม่เชื่อว่าเป็นคนเดียวกับวิหกเงินแน่แท้
“เหอะ ๆ” เขาแค่นหัวเราะให้กับตัวเองที่ในสถานการณ์แบบนี้ยังคงคิดเรื่อยเปื่อยไร้สาระได้
ชายหนุ่มผมเงินเงางามที่บัดนี้กลายเป็นสีเทาเดินต่อไปเรื่อย ๆ ในใจยังคงภาวนาขอให้พบผู้รอดชีวิตอย่างน้อยสักคนก็ยังดี ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู เขาพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือแน่นอน และหลังจากเดินหาอยู่หลายชั่วโมงจนจิตใจแทบดำดิ่งสู่สภาวะสิ้นหวัง สายตาพลันไปพบร่างศัตรูคู่อาฆาตอันคุ้นเคยนอนคว่ำหน้าอยู่
“รีสเลย์ ลีออน”
ร่างนั้นนิ่งสนิท บาดแผลเหวอะหวะทั้งตัวอีกทั้งมีหลายจุดที่ไหม้เกรียม ชุดเกราะยังหลอมละลายเหลือเพียงเกราะอ่อนขาด ๆ ด้านใน
“ตายรึยังน่ะ” เขาเดินเข้าไปใกล้ และพลิกร่างนั้นหงายเผยให้เห็นสภาพของคนตรงหน้าซึ่งยังดีกว่าก้อนเนื้อเละ ๆ แถวนี้มากนัก แต่ภายในนี่สิ
จีดัสเอื้อมมือไปสัมผัสชีพจรตรวจอย่างมีความหวังและทำให้รู้ว่าร่างตรงหน้ายังคงมีลมหายใจอยู่ ราวกับความโกรธเคียดแค้นทั้งหลายมลายสิ้น ความปลื้มปีติที่พบว่ายังเหลือคนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความตายนับหมื่นนับแสนในสถานที่แห่งนี้ เขาร่ายมนตรารักษาให้ศัตรูตรงหน้าทันที
ด้วยพรแห่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์
เปลือกตากระพริบถี่หลายครั้งเพื่อปรับภาพให้ชัดเจนและเมื่อเห็นใครบางคนในระยะประชิดก็เผลอร้องโวยวายและออกหมัดไปตามสัญชาตญาณทันที
“เฮ้ย!” จีดัสเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน ดีที่คนตรงหน้ายังไม่มีเรี่ยวแรงมากพอเหวี่ยงหมัดให้เร็วกว่านี้ได้ เขาจึงรอดพ้นจากหน้าบวมในครั้งนี้
“แก ไอ้จีดัส ตายซะเถอะ” รีสเลย์ตะโกนพลางผุดลุกขึ้นเข้ามาคลุกวงในด้วยหมัดและเท้า แต่อาการบาดเจ็บจากความบอบช้ำในร่างกายทำให้เขาต้องร้องครางออกมาแล้วลงไปนอนแผ่หลากับพื้นตามเดิม
จีดัสปัดฝุ่นตามตัวและลุกขึ้นยืนค้ำหัวอย่างไม่เกรงใจในบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่าของอีกฝ่ายเลย ซ้ำยังเอ่ยปากว่า
“มีใครเคยบอกให้นายใจเย็น ๆ บ้างไหมนี่ กษัตริย์อะไรกัน”
...ออกจะบ่อย...
รีสเลย์คิดแต่ไม่ได้พูดออกไปเพราะกลัวเสียหน้า ก่อนจะพยายามยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
“อะไร” มังกรหนุ่มถามเสียงห้วนหาเรื่อง เมื่อเห็นผู้ที่ยืนคำหัวอยู่นั้นยื่นมือมาให้
“เฮ้อ...” อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือฉุดเขาให้ลุกขึ้นยืน
ทันทีที่รีสเลย์เห็นภาพรอบข้างได้ชัดเจน เขาถึงกับนิ่งค้างครู่หนึ่ง ใบหน้าตกตะลึงราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะหันไปมองคนข้างตัว
...นี่มีแค่พวกเราสองคนที่รอดชีวิตงั้นรึ...
ศัตรูที่เป็นเพียงอดีต สงครามจะดำเนินต่อไปได้เช่นไรหากไม่มีทหาร และแม้เขาทั้งคู่จะมีความแค้นต่อกันมากเพียงไร แต่ความเป็นจริงเบื้องหน้าอันแสนอเนจอนาถนั้นทำให้ทั้งสองหมดเรี่ยวแรงที่จะขับเคี่ยวกันอีกต่อไป
“รู้สึกว่าเจ้าจะดวงแข็งจริงนะ” รีสเลย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะเย้ยหยัน ก่อนจะหันหลังให้แล้วถาม “ทำไมเมื่อกี้เจ้าต้องช่วยข้าด้วย ข้าเป็นศัตรูที่ฆ่าเพื่อนสนิทของเจ้าไม่ใช่รึ”
“ถ้านายเป็นอย่างฉันที่ต้องเดินฝ่าซากศพพวกนี้มาตลอดหลายชั่วโมงแล้วล่ะก็ คงจะเข้าใจ”
“...”
ทั้งคู่เงียบกันไปสักพัก รีสเลย์จึงชวนคุยต่อเพื่อขจัดบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี่ทิ้งเสีย
“คิดว่าเจ้านั่นมันคืออะไร”
แม้ไม่ต้องอธิบายขยายความว่าเจ้านั่นของรีสเลย์นั้นคืออะไร แต่จีดัสก็เข้าใจได้ทันที
“เคยได้ยินเรื่องสงครามปิดผนึกเทพปีศาจเมื่อร้อยกว่าปีก่อนใช่ไหม บางทีอาจเป็นสิ่งนั้นก็ได้”
“นั่นมันก็แค่ตำนาน” รีสเลย์แย้ง
“หากมันเป็นแค่ตำนานก็ดีสิ แล้วนายจะอธิบายไอ้ตัวแบบนั้นว่าอะไร”
“...” รีสเลย์เงียบไปเนื่องจากพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
ถ้าตำนานเทพปีศาจเป็นจริง สัตว์ประหลาดตัวมหึมาราวขุนเขาเหล่านี้ก็จะยังมีอีกเจ็ดตัว ไม่อยากจะคิดเลยถ้าสิ่งเหล่านี้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งโลกในยุคนี้จะลงเอยเช่นไร หรือนี่จะเป็นจุดจบของมนุษยชาติจริง ๆ
ขณะที่พวกเขายืนเหม่ออย่างสิ้นหวังกันอยู่นั้น รีสเลย์ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง สิ่งที่เขาเคยเห็นมาแล้วที่นาเลีย แสงที่ลอยขึ้นไปราวกับหิ่งห้อย ลอยออกจากซากศพในสนามรบมุ่งตรงไปยังจุด ๆ หนึ่งอย่างพร้อมเพรียงคล้ายกับถูกหลุมดำที่มองไม่เห็นดูดไป
“เห็นอย่างที่ข้าเห็นรึเปล่า” รีสเลย์สะกิดถามคนข้างๆ
“เห็นอะไร”
“แสงที่เหมือนหิ่งห้อยน่ะ มีเต็มไปหมดเลย”
ได้ยินดังนั้นจีดัสจึงลองเพ่งมองดูบ้าง ในที่สุดเขาก็เห็นสิ่งที่คล้ายพลังงานบางอย่างลอยขึ้นเต็มท้องฟ้าตามที่รีสเลย์ชี้บอก
“วิญญาณ? แต่ทำไมเราเพิ่งจะมองเห็นเอาป่านนี้ล่ะ”
“ข้าว่ามันแปลก ๆ ตามไปดูไหม” รีสเลย์สังหรณ์ใจ เอ่ยถามไปอย่างนั้นเอง เพราะไม่ว่าจีดัสจะตอบเช่นไรเขาก็จะวิ่งตามไปดูอยู่แล้ว
“ก็เหมือนว่านายจะมีคำตอบในใจอยู่แล้วนี่” หนุ่มผมยาวตอบกลับอย่างรู้ทัน แล้วทั้งสองก็พยักหน้าให้กันก่อนจะวิ่งมุ่งหน้าไปทิศที่แสงจำนวนมากพุ่งไปรวมตัวกันกระทั่งพบต้นตอ
เนินเล็ก ๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลจากสนามรบ ชายหนุ่มผมดำหน้าตาดีคนหนึ่งที่ดูแล้วอายุน้อยกว่าพวกเขาหลายปีชูแหวนขึ้นฟ้าดูดแสงพวกนั้นเข้าไปไม่หยุด ข้างกายมีคนสวมชุดตัวตลกสีดำน่าขันนั่งรออยู่ ทั้งคู่ดูแปลกใจที่เห็นพวกเขาเช่นกัน
“ยังไม่ตายเหรอครับเนี่ย น่าแปลกใจจริง ๆ” ชายหนุ่มตีสีหน้าเย็นชาขณะมือยังชูแหวนดูดวิญญาณต่ออย่างไม่ทุกข์ร้อน
รีสเลย์จำได้ทันทีว่าสองคนนี้เขาเคยเห็นที่นาเลียมาก่อน ตอนนั้นเขาไม่ได้ตาฝาดไปจริง ๆ ด้วย ส่วนจีดัสเองก็เคยพบทั้งคู่ท่ามกลางสงครามเช่นกัน เรื่องราวทั้งหมดค่อย ๆ ปะติดปะต่อกันจนกระจ่าง
“เจ้าพวกนี้ดูเหมือนจะรู้ความจริงแล้วสินะ ฮิ ๆ ๆ” ตัวตลกประหลาดหัวเราะยียวน
“พวกแกเป็นใคร? ความจริงอะไรกัน” รีสเลย์ถามตะกุกตะกัก
“ความจริงที่พวกนี้คือตัวการของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไงล่ะ การลอบปลงพระชนม์พระราชินีอลิเซียคงเป็นฝีมือมันสองคน” จีดัสชิงเฉลย เขาพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วแม้จะยังไม่รู้ว่าอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชายปริศนาทั้งสอง
รีสเลย์หันมามองอย่างไม่เข้าใจ เขาจึงอธิบายขยายความให้ฟัง
“ฉันเคยไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วพบว่ามีเพียงคณะของราชินีกับบุคคลลึกลับอีกสองคนที่อยู่บริเวณนั้นเท่านั้น บางทีอาจจะเป็นสองคนนี้ก็ได้”
“ใช่ ๆ ฮี่ ๆ ถูกต้องแล้ว ฝีมือพวกข้าสองคนเองแหละ” เจ้าตัวตลกกอดอกพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย
รีสเลย์ได้ยินถึงกับหน้าถอดสี
...มันอะไรกัน ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย นี่ข้าโดนหลอกให้ทำสงครามกับโดนาเมสอย่างนั้นรึ...
“เพราะอะไรกัน ทำไมแกต้องฆ่าลูกเมียข้าด้วย ถ้าแค้นอะไรก็มาลงที่ข้านี่สิ” มังกรหนุ่มตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงทั้งโกรธแค้นและเจ็บช้ำ
ตัวตลกได้ฟังก็หัวเราะไม่หยุด “จะเฉลยให้ฟังก็แล้วกันนะ ไหน ๆ พวกแกก็จะตายกันแล้ว พวกเราแค่ต้องการวิญญาณจำนวนมากเท่านั้นแหละ เป็นไง? เหตุผลง่าย ๆ แค่นี้เอง ฮะฮ่า ๆ ๆ”
เมื่อได้ฟังคำพูดกวนประสาทของตัวตลกบวกเข้ากับเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของชายหนุ่ม รีสเรย์ก็เกิดบันดาลโทสะ แม้จะยังเจ็บหนักแต่เขาก็ฝืนพุ่งเข้าไปโดยหวังจะเล่นงานทั้งคู่ให้สมแค้น แต่ชายหนุ่มผมดำกลับเบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดายในขณะที่มือขวายังคงชูแหวนดูดวิญญาณอยู่ จีดัสเห็นดังนั้นจึงเข้าร่วมวงโดยไม่รีรอ แต่ก่อนที่จะเกิดการต่อสู้นองเลือดกันจริงจัง เสียงคำรามจากเทพปีศาจก็ดังสั่นสะเทือนไปทั่ว
หนุ่มหน้าอ่อนส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแสดงความเสียดาย ไม่รู้ว่าเสียดายเรื่องการรวบรวมวิญญาณซึ่งยังไม่เสร็จสิ้น หรือเสียดายที่ไม่ได้จัดการพวกเขาสองคนกันแน่ เขาลดแขนลงก่อนจะปัดแสงหิ่งห้อยให้ฟุ้งกระจายไปด้วยความรำคาญ
“เจ้านั่นดันตื่นก่อนเวลาซะได้ ทวีปนี้คงจบสิ้นแล้วล่ะครับ”
“อยู่ที่นี่ต่อเราอาจโดนลูกหลงไปด้วยก็ได้ งั้นเราหนีกันเถอะ ฮี่ ๆ ๆ”
เจ้าตัวตลกหัวเราะทิ้งท้ายอย่างน่าเกลียดก่อนที่ทั้งคู่จะหายวับไปต่อหน้าต่อตา รีสเลย์พยายามกระโดดคว้าตัวทั้งสองคนนั้นไว้แต่ก็คว้าโดนแค่อากาศ
“ว้าก!!!!” รีสเลย์แหกปากดังลั่น ฟาดฟันหอกและระเบิดพลังใส่ความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บใจพุ่งขึ้นสูงจากการที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้เลยจนอยากจะบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
จีดัสยืนเงียบไม่เอ่ยอะไรออกมา ปล่อยให้คนตรงหน้าระบายอารมณ์ให้เสร็จ เขาเข้าใจดีว่าในเวลานี้คำพูดใด ๆ ก็ไม่อาจช่วยบรรเทาบาดแผลในใจที่รีสเลย์ได้รับได้เลย เมื่อเห็นรีสเลย์ในสภาพนี้กลับทำให้เขาสงบได้อย่างน่าประหลาดราวกับความแค้นของเขาถูกชำระไปพร้อม ๆ กับการอาละวาดของคนตรงหน้าด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่งกระทั่งรีสเลย์หมดแรงจึงทรุดคุกเข่าลงนั่งหอบหายใจ ความอึดอัดใจบัดนี้เบาบางลงแล้วซึ่งทำให้เขาใจเย็นพอที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเอง
“รู้สึกดีขึ้นแล้วสินะ จะเจ็บใจจะแค้นใจเอาไว้หลังจากจัดการเจ้านั่นได้ก่อนดีกว่า” จีดัสชี้ไปที่ร่างของเทพปีศาจที่อยู่ไกลลิบซึ่งตอนนี้หยุดการเคลื่อนไหวไปแล้ว
“เจ้ามีแผนอย่างนั้นหรือ” รีสเลย์เงยหน้าขึ้นมามอง
“ไม่... แต่อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าควรทำอะไรต่อ” หนุ่มผมเงินยิ้มก่อนจะหยิบแว่นในอกเสื้อออกมาสวม “อา... ดีนะที่แว่นสำรองยังไม่แตก”
ความคิดเห็น