ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #67 : The Phonucorn ฟีนูคอน : มนต์ถัณฑิล – บทที่ ๒

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 226
      5
      25 ธ.ค. 59

     

    Title : The Phonucorn มนต์ถัณฑิล– บทที่ ๒

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Kai x DO

     

     

    บทที่ ๒

    The Phonucorn: มนต์ถัณฑิล

     

     

     

     

     

    หลังจากวันนั้นจงอินก็ไม่เคยมาให้คยองฮีเห็นอีกเลย แม้จะเป็นแค่การมองอยู่ตามมุมต่างๆก็ตามที เธอมองไปที่หลานชายที่ก็ยังคงใช้ชีวิตอาทิตย์สุดท้ายนอกรั้วมหาวิทยาลัยอย่างไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด อดไม่ได้ที่จะเข้าไปนั่งลงที่พื้นกับคยองซูที่สานตะกร้าหวายอยู่

     

    “นี่เราจะสานให้มือพังเลยรึไง”

     

    “หึหึ คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับอา ผมแค่อยากทำให้เสร็จก่อนปาปีโร่จะโตน่ะครับ เวลาผมไม่อยู่มันจะได้มีอะไรเอาไว้ใช้ช่วยเก็บ กลัวมันจะขี้เกียจแล้วไม่ยอมพยายามน่ะสิ”

     

    “เด็กดี”

     

    เธอยื่นมือออกไปลูบกลุ่มผมสีเข้มของหลานชาย ก่อนจะหยิบเอาหวายเหลามาสานช่วยอีกแรง คยองซูก้มหน้าก้มตาทำต่ออย่างจริงจัง ก่อนจะต้องเงยหน้าขึ้นมองอาสาว หลังคำถามที่เขาก็ไม่ได้ทบทวนมานานแล้ว

     

    “กับเด็กคนนั้น ที่เคยแบกปาปีโร่มาด้วยกันน่ะ สนิทกันมากเลยหรอที่มหาวิทยาลัย”

     

    “เอ่อ...ก็ไม่เชิงว่าสนิทกันที่มหาวิทยาลัยหรอกครับ จำแม่บ้านที่ดูแลผมตอนเด็กๆได้มั้ยครับ คุณป้าจงจินน่ะครับ”

     

    “คนเก่าแก่ที่สืบสายมาจากฝั่งแม่เราน่ะหรอ”

     

    “ครับ จงอินเขาเป็นลูกชายของคุณแม่บ้านน่ะครับ เมื่อก่อนก็เป็นเหมือนเพื่อนเล่นกันเลยครับ แต่เพราะผมต้องออกมาจากที่บ้านก็เลยกลายเป็นว่าห่างๆกันไป พอจะกลับมาคุยอีกครั้ง ก็ไม่รู้สึกสนิทใจแบบเมื่อก่อนแล้วน่ะ”

     

    “คิดไปเองหรือเปล่าว่าเขาห่างไป”

     

    คยองฮีถามออกไปเพราะอ่านใจเด็กหนุ่มออก นี่คงเป็นเหตุผลที่เด็กคนนั้นต้องมาตามหลานเธอตลอดร่วมสองปี เป็นเพราะว่าความรู้สึกที่ห่างไปมันมีแค่ฝ่ายคยองซูเท่านั้นที่สร้างขึ้น แต่สำหรับคนที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นกลับไม่เคยหยุดมองเลยแม้แต่วินาทีเดียว

     

    “พูดไปตอนนี้ก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอกครับ มันไม่สนิทใจแล้วจริงๆ”

     

    “แต่อาว่าเท่าที่เห็นวันนั้นก็ไม่ได้แย่นิ ไม่ลองกลับไปคุยกันเหรอ”

     

    “ก็...คิดว่าไม่ดีกว่าครับ”

     

    ร่างเล็กตอบออกมาอย่างคิดไม่ตก แต่เขาก็รู้ดีว่าปัญหาในบ้านเขาไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าให้เลือกจงอินที่ยังต้องอยู่ในรั้วนั้นก็คงไม่ลำบากใจที่ต้องคุยกับเขาเช่นกัน การทำเป็นเหมือนไม่รู้จักกันไปเลยมันอาจง่ายกว่าการพูดคุย จะให้เข้าไปพูดเรื่องเดิมๆเพื่อทำร้ายตนเองเขาก็ไม่ได้อยากทำเสียด้วย

     

    “คิดว่าไม่งั้นเหรอ ทั้งที่เขาเป็นเพื่อนของเราน่ะเหรอ”

     

    “เมื่อก่อนอาจจะใช่นะครับ แต่ตอนนี้จงอินก็ดูโอเคกับที่เราเป็นอยู่ ผมเลยไม่รู้ว่าจะพยายามเข้าหาเขาอยู่ฝ่ายเดียวไปทำไมน่ะสิ ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ แล้วค่อยมาเจอเมื่อสมควรแก่เวลาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆนะครับ”

     

    “เฮ้อ~ เด็กสมัยนี้เข้าใจอะไรกันยากจริงนะ”

     

    หญิงสาวอดที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้ เธอรู้สึกอึดอัดแทนเด็กทั้งสองเหลือเกิน ทั้งที่เธอแค่ดูก็รู้ว่าเหมือนทั้งสองจะมีใจให้กัน แต่กลับพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้ด้วยใจของเด็กทั้งสองไม่ยอมรับ

     

    “บางทีนะคยองซู เราอาจจะคิดแทนคนอื่นไม่ได้ก็ได้นะ”

     

    “ผมรู้ครับ”

     

    “ถ้ารู้ก็ลองคิดใหม่ดูสิ”

     

    “หึหึ อามีส่วนได้ส่วนเสียอะไรรึเปล่าครับ”

     

    คยองซูอดถามออกไปไม่ได้ เมื่อเห็นว่าอาสาวเอาแต่พูดเรื่องนี้ทั้งที่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วที่จงอินมาที่นี่ แถมวันนั้นก่อนกลับไปร่างสูงยังไม่คิดจะอยู่ลาเขาเลยสักนิด สำหรับจงอินแล้วหากเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบ้านหลังนั้น คงไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาตามดูแลหรือชวนคุยเลยสินะ แต่อย่างน้อยน่าจะรอรับคำขอบคุณจากเขาเสียหน่อย

     

    “เปล่าหรอก แค่ไม่อยากให้หลานคิดผิดน่ะ อาน่ะเลี้ยงหลานมาอาจจะไม่ได้นานซักเท่าไร แต่ใจของอาเนี่ยยกให้หลานเต็มๆเลยนะรู้มั้ย”

     

    “ขอบคุณมากนะครับอา แต่ผมคิดว่าเป็นแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ”

     

    “ก็...ตามนั้น!

     

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

     

    “ทำงานหนักไปรึเปล่าเนี่ยเรา แม่เห็นเราออกแต่เช้ากลับมืดค่ำหลายวันแล้ว”

     

    จงจินเอ่ยถามลูกชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน ทั้งที่นี่มันเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ดูไม่เหมือนว่านี่จะเป็นเวลาที่เด็กรุ่นเพิ่งกลับบ้านสักนิด จงอินไม่เถียงในสิ่งที่ผู้เป็นแม่บอก แต่กลับเดินไปกอดเอวนั้นไว้อย่างออดอ้อน

     

    “ก็ผมต้องหาเงินไว้เยอะๆนิ”

     

    “จะเอาอะไรก็บอกสิ แม่ไม่ได้เลี้ยงให้เราอดอยากเสียหน่อย”

     

    “ไม่ได้หรอก ผมตั้งใจจะส่งตัวเองเรียนนะ จะให้เสียความตั้งใจได้ไงล่ะแม่”

     

    “แล้วเป็นแบบนี้มันดีรึไง ทำให้แม่ไม่สบายใจน่ะ”

     

    “ขออีกแค่วันเดียวเอง เดี๋ยวก็จบงานนี้แล้ว สัญญาว่าจะกลับบ้านไวๆให้ดู”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยสัญญาออกไปเพราะเขาคิดว่าอย่างไรงานนี้ก็ใกล้เสร็จแล้ว เขารับจ้างไปสืบเรื่องของคนๆหนึ่งในเมืองโบโลนี แค่เดินทางไปเดินทางกลับก็กินแวลาไปมากแล้ว เมืองโบโลนีฝนตกแทบจะตลอดเวลาที่พวกสายฟ้าเดินทาง กว่าเขาจะก่อร่างได้ก็ใช้เวลานานไม่ใช่น้อย

     

    ...แถมยังเลอะโคลนไปหมดอีกด้วย...

     

    “มันจะได้สักกี่วัน จันทร์หน้าก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่รึไง แล้วนี่เรื่องการเลือกคณะเอก เราคิดได้รึยัง”

     

    “คิดว่าคิดได้แล้ว”

     

    “ไหนบอกให้ชื่นใจหน่อย ว่าลูกชายของแม่คิดจะเลือกสาขาไหน”

     

    “ผมตั้งใจจะเรียนคณะการสืบค้น”

     

    “เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยนะ แม่คิดว่าเราจะเลือกอะไรที่ดูไร้สาระกว่านี้เสียอีก เห็นเราเองก็สนใจวิถีของโซม่าไม่ใช่น้อยนิ”

     

    “ผมโตแล้วนะครับ จะให้มาคิดเอาแต่สนุกก็คงไม่ใช่หรอก”

     

    จงอินยักไหล่ให้ผู้เป็นแม่อย่างถือดี จริงๆเขาไม่ได้เพิ่งคิดว่าอยากจะเข้าคณะอะไร เมื่อก่อนจุดหมายในการเรียนสืบค้นของเขามันชัดเจนกว่านี้มาก แต่นับตั้งแต่คยองซูเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยฟีนูคอน ความคิดของเขามันก็เริ่มเอนเอียงไปที่สัตวะวิทยาและการใช้ชีวิตเป็นบางครา แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ได้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้งเมื่อหลายวันก่อน เขากลับมาคิดทบทวนแล้วว่าร่างเล็กไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับเขาขนาดนั้น

     

    ...แม้จะเป็นเหมือนทุกสิ่งมากว่าครึ่งชีวิตของเขาตอนนี้แล้วก็ตาม...

     

    “รู้ว่าโตแล้วก็ดี แม่ยังฝากความหวังไว้ที่เรานะ”

     

    “ผมไม่ทำให้แม่ผิดหวังอยู่แล้ว แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของผมหรอกนะครับ ผมไม่มีทางทำให้ผิดหวัง”

     

    “จ้าๆ”

     

    จงจินลูบศีรษะของลูกชายด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเอง ปล่อยให้จงอินไปหาอะไรทานในครัวของบ้านเอง แม้การเป็นอยู่ในรั้วบ้านตระกูลโดจะไม่ได้เลวร้าย แต่ใครก็อยากมีหุบเขาเป็นของตนเองจริงๆในโซม่า รวมไปถึงสองแม่ลูกที่ต้องสูญเสียบิดาเห็นแก่ตัวไปตั้งแต่ร่างสูงยังเล็กด้วย

     

    “สวัสดีนะพ่อ”

     

    ร่างสูงพูดออกไปเมื่อหันไปเห็นแท่นเคารพที่วางอยู่ตรงทางเดินกลางก่อนเข้าห้อง พ่อของเขาสิ้นชีพไปตั้งแต่เขาอายุเพียงห้าขวบ เนื่องจากหนีเหล่าผู้พิทักษ์เข้าไปยังเมืองฟิสิเพรส พ่อของเขาเป็นนักขายข่าวที่ถือว่าเก่งที่สุดบนฟีนูคอน เขาไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่บิดาทำมันผิดมากแค่ไหน มารู้ก็ตอนที่เขาเกือบสิบขวบที่โรงเรียนนั่นเอง

     

    “นี่ไงๆ จงอินที่พ่อขายข้อมูลของชาวฟีนูคอนให้ฟิสิเพรสโง่ๆหวังจะมาทำลายพวกเราน่ะ”

     

    “จริงเหรอ ฉันได้ยินมาว่าเขาก็โง่เหมือนกันที่หนีผู้พิทักษ์ไปในดักการเดินทางนี่”

     

    “ใช่ สิ้นชีพได้สยดสยองมากจริงๆนั่นแหล่ะ”

     

    จุดจบของเรื่องนั้นคือเขาซัดเพื่อนทั้งสองจนแทบจมกองเลือด ด้วยแรงโทสะที่มีมาตั้งแต่เล็ก และก็ทำให้ต้องมีปัญหากับเพื่อนร่วมรุ่นด้วยเรื่องแบบนี้มาตลอด หากแต่ทุกครั้งคนที่ปกป้องเขาด้วยคำพูดและการกระทำ ก็มีเพียงคยองซูเท่านั้นที่เข้ามาอยู่ข้างกัน นั่นจึงทำให้เขาเต็มใจที่จะรับใช้ร่างเล็กอย่างไร้ข้อสงสัย

     

    ...คนที่เป็นเหมือนคนเดียวที่เข้าใจเขามาตลอด...

     

    “ทำไม...ทำไมสุดท้ายคุณหนูถึงทิ้งผม”

     

    มือหนาลูบลงบนกระจกที่สะท้อนรูปของเขากับคยองซูในวัยเด็ก ตัวแทนความทรงจำอันน้อยนิดที่เขามีร่วมกับร่างเล็ก จงอินเหมือนคนบ้าที่ตามเก็บทุกอย่างที่เป็นของคนๆนี้เพียงคนเดียว เขาแอบเข้าไปในห้องของคยองซูหลังจากที่ร่างเล็กจากไป เก็บเอาทุกความทรงจำที่พอจะเหลืออยู่ใส่กระเป๋า แล้วเอามันกลับมารักษาไว้อย่างดีในลังไม้เก่าใต้เตียงที่ไม่มีใครกล้าเอาออกมาดู

     

    “ไปดูหน่อยดีมั้ยนะ”

     

    ความคิดถึงที่ไม่ได้ผ่านไปแอบดูตลอดหลายวัน ทำให้เผลอคิดอะไรที่ผิดเวลาไปมากขึ้นมาได้ รู้ทั้งรู้ว่าออกไปตอนนี้ก็คงเห็นแค่ไฟมืดๆของบ้านกลางป่า ทำได้แค่มองไปในหน้าต่างบางเล็กของห้องคยองซูแบบทุกทีที่แวะไปยามค่ำคืน

     

    ...แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...

     

    “ไปซักหน่อยก็ไม่เสียหายนิ”

     

    ขายาวออกวิ่งไปตามกิ่งไม้อย่างชำนาญไม่ใช่น้อย ก่อนจะหลบมุมตรงคอกโทร์ลที่หลังบ้านนั้น ย่องเข้าไปใกล้บ้านหลังน้อยมากขึ้น แล้วยกตัวปีนขึ้นไปตามหลังคาที่เคยทำมาสองสามครั้ง ใช้แขนเสื้อถูกับกระจกจนสะอาดจากฝ้า สองมืออังกระจกในความมืด แล้วใช้ตาคู่คมส่องเข้าไปภายในความมืด

     

    ...ทำตัวเหมือนสองพี่น้องที่แอบดูบ้านขนมปังไม่มีผิด...

     

    “หึหึ”

     

    เสียงทุ้มหลุดหัวเราะออกมา เมื่อภาพที่เขาเห็นคือร่างเล็กที่กำลังบิดไปมาอยู่บนเตียง แล้วก็กลับมานอนแผ่หลาอ้าขาออกกว้างอย่างทุกทีที่เคยมาแอบดู คยองซูเวลาหลับนั้นไม่ต่างจากเด็กสิบขวบเลยจริงๆ

     

    “คุณหนูนี่เด็กจริงๆ”

     

    “แต่เขาก็น่ารักไม่ใช่รึไง?”

     

    “เห้ย!

     

    ร่างสูงถอยหลังเกือบจะตกลงไปจากหลังคา ดีที่คยองฮีคว้าแขนแกร่งแล้วรั้งกลับมายืนได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง เธอส่ายหน้าให้กับอาการตกใจเกินจริงของเด็กหนุ่ม ก่อนจะล้อเลียนเขาด้วยการทำท่าส่องเข้าไปในกระจกแบบเดียวกันไม่มีผิด

     

    “แหม...เพิ่งจะรู้นะว่าวิธีนี้ทำให้เห็นภายในบ้านของฉันชัดขนาดนี้ ต้องขอบคุณที่ช่อยหาทางแอบดูคยองซูให้นะ”

     

    “อะ...เอ่อ...”

     

    “ถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอ ทำตัวเหมือนทำความผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ เธอก็มีมุมที่เหมือนเด็กเหมือนกันนะเด็กน้อย”

     

    “ผม...”

     

    “ฉันไม่ว่าอะไรเธอหรอกน่ะ ฉันเข้าใจว่าเธอทำไปเพราะอะไรนะ”

     

    หญิงสาวพูดจบก็โดดลงมาที่พื้นดินอีกครั้ง โดยมีจงอินที่ตอนนี้กำลังทำตัวไม่ถูกกระโดดตามลงมา เขาทำได้แค่มองตามหลังคยองฮีไปอย่างวางตัวไม่ถูก เป็นใครจะทำตัวปกติได้ลง ถึงเธอจะพูดออกมาว่าเข้าใจที่มาแอบดูหลานชายเธอแบบนี้ก็ตาม แต่ตัวเขาเองควรจะทำเหมือนว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติเหรอไง

     

    “เธอมาที่นี่บ่อย ฉันรู้เหตุผลนะ”

     

    “ขะ...ขอบคุณครับ”

     

    คำขอบคุณที่ร่างสูงคิดว่ามันโง่มากที่ปล่อยให้หลุดออกไป แต่เขาแค่อยากบอกว่าขอบคุณที่เข้าใจจริงๆ หญิงสาวระเบิดหัวเราะออกมาแทบจะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เธอพูดออกไปเพราะเห็นเขาประหม่า แต่ดูเหมือนเขาจะยิ่งประหม่ามากกว่าเก่าเสียอีก

     

    “ทำไมเธอต้องทำท่าทางเหมือนกลัวฉันเสียมากมาย”

     

    “ก็ผมกลัวคุณจริงๆนี่ครับ”

     

    “ฉันไม่ได้น่ากลัว ฉันเป็นคนเดียวในตระกูลโด ที่เธอมั่นใจเลยว่าเหมือนผู้วิเศษปกติที่สุดแล้วล่ะ”

     

    “ผมรู้”

     

    “รู้แต่ก็ยังกลัวฉันขนาดนี้เนี่ยนะ เหอะ!

     

    เสียงสบถของหญิงสาวยิ่งทำให้จงอินรนรานมากกว่าเก่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาท แต่เขารู้จริงๆว่าคยองฮีนั้นแตกต่างจากคนตระกูลโดคนอื่น แค่เพียงเปรียบเทียบกับพี่ชายของเธอ นั่นก็ราวกับว่าทั้งสองถูกเลี้ยงดูมาด้วยมารดาคนละคนเสียแล้ว เธอดูมีอิสระและเข้าใจธรรมชาติที่กำลังเป็นไป ในขณะที่คุณผู้ชายนั้นแสนจะโลกแคบเหลือเกิน

     

    “ผมขอโทษถ้าคำพูดผมทำให้คุณโกรธ”

     

    “ถ้าฉันจะโกรธเธอเรื่องนี้ สู้ฉันไปโกรธเธอที่แอบดูหลานชายของฉันจะยังดีกว่า ในเมื่อเรื่องนั้นฉันยังไม่โกรธเลย เธอจะมากลัวอะไรกับยัยแก่จุ้นจ้านแบบฉัน”

     

    “ผมไม่เห็นว่าคุณจะแก่”

     

    จงอินหลุดพูดความจริงออกไปอีกครั้ง เขาไม่เห็นความแก่ในตัวของคยองฮีเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่อายุก็ไม่น่าจะห่างจากพี่ชายของเธอมากนัก อาจจะเพราะสภาวะทางอารมณ์นั้นมีผลต่อสภาพผิว ตามที่เขาเคยได้เรียนผ่านตามาบ้าง

     

    “ว่าแต่เธอหายไปไหนมาเสียหลายวัน ฉันนึกว่าฉันทำให้เธอเลิกชอบคยองซูไปแล้วเสียอีก วันนั้นฉันไม่ได้พูดอะไรให้เธอลำบากใจนะ”

     

    “อะ...เอ่อ...ผะ...ผมไม่ได้ชอบคุณหนูนะครับ”

     

    “เอ้~ ไม่ต้องปิดไปหรอกน่ะ ฉันไม่ได้คิดมากเรื่องเพศหรอกนะ มีสัตว์บางประเภทที่มันจำเป็นต้องร่วมเพศเดียวกันเพื่อสืบเชื้อสายนะ ฉันน่ะเทิดทูลพวกที่ทำทุกอย่างเพื่อความรักของตนเองโดยไม่สนใจธรรมชาติที่เป็นของโลกใบนี้นะ”

     

    “เอ่อ?”

     

    “เธอคงไม่เข้าใจเรื่องทางกายภาพแบบนั้นสินะ ฉันก็ลืมไปว่าเธอไม่ใช่คยองซูเสียหน่อย จะมาเข้าใจทุกคำพูดของฉันได้ยังไงกัน”

     

    “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ผมรับฟังได้ทุกเรื่อง”

     

    “ขอบใจ ว่าแต่เธอยังไม่ตอบเลยว่าหายไปไหน”

     

    คยองฮีความจำดีขนาดที่เปลี่ยนเรื่องไปเสียไกลก็ยังลากเด็กหนุ่มกลับมาได้ ร่างสูงมองดวงหน้าสวยของสาวใหญ่ตรงหน้า คิดไม่ตกว่าจะบอกอย่างไรดีเกี่ยวกับงานของเขาที่ทำอยู่ มันดูไม่เหมือนงานที่เชิดหน้าชูตาใครได้สักเท่าไร

     

    ...งานของผมคือการเสือกเรื่องชาวบ้านน่ะครับ...

     

    แค่คิดจะพูดหน้าก็แทบจะแทรกลงดินแล้วกลับไปโผล่ที่บ้านเสียแล้ว เขาไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องของพ่อเขามากแค่ไหน เธออาจมองครอบครัวเขาในทางลบไปเลยก็ได้ หากรู้ว่าเขาก้าวท้าวเจริญรอยตามบิดาไปกว่าครึ่ง

     

    “ผมไปทำธุระมาน่ะครับ”

     

    “เรื่องเรียนเหรอ คยองซูบอกว่าเธอคือรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยนี่นนะ คงจะอยู่ปีสองล่ะสิท่า เพราะถ้าเป็นปีหนึ่งอย่างคยองซูคงจะไปรู้จักใครเขาไม่ได้หรอก”

     

    “ครับ ผมอยู่ปีสอง”

     

    “นี่คงไม่ได้วางแผนเรียนสัตวะวิทยาตามคยองซูหรอกใช่มั้ย?”

     

    จงอินยิ้มแห้งๆส่งไปให้กับคยองฮี อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้เมื่อเรื่องที่เธอพูดเคยอยู่ในหัวของเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ยังดีที่ในวันนี้เขาคิดได้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ตนเองเป็นอย่างนั้น เขาอาจจะมีเส้นทางของเขาที่แตกต่างจากคยองซู แต่เขาก็ยังสามารถตามดูร่างเล็กได้อยู่ดี

     

    “ไม่ครับ ผมจะเข้าการสืบค้นครับ”

     

    “อื้ม ก็ดูเป็นสาขาที่เหมาะกับนายดีนะ แต่ที่คิดจะเรียนอีกคณะคงไม่ได้คิดจะเลิกตามคยองซูใช่มั้ย”

     

    “ผะ...ผมไม่ได้ตามคุณหนูหรอกครับ ก็แค่แวะมาดูให้ตามคำสั่งของคุณท่าน”

     

    ร่างสูงโกหกคำโตออกไปเพราะไม่อยากให้เธอคิดเลยไปไกล อย่างไรเขาก็เป็นแค่ลูกชายของแม่บ้านประจำตระกูล ใครจะมองดีที่เขาคิดจะรักกับลูกชายเจ้าของบ้าน ถึงเธอจะไม่ถือเรื่องชนชั้นแต่อย่างไรเขาคงทำไม่ได้

     

    “คิดว่าฉันไม่รู้จักพี่ชายฉันเหรอ เขาไม่ส่งใครมาดูคยองซูหรอกน่ะ เขารู้ว่าคนแบบฉันมันลูกโซม่าเต็มตัว ไว้ใจได้”

     

    “ผม...”

     

    “เอาเถอะๆ ฉันไม่เซ้าซี้แล้วดีกว่า นี่มันดึกเกินไปแล้วล่ะ เธอเองก็กลับบ้านไปเถอะ เดี๋ยวเกิดแม่ตื่นมาดูลูกชายไม่เจอจะตกใจนะ”

     

    “ครับ”

     

    “ราตรีสวัสดิ์ จงอิน”

     

    “ราตรีสวัสครับคุณหมอคยองฮี”

     

    “อ่อ! แล้วก็ออกไปทางด้านหน้าจะดีกว่านะ เกิดโทร์ลพวกนั้นตื่นจะลำบาก”

     

    “ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

     

    จงอินคร่อมศีรษะลาหญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะออกจากเดียวกับที่เธอแนะนำ มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เธอเข้าใจอย่างที่เขาอยากให้เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าคยองซูเองก็จะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า คยองฮีเป็นหญิงสาวที่ฉลาดจนเขาเองก็เริ่มกังวลขึ้นมา ความรู้สึกที่เก็บซ่อนของเขา มันควรจะเป็นแค่เรื่องที่เขารู้ตลอดไป

     

    “หวังว่าคุณจะไม่ทำให้มันยุ่งยากขึ้นมาครับ...”

     

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

     

    เช้าที่คยองฮีต้องออกไปทำงานเพราะถูกเรียกตัวตั้งแต่ฟ้าไม่สว่าง เหลือเพียงร่างเล็กที่ยังคงเพียรสานตะกร้าให้โทร์ลน้อยเหมือนทุกวัน วันนี้ต่างหน่อยก็ตรงที่ปาปีโร่เข้ามานั่งเล่นเป็นเพื่อนเขาไม่ให้เขา เพราะมันเห็นว่าอาสาวออกไปจากบ้านแล้ว แม้จะมีเจ้าโทร์ลน้อยเป็นเพื่อน แต่มันก็ต่างจากที่คยองซูต้องการมากอยู่

     

    ...แค่จะคุยภาษาเดียวกันยังทำไม่ได้เลย...

     

    “รู้มั้ยว่าสิ่งที่ฉันทำอยู่ ใช้ยังไง”

     

    “โทร์ล?”

     

    “มันเอาไว้สะพาย แล้วก็ก้มลงไปเก็บผักที่หลังบ้านมาใส่นะ เวลาฉันไม่อยู่ที่บ้าน ปาปีโร่จะได้มีอุปกรณ์ช่วยเก็บไง”

     

    คยองซูไม่พูดเปล่า แต่ลุกขึ้นแบกกระเป๋าสานที่เกือบเสร็จขึ้นหลัง แล้วจำลองวิธีก้มเก็บผักใส่ตะกร้า ชี้ออกไปทางหลังบ้านแถมให้เห็นภาพแปลงผักที่บางชนิดก็โตพอจะเก็บแล้ว ปาปีโร่ดูแล้วหัวเราะชอบใจกับท่าทางของคยองซู ก่อนจะปรบมือเสียงดังจนบ้านไหวเล็กน้อย คยองวูต้องนั่งลงหาที่ยึดทั้งที่ฝืนยิ้มกลัวมันจะเสียใจ แต่อีกไม่กี่วันปาปีโร่ก็คงเหมือนโทร์ลตัวอื่น ที่ร่างกายใหญ่เกินกว่าจะเข้าบ้านหลังนี้แล้ว ถึงเวลานั้นเขาก็จะไม่ต้องกลัวบ้านทั้งหลังถล่มลงมา

     

    “โทร์ล~”

     

    ...อีกไม่นานหรอกคยองซู...

     

    ไม่ใช่ว่าร่างเล็กจะรังเกียจเพื่อนตัวยักษ์นี้ แต่สิ่งมีชีวิตนี้ไม่ได้ถือกำเนิดมาเพื่ออยู่ประปนกับผู้วิเศษได้ เขาไม่สามารถฝืนธรรมชาตินั้นได้เช่นกัน เมื่อถึงวัยหนึ่งโทร์ลที่อยู่เองตามธรรมชาติก็จะดุร้าย นี่คือเหตุผลที่เขาและอาสาวจำเป็นต้องเลี้ยงและปลูกฝังพวกมันตั้งแต่ยังเล็ก คยองฮีเคยบอกว่าเขานั้นดูจะเข้ากับพวกมันได้ดีกว่าเธอด้วยซ้ำ คนอื่นๆใช้เวลานานกว่าจะเข้ากับโทร์ลได้ แต่สำหรับเขามันง่ายเกินไปเสียด้วยซ้ำ

     

    “ปาปีโร่ ก่อนฉันกลับมหาวิทยาลัย เราไปเก็บผักด้วยกันนะ”

     

    “โทร์ล โทร์ล~”

     

    ใบหน้าของโทร์ลน้อยยับย่นเหมือนเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด มันดูเศร้าราวกับไม่อยากให้เขาจากบ้านหลังนี้ไป แม้มันจะเพียงแค่อาทิตย์ละห้าวันเท่านั้นก็ตาม คยองซูเอื้อมมือไปลูบศีรษะไร้ผมนั้นอย่างเบามือ มอบรอยยิ้มที่แสนอารีส่งไปให้

     

    “ไม่นานจริงๆ อาทิตย์เดียวก็เจอกันแล้ว”

     

    “โทร์ล~”

     

    “ถ้าเหงาก็ต้องปลูกผักเยอะๆนะ เวลาฉันกลับมาจะได้กินให้หายคิดถึงกันไปเลยไง นายต้องฝึกปลูกผักให้ดีเลยนะ”

     

    “โทร์ล! โทร์ล! โทร์ล!

     

    ท่าทางดีใจพร้อมพยักหน้าของปาปีโร่ ทำให้ร่างเล็กต้องยิ้มตามไปด้วยความรัก เขาคิดว่าปาปีโร่เข้าใจเขาในทุกๆคำพูด ไม่ใช่แค่ปาปีโร่ที่มักตอบรับกับสิ่งที่เขาพูด แต่พวกพี่น้องของมันก็มีท่าทีไม่ต่างกัน”

     

    “โทร์ล โทร์ล~”

     

    ปาปีโร่ดึงแขนเล็กเบาๆ ก่อนจะชี้ออกไปทางนอกหน้าต่าง เหมือนอยากจะชวนเขาให้ออกไปที่หลังบ้าน ซึ่งคยองซูแม้จะไม่อยากออกไปเท่าไร แต่ก็ยอมลุกไปตามแรงดึงนั้นอยู่ดี พอไปถึงแปลงผักหลังบ้าน ปาปีโร่ก็ก้มลงเก็บผลมะเขือเทศลูกใหญ่ ส่งให้คยองซูได้ลองทานเป็นคนแรก

     

    “โทร์ล”

     

    “ให้ฉันเหรอ มันเป็นผักที่นายปลูกเองสินะ”

     

    “โทร์ล โทร์ล”

     

    ร่างเล็กยิ้มรับกับท่าทางที่บอกว่าใช่ของมัน ก่อนจะเช็ดผิวที่เลอะดินกับชายเสื้อ กัดมันเข้าไปหนึ่งคำเล็ก แต่ก็รู้ดีว่ามะเขือเทศในมือนั้นคุณภาพดีมากแค่ไหน เผลอๆจะดีกว่าที่ชาวโซม่าหลายคนปลูกเสียอีก

     

    “เก่งมากเลยปาปีโร่ ปลูกผักได้อร่อยมากๆเลยนะ”

     

    “โทร์ล!

     

    “สัญญาว่าจะกลับมาทานทุกอาทิตย์ที่ทำได้เลย นายจะต้องเป็นชาวสวนที่ดีที่สุดของโซม่าแน่นอน”

     

    เสียงหวานเอ่ยชมไม่ขาดปาก ก่อนจะถูกโทร์ลน้อยยกขึ้นอุ้มจนตัวลอยด้วยความดีใจ มันเหวี่ยงร่างเล็กๆนั้นไปมาราวกับเด็ก ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความสุขกับทุกนาทีที่เหลืออยู่ด้วยกัน

     

    ...คยองซูเหมาะกับการเป็นผู้รับใช้จริงๆ...

                        

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

    The Phonucorn – chapter 4.2

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ไม่รู้มนต์ถันฑิลสนุกถูกใจมั้ยเอ่ย แต่อย่างไรฝากติดตามด้วยนะคะ หายไปนานคงยังไม่ลืมคุณหนูกับทาสรับใช้นะคะ^^

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×