คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #67 : The Phonucorn ฟีนูคอน : มนต์ถัณฑิล – บทที่ ๒
Title :
The Phonucorn
มนต์ถัณฑิล– บทที่ ๒
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Kai x DO
บทที่ ๒
The Phonucorn: มนต์ถัณฑิล
หลังจากวันนั้นจงอินก็ไม่เคยมาให้คยองฮีเห็นอีกเลย
แม้จะเป็นแค่การมองอยู่ตามมุมต่างๆก็ตามที เธอมองไปที่หลานชายที่ก็ยังคงใช้ชีวิตอาทิตย์สุดท้ายนอกรั้วมหาวิทยาลัยอย่างไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
อดไม่ได้ที่จะเข้าไปนั่งลงที่พื้นกับคยองซูที่สานตะกร้าหวายอยู่
“นี่เราจะสานให้มือพังเลยรึไง”
“หึหึ คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับอา
ผมแค่อยากทำให้เสร็จก่อนปาปีโร่จะโตน่ะครับ
เวลาผมไม่อยู่มันจะได้มีอะไรเอาไว้ใช้ช่วยเก็บ
กลัวมันจะขี้เกียจแล้วไม่ยอมพยายามน่ะสิ”
“เด็กดี”
เธอยื่นมือออกไปลูบกลุ่มผมสีเข้มของหลานชาย
ก่อนจะหยิบเอาหวายเหลามาสานช่วยอีกแรง คยองซูก้มหน้าก้มตาทำต่ออย่างจริงจัง
ก่อนจะต้องเงยหน้าขึ้นมองอาสาว หลังคำถามที่เขาก็ไม่ได้ทบทวนมานานแล้ว
“กับเด็กคนนั้น ที่เคยแบกปาปีโร่มาด้วยกันน่ะ
สนิทกันมากเลยหรอที่มหาวิทยาลัย”
“เอ่อ...ก็ไม่เชิงว่าสนิทกันที่มหาวิทยาลัยหรอกครับ
จำแม่บ้านที่ดูแลผมตอนเด็กๆได้มั้ยครับ คุณป้าจงจินน่ะครับ”
“คนเก่าแก่ที่สืบสายมาจากฝั่งแม่เราน่ะหรอ”
“ครับ จงอินเขาเป็นลูกชายของคุณแม่บ้านน่ะครับ
เมื่อก่อนก็เป็นเหมือนเพื่อนเล่นกันเลยครับ
แต่เพราะผมต้องออกมาจากที่บ้านก็เลยกลายเป็นว่าห่างๆกันไป พอจะกลับมาคุยอีกครั้ง
ก็ไม่รู้สึกสนิทใจแบบเมื่อก่อนแล้วน่ะ”
“คิดไปเองหรือเปล่าว่าเขาห่างไป”
คยองฮีถามออกไปเพราะอ่านใจเด็กหนุ่มออก
นี่คงเป็นเหตุผลที่เด็กคนนั้นต้องมาตามหลานเธอตลอดร่วมสองปี
เป็นเพราะว่าความรู้สึกที่ห่างไปมันมีแค่ฝ่ายคยองซูเท่านั้นที่สร้างขึ้น
แต่สำหรับคนที่ยืนอยู่ข้างหลังนั้นกลับไม่เคยหยุดมองเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“พูดไปตอนนี้ก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอกครับ
มันไม่สนิทใจแล้วจริงๆ”
“แต่อาว่าเท่าที่เห็นวันนั้นก็ไม่ได้แย่นิ
ไม่ลองกลับไปคุยกันเหรอ”
“ก็...คิดว่าไม่ดีกว่าครับ”
ร่างเล็กตอบออกมาอย่างคิดไม่ตก
แต่เขาก็รู้ดีว่าปัญหาในบ้านเขาไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าให้เลือกจงอินที่ยังต้องอยู่ในรั้วนั้นก็คงไม่ลำบากใจที่ต้องคุยกับเขาเช่นกัน
การทำเป็นเหมือนไม่รู้จักกันไปเลยมันอาจง่ายกว่าการพูดคุย
จะให้เข้าไปพูดเรื่องเดิมๆเพื่อทำร้ายตนเองเขาก็ไม่ได้อยากทำเสียด้วย
“คิดว่าไม่งั้นเหรอ
ทั้งที่เขาเป็นเพื่อนของเราน่ะเหรอ”
“เมื่อก่อนอาจจะใช่นะครับ
แต่ตอนนี้จงอินก็ดูโอเคกับที่เราเป็นอยู่
ผมเลยไม่รู้ว่าจะพยายามเข้าหาเขาอยู่ฝ่ายเดียวไปทำไมน่ะสิ ต่างคนต่างอยู่แบบนี้
แล้วค่อยมาเจอเมื่อสมควรแก่เวลาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆนะครับ”
“เฮ้อ~ เด็กสมัยนี้เข้าใจอะไรกันยากจริงนะ”
หญิงสาวอดที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้
เธอรู้สึกอึดอัดแทนเด็กทั้งสองเหลือเกิน
ทั้งที่เธอแค่ดูก็รู้ว่าเหมือนทั้งสองจะมีใจให้กัน
แต่กลับพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้ด้วยใจของเด็กทั้งสองไม่ยอมรับ
“บางทีนะคยองซู
เราอาจจะคิดแทนคนอื่นไม่ได้ก็ได้นะ”
“ผมรู้ครับ”
“ถ้ารู้ก็ลองคิดใหม่ดูสิ”
“หึหึ อามีส่วนได้ส่วนเสียอะไรรึเปล่าครับ”
คยองซูอดถามออกไปไม่ได้
เมื่อเห็นว่าอาสาวเอาแต่พูดเรื่องนี้ทั้งที่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วที่จงอินมาที่นี่
แถมวันนั้นก่อนกลับไปร่างสูงยังไม่คิดจะอยู่ลาเขาเลยสักนิด
สำหรับจงอินแล้วหากเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบ้านหลังนั้น
คงไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาตามดูแลหรือชวนคุยเลยสินะ
แต่อย่างน้อยน่าจะรอรับคำขอบคุณจากเขาเสียหน่อย
“เปล่าหรอก แค่ไม่อยากให้หลานคิดผิดน่ะ
อาน่ะเลี้ยงหลานมาอาจจะไม่ได้นานซักเท่าไร
แต่ใจของอาเนี่ยยกให้หลานเต็มๆเลยนะรู้มั้ย”
“ขอบคุณมากนะครับอา แต่ผมคิดว่าเป็นแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ”
“ก็...ตามนั้น!”
<<<
The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล
>>>
“ทำงานหนักไปรึเปล่าเนี่ยเรา
แม่เห็นเราออกแต่เช้ากลับมืดค่ำหลายวันแล้ว”
จงจินเอ่ยถามลูกชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน
ทั้งที่นี่มันเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว
ดูไม่เหมือนว่านี่จะเป็นเวลาที่เด็กรุ่นเพิ่งกลับบ้านสักนิด
จงอินไม่เถียงในสิ่งที่ผู้เป็นแม่บอก แต่กลับเดินไปกอดเอวนั้นไว้อย่างออดอ้อน
“ก็ผมต้องหาเงินไว้เยอะๆนิ”
“จะเอาอะไรก็บอกสิ
แม่ไม่ได้เลี้ยงให้เราอดอยากเสียหน่อย”
“ไม่ได้หรอก ผมตั้งใจจะส่งตัวเองเรียนนะ
จะให้เสียความตั้งใจได้ไงล่ะแม่”
“แล้วเป็นแบบนี้มันดีรึไง
ทำให้แม่ไม่สบายใจน่ะ”
“ขออีกแค่วันเดียวเอง เดี๋ยวก็จบงานนี้แล้ว
สัญญาว่าจะกลับบ้านไวๆให้ดู”
เสียงทุ้มเอ่ยสัญญาออกไปเพราะเขาคิดว่าอย่างไรงานนี้ก็ใกล้เสร็จแล้ว
เขารับจ้างไปสืบเรื่องของคนๆหนึ่งในเมืองโบโลนี แค่เดินทางไปเดินทางกลับก็กินแวลาไปมากแล้ว
เมืองโบโลนีฝนตกแทบจะตลอดเวลาที่พวกสายฟ้าเดินทาง
กว่าเขาจะก่อร่างได้ก็ใช้เวลานานไม่ใช่น้อย
...แถมยังเลอะโคลนไปหมดอีกด้วย...
“มันจะได้สักกี่วัน
จันทร์หน้าก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่รึไง แล้วนี่เรื่องการเลือกคณะเอก
เราคิดได้รึยัง”
“คิดว่าคิดได้แล้ว”
“ไหนบอกให้ชื่นใจหน่อย
ว่าลูกชายของแม่คิดจะเลือกสาขาไหน”
“ผมตั้งใจจะเรียนคณะการสืบค้น”
“เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยนะ
แม่คิดว่าเราจะเลือกอะไรที่ดูไร้สาระกว่านี้เสียอีก
เห็นเราเองก็สนใจวิถีของโซม่าไม่ใช่น้อยนิ”
“ผมโตแล้วนะครับ จะให้มาคิดเอาแต่สนุกก็คงไม่ใช่หรอก”
จงอินยักไหล่ให้ผู้เป็นแม่อย่างถือดี
จริงๆเขาไม่ได้เพิ่งคิดว่าอยากจะเข้าคณะอะไร
เมื่อก่อนจุดหมายในการเรียนสืบค้นของเขามันชัดเจนกว่านี้มาก
แต่นับตั้งแต่คยองซูเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยฟีนูคอน
ความคิดของเขามันก็เริ่มเอนเอียงไปที่สัตวะวิทยาและการใช้ชีวิตเป็นบางครา
แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ได้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้งเมื่อหลายวันก่อน
เขากลับมาคิดทบทวนแล้วว่าร่างเล็กไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับเขาขนาดนั้น
...แม้จะเป็นเหมือนทุกสิ่งมากว่าครึ่งชีวิตของเขาตอนนี้แล้วก็ตาม...
“รู้ว่าโตแล้วก็ดี แม่ยังฝากความหวังไว้ที่เรานะ”
“ผมไม่ทำให้แม่ผิดหวังอยู่แล้ว
แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของผมหรอกนะครับ ผมไม่มีทางทำให้ผิดหวัง”
“จ้าๆ”
จงจินลูบศีรษะของลูกชายด้วยความหมั่นเขี้ยว
ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเอง ปล่อยให้จงอินไปหาอะไรทานในครัวของบ้านเอง
แม้การเป็นอยู่ในรั้วบ้านตระกูลโดจะไม่ได้เลวร้าย
แต่ใครก็อยากมีหุบเขาเป็นของตนเองจริงๆในโซม่า
รวมไปถึงสองแม่ลูกที่ต้องสูญเสียบิดาเห็นแก่ตัวไปตั้งแต่ร่างสูงยังเล็กด้วย
“สวัสดีนะพ่อ”
ร่างสูงพูดออกไปเมื่อหันไปเห็นแท่นเคารพที่วางอยู่ตรงทางเดินกลางก่อนเข้าห้อง
พ่อของเขาสิ้นชีพไปตั้งแต่เขาอายุเพียงห้าขวบ
เนื่องจากหนีเหล่าผู้พิทักษ์เข้าไปยังเมืองฟิสิเพรส
พ่อของเขาเป็นนักขายข่าวที่ถือว่าเก่งที่สุดบนฟีนูคอน
เขาไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่บิดาทำมันผิดมากแค่ไหน
มารู้ก็ตอนที่เขาเกือบสิบขวบที่โรงเรียนนั่นเอง
“นี่ไงๆ จงอินที่พ่อขายข้อมูลของชาวฟีนูคอนให้ฟิสิเพรสโง่ๆหวังจะมาทำลายพวกเราน่ะ”
“จริงเหรอ
ฉันได้ยินมาว่าเขาก็โง่เหมือนกันที่หนีผู้พิทักษ์ไปในดักการเดินทางนี่”
“ใช่ สิ้นชีพได้สยดสยองมากจริงๆนั่นแหล่ะ”
จุดจบของเรื่องนั้นคือเขาซัดเพื่อนทั้งสองจนแทบจมกองเลือด
ด้วยแรงโทสะที่มีมาตั้งแต่เล็ก
และก็ทำให้ต้องมีปัญหากับเพื่อนร่วมรุ่นด้วยเรื่องแบบนี้มาตลอด
หากแต่ทุกครั้งคนที่ปกป้องเขาด้วยคำพูดและการกระทำ
ก็มีเพียงคยองซูเท่านั้นที่เข้ามาอยู่ข้างกัน
นั่นจึงทำให้เขาเต็มใจที่จะรับใช้ร่างเล็กอย่างไร้ข้อสงสัย
...คนที่เป็นเหมือนคนเดียวที่เข้าใจเขามาตลอด...
“ทำไม...ทำไมสุดท้ายคุณหนูถึงทิ้งผม”
มือหนาลูบลงบนกระจกที่สะท้อนรูปของเขากับคยองซูในวัยเด็ก
ตัวแทนความทรงจำอันน้อยนิดที่เขามีร่วมกับร่างเล็ก
จงอินเหมือนคนบ้าที่ตามเก็บทุกอย่างที่เป็นของคนๆนี้เพียงคนเดียว
เขาแอบเข้าไปในห้องของคยองซูหลังจากที่ร่างเล็กจากไป
เก็บเอาทุกความทรงจำที่พอจะเหลืออยู่ใส่กระเป๋า
แล้วเอามันกลับมารักษาไว้อย่างดีในลังไม้เก่าใต้เตียงที่ไม่มีใครกล้าเอาออกมาดู
“ไปดูหน่อยดีมั้ยนะ”
ความคิดถึงที่ไม่ได้ผ่านไปแอบดูตลอดหลายวัน
ทำให้เผลอคิดอะไรที่ผิดเวลาไปมากขึ้นมาได้ รู้ทั้งรู้ว่าออกไปตอนนี้ก็คงเห็นแค่ไฟมืดๆของบ้านกลางป่า
ทำได้แค่มองไปในหน้าต่างบางเล็กของห้องคยองซูแบบทุกทีที่แวะไปยามค่ำคืน
...แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...
“ไปซักหน่อยก็ไม่เสียหายนิ”
ขายาวออกวิ่งไปตามกิ่งไม้อย่างชำนาญไม่ใช่น้อย
ก่อนจะหลบมุมตรงคอกโทร์ลที่หลังบ้านนั้น ย่องเข้าไปใกล้บ้านหลังน้อยมากขึ้น
แล้วยกตัวปีนขึ้นไปตามหลังคาที่เคยทำมาสองสามครั้ง
ใช้แขนเสื้อถูกับกระจกจนสะอาดจากฝ้า สองมืออังกระจกในความมืด
แล้วใช้ตาคู่คมส่องเข้าไปภายในความมืด
...ทำตัวเหมือนสองพี่น้องที่แอบดูบ้านขนมปังไม่มีผิด...
“หึหึ”
เสียงทุ้มหลุดหัวเราะออกมา
เมื่อภาพที่เขาเห็นคือร่างเล็กที่กำลังบิดไปมาอยู่บนเตียง
แล้วก็กลับมานอนแผ่หลาอ้าขาออกกว้างอย่างทุกทีที่เคยมาแอบดู
คยองซูเวลาหลับนั้นไม่ต่างจากเด็กสิบขวบเลยจริงๆ
“คุณหนูนี่เด็กจริงๆ”
“แต่เขาก็น่ารักไม่ใช่รึไง?”
“เห้ย!”
ร่างสูงถอยหลังเกือบจะตกลงไปจากหลังคา
ดีที่คยองฮีคว้าแขนแกร่งแล้วรั้งกลับมายืนได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง
เธอส่ายหน้าให้กับอาการตกใจเกินจริงของเด็กหนุ่ม
ก่อนจะล้อเลียนเขาด้วยการทำท่าส่องเข้าไปในกระจกแบบเดียวกันไม่มีผิด
“แหม...เพิ่งจะรู้นะว่าวิธีนี้ทำให้เห็นภายในบ้านของฉันชัดขนาดนี้
ต้องขอบคุณที่ช่อยหาทางแอบดูคยองซูให้นะ”
“อะ...เอ่อ...”
“ถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอ
ทำตัวเหมือนทำความผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้
เธอก็มีมุมที่เหมือนเด็กเหมือนกันนะเด็กน้อย”
“ผม...”
“ฉันไม่ว่าอะไรเธอหรอกน่ะ
ฉันเข้าใจว่าเธอทำไปเพราะอะไรนะ”
หญิงสาวพูดจบก็โดดลงมาที่พื้นดินอีกครั้ง
โดยมีจงอินที่ตอนนี้กำลังทำตัวไม่ถูกกระโดดตามลงมา
เขาทำได้แค่มองตามหลังคยองฮีไปอย่างวางตัวไม่ถูก เป็นใครจะทำตัวปกติได้ลง
ถึงเธอจะพูดออกมาว่าเข้าใจที่มาแอบดูหลานชายเธอแบบนี้ก็ตาม
แต่ตัวเขาเองควรจะทำเหมือนว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติเหรอไง
“เธอมาที่นี่บ่อย ฉันรู้เหตุผลนะ”
“ขะ...ขอบคุณครับ”
คำขอบคุณที่ร่างสูงคิดว่ามันโง่มากที่ปล่อยให้หลุดออกไป
แต่เขาแค่อยากบอกว่าขอบคุณที่เข้าใจจริงๆ หญิงสาวระเบิดหัวเราะออกมาแทบจะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
เธอพูดออกไปเพราะเห็นเขาประหม่า แต่ดูเหมือนเขาจะยิ่งประหม่ามากกว่าเก่าเสียอีก
“ทำไมเธอต้องทำท่าทางเหมือนกลัวฉันเสียมากมาย”
“ก็ผมกลัวคุณจริงๆนี่ครับ”
“ฉันไม่ได้น่ากลัว ฉันเป็นคนเดียวในตระกูลโด ที่เธอมั่นใจเลยว่าเหมือนผู้วิเศษปกติที่สุดแล้วล่ะ”
“ผมรู้”
“รู้แต่ก็ยังกลัวฉันขนาดนี้เนี่ยนะ เหอะ!”
เสียงสบถของหญิงสาวยิ่งทำให้จงอินรนรานมากกว่าเก่า
เขาไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาท
แต่เขารู้จริงๆว่าคยองฮีนั้นแตกต่างจากคนตระกูลโดคนอื่น
แค่เพียงเปรียบเทียบกับพี่ชายของเธอ
นั่นก็ราวกับว่าทั้งสองถูกเลี้ยงดูมาด้วยมารดาคนละคนเสียแล้ว
เธอดูมีอิสระและเข้าใจธรรมชาติที่กำลังเป็นไป
ในขณะที่คุณผู้ชายนั้นแสนจะโลกแคบเหลือเกิน
“ผมขอโทษถ้าคำพูดผมทำให้คุณโกรธ”
“ถ้าฉันจะโกรธเธอเรื่องนี้ สู้ฉันไปโกรธเธอที่แอบดูหลานชายของฉันจะยังดีกว่า
ในเมื่อเรื่องนั้นฉันยังไม่โกรธเลย เธอจะมากลัวอะไรกับยัยแก่จุ้นจ้านแบบฉัน”
“ผมไม่เห็นว่าคุณจะแก่”
จงอินหลุดพูดความจริงออกไปอีกครั้ง
เขาไม่เห็นความแก่ในตัวของคยองฮีเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่อายุก็ไม่น่าจะห่างจากพี่ชายของเธอมากนัก
อาจจะเพราะสภาวะทางอารมณ์นั้นมีผลต่อสภาพผิว ตามที่เขาเคยได้เรียนผ่านตามาบ้าง
“ว่าแต่เธอหายไปไหนมาเสียหลายวัน
ฉันนึกว่าฉันทำให้เธอเลิกชอบคยองซูไปแล้วเสียอีก
วันนั้นฉันไม่ได้พูดอะไรให้เธอลำบากใจนะ”
“อะ...เอ่อ...ผะ...ผมไม่ได้ชอบคุณหนูนะครับ”
“เอ้~ ไม่ต้องปิดไปหรอกน่ะ
ฉันไม่ได้คิดมากเรื่องเพศหรอกนะ
มีสัตว์บางประเภทที่มันจำเป็นต้องร่วมเพศเดียวกันเพื่อสืบเชื้อสายนะ
ฉันน่ะเทิดทูลพวกที่ทำทุกอย่างเพื่อความรักของตนเองโดยไม่สนใจธรรมชาติที่เป็นของโลกใบนี้นะ”
“เอ่อ?”
“เธอคงไม่เข้าใจเรื่องทางกายภาพแบบนั้นสินะ
ฉันก็ลืมไปว่าเธอไม่ใช่คยองซูเสียหน่อย จะมาเข้าใจทุกคำพูดของฉันได้ยังไงกัน”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ
ผมรับฟังได้ทุกเรื่อง”
“ขอบใจ ว่าแต่เธอยังไม่ตอบเลยว่าหายไปไหน”
คยองฮีความจำดีขนาดที่เปลี่ยนเรื่องไปเสียไกลก็ยังลากเด็กหนุ่มกลับมาได้
ร่างสูงมองดวงหน้าสวยของสาวใหญ่ตรงหน้า
คิดไม่ตกว่าจะบอกอย่างไรดีเกี่ยวกับงานของเขาที่ทำอยู่
มันดูไม่เหมือนงานที่เชิดหน้าชูตาใครได้สักเท่าไร
...งานของผมคือการเสือกเรื่องชาวบ้านน่ะครับ...
แค่คิดจะพูดหน้าก็แทบจะแทรกลงดินแล้วกลับไปโผล่ที่บ้านเสียแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องของพ่อเขามากแค่ไหน
เธออาจมองครอบครัวเขาในทางลบไปเลยก็ได้
หากรู้ว่าเขาก้าวท้าวเจริญรอยตามบิดาไปกว่าครึ่ง
“ผมไปทำธุระมาน่ะครับ”
“เรื่องเรียนเหรอ
คยองซูบอกว่าเธอคือรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยนี่นนะ คงจะอยู่ปีสองล่ะสิท่า
เพราะถ้าเป็นปีหนึ่งอย่างคยองซูคงจะไปรู้จักใครเขาไม่ได้หรอก”
“ครับ ผมอยู่ปีสอง”
“นี่คงไม่ได้วางแผนเรียนสัตวะวิทยาตามคยองซูหรอกใช่มั้ย?”
จงอินยิ้มแห้งๆส่งไปให้กับคยองฮี
อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้เมื่อเรื่องที่เธอพูดเคยอยู่ในหัวของเขาอยู่ช่วงหนึ่ง
ยังดีที่ในวันนี้เขาคิดได้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ตนเองเป็นอย่างนั้น เขาอาจจะมีเส้นทางของเขาที่แตกต่างจากคยองซู
แต่เขาก็ยังสามารถตามดูร่างเล็กได้อยู่ดี
“ไม่ครับ ผมจะเข้าการสืบค้นครับ”
“อื้ม ก็ดูเป็นสาขาที่เหมาะกับนายดีนะ
แต่ที่คิดจะเรียนอีกคณะคงไม่ได้คิดจะเลิกตามคยองซูใช่มั้ย”
“ผะ...ผมไม่ได้ตามคุณหนูหรอกครับ
ก็แค่แวะมาดูให้ตามคำสั่งของคุณท่าน”
ร่างสูงโกหกคำโตออกไปเพราะไม่อยากให้เธอคิดเลยไปไกล
อย่างไรเขาก็เป็นแค่ลูกชายของแม่บ้านประจำตระกูล
ใครจะมองดีที่เขาคิดจะรักกับลูกชายเจ้าของบ้าน
ถึงเธอจะไม่ถือเรื่องชนชั้นแต่อย่างไรเขาคงทำไม่ได้
“คิดว่าฉันไม่รู้จักพี่ชายฉันเหรอ เขาไม่ส่งใครมาดูคยองซูหรอกน่ะ
เขารู้ว่าคนแบบฉันมันลูกโซม่าเต็มตัว ไว้ใจได้”
“ผม...”
“เอาเถอะๆ ฉันไม่เซ้าซี้แล้วดีกว่า
นี่มันดึกเกินไปแล้วล่ะ เธอเองก็กลับบ้านไปเถอะ
เดี๋ยวเกิดแม่ตื่นมาดูลูกชายไม่เจอจะตกใจนะ”
“ครับ”
“ราตรีสวัสดิ์ จงอิน”
“ราตรีสวัสครับคุณหมอคยองฮี”
“อ่อ!
แล้วก็ออกไปทางด้านหน้าจะดีกว่านะ เกิดโทร์ลพวกนั้นตื่นจะลำบาก”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”
จงอินคร่อมศีรษะลาหญิงสาวอีกครั้ง
ก่อนจะออกจากเดียวกับที่เธอแนะนำ มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เธอเข้าใจอย่างที่เขาอยากให้เข้าใจ
เขาไม่รู้ว่าคยองซูเองก็จะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า
คยองฮีเป็นหญิงสาวที่ฉลาดจนเขาเองก็เริ่มกังวลขึ้นมา ความรู้สึกที่เก็บซ่อนของเขา
มันควรจะเป็นแค่เรื่องที่เขารู้ตลอดไป
“หวังว่าคุณจะไม่ทำให้มันยุ่งยากขึ้นมาครับ...”
<<<
The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล
>>>
เช้าที่คยองฮีต้องออกไปทำงานเพราะถูกเรียกตัวตั้งแต่ฟ้าไม่สว่าง
เหลือเพียงร่างเล็กที่ยังคงเพียรสานตะกร้าให้โทร์ลน้อยเหมือนทุกวัน
วันนี้ต่างหน่อยก็ตรงที่ปาปีโร่เข้ามานั่งเล่นเป็นเพื่อนเขาไม่ให้เขา
เพราะมันเห็นว่าอาสาวออกไปจากบ้านแล้ว แม้จะมีเจ้าโทร์ลน้อยเป็นเพื่อน
แต่มันก็ต่างจากที่คยองซูต้องการมากอยู่
...แค่จะคุยภาษาเดียวกันยังทำไม่ได้เลย...
“รู้มั้ยว่าสิ่งที่ฉันทำอยู่ ใช้ยังไง”
“โทร์ล?”
“มันเอาไว้สะพาย
แล้วก็ก้มลงไปเก็บผักที่หลังบ้านมาใส่นะ เวลาฉันไม่อยู่ที่บ้าน
ปาปีโร่จะได้มีอุปกรณ์ช่วยเก็บไง”
คยองซูไม่พูดเปล่า
แต่ลุกขึ้นแบกกระเป๋าสานที่เกือบเสร็จขึ้นหลัง แล้วจำลองวิธีก้มเก็บผักใส่ตะกร้า ชี้ออกไปทางหลังบ้านแถมให้เห็นภาพแปลงผักที่บางชนิดก็โตพอจะเก็บแล้ว
ปาปีโร่ดูแล้วหัวเราะชอบใจกับท่าทางของคยองซู
ก่อนจะปรบมือเสียงดังจนบ้านไหวเล็กน้อย
คยองวูต้องนั่งลงหาที่ยึดทั้งที่ฝืนยิ้มกลัวมันจะเสียใจ
แต่อีกไม่กี่วันปาปีโร่ก็คงเหมือนโทร์ลตัวอื่น ที่ร่างกายใหญ่เกินกว่าจะเข้าบ้านหลังนี้แล้ว
ถึงเวลานั้นเขาก็จะไม่ต้องกลัวบ้านทั้งหลังถล่มลงมา
“โทร์ล~”
...อีกไม่นานหรอกคยองซู...
ไม่ใช่ว่าร่างเล็กจะรังเกียจเพื่อนตัวยักษ์นี้
แต่สิ่งมีชีวิตนี้ไม่ได้ถือกำเนิดมาเพื่ออยู่ประปนกับผู้วิเศษได้
เขาไม่สามารถฝืนธรรมชาตินั้นได้เช่นกัน
เมื่อถึงวัยหนึ่งโทร์ลที่อยู่เองตามธรรมชาติก็จะดุร้าย
นี่คือเหตุผลที่เขาและอาสาวจำเป็นต้องเลี้ยงและปลูกฝังพวกมันตั้งแต่ยังเล็ก
คยองฮีเคยบอกว่าเขานั้นดูจะเข้ากับพวกมันได้ดีกว่าเธอด้วยซ้ำ
คนอื่นๆใช้เวลานานกว่าจะเข้ากับโทร์ลได้ แต่สำหรับเขามันง่ายเกินไปเสียด้วยซ้ำ
“ปาปีโร่ ก่อนฉันกลับมหาวิทยาลัย
เราไปเก็บผักด้วยกันนะ”
“โทร์ล โทร์ล~”
ใบหน้าของโทร์ลน้อยยับย่นเหมือนเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
มันดูเศร้าราวกับไม่อยากให้เขาจากบ้านหลังนี้ไป
แม้มันจะเพียงแค่อาทิตย์ละห้าวันเท่านั้นก็ตาม คยองซูเอื้อมมือไปลูบศีรษะไร้ผมนั้นอย่างเบามือ
มอบรอยยิ้มที่แสนอารีส่งไปให้
“ไม่นานจริงๆ อาทิตย์เดียวก็เจอกันแล้ว”
“โทร์ล~”
“ถ้าเหงาก็ต้องปลูกผักเยอะๆนะ
เวลาฉันกลับมาจะได้กินให้หายคิดถึงกันไปเลยไง นายต้องฝึกปลูกผักให้ดีเลยนะ”
“โทร์ล! โทร์ล!
โทร์ล!”
ท่าทางดีใจพร้อมพยักหน้าของปาปีโร่
ทำให้ร่างเล็กต้องยิ้มตามไปด้วยความรัก เขาคิดว่าปาปีโร่เข้าใจเขาในทุกๆคำพูด
ไม่ใช่แค่ปาปีโร่ที่มักตอบรับกับสิ่งที่เขาพูด
แต่พวกพี่น้องของมันก็มีท่าทีไม่ต่างกัน”
“โทร์ล โทร์ล~”
ปาปีโร่ดึงแขนเล็กเบาๆ
ก่อนจะชี้ออกไปทางนอกหน้าต่าง เหมือนอยากจะชวนเขาให้ออกไปที่หลังบ้าน
ซึ่งคยองซูแม้จะไม่อยากออกไปเท่าไร แต่ก็ยอมลุกไปตามแรงดึงนั้นอยู่ดี
พอไปถึงแปลงผักหลังบ้าน ปาปีโร่ก็ก้มลงเก็บผลมะเขือเทศลูกใหญ่
ส่งให้คยองซูได้ลองทานเป็นคนแรก
“โทร์ล”
“ให้ฉันเหรอ มันเป็นผักที่นายปลูกเองสินะ”
“โทร์ล โทร์ล”
ร่างเล็กยิ้มรับกับท่าทางที่บอกว่าใช่ของมัน
ก่อนจะเช็ดผิวที่เลอะดินกับชายเสื้อ กัดมันเข้าไปหนึ่งคำเล็ก
แต่ก็รู้ดีว่ามะเขือเทศในมือนั้นคุณภาพดีมากแค่ไหน
เผลอๆจะดีกว่าที่ชาวโซม่าหลายคนปลูกเสียอีก
“เก่งมากเลยปาปีโร่
ปลูกผักได้อร่อยมากๆเลยนะ”
“โทร์ล!”
“สัญญาว่าจะกลับมาทานทุกอาทิตย์ที่ทำได้เลย
นายจะต้องเป็นชาวสวนที่ดีที่สุดของโซม่าแน่นอน”
เสียงหวานเอ่ยชมไม่ขาดปาก
ก่อนจะถูกโทร์ลน้อยยกขึ้นอุ้มจนตัวลอยด้วยความดีใจ
มันเหวี่ยงร่างเล็กๆนั้นไปมาราวกับเด็ก
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความสุขกับทุกนาทีที่เหลืออยู่ด้วยกัน
...คยองซูเหมาะกับการเป็นผู้รับใช้จริงๆ...
<<<
The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล
>>>
The
Phonucorn – chapter 4.2
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ไม่รู้มนต์ถันฑิลสนุกถูกใจมั้ยเอ่ย
แต่อย่างไรฝากติดตามด้วยนะคะ หายไปนานคงยังไม่ลืมคุณหนูกับทาสรับใช้นะคะ^^
ความคิดเห็น