ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #66 : The Phonucorn ฟีนูคอน : มนต์ถัณฑิล – บทที่ ๑

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 258
      5
      26 ส.ค. 59

     

    Title : The Phonucorn มนต์ถัณฑิล– บทที่ ๑

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Kai x DO

     

     

    บทที่ ๑

    The Phonucorn มนต์ถัณฑิล : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    “อาทิตย์หน้าก็จะเปิดเทอมแล้วใช่มั้ยคยองซู”

     

    “ครับ”

     

    “หลานต้องซื้ออุปกรณ์การเรียนอะไรใหม่มั้ย”

     

    “นิดหน่อยครับ ผมกะว่าจะไปหาดูในตลาดช่วงสายๆนี้แหล่ะ”

     

    “รีบไปซื้อนะคนดี เดี๋ยวเพื่อนๆจะซื้อมันไปเสียหมดก่อน”

     

    คำพูดหยอกล้อนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคยองซูที่ยืนล้างจานอยู่ได้ไม่ใช่น้อย ใครๆต่างก็รู้ดีว่าสาขาสัตวะวิทยาและสิ่งมีชีวิตที่เขาเรียนนั้นแทบไม่มีนักศึกษาเลย ซึ่งแทบจะเป็นชั้นเรียนเดียวในมหาวิทยาลัย ที่ไม่ต้องกระตือรือร้นกับการหาอุปกรณ์การเรียนมากมายนัก

     

    “อือ อาบอกหลานรึยังว่าอาทิตย์หน้าก็มีวันรวมญาติ คุณย่าส่งจดหมายมาให้พวกเราด้วยนะ และ อาคิดว่าอาจะไปร่วมงานประจำปีของตระกูลเราเสียหน่อย”

     

    “ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่พร้อม”

     

    รอยยิ้มที่เคยสดใสพลันหายไปในทันทีที่ได้ยินคำบอกกล่าวนั้น อาสาวเองก็ได้แต่นิ่งไปเพื่อรอรับคำตอบจากปากหลาน ยิ่งได้ยินคำตอบเดิมก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา คยองซูหนีหน้าจากการกลับไปพบครอบครัวมาร่วมสามปีแล้ว ทั้งที่เธอเพียรพูดอยู่หลายต่อหลายครั้งให้ยอมรับความจริง

     

    “เฮ้อ~ จริงๆอาก็อยากจะพูดว่าแล้วแต่หลานสะดวกนะ แต่บอกตามตรงว่าอาคิดว่ามันนานเกินไปแล้ว หลานทำเหมือนหลานไม่ใช่คนในตระกูลเดียวกับทุกคน รู้อะไรมั้ยคยองซู หลานทำแบบนี้ไปไม่ได้จนสิ้นชีพหรอก”

     

    “ผมรู้ครับ แต่คิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกหน่อย”

     

    “หลานใช้มันมาหลายหน่อยแล้ว มากเกินไปแล้วด้วยซ้ำนะ”

     

    “อีกไม่นานจริงๆครับสัญญา”

     

    “เอาเถอะ เดี๋ยวอาจะช่วยบอกคนอื่นให้ว่าหลานเปิดเทอมแล้ว เหมือนกับที่บอกมาตลอดว่าหลานติดค่าย เตรียมสอบ และ ต้องไปดูแลเพื่อนที่ป่วยน่ะ”

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    ร่างเล็กล้างจานเสร็จก็เดินกลับขึ้นไปบนห้อง สวมชุดคลุมทับกันแดดและลมให้พอเรียบร้อย สวมหมวกไหมพรมสีครีมอีกเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินทางไฟยังแหล่งขายของที่ดีที่สุดในฟีนูคอน

     

    “อฟาคอลเพรส”

     

    สวบ!

     

    พื้นดินดูดร่างเล็กลงไปกับพื้นดิน ก่อนจะพามาส่งยังที่หน้าทางเข้าตลาดอฟาคอลเพรสพอดี เนื้อดินก่อนร่างก่อนจะแตกออกเป็นร่างของคยองซู ขาเรียวก้าวเข้าไปในเขตตลาด ก่อนจะหลบมุมเข้าไปในตรอกเล็กๆที่แทบจะไม่มีคนสนใจเข้าไปเดิน แหล่งรวมสัตว์วิเศษนานาพันธุ์ มีทั้งน่ารักและน่าเกลียดมากมาย

     

    “เอ้า! คยองซู”

     

    “หือ? สวัสดีฮยอนชิก”

     

    “นายก็มาวันนี้เหมือนกันเหรอนี่ ดีเลยฉันจะได้ให้นายช่วยเลือกของพวกนี้”

     

    “หึหึ ทำไมนายไม่เลือกเองล่ะ นายน่าจะถนัดเลือกมันมากกว่าฉันนิ”

     

    “ฉันจะถนัดมากไปกว่าเกียรตินิยมได้ไง”

     

    เพื่อนทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ ก่อนที่จะเดินมาหยุดที่ร้านขายพันธุ์สัตว์น้ำดุร้าย ตากลมโตมองเข้าไปภายในขวดแก้วที่ใส่สัตว์น้ำตัวน้อยเหมือนไร้พิษสงไว้ ก่อนจะต้องผงะถอยเพราะปลาตัวน้อยนั้นหันมาแยกเขี้ยวใส่

     

    “น่ารักแต่ร้ายลึกใช่มั้ยล่ะ”

     

    “ครับ?”

     

    “นี่คือปีรันย่าสายพันธุ์คิลเลอร์ ตัวเล็กแต่กัดครั้งเดียวไม่นานพิษจะแพร่ไปทั่วร่างจนคนโดนกัดตายในไม่ช้า”

     

    “เหมือนจะไม่ใช่ของถูกกฎหมายเลยนะครับ”

     

    ฮยอนซิกหันไปถามเจ้าของร้านที่ยืนอยู่ข้างๆพวกเขา เพราะมั่นใจว่าสัตว์แบบนี้ไม่น่าจะถูกอนุญาตให้ขายอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเจ้าของร้านก็หันมาตอบแบบไม่สะทกสะท้านต่อคำถามของเด็กน้อยเลยสักนิด

     

    “ก็ไม่ถูกน่ะสิ แล้วฉันก็ไม่ได้ขายมันสักหน่อย”

     

    “แต่มันวางไว้บนชั้น?”

     

    “ทั้งชั้นนั้นของสะสมของฉันน่ะ”

     

    เขาพูดด้วยท่าทางไม่สนใจความตกตะลึงของเด็กทั้งสอง เดินกลับไปนั่งในที่ของตนเองแล้วอ่านหนังสือต่อ จนคยองซูที่มองอยู่ต้องเดินเข้าไปหาคนๆนั้นด้วยความสนใจอย่างประหลาด

     

    “สัตว์พวกนั้นทำไมถึงสนใจมันเหรอครับ”

     

    “แรกๆฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่เพราะมองเข้าไปแล้วรู้ว่ามันพิเศษไงล่ะ”

     

    “คุณเป็นชาวโซม่าหรือเปล่าครับ”

     

    “ถ้าฉันเป็นโซม่า ฉันจะมาขายสัตว์น้ำรึไงล่ะ”

     

    “งั้นก็คงเป็นชาวเนโรสินะครับ”

     

    ปากอิ่มยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ตากลมโตลอบสำรวจไปจนทั่วร่างของชายตรงหน้า สบเข้ากับรอยสักที่ข้อมือที่เขารู้ความหมายมันดี รอยสักสีน้ำเงินเข้มรูปปลาฉลามมีเขี้ยวเปื้อนเลือด ไม่มีทางเป็นอื่นได้แน่

     

    ...ครึ่งอิลคอลลี่ครึ่งสัตว์วิเศษ...

     

    “อย่าใช้สายตามองคนอื่นแบบนี้อีกนะ เพื่อนของฉันมันอาจไม่ใจดีเหมือนฉัน”

     

    “ต้องขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ไม่บ่อยที่ผมจะได้เจอชาวเนโรแบบคุณ”

     

    “แต่สำหรับฉันมันง่ายมากที่จะเจอพวกโซม่าที่นี่ พวกจุ้นจ้านที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับสัตว์น้ำ ชอบมาถามอะไรวุ่นวานที่นี่เสมอล่ะ”

     

    “ผมไม่ได้มาจุ้นจ้านหรอกครับ สบายใจได้”

     

    “แล้วมากันทำไม”

     

    “พี่พอจะมีสาหร่ายกินพยาธิน้ำมั้ยครับ”

     

    “เป็นนักศึกษากันเหรอเนี่ย แล้วก็ไม่บอกกันตั้งแต่แรก ฉันจัดชุดไว้สำหรับนักศึกษาวิชาสัตวะวิทยาและสิ่งมีชีวิตแล้วล่ะ อยู่ปีไหนกันล่ะ”

     

    “สามครับ”

     

    เมื่อรู้ว่าพวกเขาทั้งสองเป็นนักศึกษา ปฏิกิริยาที่ดูหยาบคายนั้นก็หายไปทันที คยองซูเดินมองสัตว์ในกระบอกแก้วไม่นาน เจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมถุงใส่อุปกรณ์ทางการเรียนของพวกเขาทั้งสอง ฮยอนซิกยื่นมือไปรับและจ่ายเงินก่อนออกจากร้าน โดยที่ร่างเล็กยังไม่วายหันกลับไปมองด้านในร้านอยู่ดี

     

    “ไปต่อที่ร้านเครื่องเทศกันมั้ย ใกล้ๆนี่เองนะ”

     

    “ฉันเพิ่งรู้ว่าเราต้องซื้อเครื่องเทศด้วยเหรอ?”

     

    “ใช่สิ วิชาปรุงยาเพื่อสัตว์วิเศษสองไง นายได้ท็อปชั้นปีในตัวแรกได้ยังไง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวต่อของปีสามเนี่ย”

     

    “ก็...ไม่รู้สิ”

     

    คยองซูได้แต่เกาท้ายทอยของตนเองอย่างเก้อเขิน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นอะไรทำให้เขาสามารถเรียนมันได้ดี ทั้งที่เขาเองก็ทำงานพิเศษให้กับคอกโทร์ลของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีสองต้นๆแล้ว อีกเรื่องที่ร่างเล็กยังไม่เคยบอกใครมาก่อนนอกจากเรื่องอยากเรียนที่นี่ คือเขามีความฝันที่ว่าสักวันหนึ่ง เขาอยากจะกลายเป็นผู้รับใช้ที่ดีสักวัน แต่ถ้าพูดออกไปตอนนี้ แม้แต่อาที่รักและเอ็นดูเขา ก็อาจจะถีบหัวส่งเขาออกจากบ้านอีกคน

     

    ...คยองฮีวาดฝันให้คยองซูเห็นสัตวะแพทย์ไม่ต่างกัน...

     

    “นายนี่มันมีพรสวรรค์จริงๆนะ”

     

    “ไม่หรอก”

     

    “นายวางแผนจะเป็นคุณหมอใช่มั้ย”

     

    “คุณหมอเหรอ?”

     

    ร่างเล็กหันไปมองเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยความสงสัย เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเพื่อนๆถึงชอบพูดกับเขาเรื่องนี้หนัก ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่เพื่อนเข้ามาพูด เขาไม่ได้รังเกียจหากสุดท้ายจะกลายเป็นสัตวะแพทย์จริงๆ หากแต่ก็อยากทำหน้าที่ผู้รับใช้ควบคู่ไปด้วยเท่านั้น เลยไม่อยากให้ใครพูดเหมือนว่านล้อมกัน

     

    “ก็ใช่น่ะสิ ใครๆก็รู้ว่านายอยู่กับคุณอาที่เป็นสัตวะแพทย์ที่ดีที่สุดของฟีนูคอน นายคงเรียนรู้เรื่องของสัตว์วิเศษมาตั้งแต่อยู่บ้านของนายอยู่แล้วใช่มั้ย”

     

    “ก็ใช่นะ”

     

    “นั่นไงล่ะ กะแล้วว่านายจะต้องอยากเป็นมากแน่ๆ”

     

    “ไม่หรอก แต่ถ้าต้องเป็นฉันว่าก็อาจจะดีก็ได้เท่านั้นเอง”

     

    รอยยิ้มเก้อเขินถูกส่งไปให้อย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนที่คยองซูจะเลี้ยวเข้าร้านขายเครื่องเทศไปเสียก่อน มือบางเปิดดูรายการของที่ต้องซื้อใหม่อีกครั้ง เพื่อจะได้เตรียมของให้ครบถ้วน

     

    “รากแกรนเดอร์”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ตาก็มองไปทั่วถาดที่ใส่เครื่องเทศหลายชนิดไว้ มองหาของที่ต้องการอยู่นานก็ไม่เจอ ก่อนที่มันจะถูกส่งมาตรงหน้าจากคนข้างกัน คยองซูรับมาถือไว้อย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะคิดว่าเป็นเพื่อนที่มาด้วยหยิบให้

     

    “ขอบใจนะ”

     

    ร่างเล็กพูดขอบคุณตามมารยาท ก่อนจะหันเดินไปหยิบเครื่องเทศที่ต้องการอีกทาง แต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นว่าเพื่อนที่ควรจะเดินตามมา กลับเดินสวนอกมาจากชั้นที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหยิบเครื่องเทศอีกชนิด ในขณะที่ปากหนานั้นก็ยังคงพึมพำถึงสิ่งที่หาอยู่

     

    “รากแกรนเดอร์ นายเห็นรากแกรนเดอร์มั้ย”

     

    “อะ...เอ่อ...แถวๆนั้นน่ะ”

     

    คยองซูตอบออกไปอย่างติดๆขัดๆ ก่อนจะชี้ไปตามทางที่เขาเพิ่งเดินมา ทั้งที่ไม่รู้ว่าของที่อยู่ในมือมันมาจากไหน ที่สำคัญกว่าคือใครที่หยิบมาให้เขากัน มองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครที่คุ้นตา ทำได้เพียงแค่คิดไปเองว่าคงเป็นคนใจดีที่มาได้ยินและเห็นรากแกรนเดอร์เข้าพอดีเท่านั้น

     

    “ไม่มีอะไรหรอกมั้ง?”

     

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

     

    “รากแกรนเดอร์”

     

    เสียงหวานของคนที่เขาตามมานานกว่าครึ่งวันดังขึ้น ตาคมจึงช่วยมองหาสิ่งที่ร่างเล็กต้องการทันที มือหนาหยิบเอากำรากแกรนเดอร์ส่งให้นิ่งๆ โชคดีที่คยองซูเองก็ไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนส่งให้พอดี

     

    “ขอบใจนะ”

     

    คำขอบคุณที่แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงความมารยาทดีของคยองซู แต่ริมฝีปากหนาก็ยังแอบยกยิ้มขึ้นไม่ได้ ขานาวรีบก้าวออกมาหลบมุมอยู่ที่หน้าร้านด้วยกลัวร่างเล็กจะรู้ตัวเสียก่อน รออยู่นานพอสมควรก่อนที่คนที่เขาตามจะเดินออกมา โดยมีเพื่อนชายร่วมชั้นเรียนที่เขารู้จักชื่อเดินตามมาด้วย มันอาจไม่ดูแปลกที่เพื่อนร่วมชั้นจะมาเดินเลือกของเรียนด้วยกัน แต่สำหรับคนที่จงอินรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคิดไม่ซื่อกับคยองซูนั้น เขาไม่มีทางไว้ใจปล่อยร่างบางไว้แน่นอน

     

    “ยุ่งกับคุณหนูนัก สงสัยจะต้องโดนสั่งสอนเสียหน่อยแล้วพี่ฮยอนชิก หึ!

     

    ร่างสูงยังคงเดินตามทั้งสองที่เมื่อเลือกของเรียนเสร็จ ก็ยังคงเดินดูของในตลาดด้วยกันจนเย็น กว่าจะได้กลับไปบ้านกันฟ้าก็มืดเสียแล้ว จงอินตามมาส่งคยองซูที่บ้านเหมือนทุกครั้งแม้เจ้าตัวไม่รู้ เมื่อร่างเล็กปลอดภัยก็หมดหน้าที่ของเขาเสียที

     

    “กลับมาแล้วเหรอจงอิน”

     

    “ครับแม่”

     

    “ไปไหนของเรามาน่ะ จะขึ้นปีสองอยู่แล้วนะเรา ทำไมไม่เอาเวลาไปนั่งคิดว่าจะต้องเลือกแผนกการเรียนอะไร”

     

    “เดี๋ยวเปิดเทอมก็รู้เองล่ะครับ ผมเรียนอะไรก็ได้อยู่แล้ว”

     

    จงอินตอบมารดาออกไปอย่างตัดรำคาญ เขาเบื่อและเหนื่อยล้ามาตลอดวันแล้ว อยากจะระบายความหงุดหงิดออกไปก่อนที่มันจะระเบิดใส่ใครสักคน สองขาก้าวออกไปที่หลังบ้าน ลอดรั้วเล็กที่กั้นไว้กับเขตกอหญ้าทึบหนังคฤหาสน์ตระกูลโด ที่บ้านของเขาอาศัยพื้นที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่อีกที แม่ของเขาเป็นแม่บ้านเก่าแก่ จึงได้พึ่งใบบุญมีบ้านเป็นของตนเอง ต่างจากคนดูแลบ้านคนอื่นที่ก็ไม่ต่างจากลูกจ้างวันๆ

     

    “คุณหนู...”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยออกไปแม้ไร้ร่างใดบนชิงช้าเก่าที่เขาเป็นคนผูกไว้เอง เป็นที่เกือบจะสุดท้ายที่เขาและคยองซูใช้นั่งคุยกัน ก่อนที่ร่างเล็กจะจากรั้วบ้านนี้ไปและไม่เคยกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย ที่เขาไม่เลิกไปนั่งที่ขอนไม้เก่าที่เคยนั่งคุยกันในวันสุดท้าย เพราะเขาคิดว่าที่ตรงนั้นมีแต่ความเจ็บปวดของคยองซู สู้ที่นี่ที่เขาสร้างแต่รอยยิ้มให้อีกคนไม่ได้

     

    “...ทำไมไม่กลับมาอยู่ด้วยกันสักทีครับ ผมเหงามากเลยนะ”

     

    มือหนาไร้ไปตามเส้นเชือกแกว่งไกวมันเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนล้าจริงๆตามที่พูดไว้กับมารดา แต่ทั้งหมดจะโทษใครได้ในเมื่อเขาเลือกจะไปเห็นภาพพวกนั้นเอง ไม่มีใครขอให้เขาไปตามคยองซูเลยสักคน มีแค่เขาที่ทำตนเองให้เป็นแบบนี้มาเกือบจะสามปีแล้ว

     

    ...ตามดูคนที่คงลืมเขาไปหมดแล้ว...

     

    “เมื่อไรผมจะเลิกคิดถึงคุณหนูเสียที ผมเกลียดตัวเองจริงๆครับ”

     

    พูดพร่ำเพ้ออย่างไม่รู้จักหยุด จนความเหนื่อยอ่อนทำให้เผลอหลับไปอย่างหลายคืนที่เคยเป็น ก็แค่หลับไปด้วยความคิดถึงจนล้นหัวใจ แล้วตื่นขึ้นมาเย็นชา เพื่อให้ชินกับการจากลาต่อกัน

     

    เช้ามืดที่แม้ไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง แต่จงอินก็เลือกที่จะตื่นมาเพื่อช่วยงานเล็กน้อยของมารดา ก่อนจะออกไปทำงานสืบข้อมูลไร้สาระแบบที่ทำมาตลอด คราวนี้ก็เป็นแค่เรื่องชาวบ้านเล็กน้อยในตลาดของเมืองโซม่าเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้จงอินอยากจะหายไปจากร้านนี้เสียแทบจะทันที ก็คือร่างเล็กที่เดินเข้ามาพร้อมเจ้าโทร์ลตัวน้อย ที่ถึงอย่างไรมันก็สูงจนถึงไหล่ของคยองซูอยู่ดี

     

    ...คนปกติที่ไหนพาโทร์ลมาเลือกเสื้อผ้า...

     

    “นี่เธอ!!! ที่นี่ไม่อนุญาตให้พาสัตว์เลี้ยงเข้ามานะจ๊ะ”

     

    “แต่ปาปีโร่เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะครับ”

     

    “ยังไงก็ไม่ได้หรอก สกปรกแบบนี้ใครจะให้รองชุด”

     

    “แต่...”

     

    “พูดไม่รู้เรื่องเหรอไง ไม่ต้อนรับก็คือไม่ต้อนรับสิ!

     

    “โทร์ล!!!

     

    เสียงโทร์ลน้อยคำรามด้วยสัญชาตญาณที่รู้สึกเหมือนโดนคุกคาม จากหญิงสาวตรงหน้าที่ตวาดออกมา มันทุบอกหลายทีเพื่อขู่กลับแม้คยองซูจะพยายามกระซิบปลอบให้มันสงบ แต่สัญชาตญาณของสัตว์นั้นยากจะห้ามได้

     

    “ไม่เอานะปาปีโร่ ไม่มีอะไรต้องกลัวนะ”

     

    “โทร์ล!!!

     

    “พี่เขาไม่ตั้งใจจะเสียงดัง โอ้ย!!!

     

    ตุ๊บ!!!

     

    “โทร์ล!!!

     

    ร่างเล็กกระเด็นไปตามแรงปัดแม้มันจะยังเด็ก ล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นแต่ก็พยายามจะลุกขึ้นมาห้ามปาปีโร่ ที่กำลังคำรามออกมาอย่างโกรธเคืองพนักงานสาว เธอกลัวมันจนวิ่งหนีไปทางด้านหลัง มันก็วิ่งตามไปราวกับจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ ถ้าไม่ติดที่คำเวทร่ายหนึ่งกระทบให้หงายตึงลงไปกับพื้นเสียก่อน

     

    “โซม่า โมโนส ซายโนเดียร์ โคเดมิส”

     

    ตึง!!!

     

    ร่างสูงค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เจ้าโทร์ลน้อยที่สลบไปด้วยเวทร่ายของตนเอง เขาเอาเท้าเขี่ยที่ลำตัวของมันเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะหันไปมองคยองวูที่ตอนนี้ก็มองมาที่เขาตาโต ถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองดันมาเป็นพระเอกผิดงานเสียแล้ว

     

    “ให้ตายเถอะ นึกว่าสลบไปแล้วเสียอีก”

     

    เสียงทุ้มบ่นพึมพำขึ้นมากับตนเองอีกครั้ง ก่อนจะตีหน้านิ่งเหมือนเขาไม่ได้เพิ่งช่วยคยองซูให้ไม่ต้องวุ่นวาย ตั้งใจจะเดินไปทำทีเลือกเสื้อผ้าในมุมของเสื้อผ้าบุรุษ แต่ก็ถูกมือบางดึงไว้เสียก่อน

     

    “จงอิน!

     

    “หะ...ห๊ะ? มีอะไรเหรอครับ”

     

    “คะ...คือ ฉะ...เอ่อ...พี่ขอบคุณนายมากนะที่ช่วยไว้”

     

    คยองซูเองก็พูดติดขัดเช่นกันเมื่อเห็นคนที่เคยสนิทกันเมื่อหลายปีก่อนใกล้ๆเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นจงอินที่มหาวิทยาลัย เขาเฝ้ามองจงอินอยู่ห่างๆตั้งแต่เด็กหนุ่มเข้าปีหนึ่ง แต่เพราะท่าทีที่เหมือนไม่สนิทใจของจงอิน เขาจึงเลือกที่จะไม่เข้าไปทำตัวสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อน ส่วนตัวก็คิดว่าเขาไม่ควรทำตัวเหมือนเดิม ทั้งที่สถานะของพวกเขามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...ไม่มีคุณหนูกับลูกแม่บ้านที่สนิทกันอีกแล้ว

     

    “คะ...ครับ”

     

    “แต่พี่คงเอาปาปีโร่ออกไปเองไม่ได้แน่ จะรบกวนเกินไปมั้ยถ้าอยากขอเวลานายสักหน่อย ช่วยพี่พามันกลับบ้านหน่อยได้มั้ย”

     

    “อะ...เอ่อ...ผม...”

     

    “ไม่ว่างไม่เป็นไรนะ”

     

    “เฮ้อ~ ได้ครับ เดี๋ยวช่วยพาไปนะ”

     

    ร่างสูงถอนหายใจออกมาที่ในที่สุดเขาก็หนีความรู้สึกอยากช่วยของตนเองไม่ได้ เขาไม่อยากปล่อยให้คยองซูลำบากเพราะเวทร่ายของเขาเช่นนี้ ทั้งสองจึงช่วยกันลากร่างที่หนักเกินสมส่วนของปาปีโร่ กลับไปยังบ้านในป่าของคุณหมอคยองฮีผู้มีชื่อเสียงเรื่องการดูแลสัตว์วิเศษ

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    “อาครับ เปิดประตูให้ผมหน่อยสิครับ”

     

    “หือ? ไม่ได้ล็อคนะคยองซู”

     

    “เปิดหน่อยครับ ผมแบกปาปีโร่มาด้วยนะครับ”

     

    พอได้ยินว่าหลานชายแบกโทร์ลน้อยที่จูงมือกันออกไปเมื่อเช้ามา คุณหมอสาวก็รีบพุ่งมาเปิดประตูแทบจะทันที แต่ก็ต้องผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคยองซูไม่ได้แบกปาปีโร่มาคนเดียว แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มที่เธอเห็นมาหลบๆซ่อนๆที่บ้านของเธอร่วมสองปีมาด้วย

     

    ...นี่คงไม่ใช่แผนที่จะมาขโมยของในบ้านของเธอใช่มั้ย...

     

    “นี่ใครเหรอคยองซู?”

     

    “นี่จงอินครับ เขาเป็น...เอ่อ...รุ่นน้องที่โรงเรียนน่ะครับ”

     

    “อ๋อ รุ่นน้องเองเหรอจ๊ะ งั้นก็รบกวนพาปาปีโร่เข้ามาข้างในหน่อยนะ”

     

    คยองฮีหลบทางให้โทร์ลน้อยไร้สติสามารถเข้ามาในบ้านได้ ร่างสูงวางร่างของปาปีโร่ลงกับพื้นในห้องนั่งเล่น แล้วทำท่าจะเดินออกจากบ้านไป แต่ก็ติดที่อาสาวเดินเข้ามาดักพร้อมน้ำหนึ่งแก้วในมือเสียก่อน หากไม่รับไมตรีไว้คงเสียมารยาทเอามากๆ

     

    “นั่งก่อนสิ พวกเธอคงเหนื่อยกันมามากแล้ว ไม่ได้รีบไปไหนใช่มั้ยจงอิน”

     

    “กะ...ก็ไม่เชิงนักครับ”

     

    “ไม่เชิงแสดงว่าก็ยังอยู่ได้บ้าง เพราะฉะนั้นเชิญนั่งก่อนสิ”

     

    “คะ...ครับ”

     

    ร่างสูงจำต้องกลับมานั่งลงที่โซฟาข้างๆโทร์ลน้อย ที่มีคยองซูนั่งดูอยู่ข้างๆ มือหนารับแก้วน้ำมาถือไว้พร้อมก้มศีรษะขอบคุณเล็กน้อยให้คุณหมอชื่อดัง ก่อนที่เธอจะผละไปนั่งลงข้างๆหลานชายของเธอ

     

    “ไปทำท่าไหนกันมาเนี่ย ปาปีโร่ถึงสลบมาได้ขนาดนี้”

     

    “พอดีคนที่ร้านเสื้อผ้าเขาไม่ยอมให้มันเข้าน่ะครับ”

     

    “ใจแคบกันจริงๆเลยคนสมัยนี้ คงจะเสียงดังใส่จนมันหลุดสัญชาตญาณออกมาเลยสินะ แล้วแบบนี้เสียหายกันไปเท่าไรล่ะ”

     

    คยองฮีถามพร้อมสำรวจร่างกายของร่างไร้สติตรงหน้าที่นับเป็นคนไข้ไปด้วย คยองซูส่ายหน้าเพราะเขาชิ่งออกมาเสียก่อนทุกคนจะหายตกใจ จึงไม่มีใครเอาเรื่องเขาได้ทัน อีกทั้งเสื้อผ้าที่ล้มแค่จับขึ้นไม่นานก็สวยเหมือนใหม่แล้ว จึงไม่มีอะไรที่เขาคิดว่าจะต้องชดใช้ให้

     

    “แล้วหลานเจ็บตรงไหนบ้างมั้ยเนี่ย?”

     

    “ตอนแรกก็เจ็บที่แขนนิดหน่อยครับ แต่คิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว”

     

    “ยังไงก็เดี๋ยวให้อาดูหน่อยแล้วกันนะ จะได้แน่ใจว่าข้างในไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”

     

    “ครับ”

     

    หลังจากบทสนทนาสั้นๆนั้นจบลง ทั้งสองก็ช่วยกันตรวจดูร่างกายของโทร์ล น้อยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาจากเวทร่ายง่ายๆ ตาคมมองไปที่ท่าทางของร่างเล็กที่ดูคล่องแคล่วในการช่วยเหลือสัตว์วิเศษก็ได้แต่นิ่งไป ไม่รู้ทำไมความคิดว่าคยองซูเหมาะกับชีวิตแบบนี้มากกว่า การต้องนั่งนอนเป็นคุณหนูในกรงของตระกูลโด

     

    ...บางทีทางที่เราเลือกเองก็ดีที่สุดจริงๆ...

     

    “โทร์ล...ล...ล...ล~”

     

    เสียงของปาปีโร่ที่ครางออกมาทำให้ทั้งสองอาหลานยิ้มออกได้ คยองฮีช่วยพยุงมันนั่งอย่างไม่ยากนัก ตรวจดูอีกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไร ก็บอกให้คยองซูพามันออกไปอาบน้ำล้างคราบดินที่ลากมาไกลเสียหน่อย

     

    “ขอโทษด้วยนะ เธอเป็นแขกแต่กลับต้องมานั่งเหงา”

     

    “ไม่เป็นไรครับ”

     

    จงอินตอบออกไปอย่างไม่คิดมากจริงๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยให้หญิงสาว คยองฮียิ้มตอบก่อนที่จะเริ่มเปิดบทสนทนาของตนเองบ้าง

     

    “ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะกล้าเข้าบ้านฉันด้วย”

     

    “ครับ?”

     

    “ก็เห็นแอบมองคยองซูมาตลอดเลยนิ ถ้ารู้จักกันอยู่แล้วทำไมไม่เข้ามาทัก”

     

    “ผะ...ผมเหรอครับ คงไม่สะดวกที่จะทำแบบนั้นหรอกครับ”

     

    “ทำไมล่ะ”

     

    ร่างสูงนิ่งไปเพราะคำถามนั้น เหลือบมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยนั้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะต้องยิ้มออกมา ยิ้มที่มอบให้เพื่อปลอบใจตนเองไม่ใช่ใคร เขาก็แค่คิดว่าทำแบบนี้แล้วมันทำให้คยองซูมีความสุข ดูรอยยิ้มดีใจที่โทร์ลตัวนั้นฟื้นขึ้นมาเขาก็รู้แล้วว่าคำตอบที่เขาควรตอบออกไปคืออะไร

     

    “คงเป็นเพราะคนบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อจับต้องมั้งครับ การมองถึงทำให้มีความสุขมากกว่า ยังไงผมก็ต้องขอบคุณสำหรับน้ำนะครับ แต่คงต้องขอตัวก่อน ลานะครับ”

                        

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

    The Phonucorn – chapter 4.1

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ไม่รู้มนต์ถันฑิลสนุกถูกใจมั้ยเอ่ย แต่อย่างไรฝากติดตามด้วยนะคะ^^

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×