คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #66 : The Phonucorn ฟีนูคอน : มนต์ถัณฑิล – บทที่ ๑
Title :
The Phonucorn
มนต์ถัณฑิล– บทที่ ๑
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Kai x DO
บทที่ ๑
The Phonucorn มนต์ถัณฑิล : อัสนีสาป
“อาทิตย์หน้าก็จะเปิดเทอมแล้วใช่มั้ยคยองซู”
“ครับ”
“หลานต้องซื้ออุปกรณ์การเรียนอะไรใหม่มั้ย”
“นิดหน่อยครับ
ผมกะว่าจะไปหาดูในตลาดช่วงสายๆนี้แหล่ะ”
“รีบไปซื้อนะคนดี
เดี๋ยวเพื่อนๆจะซื้อมันไปเสียหมดก่อน”
คำพูดหยอกล้อนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคยองซูที่ยืนล้างจานอยู่ได้ไม่ใช่น้อย
ใครๆต่างก็รู้ดีว่าสาขาสัตวะวิทยาและสิ่งมีชีวิตที่เขาเรียนนั้นแทบไม่มีนักศึกษาเลย
ซึ่งแทบจะเป็นชั้นเรียนเดียวในมหาวิทยาลัย
ที่ไม่ต้องกระตือรือร้นกับการหาอุปกรณ์การเรียนมากมายนัก
“อือ อาบอกหลานรึยังว่าอาทิตย์หน้าก็มีวันรวมญาติ
คุณย่าส่งจดหมายมาให้พวกเราด้วยนะ และ
อาคิดว่าอาจะไปร่วมงานประจำปีของตระกูลเราเสียหน่อย”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่พร้อม”
รอยยิ้มที่เคยสดใสพลันหายไปในทันทีที่ได้ยินคำบอกกล่าวนั้น
อาสาวเองก็ได้แต่นิ่งไปเพื่อรอรับคำตอบจากปากหลาน
ยิ่งได้ยินคำตอบเดิมก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา
คยองซูหนีหน้าจากการกลับไปพบครอบครัวมาร่วมสามปีแล้ว
ทั้งที่เธอเพียรพูดอยู่หลายต่อหลายครั้งให้ยอมรับความจริง
“เฮ้อ~
จริงๆอาก็อยากจะพูดว่าแล้วแต่หลานสะดวกนะ แต่บอกตามตรงว่าอาคิดว่ามันนานเกินไปแล้ว
หลานทำเหมือนหลานไม่ใช่คนในตระกูลเดียวกับทุกคน รู้อะไรมั้ยคยองซู
หลานทำแบบนี้ไปไม่ได้จนสิ้นชีพหรอก”
“ผมรู้ครับ
แต่คิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกหน่อย”
“หลานใช้มันมาหลายหน่อยแล้ว
มากเกินไปแล้วด้วยซ้ำนะ”
“อีกไม่นานจริงๆครับสัญญา”
“เอาเถอะ
เดี๋ยวอาจะช่วยบอกคนอื่นให้ว่าหลานเปิดเทอมแล้ว
เหมือนกับที่บอกมาตลอดว่าหลานติดค่าย เตรียมสอบ และ ต้องไปดูแลเพื่อนที่ป่วยน่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ร่างเล็กล้างจานเสร็จก็เดินกลับขึ้นไปบนห้อง
สวมชุดคลุมทับกันแดดและลมให้พอเรียบร้อย สวมหมวกไหมพรมสีครีมอีกเล็กน้อย
ก่อนจะออกเดินทางไฟยังแหล่งขายของที่ดีที่สุดในฟีนูคอน
“อฟาคอลเพรส”
สวบ!
พื้นดินดูดร่างเล็กลงไปกับพื้นดิน
ก่อนจะพามาส่งยังที่หน้าทางเข้าตลาดอฟาคอลเพรสพอดี
เนื้อดินก่อนร่างก่อนจะแตกออกเป็นร่างของคยองซู ขาเรียวก้าวเข้าไปในเขตตลาด
ก่อนจะหลบมุมเข้าไปในตรอกเล็กๆที่แทบจะไม่มีคนสนใจเข้าไปเดิน แหล่งรวมสัตว์วิเศษนานาพันธุ์
มีทั้งน่ารักและน่าเกลียดมากมาย
“เอ้า! คยองซู”
“หือ? สวัสดีฮยอนชิก”
“นายก็มาวันนี้เหมือนกันเหรอนี่
ดีเลยฉันจะได้ให้นายช่วยเลือกของพวกนี้”
“หึหึ ทำไมนายไม่เลือกเองล่ะ
นายน่าจะถนัดเลือกมันมากกว่าฉันนิ”
“ฉันจะถนัดมากไปกว่าเกียรตินิยมได้ไง”
เพื่อนทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ
ก่อนที่จะเดินมาหยุดที่ร้านขายพันธุ์สัตว์น้ำดุร้าย
ตากลมโตมองเข้าไปภายในขวดแก้วที่ใส่สัตว์น้ำตัวน้อยเหมือนไร้พิษสงไว้
ก่อนจะต้องผงะถอยเพราะปลาตัวน้อยนั้นหันมาแยกเขี้ยวใส่
“น่ารักแต่ร้ายลึกใช่มั้ยล่ะ”
“ครับ?”
“นี่คือปีรันย่าสายพันธุ์คิลเลอร์
ตัวเล็กแต่กัดครั้งเดียวไม่นานพิษจะแพร่ไปทั่วร่างจนคนโดนกัดตายในไม่ช้า”
“เหมือนจะไม่ใช่ของถูกกฎหมายเลยนะครับ”
ฮยอนซิกหันไปถามเจ้าของร้านที่ยืนอยู่ข้างๆพวกเขา
เพราะมั่นใจว่าสัตว์แบบนี้ไม่น่าจะถูกอนุญาตให้ขายอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเจ้าของร้านก็หันมาตอบแบบไม่สะทกสะท้านต่อคำถามของเด็กน้อยเลยสักนิด
“ก็ไม่ถูกน่ะสิ
แล้วฉันก็ไม่ได้ขายมันสักหน่อย”
“แต่มันวางไว้บนชั้น?”
“ทั้งชั้นนั้นของสะสมของฉันน่ะ”
เขาพูดด้วยท่าทางไม่สนใจความตกตะลึงของเด็กทั้งสอง
เดินกลับไปนั่งในที่ของตนเองแล้วอ่านหนังสือต่อ
จนคยองซูที่มองอยู่ต้องเดินเข้าไปหาคนๆนั้นด้วยความสนใจอย่างประหลาด
“สัตว์พวกนั้นทำไมถึงสนใจมันเหรอครับ”
“แรกๆฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก
แต่เพราะมองเข้าไปแล้วรู้ว่ามันพิเศษไงล่ะ”
“คุณเป็นชาวโซม่าหรือเปล่าครับ”
“ถ้าฉันเป็นโซม่า ฉันจะมาขายสัตว์น้ำรึไงล่ะ”
“งั้นก็คงเป็นชาวเนโรสินะครับ”
ปากอิ่มยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ตากลมโตลอบสำรวจไปจนทั่วร่างของชายตรงหน้า
สบเข้ากับรอยสักที่ข้อมือที่เขารู้ความหมายมันดี รอยสักสีน้ำเงินเข้มรูปปลาฉลามมีเขี้ยวเปื้อนเลือด
ไม่มีทางเป็นอื่นได้แน่
...ครึ่งอิลคอลลี่ครึ่งสัตว์วิเศษ...
“อย่าใช้สายตามองคนอื่นแบบนี้อีกนะ
เพื่อนของฉันมันอาจไม่ใจดีเหมือนฉัน”
“ต้องขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ
ไม่บ่อยที่ผมจะได้เจอชาวเนโรแบบคุณ”
“แต่สำหรับฉันมันง่ายมากที่จะเจอพวกโซม่าที่นี่
พวกจุ้นจ้านที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับสัตว์น้ำ ชอบมาถามอะไรวุ่นวานที่นี่เสมอล่ะ”
“ผมไม่ได้มาจุ้นจ้านหรอกครับ สบายใจได้”
“แล้วมากันทำไม”
“พี่พอจะมีสาหร่ายกินพยาธิน้ำมั้ยครับ”
“เป็นนักศึกษากันเหรอเนี่ย
แล้วก็ไม่บอกกันตั้งแต่แรก ฉันจัดชุดไว้สำหรับนักศึกษาวิชาสัตวะวิทยาและสิ่งมีชีวิตแล้วล่ะ
อยู่ปีไหนกันล่ะ”
“สามครับ”
เมื่อรู้ว่าพวกเขาทั้งสองเป็นนักศึกษา
ปฏิกิริยาที่ดูหยาบคายนั้นก็หายไปทันที คยองซูเดินมองสัตว์ในกระบอกแก้วไม่นาน
เจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมถุงใส่อุปกรณ์ทางการเรียนของพวกเขาทั้งสอง
ฮยอนซิกยื่นมือไปรับและจ่ายเงินก่อนออกจากร้าน โดยที่ร่างเล็กยังไม่วายหันกลับไปมองด้านในร้านอยู่ดี
“ไปต่อที่ร้านเครื่องเทศกันมั้ย
ใกล้ๆนี่เองนะ”
“ฉันเพิ่งรู้ว่าเราต้องซื้อเครื่องเทศด้วยเหรอ?”
“ใช่สิ วิชาปรุงยาเพื่อสัตว์วิเศษสองไง
นายได้ท็อปชั้นปีในตัวแรกได้ยังไง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวต่อของปีสามเนี่ย”
“ก็...ไม่รู้สิ”
คยองซูได้แต่เกาท้ายทอยของตนเองอย่างเก้อเขิน
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นอะไรทำให้เขาสามารถเรียนมันได้ดี
ทั้งที่เขาเองก็ทำงานพิเศษให้กับคอกโทร์ลของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีสองต้นๆแล้ว
อีกเรื่องที่ร่างเล็กยังไม่เคยบอกใครมาก่อนนอกจากเรื่องอยากเรียนที่นี่
คือเขามีความฝันที่ว่าสักวันหนึ่ง เขาอยากจะกลายเป็นผู้รับใช้ที่ดีสักวัน
แต่ถ้าพูดออกไปตอนนี้ แม้แต่อาที่รักและเอ็นดูเขา
ก็อาจจะถีบหัวส่งเขาออกจากบ้านอีกคน
...คยองฮีวาดฝันให้คยองซูเห็นสัตวะแพทย์ไม่ต่างกัน...
“นายนี่มันมีพรสวรรค์จริงๆนะ”
“ไม่หรอก”
“นายวางแผนจะเป็นคุณหมอใช่มั้ย”
“คุณหมอเหรอ?”
ร่างเล็กหันไปมองเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยความสงสัย
เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเพื่อนๆถึงชอบพูดกับเขาเรื่องนี้หนัก
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่เพื่อนเข้ามาพูด
เขาไม่ได้รังเกียจหากสุดท้ายจะกลายเป็นสัตวะแพทย์จริงๆ
หากแต่ก็อยากทำหน้าที่ผู้รับใช้ควบคู่ไปด้วยเท่านั้น
เลยไม่อยากให้ใครพูดเหมือนว่านล้อมกัน
“ก็ใช่น่ะสิ
ใครๆก็รู้ว่านายอยู่กับคุณอาที่เป็นสัตวะแพทย์ที่ดีที่สุดของฟีนูคอน
นายคงเรียนรู้เรื่องของสัตว์วิเศษมาตั้งแต่อยู่บ้านของนายอยู่แล้วใช่มั้ย”
“ก็ใช่นะ”
“นั่นไงล่ะ
กะแล้วว่านายจะต้องอยากเป็นมากแน่ๆ”
“ไม่หรอก
แต่ถ้าต้องเป็นฉันว่าก็อาจจะดีก็ได้เท่านั้นเอง”
รอยยิ้มเก้อเขินถูกส่งไปให้อย่างทำตัวไม่ถูก
ก่อนที่คยองซูจะเลี้ยวเข้าร้านขายเครื่องเทศไปเสียก่อน
มือบางเปิดดูรายการของที่ต้องซื้อใหม่อีกครั้ง เพื่อจะได้เตรียมของให้ครบถ้วน
“รากแกรนเดอร์”
เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ตาก็มองไปทั่วถาดที่ใส่เครื่องเทศหลายชนิดไว้ มองหาของที่ต้องการอยู่นานก็ไม่เจอ
ก่อนที่มันจะถูกส่งมาตรงหน้าจากคนข้างกัน คยองซูรับมาถือไว้อย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
เพราะคิดว่าเป็นเพื่อนที่มาด้วยหยิบให้
“ขอบใจนะ”
ร่างเล็กพูดขอบคุณตามมารยาท ก่อนจะหันเดินไปหยิบเครื่องเทศที่ต้องการอีกทาง
แต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นว่าเพื่อนที่ควรจะเดินตามมา
กลับเดินสวนอกมาจากชั้นที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหยิบเครื่องเทศอีกชนิด
ในขณะที่ปากหนานั้นก็ยังคงพึมพำถึงสิ่งที่หาอยู่
“รากแกรนเดอร์ นายเห็นรากแกรนเดอร์มั้ย”
“อะ...เอ่อ...แถวๆนั้นน่ะ”
คยองซูตอบออกไปอย่างติดๆขัดๆ
ก่อนจะชี้ไปตามทางที่เขาเพิ่งเดินมา ทั้งที่ไม่รู้ว่าของที่อยู่ในมือมันมาจากไหน
ที่สำคัญกว่าคือใครที่หยิบมาให้เขากัน มองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครที่คุ้นตา
ทำได้เพียงแค่คิดไปเองว่าคงเป็นคนใจดีที่มาได้ยินและเห็นรากแกรนเดอร์เข้าพอดีเท่านั้น
“ไม่มีอะไรหรอกมั้ง?”
<<<
The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>
“รากแกรนเดอร์”
เสียงหวานของคนที่เขาตามมานานกว่าครึ่งวันดังขึ้น
ตาคมจึงช่วยมองหาสิ่งที่ร่างเล็กต้องการทันที
มือหนาหยิบเอากำรากแกรนเดอร์ส่งให้นิ่งๆ
โชคดีที่คยองซูเองก็ไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนส่งให้พอดี
“ขอบใจนะ”
คำขอบคุณที่แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงความมารยาทดีของคยองซู
แต่ริมฝีปากหนาก็ยังแอบยกยิ้มขึ้นไม่ได้
ขานาวรีบก้าวออกมาหลบมุมอยู่ที่หน้าร้านด้วยกลัวร่างเล็กจะรู้ตัวเสียก่อน
รออยู่นานพอสมควรก่อนที่คนที่เขาตามจะเดินออกมา
โดยมีเพื่อนชายร่วมชั้นเรียนที่เขารู้จักชื่อเดินตามมาด้วย
มันอาจไม่ดูแปลกที่เพื่อนร่วมชั้นจะมาเดินเลือกของเรียนด้วยกัน
แต่สำหรับคนที่จงอินรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคิดไม่ซื่อกับคยองซูนั้น
เขาไม่มีทางไว้ใจปล่อยร่างบางไว้แน่นอน
“ยุ่งกับคุณหนูนัก
สงสัยจะต้องโดนสั่งสอนเสียหน่อยแล้วพี่ฮยอนชิก หึ!”
ร่างสูงยังคงเดินตามทั้งสองที่เมื่อเลือกของเรียนเสร็จ
ก็ยังคงเดินดูของในตลาดด้วยกันจนเย็น กว่าจะได้กลับไปบ้านกันฟ้าก็มืดเสียแล้ว
จงอินตามมาส่งคยองซูที่บ้านเหมือนทุกครั้งแม้เจ้าตัวไม่รู้
เมื่อร่างเล็กปลอดภัยก็หมดหน้าที่ของเขาเสียที
“กลับมาแล้วเหรอจงอิน”
“ครับแม่”
“ไปไหนของเรามาน่ะ จะขึ้นปีสองอยู่แล้วนะเรา
ทำไมไม่เอาเวลาไปนั่งคิดว่าจะต้องเลือกแผนกการเรียนอะไร”
“เดี๋ยวเปิดเทอมก็รู้เองล่ะครับ
ผมเรียนอะไรก็ได้อยู่แล้ว”
จงอินตอบมารดาออกไปอย่างตัดรำคาญ
เขาเบื่อและเหนื่อยล้ามาตลอดวันแล้ว อยากจะระบายความหงุดหงิดออกไปก่อนที่มันจะระเบิดใส่ใครสักคน
สองขาก้าวออกไปที่หลังบ้าน ลอดรั้วเล็กที่กั้นไว้กับเขตกอหญ้าทึบหนังคฤหาสน์ตระกูลโด
ที่บ้านของเขาอาศัยพื้นที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่อีกที
แม่ของเขาเป็นแม่บ้านเก่าแก่ จึงได้พึ่งใบบุญมีบ้านเป็นของตนเอง
ต่างจากคนดูแลบ้านคนอื่นที่ก็ไม่ต่างจากลูกจ้างวันๆ
“คุณหนู...”
เสียงทุ้มเอ่ยออกไปแม้ไร้ร่างใดบนชิงช้าเก่าที่เขาเป็นคนผูกไว้เอง
เป็นที่เกือบจะสุดท้ายที่เขาและคยองซูใช้นั่งคุยกัน
ก่อนที่ร่างเล็กจะจากรั้วบ้านนี้ไปและไม่เคยกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย
ที่เขาไม่เลิกไปนั่งที่ขอนไม้เก่าที่เคยนั่งคุยกันในวันสุดท้าย
เพราะเขาคิดว่าที่ตรงนั้นมีแต่ความเจ็บปวดของคยองซู
สู้ที่นี่ที่เขาสร้างแต่รอยยิ้มให้อีกคนไม่ได้
“...ทำไมไม่กลับมาอยู่ด้วยกันสักทีครับ
ผมเหงามากเลยนะ”
มือหนาไร้ไปตามเส้นเชือกแกว่งไกวมันเบาๆ
ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนล้าจริงๆตามที่พูดไว้กับมารดา
แต่ทั้งหมดจะโทษใครได้ในเมื่อเขาเลือกจะไปเห็นภาพพวกนั้นเอง
ไม่มีใครขอให้เขาไปตามคยองซูเลยสักคน
มีแค่เขาที่ทำตนเองให้เป็นแบบนี้มาเกือบจะสามปีแล้ว
...ตามดูคนที่คงลืมเขาไปหมดแล้ว...
“เมื่อไรผมจะเลิกคิดถึงคุณหนูเสียที
ผมเกลียดตัวเองจริงๆครับ”
พูดพร่ำเพ้ออย่างไม่รู้จักหยุด
จนความเหนื่อยอ่อนทำให้เผลอหลับไปอย่างหลายคืนที่เคยเป็น
ก็แค่หลับไปด้วยความคิดถึงจนล้นหัวใจ แล้วตื่นขึ้นมาเย็นชา
เพื่อให้ชินกับการจากลาต่อกัน
เช้ามืดที่แม้ไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง
แต่จงอินก็เลือกที่จะตื่นมาเพื่อช่วยงานเล็กน้อยของมารดา ก่อนจะออกไปทำงานสืบข้อมูลไร้สาระแบบที่ทำมาตลอด
คราวนี้ก็เป็นแค่เรื่องชาวบ้านเล็กน้อยในตลาดของเมืองโซม่าเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้จงอินอยากจะหายไปจากร้านนี้เสียแทบจะทันที
ก็คือร่างเล็กที่เดินเข้ามาพร้อมเจ้าโทร์ลตัวน้อย
ที่ถึงอย่างไรมันก็สูงจนถึงไหล่ของคยองซูอยู่ดี
...คนปกติที่ไหนพาโทร์ลมาเลือกเสื้อผ้า...
“นี่เธอ!!!
ที่นี่ไม่อนุญาตให้พาสัตว์เลี้ยงเข้ามานะจ๊ะ”
“แต่ปาปีโร่เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะครับ”
“ยังไงก็ไม่ได้หรอก
สกปรกแบบนี้ใครจะให้รองชุด”
“แต่...”
“พูดไม่รู้เรื่องเหรอไง
ไม่ต้อนรับก็คือไม่ต้อนรับสิ!”
“โทร์ล!!!”
เสียงโทร์ลน้อยคำรามด้วยสัญชาตญาณที่รู้สึกเหมือนโดนคุกคาม
จากหญิงสาวตรงหน้าที่ตวาดออกมา
มันทุบอกหลายทีเพื่อขู่กลับแม้คยองซูจะพยายามกระซิบปลอบให้มันสงบ
แต่สัญชาตญาณของสัตว์นั้นยากจะห้ามได้
“ไม่เอานะปาปีโร่ ไม่มีอะไรต้องกลัวนะ”
“โทร์ล!!!”
“พี่เขาไม่ตั้งใจจะเสียงดัง โอ้ย!!!”
ตุ๊บ!!!
“โทร์ล!!!”
ร่างเล็กกระเด็นไปตามแรงปัดแม้มันจะยังเด็ก
ล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นแต่ก็พยายามจะลุกขึ้นมาห้ามปาปีโร่
ที่กำลังคำรามออกมาอย่างโกรธเคืองพนักงานสาว เธอกลัวมันจนวิ่งหนีไปทางด้านหลัง
มันก็วิ่งตามไปราวกับจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ ถ้าไม่ติดที่คำเวทร่ายหนึ่งกระทบให้หงายตึงลงไปกับพื้นเสียก่อน
“โซม่า โมโนส ซายโนเดียร์ โคเดมิส”
ตึง!!!
ร่างสูงค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เจ้าโทร์ลน้อยที่สลบไปด้วยเวทร่ายของตนเอง
เขาเอาเท้าเขี่ยที่ลำตัวของมันเพื่อความแน่ใจ
ก่อนจะหันไปมองคยองวูที่ตอนนี้ก็มองมาที่เขาตาโต
ถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองดันมาเป็นพระเอกผิดงานเสียแล้ว
“ให้ตายเถอะ นึกว่าสลบไปแล้วเสียอีก”
เสียงทุ้มบ่นพึมพำขึ้นมากับตนเองอีกครั้ง
ก่อนจะตีหน้านิ่งเหมือนเขาไม่ได้เพิ่งช่วยคยองซูให้ไม่ต้องวุ่นวาย ตั้งใจจะเดินไปทำทีเลือกเสื้อผ้าในมุมของเสื้อผ้าบุรุษ
แต่ก็ถูกมือบางดึงไว้เสียก่อน
“จงอิน!”
“หะ...ห๊ะ? มีอะไรเหรอครับ”
“คะ...คือ
ฉะ...เอ่อ...พี่ขอบคุณนายมากนะที่ช่วยไว้”
คยองซูเองก็พูดติดขัดเช่นกันเมื่อเห็นคนที่เคยสนิทกันเมื่อหลายปีก่อนใกล้ๆเช่นนี้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นจงอินที่มหาวิทยาลัย เขาเฝ้ามองจงอินอยู่ห่างๆตั้งแต่เด็กหนุ่มเข้าปีหนึ่ง
แต่เพราะท่าทีที่เหมือนไม่สนิทใจของจงอิน
เขาจึงเลือกที่จะไม่เข้าไปทำตัวสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อน
ส่วนตัวก็คิดว่าเขาไม่ควรทำตัวเหมือนเดิม
ทั้งที่สถานะของพวกเขามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...ไม่มีคุณหนูกับลูกแม่บ้านที่สนิทกันอีกแล้ว
“คะ...ครับ”
“แต่พี่คงเอาปาปีโร่ออกไปเองไม่ได้แน่
จะรบกวนเกินไปมั้ยถ้าอยากขอเวลานายสักหน่อย ช่วยพี่พามันกลับบ้านหน่อยได้มั้ย”
“อะ...เอ่อ...ผม...”
“ไม่ว่างไม่เป็นไรนะ”
“เฮ้อ~ ได้ครับ เดี๋ยวช่วยพาไปนะ”
ร่างสูงถอนหายใจออกมาที่ในที่สุดเขาก็หนีความรู้สึกอยากช่วยของตนเองไม่ได้
เขาไม่อยากปล่อยให้คยองซูลำบากเพราะเวทร่ายของเขาเช่นนี้
ทั้งสองจึงช่วยกันลากร่างที่หนักเกินสมส่วนของปาปีโร่
กลับไปยังบ้านในป่าของคุณหมอคยองฮีผู้มีชื่อเสียงเรื่องการดูแลสัตว์วิเศษ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“อาครับ เปิดประตูให้ผมหน่อยสิครับ”
“หือ? ไม่ได้ล็อคนะคยองซู”
“เปิดหน่อยครับ ผมแบกปาปีโร่มาด้วยนะครับ”
พอได้ยินว่าหลานชายแบกโทร์ลน้อยที่จูงมือกันออกไปเมื่อเช้ามา
คุณหมอสาวก็รีบพุ่งมาเปิดประตูแทบจะทันที
แต่ก็ต้องผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคยองซูไม่ได้แบกปาปีโร่มาคนเดียว
แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มที่เธอเห็นมาหลบๆซ่อนๆที่บ้านของเธอร่วมสองปีมาด้วย
...นี่คงไม่ใช่แผนที่จะมาขโมยของในบ้านของเธอใช่มั้ย...
“นี่ใครเหรอคยองซู?”
“นี่จงอินครับ
เขาเป็น...เอ่อ...รุ่นน้องที่โรงเรียนน่ะครับ”
“อ๋อ รุ่นน้องเองเหรอจ๊ะ งั้นก็รบกวนพาปาปีโร่เข้ามาข้างในหน่อยนะ”
คยองฮีหลบทางให้โทร์ลน้อยไร้สติสามารถเข้ามาในบ้านได้
ร่างสูงวางร่างของปาปีโร่ลงกับพื้นในห้องนั่งเล่น แล้วทำท่าจะเดินออกจากบ้านไป
แต่ก็ติดที่อาสาวเดินเข้ามาดักพร้อมน้ำหนึ่งแก้วในมือเสียก่อน
หากไม่รับไมตรีไว้คงเสียมารยาทเอามากๆ
“นั่งก่อนสิ พวกเธอคงเหนื่อยกันมามากแล้ว
ไม่ได้รีบไปไหนใช่มั้ยจงอิน”
“กะ...ก็ไม่เชิงนักครับ”
“ไม่เชิงแสดงว่าก็ยังอยู่ได้บ้าง
เพราะฉะนั้นเชิญนั่งก่อนสิ”
“คะ...ครับ”
ร่างสูงจำต้องกลับมานั่งลงที่โซฟาข้างๆโทร์ลน้อย
ที่มีคยองซูนั่งดูอยู่ข้างๆ มือหนารับแก้วน้ำมาถือไว้พร้อมก้มศีรษะขอบคุณเล็กน้อยให้คุณหมอชื่อดัง
ก่อนที่เธอจะผละไปนั่งลงข้างๆหลานชายของเธอ
“ไปทำท่าไหนกันมาเนี่ย
ปาปีโร่ถึงสลบมาได้ขนาดนี้”
“พอดีคนที่ร้านเสื้อผ้าเขาไม่ยอมให้มันเข้าน่ะครับ”
“ใจแคบกันจริงๆเลยคนสมัยนี้
คงจะเสียงดังใส่จนมันหลุดสัญชาตญาณออกมาเลยสินะ แล้วแบบนี้เสียหายกันไปเท่าไรล่ะ”
คยองฮีถามพร้อมสำรวจร่างกายของร่างไร้สติตรงหน้าที่นับเป็นคนไข้ไปด้วย
คยองซูส่ายหน้าเพราะเขาชิ่งออกมาเสียก่อนทุกคนจะหายตกใจ
จึงไม่มีใครเอาเรื่องเขาได้ทัน อีกทั้งเสื้อผ้าที่ล้มแค่จับขึ้นไม่นานก็สวยเหมือนใหม่แล้ว
จึงไม่มีอะไรที่เขาคิดว่าจะต้องชดใช้ให้
“แล้วหลานเจ็บตรงไหนบ้างมั้ยเนี่ย?”
“ตอนแรกก็เจ็บที่แขนนิดหน่อยครับ
แต่คิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ยังไงก็เดี๋ยวให้อาดูหน่อยแล้วกันนะ
จะได้แน่ใจว่าข้างในไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”
“ครับ”
หลังจากบทสนทนาสั้นๆนั้นจบลง ทั้งสองก็ช่วยกันตรวจดูร่างกายของโทร์ล
น้อยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาจากเวทร่ายง่ายๆ ตาคมมองไปที่ท่าทางของร่างเล็กที่ดูคล่องแคล่วในการช่วยเหลือสัตว์วิเศษก็ได้แต่นิ่งไป
ไม่รู้ทำไมความคิดว่าคยองซูเหมาะกับชีวิตแบบนี้มากกว่า
การต้องนั่งนอนเป็นคุณหนูในกรงของตระกูลโด
...บางทีทางที่เราเลือกเองก็ดีที่สุดจริงๆ...
“โทร์ล...ล...ล...ล~”
เสียงของปาปีโร่ที่ครางออกมาทำให้ทั้งสองอาหลานยิ้มออกได้
คยองฮีช่วยพยุงมันนั่งอย่างไม่ยากนัก ตรวจดูอีกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไร ก็บอกให้คยองซูพามันออกไปอาบน้ำล้างคราบดินที่ลากมาไกลเสียหน่อย
“ขอโทษด้วยนะ
เธอเป็นแขกแต่กลับต้องมานั่งเหงา”
“ไม่เป็นไรครับ”
จงอินตอบออกไปอย่างไม่คิดมากจริงๆ
ก่อนที่จะยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยให้หญิงสาว
คยองฮียิ้มตอบก่อนที่จะเริ่มเปิดบทสนทนาของตนเองบ้าง
“ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะกล้าเข้าบ้านฉันด้วย”
“ครับ?”
“ก็เห็นแอบมองคยองซูมาตลอดเลยนิ
ถ้ารู้จักกันอยู่แล้วทำไมไม่เข้ามาทัก”
“ผะ...ผมเหรอครับ
คงไม่สะดวกที่จะทำแบบนั้นหรอกครับ”
“ทำไมล่ะ”
ร่างสูงนิ่งไปเพราะคำถามนั้น
เหลือบมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยนั้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะต้องยิ้มออกมา
ยิ้มที่มอบให้เพื่อปลอบใจตนเองไม่ใช่ใคร
เขาก็แค่คิดว่าทำแบบนี้แล้วมันทำให้คยองซูมีความสุข
ดูรอยยิ้มดีใจที่โทร์ลตัวนั้นฟื้นขึ้นมาเขาก็รู้แล้วว่าคำตอบที่เขาควรตอบออกไปคืออะไร
“คงเป็นเพราะคนบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อจับต้องมั้งครับ
การมองถึงทำให้มีความสุขมากกว่า ยังไงผมก็ต้องขอบคุณสำหรับน้ำนะครับ
แต่คงต้องขอตัวก่อน ลานะครับ”
<<<
The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล
>>>
The
Phonucorn – chapter 4.1
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ไม่รู้มนต์ถันฑิลสนุกถูกใจมั้ยเอ่ย
แต่อย่างไรฝากติดตามด้วยนะคะ^^
ความคิดเห็น