ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #55 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๑

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 227
      0
      15 พ.ค. 59

    © themy butter
    พิมพ์เนื้อหาตรงนี้ 

    Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๑

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Chen x Minseok

     

     

    บทที่ ๑๑

    The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    “เป็นอะไรน่ะซิ่วหมิน?”

     

    “หือ?”

     

    เสียงของเซฮุนที่เดินเข้ามาในห้องนอนของซิ่วหมินถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนดูเหม่อลอยอย่างผิดหูผิดตา เขารู้จักซิ่วหมินมานาน และมั่นใจว่าร่างบางนั้นไม่เคยมีท่าทางกังวลมากขนาดนี้

     

    ...ขนาดสอบตกยังไม่เคยเครียดเลย...

     

    “ถามว่าเป็นอะไร คิ้วแกขมวดเป็นปมแล้ว”

     

    “ก็ไม่มีอะไรเลย”

     

    “เชื่อก็ควายแล้ว เห็นฉันหุ่นดีขนาดนี้ไม่ใช่เพราะแดกหญ้านะ”

     

    ร่างบางเบะปากใส่เพื่อนรักที่แสนจะรู้ทัน  ตาเรียวมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าเซฮุนมาหาเขาตามลำพัง ก่อนจะดึงให้เพื่อนนั่งลงบนเตียงข้างกัน หันหน้าเข้าหาเซฮุนด้วยท่าทางจริงจัง จนเซฮุนต้องขมวดคิ้วตาม

     

    “มีอะไรเหรอวะ?”

     

    “มี...คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันด้วย”

     

    “แล้วมันใหญ่สำหรับฉันด้วยรึไง”

     

    “ไม่ใหญ่สำหรับแกเลย แต่สำหรับฉันมันเหมือนๆกับฉันรู้ข่าววันสิ้นโลกเลย”

     

    “เรื่องอะไร เล่ามาดิ”

     

    ต่อสอดรู้สอดเห็นของเซฮุนเริ่มทำงานขึ้นมาอีกครั้ง เขากดเสียงถามไม่พยายามแสดงออกมาถึงความสงสัย ซิ่วหมินทำยึกยักอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจหันหน้ามาพูด

     

    “เรื่องนี้ รู้แค่เราสองคนนะ”

     

    “เออ...อ...อ จะบอกก็บอกได้มั้ยวะ ลีลาขนาดนี้เดี๋ยวก็ไม่ฟังเลย”

     

    “คือถ้ามีคนมาพูดกับเราตอนที่เราแกล้งหลับ ว่าเขาทำอะไรก็ไม่รู้เพื่อเรา แถมยังมาจูบขมับเราอีก มันหมายความว่าเขากำลังทำอะไรเพื่อเราวะ”

     

    ปากบางของผู้ฟังอ้าค้างด้วยความไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นสักนิด ไม่รู้ว่าซิ่วหมินคิดว่าเขามีจิตสื่อถึงใครก็ได้หรืออย่างไร ถึงเขาจะมีพลังในการอ่านความคิดคนก็ตามที แต่เขาก็ไม่ได้สนใจทุกความคิดของทุกคนในชีวิตหรอกนะ

     

    ...แต่ตามสัญชาตญาณเขาคิดว่ามันคือความรัก...

     

    “ใครวะ?”

     

    “ไม่เอา ไม่บอกดิ แกแค่บอกก็พอว่าเขากำลังทำอะไรเพื่อฉัน”

     

    “ก็ถ้าไม่รู้ว่าเป็นใคร แล้วฉันจะเดาให้แกได้มั้ยล่ะ”

     

    “อย่ามาหลอกถามเลยไอ้ฮุน”

     

    “ขอเดา”

     

    “ว่า?”

     

    “เฉิน”

     

    ...แม่นราวกับอ่านความคิดเขาได้...

     

    ซิ่วหมินเผลอปรบมือออกมาอย่างลืมตัว เพราะเขาไม่รู้ว่าเซฮุนกำลังอ่านความคิดของเขาอยู่ พาลคิดไปถึงว่าร่างโปร่งนั้นอาจแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นชัด แต่เขามันโง่เองรึเปล่าที่ไม่ทันสังเกต

     

    “แกรู้?”

     

    “รู้ดิ ก็แกไม่ได้มีเพื่อนมากมายอะไรไม่ใช่เหรอ นอกจากพวกฉันซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แกก็มีแค่เจ้านั่นนิ"

     

    ...ไม่สมเหตุสมผลที่สุด...

     

    ร่างบางนั้นมีรายชื่อเป็นหนึ่งในคนดังของชั้นเรียนด้วยซ้ำ จะบอกว่าไม่มีเพื่อนมากนักก็เป็นคำโป้ปดอย่างชัดเจน หากแต่ซิ่วหมินก็ยังพยักหน้ารับอย่างไม่รู้ตนเอง

     

    “นั่นสินะ แล้วสรุปเรื่องนี้มันหมายความว่ายังไง”

     

    “ถ้าแกหมายถึงเขากำลังทำอะไรเพื่อแก บอกเลยนะว่าฉันก็ไม่รู้หรอกเว่ย แต่ถ้าถามฉันว่าเขาคิดยังไงกับแกถึงหอมแกแบบนั้น บอกเลยว่างานนี้โลกแกจะต้องกลายเป็นสีชมพูแน่ๆเลยว่ะ”

     

    “สีชมพูเหรอ? งี้ก็ไม่เกี่ยวกับพวกผู้ล่าแล้วอ่ะดิ”

     

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้ล่าวะ?”

     

    “เอ่อ...ฉันก็พูดไปเรื่อยแหล่ะ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่มาหาฉันมีอะไรรึไง”

     

    “รายงานเรื่องวิชาพื้นฐานฉันเลือกหัวข้อมาแล้วนะ กลุ่มเราตกลงจะทำเรื่องการออกตามล่ากัน และทุกคนลงมติแล้วว่าให้แกเริ่มหาข้อมูลก่อนเลย เชิญทำงานครับ แล้วกรุณาอย่าฟุ้งซ่าน!

     

    สั่งงานเสร็จเซฮุนก้เดินออกไปอย่างไม่ได้ติดใจอะไรกับเพื่อนเขาเลยสักนิด อาจเพราะส่วนหนึ่งร่างบางก็ทำตัวไร้สาระ และ พูดอะไรไม่ค่อยมีประโยชน์ เลยพอเชื่อได้ว่านี่ก็คงไม่ต่างจากครั้งอื่นๆ

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    ตึก...ตึก...ตึก

     

    เสียงเดินของคนสองคนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของทางเดินบนทางเชื่อม เฉินหันไปเหลือบมองมองใบหน้าหวานที่ดูยุ่งกว่าทุกวันอีกครั้ง ก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาแล้วเก็บความสงสัยเอาไว้

     

    ...เป็นอะไรของเขา...

     

    ตึก...ตึก...ตึก

     

    แต่สุดท้ายเมื่อเดินมาจนถึงหน้าห้องสมุด ร่างโปร่งก็ไม่สามารถทนต่อความอึดอัดนี้ได้ เขาอาจจะคิดไปเองแต่ก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆ บางทีเรื่องที่ทำให้ซิ่วหมินเป็นแบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาก็เป็นได้

     

    ...หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่...

     

    “ถามอะไรหน่อยสิ วันนี้นายเป็นอะไรเหรอ?”

     

    “ห๊ะ?! ฉันเหรอ ก็เปล่านิ”

     

    “เหรอ”

     

    แม้จะรู้ก็ตามว่านั่นเป็นคำโกหก แต่เพราะนี่คือเฉินไม่ใช่เซฮุน เมื่อซิ่วหมินไม่ อยากจะบอก เขาก็ไม่คิดจะถามต่อ รอให้ผู้พูดอยากบอกเองน่าจะดีกว่า เผื่อว่ามันเป็นความลับเขาจะได้ไม่ลำบากใจ

     

    “วันนี้นายจะอ่านอะไร”

     

    “ก็คงเหมือนเดิม”

     

    “นายยังอ่านมันไม่จบอีกเหรอ? ฉันคิดว่านายจะอ่านมันจบไปแล้วซะอีก เล่มบางเท่านั้นเองนะ”

     

    “ก็ใช่ แต่เพราะฉันต้องคิดตามไปด้วยน่ะ มันไม่ง่ายที่จะตีความหมายเป็นประโยค จากประโยคที่มีความหมายได้เป็นร้อย”

     

    “แค่ใช้ใจเลือกมาสักเหตุผลในเหตุผลเป็นร้อยนั้นไม่ได้เหรอ”

     

    “ไม่ได้หรอก บางเรื่องมันก็ไม่ง่ายที่จะตัดสินใจ”

     

    “งั้น ฉันเอาใจช่วยนะ”

     

    รอยยิ้มหวานเผยขึ้นอีกครั้ง เรียกรอยยิ้มจาวๆจากปากบางของเฉินได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อพวกเขาทิ้งตัวลงนั่ง ซิ่วหมินกลับลุกไปที่ชั้นหนังสืออีกครั้ง ทั้งที่ปกติน่าจะหาองศาดีๆในการหลับไปแล้ว แถมยังกลับมาที่โต๊ะพร้อมหนังสือกองโต ที่แต่ละเล่มเล่นเอาเฉินถึงกับต้องขมวดคิ้วแน่น

     

    ...หนังสือเกี่ยวกับผู้ล่าและการตามล่าทั้งนั้น...

     

    มือหนาจับกระชับกระเป๋าของตนเองที่มีผ้าคลุมอยู่อย่างอดสงสัยไม่ได้ บางทีเรื่องที่ทำให้ซิ่วหมินเครียดอาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ คงไม่ใช่ว่าร่างบางรู้แล้วว่าเขาคือใคร

     

    “นะ...นายอ่านหนังสือพวกนี้ไปทำไม?”

     

    “อ๋อ ก็รายงานวิชาพื้นฐานไง”

     

    “นายทำเรื่องนี้เหรอ”

     

    “ใช่ เซฮุนอยากทำเรื่องการตามล่าน่ะ ฉันเลยต้องมาหาเรื่องของผู้ล่าไปด้วย”

     

    “ไม่เห็นน่าสนใจ”

     

    ทั้งที่บอกว่ามันไม่น่าสนใจที่จะรู้เกี่ยวกับตัวของเขา แต่ตาคมไม่อาจลืมตาขึ้นสบตาเรียวที่กำลังมองมาได้เลย ยิ่งเฉินมีปฏิกิริยามากเท่าไร ซิ่วหมินที่แม้จะไม่สังเกตก็ยิ่งเห็นถึงความผิดปกติ

     

    “แน่ใจเหรอ?”

     

    “ทะ...ทำไมล่ะ”

     

    “จำเรื่องที่ฉันเคยบอกนายได้มั้ยล่ะ ที่ฉันเห็นเรื่องราวของนายกับเหล่าผู้ล่าในคำทำนาย บางทีฉันอาจจะได้คำตอบจากการอ่านพวกมันก็ได้นะ บางทีฉันอาจจะชำนาญขนาดดูพวกผู้ล่าออกเลยล่ะ รู้มั้ยว่าฉันเคยเจอผู้ล่ามากกว่าสามครั้งเลยนะ หนึ่งในนั้นฉันเคยขี่หลังมาแล้วด้วย กลิ่นของความตายยังติดจมูกฉันอยู่เลย”

     

    “กะ...กลิ่นของความตายเนี่ยนะ?”

     

    ...เขามีกลิ่นแบบนั้นติดตัวเลยเหรอ...

     

    ทั้งที่มั่นใจว่าคำพูดที่ออกมาจากปากบางนั้นคงเป็นการโม้เท่านั้น แต่พอได้ยินแบบนั้น ก็อดยกหลังมือขึ้นมาเกาจมูก พร้อมดมกลิ่นของตนเองด้วยความกังวลไม่ได้

     

    “บอกเลยนะว่าถ้าเจออีกครั้ง ฉันจำเขาได้แน่นอน”

     

    “นายโม้แล้วล่ะ”

     

    เสียงทุ้มหลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกโล่งใจ เพราะเขามั่นใจว่าซิ่วหมินไม่มีทางจำเขาได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถลอยหน้าลอยตาคุยกับร่างบางเรื่องนี้ได้แน่ ซิ่วหมินหลิ่วตาให้กับท่าทางมั่นใจของคู่สนทนา อดจะยื่นหน้าเข้าใกล้เพื่อกวนประสาทไม่ได้

     

    “รู้ได้ไงว่าฉันโม้”

     

    “เพราะนายไม่รู้จริงๆว่าเขาคือใคร”

     

    “แล้วรู้ได้ไง...ว่าฉันไม่รู้”

     

    คำพูดทิ้งท้ายทีเล่นทีจริง เล่นเอาเฉินไปต่อไม่ถูก เริ่มกังวลว่าร่างบางอาจจะรู้ตัวจริงของเขา แต่ก็ไม่สามารถแสดงความกลัวของตนเองออกไปได้ ที่ทำได้ก็แค่ขยับแขนเสื้อระวังตนเองไว้เท่านั้น

     

    “สมมุติถ้านายรู้ นายจะทำอะไรกับเขาล่ะ”

     

    “ทำอะไร? ทำไมต้องทำอะไรล่ะ?”

     

    “ก็...มันไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับคนทั่วไป ไม่มีใครอยากสุงสิงกับพวกผู้ล่าหรอกนะ มันประหลาดเกินไปไม่ใช่เหรอ”

     

    “สำหรับฉันไม่หรอก ก็เขาเป็นผู้มีพระคุณของฉันนิ มีผู้ล่าตั้งสองคนที่ช่วยชีวิตของฉันไว้ ไม่ว่าเขาจะทำมันไปตามหน้าที่หรือไม่ก็ตาม”

     

    คำพูดที่แตกต่างจากทุกครั้งที่เฉินเคยได้รับ ทำให้ใบหน้าหล่ออดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ สำหรับเขาซิ่วหมินไม่ได้แค่พิเศษที่กล้าเข้าหาเขาในฐานะผู้ถือกำเนิด แต่ร่างบางยังคงให้อ้อมกอดหัวใจที่แสนอบอุ่น ในฐานะที่เขาเป็นผู้ล่าอีกด้วย

     

    ...ความอุ่นใจที่ไม่เคยได้รับจากใคร...

     

    “นายนี่เหมือนตะวันเลยนะ”

     

    “หือ? สว่างไสวเหรอ? ไม่ต้องบอกฉันก็รู้น่ะว่าตัวเองเป็นคนดีแค่ไหน”

     

    จากที่ตั้งใจจะชมอย่างที่เจ้าตัวเพิ่งพูดออกมา พอเห็นความมั่นใจแบบนั้นเลยอดจะพูดหยอกล้อออกไปไม่ได้

     

    “เปล่า หน้ากลมแล้วก็แป้นมากๆเลยนะ ฮะฮะฮ่า”

     

    “ย๊า!!! นายว่าฉันอ้วนเหรอ”

     

    “ฮะฮะฮ่า โอ้ย!

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    “นายอ่านมันไปถึงไหนแล้ว”

     

    ร่างสูงของเทาที่ได้ยินเสียงเปิดประตูถามขึ้น แม้จะไม่ได้หันไปมองว่าเป็นใครก็ตาม แต่ห้องเขาก็ไม่เคยมีใครเข้าออกนอกเสียจากเฉินและเขาอยู่แล้ว แต่เมื่อรอสักพักไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ เลยต้องหันไปมองด้วยความระแวงไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเพื่อนกำลังอ่านมันอยู่ก็ได้แต่เท้าคางถามใหม่

     

    “นายอ่านไปถึงไหนแล้ว?”

     

    “หือ?!

     

    “ฉันจะไม่ถามมันเป็นครั้งที่สามนะเว่ย นายได้ฟังที่ฉันพูดอยู่บ้างปะเนี่ย เป็นอะไรรึเปล่า วันนี้นายเหม่อมากเลยนะ”

     

    “ปะ...เปล่า”

     

    เสียงทุ้มตอบออกไปอย่างที่ตนเองก็ไม่มั่นใจนัก เขารู้สึกว่าหนังสือในมือนั้นมันประหลาด อีกทั้งชื่อเรื่องก็เหมือนมันเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก

     

    ...เจ้าหญิงองค์โต...

     

    “มีอะไรก็บอกฉันได้นะ ฉันไม่เอาไปบอกใครอยู่แล้ว”

     

    “ฉันไม่ได้ไม่ไว้ใจนาย แค่บางอย่างที่ฉันอ่านในนี้มันแปลก”

     

    “แปลก?”

     

    เทาเอียงหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเฉินไปได้หนังสือนั่นมาจากบิดาของตน เขาคิดว่าความลับของบิดาคงเป็นคำบอกเล่าที่จบลงในวันนั้นแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นานหนังสือเล่มนี้ถึงโผล่ขึ้นมา แล้วชื่อหนังสือมันก็ไม่ได้ชวนติดตามเลยสักนิด แต่เขาก็เห็นเพื่อนมุ่งมั่นอ่านมาหลายวันจนอดถามไม่ได้

     

    “นายเรียนประวัติศาสตร์ฟีนูคอนมามั้ย”

     

    “เรียนสิ คนไม่เรียนนั่นแหลาะแปลกว่ะ”

     

    “แล้วไอ้คนที่เขียนหนังสือเล่มนี้มันไปอยู่ยุคไหนมาวะ?”

     

    มือหนาชูหนังสือนิทานในมือให้เทาดู ซึ่งเขาก็ทำได้แค่ยักไหล่อย่างไม่รู้เช่นกัน เทาเองก็ไม่ใช่หนอนหนังสือ ถ้าอยากจะรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ผลิตปีไหน คงมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะตอบได้...บรรณารักษ์หรือเด็กคนนั้น

     

    “อยากรู้จริงๆเปล่าล่ะ จริงๆหอตรงข้ามเราก็มีอยู่คนนึงนี่”

     

    “ใคร?”

     

    “เด็กคนนั้นน่ะ ที่เป็นฟิสสิเพรสคนเดียวในกลุ่มของซิ่วหมินของนายน่ะ”

     

    “แบคฮยอน?”

     

    แค่พูดชื่อเฉินก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้มันชักจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว ขนของเขาตั้งชันทั้งแขนด้วยความรู้สึกประหลาด ก็บอกแล้วว่าเฉินไม่คิดว่าคนอย่างแบคฮยอนปลอดภัย เหมือนกับที่คนอื่นๆคิดกัน แววตาใสซื่อนั้นดูไม่ใสอย่างที่เห็นสักนิด

     

    “ใช่ๆ เด็กคนที่เขาบอกว่าปากนำโชคน่ะ”

     

    “ไม่ล่ะ ถ้าคนนี้ฉันขอบาย”

     

    “อาจจะดีก็ได้นะเว่ย ลองไปให้เขาอวยพรดูมั้ยล่ะ”

     

    “ฉันไม่เชื่อในคำทำนาย”

     

    “ทำไมล่ะ นายมีสิทธิ์ที่จะได้รับคำทำนายนะ โชคชะตาเป็นของคนที่คว้าไว้”

     

    “นี่! นายลืมไปแล้วรึยังไงว่าฉันไม่เชื่อในโชคชะตามาเกือบตลอดชีวิต แล้วอยู่ๆจะให้ฉันไปงมงายตามใครก็ไม่รู้ มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันแน่ ไปทำงานก่อนล่ะ”

     

    ประกาศตัวเสร็จร่างโปร่งก็ไม่รอช้าที่จะออกไปจากห้อง ก่อนที่เทาจะพ่นคำหว่านล้อมมาให้เขาต้องปวดหัวอีกครั้ง แต่เมื่อต้องผ่านหน้าหอพักเขตเย็น คำพูดเหล่านั้นก็เวียนมาให้ได้คิดตามจนต้องหยุดชะงัก

     

    “โชคชะตาอย่างนั้นเหรอ...เหอะ! มันไม่มีทางเป็นจริงหรอก”

     

    ...บางครั้งสิ่งที่ไม่เห็น อาจไม่ได้หมายความว่าไม่มี...

     

    ร่างโปร่งยังคงเดินตรวจตราสุสานอย่างทุกวัน และเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรผิดปกติเช่นทุกครั้ง เขาจึงมีเวลามากพอที่จะอ่านสิ่งที่คลั่งค้างไว้ต่อ จนลืมเวลางานใหม่ที่เพิ่งได้รับเพิ่มมาเมื่อสองวันก่อน

     

    “มันหมายความว่ายังไงวะ คำโปปดที่แสนบริสุทธิ์เนี่ย?”

     

    “หมายความว่าเป็นคำโกหกที่ไม่ให้โทษแก่ใครน่ะครับ”

     

    “เห้ย! นายเป็นใคร เข้ามาในสุสานนี้ทำไม”

     

    เฉินผงะถอยกระชับชุดคลุมให้ปิดสนิทกว่าเดิม พร้อมทั้งซุกซ่อนหนังสือนั้นลงใต้ช่องผ้าคลุม มองใบหน้าเล็กของเด็กที่อยู่ตรงข้ามอย่างไม่เข้าใจ เวลาแบบนี้จะมีคนสักกี่คนที่เข้ามาในสุสาน

     

    “ผมเป็นคนที่คุณโยซอบส่งมาตามครับ”

     

    “โยซอบ?”

     

    เสียงทุ้มถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เขาลืมไปแล้วว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน แล้วเด็กตัวเล็กกว่าตรงหน้าก็ชี้ไปที่ฝั่งหนึ่งของสุสาน ที่ซึ่งใช้เป็นแดนกักขังพวกโทร์ล

     

    ...บทลงโทษแรกที่ฆ่าโทร์ลของเฉินนี่เอง...

     

    “โยซอบบอกว่าอย่างไรต้องเอาคุณไปให้ได้วันนี้”

     

    “รู้แล้วๆ แต่ตอนนี้ไม่สะดวกนะ”

     

    “ว่างขนาดอ่านหนังสือเล่นได้ คุณไม่สะดวกอะไรเหรอครับ”

     

    “ก็ต้องอ่านหนังสือไง เลยไม่ว่าง”

     

    “แต่ถ้าคุณไม่ไปรับบทลงโทษ ผมจะส่งชื่อคุณให้ท่านอธิการบดีไตร่ตรองสิทธิ์ในการเป็นผู้ล่าของมหาวิทยาลัยฟีนูคอนใหม่ เพราะผู้ล่าควรรักษาสัญญาและมีเกียรติ ไม่อย่างนั้นก็ควรจะไปเป็นผู้ล่าที่อื่น ที่นี่...”

     

    “พอๆ ฉันไปแน่นอน แต่นายกลับไปก่อนตกลงมั้ย”

     

    เฉินบอกปัดไปอย่างเริ่มหัวเสีย หนังสือก็อ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แววการหลุดพ้นจากการเป็นผู้ล่าก็เลือนรางเต็มที แล้วยังต้องมารับบทลงโทษที่เขาไม่คิดว่าตนเองผิดเลยสักนิด ถ้าพวกผู้รับใช้ไม่ปล่อยโทร์ลนั่นหลุดออกมาวันนั้น มันก็ไม่มีทางที่เขาจะฆ่าโทร์ลสักตัวได้อย่างแน่นอน ถึงบทลงโทษมันจะเป็นแค่การช่วยตรวจตราโทร์ลในคอกเท่านั้นก็เถอะ

     

    ...แต่มันไม่ยุติธรรม!...

     

    “ไม่ไปครับ ผมจะไปก็ต่อเมื่อคุณไปด้วย”

     

    “ก็บอกว่ารู้แล้วไง ไปแน่ๆ”

     

    “แต่ผม...จะไปพร้อมคุณ”

     

    ใบหน้าใสซื่อราวกับเด็กน้อยที่ไม่น่าจะเป็นเด็กมหาวิทยาลัยนั้น ยื่นเข้ามาเกือบจะถึงชุดคลุม แล้วพูดเน้นทีละคำอย่างไม่ยอมแพ้ ร่างโปร่งอยากจะลงไปดิ้นกับพื้นให้กับความดื้อด้านนั้น แต่ก็จำยอมเดินนำไปในที่สุด

     

    “คุณครับ”

     

    “อะไรอีก ก็ไปแล้วนี่ไง”

     

    “ผมชื่อ โด คยองซู นะครับ”

     

    “ไม่อยากรู้ สำหรับฉันไม่ต้องผูกพันกับผู้ถือกำเนิดหรอก!

     

    ถึงแม้จริงๆจะไม่ได้หมายความตามที่พูดจริงๆก็ตาม แต่สำหรับเฉินแล้วเขาไม่อยากทำความรู้จักเด็กคนนี้เลย ขอให้เจอกันแค่งานที่ระบุไว้แค่สิบวันเท่านั้น แล้วก็หายไปจากกันเลยจะดีเสียกว่า

     

    “แต่ผมรู้จักคุณนี่ คุณเป็นรุ่นน้องของผม”

     

    “ห๊ะ?!

     

    รอยยิ้มที่เหมือนไม่มีอะไรเก็บซ่อน นั้นราวกับยาพิษแสนนารังเกียจที่เฉินไม่อยากจะเข้าใกล้ สำหรับชีวิตผู้ล่าการที่มีใครมาบอกว่าผมจำคุณได้ มันได้ได้น่าดีใจเลยสักนิด...นี่มันหายนะของหน้าที่การงานเลยนะ

     

    “จำฉันได้ว่าอะไร”

     

    “คุณเป็นรุ่นน้องผม อยู่ปีหนึ่ง ชื่อ...”

     

    “อย่าพูด!

     

    “อะ...โอเคครับ”

     

    “รู้แล้วก็เหยียบไว้ด้วยล่ะ มันไม่ใช่เรื่องดีนักหรอกที่มารู้ตัวตนของผู้ล่า เอาไปพูดให้คนอื่นฟังเขาจะหาว่านายบ้า และ ฉันก็จะทำหน้าใสซื่อไม่รับผิดชอบหรอกนะ”

     

    “ผมเป็นชาวโซม่า ชาวดินไม่โกหกหรอกครับ”

     

    “แล้วไอ้คนที่ชื่อจงอินอะไรนั่นล่ะ ได้ข่าวว่าโป้ปดเสียไม่มีดีเลยนิ”

     

    “เขา...”

     

    “ฉันจะบอกอะไรให้นายรู้เอาไว้นะ ผู้ถือกำเนิดน่ะไม่ว่าเกิดในชนชั้นใด เกินในเผ่าใด ถ้ามันจะไม่ดีก็คือไม่ดี ไม่มีใครหรอกที่จะทำชั่วแล้วมานั่งคิดก่อน ว่าเห้ย! ไม่ได้นะเราเป็นชาวโซม่าอย่าโกหก เราเป็นชาวเนโรอย่าพรากชีวิตผู้อื่น นั่นมันยุคล้าหลังแล้วนะ”

     

    คยองซูเหมือนจะตกใจกับสิ่งที่ผู้ล่าหนุ่มพูดออกมาไม่น้อย ราวกับว่าไม่เคยเห็นสิ่งที่เฉินพูดมาก่อน ทั้งที่รอบกายนั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มากเล่ห์หลายเหลี่ยมทั้งนั้น

     

    “นายโตมายังไงกันแน่”

     

    “โตมาในเมืองโซม่าครับ”

     

    “ห๊ะ?!

     

    คำตอบซื่อๆนั้นไม่ได้แปลกอะไร หากแต่ตาคมดันสบเข้ากับอายุไขและประสบการณ์กำลังบอกว่าเด็กคนนี้เป็นเชื้อสายฟิสิเพรส แล้วบังเอิญไม่เคยมีฟิสิเพรสคนไหนที่เติบโตในเมืองธาตุของตนเองมาก่อน

     

    ...เป็นชนชั้นสูงที่ประหลาดจริงๆ...

     

    “พ่อแม่นายทำงานในเมืองโซม่าเหรอ?”

     

    “เปล่าครับ”

     

    “อ่า...”

     

    แม้จะยังสงสัยแต่ร่างโปร่งก็เลือกที่จะเงียบไว้เท่านั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้คยองซูต้องไปอยู่ในโซม่า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจเลย ก็แค่เรื่องความวุ่นวายของผู้ถือกำเนิดคนหนึ่งเท่านั้น

     

    ...แต่เฉินลืมไปว่าผู้ถือกำเนิดประเภทไหนที่อยู่กับโทร์ลได้...

     

                         <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 3.12

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ขออภัยที่ลงช้าค่า TT

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×