ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #56 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๒

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 210
      1
      3 มิ.ย. 59

     

    Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๒

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Chen x Minseok

     

     

    บทที่ ๑๒

    The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    “นายดูไม่โอเคเลยนะ”

     

    เสียงของเทาทักขึ้นด้วยความกังวล หลังจากเห็นสีหน้าของเพื่อนร่วมห้อง ที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียงของตนเองตั้งแต่เช้าที่ตื่นมา เฉินเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว พอถามก็ตอบด้วยคำพูดเดิมๆ

     

    “ฉันไม่เป็นอะไร”

     

    “แต่นายดูเหนื่อย ดูเพลียมากๆ”

     

    “ก็แค่งานมันเยอะเกินไปน่ะ”

     

    เฉินไม่ได้โกหกออกไปแม้แต่คำเดียว เขามั่นใจว่าร่างกายของเขายังไหว แต่ก็อดที่จะยอมรับว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดไม่ได้ เขาเพิ่งรู้ว่าในเขตกักกันโทร์ลมันเป็นงานหนักขนาดไหน มีโทร์ลเป็นร้อยตัวที่วิ่งวุ่นคอยหลบหนี มันไม่ง่ายเลยที่จะนับจำนวนของมันให้ผ่านไปในแต่ละคืน พอกลับมาเฝ้าสุสานไม่นานก็ต้องไปออกล่าพวกผู้สิ้นชีพจอมดื้ออีก

     

    ...ชีวิตเขาลำบากขนาดนี้ได้อย่างไร...

     

    “ฉันว่าการนับโทร์ลพวกนั้นมันไม่ง่ายเลยว่ะ”

     

    “พวกนั้นไร้สมอง ใช้แต่กำลังกันสินะ นายดูเหมือนร่างจะแยกในทุกเช้าเลย ถึงนายจะบอกว่ามีกำลังเหมือนพวกผีดูดเลือดก็เถอะ หึหึ”

     

    “ไม่ตลกเลยนะเว่ย ถึงจะเป็นผู้ล่า แต่ร่างของฉันมันก็แยกได้จริงๆนิ”

     

    ร่างโปร่งพูดอย่างไม่คิดขบขันตามคำพูดของเพื่อน เขาร่ายเวทอาบน้ำแต่งกายเสร็จก็ทำท่าจะเดินไปอ่านหนังสือที่ซ่อนไว้ต่อ แต่เพียงแค่หยิบหนังสือออกมาเสียงของเทาก็ดังขัดขึ้นอีกครั้ง

     

    “เล่มแค่นั้นยังอ่านไม่จบอีกหรอวะ ไหนนายบอกว่านายเข้าใจภาษาโบโลนีสแล้วไง ฉันอ่านเล่มนั้นจบภายในไม่กี่ชั่วโมงได้สบายๆ อย่างนี้นายจะเหลือเวลาเอามาทำพิธีเพื่อกลับเป็นผู้ถือกำเนิดไหมเนี่ย”

     

    เสียงบ่นอย่างคนไม่รู้ดังมาให้เฉินต้องหันไปยักไหล่ให้เสียไม่ได้ เขาไม่รู้จะบอกอย่างไรว่าเขาก็พยายามอยู่ แต่ยิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้เขายิ่งรู้สึกขัดไปหมดกับสิ่งที่รู้ จนอดที่จะอ่านใหม่หรือพยายามตีความมันใหม่ไม่ได้

     

    ...แต่หนังสือเล่มเดิม อ่านอย่างไรก็จบอย่างเดิม...

     

    เฉินนั่งลงในที่ของตนเองใบหน้ายับยู่เมื่อเริ่มอ่านมันต่ออีกครั้ง เรื่องราวของเทพีโบโลนีตั้งแต่เด็กจนโตในมุมมองที่แตกต่าง ไหลเข้าสู่สมองของเฉินราวกับคลื่นพายุ เขาเริ่มเข้าใจคำพูดที่พร่ำบอกว่าผู้ที่ศรัทธาเท่านั้นถึงจะควรอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เพราะยิ่งอ่านความศรัทธาของเราจะหาย

     

    ...เหมือนกับใจของเขาตอนนี้...

     

    “เทา...”

     

    “หือ?”

     

    “นายว่ามันมีทางเป็นไปได้ไหม ที่ความเชื่อของเรามันจะผิด”

     

    “หมายถึง เขามอบความรู้แบบผิดๆให้เรา หรือเราเชื่อไปเองว่ามันถูกแล้วมันผิดล่ะ ถ้าเป็นอย่างหลังก็คงพอจะเป็นไปได้นะ”

     

    ใบหน้าคมส่ายปฏิเสธเพราะเขาไม่คิดว่ามันเป็นไปตามที่เทาพูดสักอย่าง ทุกอย่างไม่มีใครหยิบยื่นมาให้พวกเขา แต่พวกเขาเองต่างหากที่หยิบยื่นมือไปรับอย่างไม่ถาม ว่าสิ่งที่รับมานั้นมันสมควรแล้วหรือไม่

     

    “อะไรของนายอีกเนี่ย”

     

    “นายเชื่อเหรอว่าคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดบอกความจริงทุกอย่างกับเรามั้ย”

     

    “ก็อาจจะไม่ แต่มันคงเป็นทุกอย่างที่เราสมควรจะรู้แล้วล่ะ”

     

    “ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่เป็นความจริงสำหรับเราสิ”

     

    “มันก็จริงในแบบที่เราสมควรรู้ไง”

     

    “ผู้ถือกำเนิดสมควรแค่กับคำโกหกหรอ?”

     

    “อะไรของนายวะเนี่ย?”

     

    ร่างสูงลุกขึ้นมานั่งอย่างอดจะสงสัยไม่ได้ คำพูดของเฉินแค่ฟังก็รู้แล้วว่ามันมีบางอย่างติดอยู่ในนั้น ความเชื่อของเพื่อนที่เคยศรัทธาในคัมภีร์แห่งการถือกำเนิด จนยอมพลีร่างเป็นผู้ล่า...มันกำลังจะเปลี่ยนไป

     

    “ไม่...”

     

    “นายโกหกฉันไม่ได้หรอก ฉันอ่านคนเก่งนายก็รู้”

     

    “ฉะ...ฉันบอกนายไม่ได้”

     

    “ทำไมจะบอกฉันไม่ได้ ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้นายได้กลับมาเป็นผู้ถือกำเนิดธรรมดาอยู่นะเว่ย”

     

    “พ่อนายไม่อยากให้ฉันบอก ไม่อยากให้นายเข้ามาวุ่นวายในสิ่งที่อาจนำภัยมาให้นาย มันเป็นความลับที่ถ้าใครรู้อาจจะไม่ปลอดภัย”

     

    “แล้วนายไม่คิดบ้างหรอวะ บางทีฉันอาจจะก้าวเข้าไปในเส้นของคำว่าไม่ปลอดภัย มากกว่าที่นายรู้แล้วเสียอีก”

     

    เทาทำท่าจะลุกออกไปจากห้องด้วยความหงุดหงิด ถ้าไม่ติดว่าร่างโปร่งรั้งให้เขากลับมาอธิบายสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปเสียก่อน เพราะเทาคือคนที่ช่วยเขาไว้หลายอย่าง เป็นเพื่อนในบรรดาไม่กี่คนที่เขารู้จักบนแผ่นดินฟีนูคอน เขาไม่อยากเสียเพื่อนที่จริงใจกับเขาไปแม้แต่คนเดียว

     

    “อธิบาย”

     

    “ไม่ ฉันจะไม่อธิบายสิ่งที่ฉันคิด ก็อย่างที่นายบอกนั่นแหล่ะ บางเรื่องไม่รู้อาจปลอดภัยกว่า”

     

    “ก็แล้วแต่นายนะ แต่ฉันบอกไว้เลยว่าไม่ว่าตอนจบฉันจะได้เป็นผู้ถือกำเนิดธรรมดามั้ย นายจะต้องปลอดภัยเพราะนายเป็นเพื่อนของฉัน”

     

    มือหนายอมคลายแขนของเพื่อนออกด้วยไม่อยากจะหาเรื่อง เทาเองจากที่กำลังหงุดหงิดก็ผ่อนคลายลงมากด้วยคำพูดเป็นห่วงที่ส่งมาให้ รอยยิ้มบางๆผุดมอบให้กันด้วยความเป็นมิตรอีกครั้ง มือหยาบวางลงที่ไหล่ของเฉินแล้วตบมันเบาๆ หวังว่ามันจะสามารถทำให้เพื่อนคลายกังวลได้ ว่าเขาจะไม่เป็นอะไรไปอย่างที่เฉินบอกแน่นอน

     

    “นายอ่านหนังสือไปเถอะ”

     

    “อือ”

     

    ตาคมมองไล่ไปตามบรรทัดของตัวหนังสือแสร้งว่าใส่ใจเพียงหน้ากระดาษ ทั้งที่จริงแล้วเขากำลังมองตามเลขอายุไขบนศีรษะของเพื่อนไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าตัวหนังสือบนศีรษะนั้นยังคงอยู่อีกนาน ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้จริงๆ แต่แค่เพียงชั่วครู่เดียวที่ตาเหลือบไปเห็นคนที่เดินสวนกับเทา คิ้วก็ขมวดเป็นปมอีกครั้ง

     

    ...คริส!!!...

     

    “อายุไขของนาย มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย”

     

    ไวเท่าความคิดร่างโปร่งลุกออกจากที่นั่งตามคนเป็นพี่ตามสถานะไป เขารู้ว่ามันไม่ควรที่จะใส่ผ้าคลุมนอกสุสานและนอกเวลางาน แต่เขาต้องเตือนคริสในฐานะของเพื่อนคนหนึ่งเช่นกัน

     

    “เดี๋ยว!

     

    “เห้ย!!!

     

    คริสร้องขึ้นด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าอยู่ๆก็จะมีผู้ล่าตัวเป็นๆโผล่ออกมาทักทายแบบนี้ แถมยังอยู่ในหอพักที่อาจจะมีใครเดินผ่านไปมาได้ทุกเมื่อเช่นนี้ด้วย

     

    “ออกมาทำไมวะเนี่ย มีอะไรนักหนาถึงต้องออกมาตอนนี้”

     

    “เรื่องสำคัญเกี่ยวกับนาย”

     

    “ทำไมอีกล่ะ ช่วงนี้เวลาฉันกลายร่างก็ไม่ได้รบกวนอะไรนายเลยนะ”

     

    “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น มันเกี่ยวกับอายุไขของนาย”

     

    “ทำไม?”

     

    ใบหน้าหล่อจัดจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าสายตาของผู้ล่าสามารถมองเห็นอายุไขของผู้ถือกำเนิดได้ เผื่อว่าสามารถเจอได้ในวันสิ้นชีพจะได้ไม่เป็นเรื่องยุ่งยากกับการทำงาน

     

    “มันเหลือน้อยมากกว่าครั้งที่นายไปอยู่ในสุสาน”

     

    “ห๊ะ?”

     

    “นายกำลังจะสิ้นชีพ แต่ฉันบอกไม่ได้ว่าเมื่อไร มันผิดจรรยาบรรณของผู้ล่า”

     

    “มาบอกขนาดนี้แล้วจะถือสัจจะบ้าบอทำไมวะ”

     

    คริสหัวเสียเมื่อรู้ว่าเรื่องของเขากำลังจะแย่ถ้าไม่รีบ ร่างโปร่งก็ทำได้แค่ซ่อนใบหน้ากดดันภายใต้ชุดคลุม เขามีหน้าที่ตามล่าผู้สิ้นชีพถ้าพูดออกไปจะไม่ดูเป็นการชี้โพลงให้กระรอกเหรอ ถ้าหากคริสไม่ใช่ผู้สิ้นชีพที่ว่าง่ายๆขึ้นมาล่ะ

     

    “บอกได้แค่ว่ามันเหลือน้อย แต่ก็ไม่ใช่ภายในอาทิตย์นี้หรอก”

     

    “วันหลังรอให้ฉันสิ้นชีพไปก่อนค่อยมาบอกนะ แต่ก็ต้องขอบคุณนายที่มาบอกไว้ก่อน ฉันจะได้รู้ว่าต้องรีบจัดการเรื่องทุกอย่างให้จบ”

     

    “บางทีถึงนายไม่ทำอะไร เวลาบนอายุนายก็ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว”

     

    “แต่ฉันเลือกได้ว่าตอนจบจะเป็นยังไง”

     

    ...ใช่ ทุกชีวิตมีสิทธิ์เปลี่ยนสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตนเองทุกเมื่อ...

     

    “ถ้ามาบอกแค่นี้ก็ไปเถอะ มันอันตรายสำหรับนาย”

     

    “อือ ยังไงก็ระวังตัวล่ะ”

     

    “ต้องขอบใจที่มาเตือนด้วยมั้ยเนี่ย”

     

    “ไม่ต้องหรอก ก็แค่บอกในฐานะของคนรู้จัก”

     

    “แต่ยังไงฉันก็พูดไปแล้วนิ”

     

    ผู้ล่าหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะกระโดดลงไปจากระเบียงแล้วคว้าขอบระเบียงหลบเข้าไปที่ชั้นอีกชั้นที่อยู่ด้านล่าง หลบไปตามกำแพงก่อนจะถอดผ้าคลุมออกอย่างเกือบจะแนบเนียน

     

    เฮือก!!!

     

    แรงสะกิดที่หลังเล่นเอาเฉินเหมือนจะบ้าตาย ถ้ามีคนรู้ว่าเขาเป็นผู้ล่าคงไม่ใช่เรื่องตลก แต่เมื่อหันไปเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องที่กำลังถือถาดขนมอยู่ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างนึกโล่งใจไม่ได้

     

    “ฉันต้องดีใจมั้ยที่ตื่นมาเจอผู้ล่าวิ่งอยู่ในหอพักของตัวเองเนี่ย”

     

    “ก็อย่ากรีดร้องให้ใครมาจับฉันแล้วกัน”

     

    “ไอ้บ้าเอ้ย! มันตลกหรอวะ ไม่คิดล่ะว่าถ้าคนอื่นมาเห็นที่ไม่ใช่ฉัน นายจะยังมากวนประสาทได้แบบนี้อยู่อีกมั้ย”

     

    “คิดว่าไม่แน่นอน ฉันคงโดนส่งไปห้องอธิการบดี และ ทุกคนที่รู้จักกับฉันคงถูกล้างความทรงจำทั้งหมด พร้อมๆกับจดหมายไล่ออกฉันไปอยู่มหาวิทยาลัยประจำนอกเขตปกครองของฟีนูคอน”

     

    “เพราะฉะนั้นถือว่าโชคดีที่เป็นฉัน”

     

    “ขอบใจเว่ย”

     

    สองเพื่อนที่กลายเป็นคนที่สนิทที่สุดของกันและกัน แบ่งปันขนมในถาดและหัวเราะคุยกันไปตลอดทางเดินยาว

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    ร่างบางนั่งจมอยู่ในห้องของตนเองพร้อมทั้งความคิดมากมายที่วิ่งวนอยู่ในหัว เขาใช้เวลาหลายวันในการที่จะหาข้อมูล สำหรับหัวข้อรายงานที่เขาไม่คิดว่ามันสมควรนัก

     

    ...นักศึกษาจากเขตเย็นสี่คน ทำเรื่องผู้ล่าแห่งโบโลนี...

     

    แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้ซิ่วหมินคิดว่าเขาควรเปลี่ยนหัวข้อในการทำรายงานก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความเหมาะสม แต่เป็นเพราะยิ่งเขาลงลึกไปมากเท่าไร สิ่งที่เขาสัมผัสได้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เขาเริ่มเห็นความแตกต่างของผู้ถือกำเนิดในเผ่าโบโลนี และ ผู้ถือกำเนิดที่กลายเป็นผู้ล่ามากขึ้น จนอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นในคำทำนาย มันอาจไม่ใช่เฉินที่ถูกผู้ล่าทำร้าย แต่กลายเป็นว่า...เฉินอาจจะเป็นผู้ล่าเสียเอง

     

    “หวังว่านี่จะเป็นเพียงความเข้าใจผิดนะ”

     

    ซิ่วหมินแต่งตัวออกไปเรียนพยายามจะทำให้ตนเองเป็นปกติสำหรับเพื่อนๆ แต่ยิ่งมองไปเห็นเฉินกับเทาที่อยู่ไม่ไกล ความคิดเกี่ยวกับความต่างนั้นก็ผุดขึ้นมา จนเผลอมองใบหน้าของเพื่อนทั้งสองจนเดินเข้ามาใกล้ ไม่ได้สติแม้เฉินและเทาจะยืนอยู่ตรงหน้า

     

    “เฮ้?!

     

    “อ๊ะ! วะ...ว่าไง มีอะไรเหรอเทา”

     

    “พวกเราเห็นว่านายมองอยู่ เลยเดินเข้ามาทักเฉยๆ เป็นอะไรรึเปล่า?”

     

    “มะ...ไม่นิ สบายดี”

     

    “หึหึ”

     

    ร่างสูงอดจะขำออกมาไม่ได้ที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น เขาคิดว่าเขาคุ้นเคยกับคำตอบแบบนี้เป็นอย่างดี จากเพื่อนของเขาที่ยืนก้มหน้าไม่พูดอยู่ข้างๆ เฉินเองก็รู้ว่าอะไรทำให้เทาหัวเราะเช่นกัน

     

    “อะไรเหรอ?”

     

    “เปล่า งั้นพวกฉันไปกันก่อนนะ”

     

    “อื้ม”

     

    แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเดินจากไป ร่างโปร่งก็หันมาสะกิดไหล่เรียกร่างบางไว้เสียก่อน เขายังไม่ได้ทักทายซิ่วหมินเลยตั้งแต่มายืนอยู่

     

    “อย่าลืมนัดตอนเย็นนะ นายยังอยากไปห้องสมุดด้วยกันมั้ย?”

     

    “อะ...อืม ก็ต้องอยากไปสิ”

     

    “งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จฉันจะรอที่หน้าโถงของห้องอาหาร ฝั่งที่มีตราโรงเรียนนะ อย่ากินจุจนเกินไปล่ะ”

     

    คำพูดทีเล่นทีจริงดูไม่เหมือนว่านี่จะเป็นเฉินที่เงียบขรึมตัวจริงเลยสักนิด แม้แต่เซฮุนก็ยังอดที่จะหันมามองหน้าเพื่อความแน่ใจไม่ได้ ถึงเขาจะไม่ได้สนิทอะไรมากมายแต่ก็พอจะรู้ข่าวคราวของคนๆนี้มาบาง จากปากของซิ่วหมิน

     

    “ฉันก็ไม่ได้กินจุขนาดนั้นหรอกน่า”

     

    “ฉันก็แค่แซวนายเล่นเหมือนกัน”

     

    “เชื่อตาย”

     

    “ฮะฮะฮ่า ไปล่ะนะ เจอกันตอนบ่าย”

     

    “เจอกัน”

     

    ลับหลังเฉินไปเพียงเล็กน้อย เซฮุนก็ต้องหันมาหาซิ่วหมินที่เอาแต่นั่งเงียบ เหมือนจะมีความคิดอะไรซ่อนอยู่ ค้นหาคำตอบด้วยการอ่านจิตของตนเอง ก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วยุ่งตามไปด้วย

     

    “นายอยากเปลี่ยนหัวข้อรายงานเหรอ?”

     

    “หือ? กะ...ก็ประมาณนั้น”

     

    “ทำไมล่ะ มันไม่ดูท้าทายดีสำหรับพวกเราที่เป็นธาตุเขตเย็นหรอ”

     

    “ก็จริง แต่ฉันแค่ไม่อยากไปยุ่งกับพวกผู้ล่าให้มากนัก”

     

    “นายก็ดูมีดวงสายนี้อยู่ไม่ใช่หรือไง”

     

    “ก็ถึงว่าไม่อยากยุ่งไงล่ะ”

     

    ...เขากลัวว่าเฉินอาจจะเป็นผู้ล่า...

     

    “เพื่อนน่ะ ไม่ว่าเขาเป็นอะไร เขาก็คือเพื่อนของเรา นายจำประโยคนี้ที่นายเคยพูดกับฉันได้มั้ย ตอนที่นายรู้ว่าฉันเป็นเหยี่ยวสื่อสาร”

     

    “อะ...อืม”

     

    “เพราะฉะนั้น ต่อให้นายรู้ว่าผู้ล่าเป็นใคร นายจะต้องกลัวอะไรล่ะจริงมั้ย”

     

    แม้จะไม่ได้ตอบออกไปแต่ใจก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ในเมื่อเขาเป็นเพื่อนกับเฉินในร่างของเฉิน ถึงวันหนึ่งจะรู้ว่าร่างโปร่งนั้นเป็นผู้ล่า มันก็ไม่ได้เปลี่ยนเฉินที่เขามองเห็นมาตลอดไปได้

     

    “ขอบใจนะไอ้ฮุน”

     

    “อือ ก็เรามันเพื่อนกันนี่หว่า หึหึ”

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    ตึก...ตึก...ตึก...ตึก

     

    สองเท้าเดินคู่กันไปตามทางเดินยาวเหมือนอย่างเคย จะมีก็แค่สายตาของร่างบางที่คอยจะเหลือบมองคนข้างกายเป็นระยะ จนเฉินที่ตั้งใจจะไม่ถามอดหันไปมองตอบด้วยรอยยิ้มไม่ได้

     

    “มองอะไรนัก หน้าฉันแปลกเหรอ?”

     

    “เปล่า”

     

    “แล้วมองทำไมนักล่ะ”

     

    “ช่วงนี้นายยิ้มเก่งกว่าตอนแรกมากเลยนะ แถมนายยังพูดตลกๆบ่อยมากเลยล่ะ ดูนายมีชีวิตชีวาขึ้นตั้งเยอะ ฉันชอบ”

     

    ตาคมเหลือบมองไปที่คนพูดแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอีกครั้ง ไม่รู้ทำไม่ถึงรู้สึกดีที่ซิ่วหมินพูดเหมือนเขาเป็นเพียงผู้ถือกำเนิดคนหนึ่ง จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาเป็นเพียงผู้ถือกำเนิดคนหนึ่งจริงๆ เขาจะรู้สึกดีเพียงใด ซิ่วหมินเองเมื่อพยายามไม่คิดว่าเขาจะทำอย่างไรเมื่อเฉินเป็นผู้ล่า เขาเองก็มีความสุขขึ้นเยอะเช่นกัน

     

    “ชอบฉันเหรอ”

     

    “ใช่ นายเป็นแบบนี้แล้วฉันรู้สึกดี”

     

    “ไม่ ฉันหมายถึงชอบฉันแบบคนรักใช่มั้ย”

     

    “หือ?”

     

    “หึหึ”

     

    ปากบางคลี่ยิ้มบางๆให้กับคำพูดของตนเอง เขาไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรเสี่ยวๆออกไปตรงๆเช่นนี้ แต่เพราะวันนี้เขาอารมณ์ดี เลยอยากจะบอกคนข้างกายออกไปเท่านั้น แต่ตอนนี้เขายังไม่ควรได้รับคำตอบ

     

    ...แต่เวลานั้นมันก็ใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว...

     

    หลังจากอ่านหนังสือเล่มเดิมจบเป็นรอบที่สาม ร่างโปร่งก็ตัดสินใจจะทำตามวิธีที่เขาอ่านมา ไม่ว่ามันจะเป็นวิธีที่ถูกหรือผิดก็ตาม เขามีอยู่เพียงสองทางเลือกเท่านั้นที่จะกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิดปกติ คือหนึ่งทำตามวิธีที่เคยมีคนทำมาแล้วอย่างการชำระดวงจิตที่แลกมาตั้งแต่ต้น และทางเลือกที่สองที่ไม่เคยมีใครทำได้

     

    ...ล้างมลทินแห่งเทพีโบโลนี...

     

    “คิ้วยุ่งเชียว นายมีอะไรอยากจะบอกฉันมั้ย?”

     

    “ไม่หรอก ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”

     

    “ถึงจะเป็นเรื่องไร้สาระ ฉันก็ยังอยากจะรู้อยู่ดี”

     

    “ฉันก็อยากเล่า...”

     

    ร่างโปร่งพูดจบก็เก็บหนังสือและเดินนำซิ่วหมินมาที่มุมหนึ่งของสวนหลังมหาวิทยาลัย ที่ซึ่งมีนักศึกษามากมายและไม่เหมาะแก่การพูดความลับเลยสักนิด แต่สำหรับเฉินไม่มีอะไรเหมาะเท่านี้มาก่อน

     

    ...ที่ๆอันตรายที่สุด คือที่ๆปลอดภัยที่สุด...

     

    “นายจะบอกฉันได้รึยัง?”

     

    “บอกสิ ฉันต้องบอกนายแน่ๆ แต่ขอฉันถามอะไรนายก่อนจะได้มั้ย”

     

    “อื้ม”

     

    แม้จะไม่มั่นใจนักแต่เสียงหวานก็รับคำออกไป ตาเรียวโตมองหน้าเฉินอย่างรอรับคำถาม แต่คนถามกลับไม่แม้แต่จะมองกลับมา ในใจเฉินเต้นรัวแต่พยายามซ่อนมันไว้ให้ลึกสุดใจ เขาต้องไม่แสดงออกมาจนเกินไปว่ากลัวมากแค่ไหน

     

    “นาย...เคยเจอเรื่องที่เหลือเชื่อมากแค่ไหนในชีวิต”

     

    “ก็เยอะอยู่นะ เช่นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ได้ ฉันก็คิดว่ามันเป็นเรื่องหน้าเหลือเชื่อแล้ว”

     

    “แบบนั้นมันอาจจะเกิดขึ้นได้ ไม่มีเรื่องที่เจอแล้วคิดว่ามันไม่น่าเกิดขึ้นได้มั้ย”

     

    “ก็...ฉันเคยเจอผู้ล่า ไม่ใช่แค่เจอแต่ได้ขี่หลัง เขาช่วยฉันจากการถูกฆ่า”

     

    “ละ...แล้วนายรู้สึกยังไง”

     

    ถามออกไปทั้งที่ใจเต้นแรงกว่าเก่าเสียอีก เฉินอดหันไปมองตอบร่างบางที่เหมือนนิ่งคิดไปไม่ได้ กลัวว่าคำตอบมันจะไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ กลัวว่าเขาจะเป็นคนทำให้ซิ่วหมินหายไปด้วยความจริง ที่ว่าเขาไม่เหมือนคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวร่างบาง

     

    “ตอนแรกน่ะกลัวตายมากเลยล่ะ ฉันโดนยกขึ้นไปสูงมากเลยนะ มีผู้สิ้นชีพบอกจะปล่อยฉันลงมา แล้วผู้ล่าตนนั้นก็เหมือนไม่ได้จะช่วยฉันด้วย แต่พอเอาเข้าจริงๆเขาก็มารับฉันไว้ แถมพาฉันไปตามล่าผู้สิ้นชีพตนนั้น ก่อนจะพามาส่งบ้านด้วยล่ะ ฉันซาบซึ้งในน้ำใจของเขามากเลยนะ แต่พอจะไปขอบคุณก็โดนไล่ออกมาเสียได้ แหะๆสงสัยฉันจะยังไม่คู่ควรแก่การได้รู้จักจริงๆนั่นแหล่ะ ก็ฉันมันเป็นแค่ผู้ถือกำเนิดธรรมดานี่”

     

    เสียงหวานพูดออกไปอย่างติดตลก แต่ก็หลีกเลี่ยงคำพูดที่จะเหมารวมเอาเฉินเข้าไปอยู่ในจำพวกใดจำพวกหนึ่งด้วยกัน เฉินมองแววตาสนุกสนานที่แอบเศร้านั้นแล้วรู้สึกผิด เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ซิ่วหมินรู้สึกไม่ดี แต่เขามันไม่คู่ควรแก่การรู้จักผู้ถือกำเนิดเอง

     

    “นายอาจจะสูงเกินไปก็ได้”

     

    “หึหึ นายจะบ้ารึไง ตัวฉันก็เท่านี้จะไปสูงอะไรกว่าเขา”

     

    “ฉันหมายถึง นายอาจจะมีค่ามากกว่าการที่เขาควรจะได้รู้จัก”

     

    ตาคมมองสบตาเรียวสวยพยายามจะส่งผ่านคำขอโทษไปให้ได้รู้ และดูเหมือนการวูบไหวสายตาหนีก็จะเป็นการบอกอย่างดีที่สุดว่ารับรู้ แต่เพราะซิ่วหมินไม่อยากปักใจเชื่อ ถึงยังพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง

     

    “นายเป็นชาวโบโลนี ถึงจะอยู่ที่อฟาคอลเพรสแต่ก็คงเคยคุยกับพวกผู้ล่ามาบ้างจริงมั้ยล่ะ นายก็น่าจะรู้ว่าผู้ล่าเป็นสิ่งที่สำคัญในโลกของนาย เป็นผู้เสียสละชีพเพื่อรับใช้ต่อเทพีโบโลนี แล้วผู้ถือกำเนิดตัวเล็กๆจากปาโกสแบบฉัน จะไปสูงส่งกว่าเขาได้ยังไง”

     

    “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

     

    “หือ?”

     

    “เพราะนายคือดวงตะวัน นายสว่างและมีชีวิตชีวา แต่ผู้ล่าน่ะเหมาะหมอกยามราตรีที่แสนหดหู่ ชีวิตนายมันสามารถลบล้างกลิ่นคาวของการสิ้นชีพได้นะ นายสามารถทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนไปได้ มีความทะเยอทะยานได้ เหมือนที่นายเปลี่ยนฉัน ทำให้ฉันอยากจะเป็นฉันที่ใครๆก็เข้าหา นายมีค่าไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม...แต่นายมีค่าที่สุด”

     

    “อ่า...”

     

    “และนายก็ควรค่าแก่ความลับของฉันด้วย...”

     

                         <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 3.13

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ขออภัยที่ลงช้าค่า ช่วงนี้มีสอบกับเตรียมรับปริญญาเลยทำให้ไม่มีเวลามากพอลง แต่หลังจากนี้จะปิดเทอมและได้ลงถี่ขึ้นค่า TT

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×