ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #13 : The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์ - บทที่ ๑๑ (ตอน ๑๑ ของจริง 15-08-2014)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 966
      11
      15 ส.ค. 57

    ช่วยแอมหน่อยนะคะมิตรรักทั้งหลาย 
    กดไปตามลิ้งค์ โหวต ชื่อ โสมวรรณ วงษ์กวน นะคะ
    คนโหวตมีสิทธิ์ลุ้นบัตรงาน Tofu Music Festival 2014 2 ใบนะคะ^^

    http://tofupopradio.becteroradio.com/event/TofupopCoverDance/vote

     

     

    Title : The Phonucorn เพลิงพิทักษ์ – บทที่ ๑๑

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Yifan x Yixing

     

     

    บทที่ ๑๑
    The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์

     

     

     

     

     

     

    ปึก!!!

     

    ร่างหนาถูกโยนลงใส่เก้าอี้ภายในห้องโถงใหญ่ของหอพักเขตร้อน โชคดีที่นักศึกษาทยอยกลับไปหมดแล้ว จึงไม่มีใครอยู่มากมายนัก จงอินที่นั่งหน้ามุ่ยด้วยความเจ็บ ค้อนมองพี่ชายทั้งสองร่วมหอพักอย่างไม่ชอบใจนัก คนแบบเขาเงินซื้อได้อยู่แล้วไม่เห็นต้องใช้กำลัง หยิบเงินออกมาสักฟีนก็เดินตามเป็นสุนัขเชื่องๆแล้ว

     

    “โอ้ย!!! อะไรของพี่กันวะเนี่ย?”

     

    “พวกเรามีงานให้แกทำ อย่าพูดมาก”

     

    “มีงานก็บอกกันดีๆสิครับ ไม่เห็นต้องไปลากผมมาโยนแบบนี้เลย”

     

    “เอาเถอะน่ะ! เข้าเรื่องได้หรือยัง”

     

    คริสกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก แค่เห็นหน้าของรุ่นน้องคนนี้ก็รู้แล้วว่ามีแต่เรื่องเสียฟีน คราวที่แล้วข่าวแค่เล็กน้อยยังขูดเลือดเขาเสียหลายฟีน แล้วงานนี้งานใหญ่คงเอาจนไม่เหลือติดตัวแน่ๆ

     

    “รุนแรงแบบนี้แสดงว่างานยากดิ”

     

    “ก็ไม่ยากเท่าไร แค่จะให้ช่วยอ่านอะไรให้หน่อย”

     

    “อ่าน?”

     

    ฟังดูเหมือนจะเป็นงานง่ายอย่างที่ชานยอลบอกจริงๆ ถ้าแค่อ่านหนังสือแล้วทำไมไม่อ่านเองกันล่ะ เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนชอบอ่านหนังสืออะไรมากขนาดนั้น แต่เมื่อร่างสง่าหยิบหนังสือออกมาวางตรงหน้า พร้อมให้ร่างสูงร่ายเวทคลายมนต์ จงอินก็เข้าใจทันทีว่าทำไมต้องพึ่งเขา

     

    “โฟเธีย โออีล เซดีโอ เอเรเฟเลอร์ซี”

     

    “โหพี่! นี่กะจะให้ผมตายคาหนังสือเลยเหรอ?”

     

    “จะทำไม่ทำ”

     

    “ขอดูก่อนได้มั้ยว่าหมดนี่มันเนื้อหาเป็นไง”

     

    ร่างหนาทำท่าจะเปิดหนังสือตรงหน้าดู แต่ก็ถูกมือของชานยอลตะปบไว้ก่อน สายตาดุดันจากรุ่นพี่ทั้งสองมองตรงไปอย่างคาดโทษ ไม่มีใครสามารถไว้ใจจงอินได้จริงๆ

     

    “ถ้าไม่รับงาน ก็ไม่มีสิทธิ์ดู”

     

    “ไม่ยุติธรรมนะพี่ ถ้าผมไม่รู้ว่าต้องอ่านอะไรแล้วจะตีราคาได้ไง”

     

    “ก็แค่ปกติรับมาเท่าไร ก็บอกราคามาเลย”

     

    “มันแล้วแต่เนื้อหา”

     

    “งั้นก็รับปากมาว่าจะทำงานนี้”

     

    “พี่...”

     

    “อย่าให้มันเลือกชานยอล มันเห็นหนังสือแล้วมันเป็นภัย”

     

    ร่างสง่าไม่พูดเปล่าแต่เรียกแร่นักรบของตนเองออกมา เป็นมีดสั้นคู่กายที่ใช้ปิดชีวิตหญิงสาวในวันงานประเพณีไม่ผิดแน่ จี้มันห่างจากคอหอยของจงอินไม่มาก

     

    “แค่ยอมรับหรือปฏิเสธ ถ้าปฏิเสธก็เตรียมใจเป็นใบ้ได้เลย ฉันจะเอากล่องเสียงแกไปโยนให้พวกอสูรใต้ดินกิน”

     

    คำขู่ของคริสนั้นถือว่ารุนแรงมากสำหรับพวกโซม่า เขารู้ดีถึงความโหดร้ายของโลกใต้พื้นดินนี้ ขยะแขยงความหิวกระหายของอสูรไร้สัญชาติพวกนั้นเป็นที่สุด แล้วคงเป็นเรื่องที่อับอายหากต้องสูญสิ้นร่างกายให้พวกนั้น จงอินจำใจพยักหน้ายอมรับข้อตกลงอย่างช่วยไม่ได้

     

    “เซ็นต์พันธะสัญญาด้วย”

     

    “เอาจริงเหรอวะคริส”

     

    แม้แต่ชานยอลที่เป็นเพื่อนคริสเองก็มองว่านี่มันมากเกินไป จริงๆพวกเขาน่าจะคุยตกลงกับจงอินได้ แต่ร่างสง่ากำลังทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หากถึงขั้นร่างพันธะขึ้นมาให้ลงนาม ใครฝ่าฝืนนั่นอาจหมายถึงการสิ้นชีพได้เลยนะ

     

    “เอาจริง ฉันไม่ต้องการให้เกิดการทรยศกันได้ภายหลัง นายก็รู้ว่าของเหล่านี้มันสำคัญแค่ไหน”

     

    “ผมไม่ทรยศพวกพี่หรอกน่ะ เราขายข่าวให้กันมานาน ไว้ใจได้”

     

    “กับคนอย่างแก เต็มที่ก็แค่ทำงานอย่าหวังขนาดจะให้ฉันมอบความเป็นมิตรเลย”

     

    “ซึ้งเลยว่ะ!

     

    “เดี๋ยวแกได้ซึ้งกว่านี้แน่...ร่างพันธะเลยชานยอล!

     

    เสียงทุ้มออกคำสั่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าร่างสูงไม่เต็มใจนัก แต่เขาอยากให้ทุกอย่างรัดกุมที่สุด สุดท้ายชานยอลก็ยอมร่างพันธะสัญญาตามที่คริสต้องการ ตัวหนังสือไฟที่เขียนขึ้นในอากาศมีข้อความลอยชัดแก่สายตาทุกคน

     

    “ด้วยโลหิตแห่งโฟเธีย สายเลือดนี้จะจงรักต่อคำมั่นสัญญาตราบเท่าการสิ้นชีพ พวกเราทั้งสามจะไม่ทรยศซึ่งกันและกัน คิม จงอินแห่งโซม่าจะพูดความจริงทุกอย่างที่อ่านจากในหนังสือทั้งหมดนี้ จะไม่ทรยศเอาสิ่งที่รู้ไปพูดกับคนอื่น หากพันธะนี้สูญสิ้นเพราะกลโกงใดของเขา ขอให้เทพีโฟเธียจงส่งไฟนรกมาแผดเผาร่างเขาให้ล่มสลาย ให้ดับสูญแล้วซึ่งการถือกำเนิด ขอลงนามผู้เขียน...ปาร์ค ชานยอล”

     

    สิ้นคำพูดของชานยอล เหมือนมีผนังพลังกระแทกไปทุกมุมห้อง จงอินเอียงหน้าหลบพลังกระแทกนั้นเล็กน้อย ไม่ชอบความร้อนระอุของตัวหนังสือเพลิงนั่นสักนิด มือหนาถูกดึงไปจิ้มกับปลายเข็มจนเกิดแผล และ ยกขึ้นเขียนชื่อตนเองกลางอากาศ

     

    ...ช่องรับคำพันธะสัญญา...

     

    “พวกพี่ทำกันขนาดนี้ หนังสือพวกนี้คงสำคัญมากสิ”

     

    “มันจะสำคัญหรือไม่เดี๋ยวก็รู้กัน แต่ตอนนี้ทำหน้าที่ของแกได้แล้ว”

     

    “ลืมอะไรไปรึเปล่าครับ ค่าจ้างของผมล่ะ”

     

    “ฉันให้แกแน่ แต่ฉันขอแน่ใจก่อนว่าแกจะไม่ตุกติก”

     

    “โอเค”

     

    “งั้นก็เริ่มอ่านได้แล้ว อย่าท่ามาก”

     

    ชานยอลจับคอจงอินที่มองใบหน้าหล่อจัดให้หันมาทางหนังสือบนตะอีกครั้ง จงอินใช้มือปัดป่ายไปที่ปกของพวกมันเพื่อหาเรื่องที่น่าสนใจ ก่อนจะไปสะดุดที่หนังสือเล่มหนึ่ง ปกขิงมันเป็นสีแดงแต่ทำจากกำมะหยี่ จึงเลอะเถ้าถ่านจนดูแทบไม่ออกว่าสีเดิมเป็นเช่นไรกันแน่ หน้าปกเขียนไว้ชัด

     

    ...ไดอารี่ของเจ้าหญิงน้อย...

     

    “ผมจะเริ่มอ่านเล่มนี้”

     

    “ทำไม?”

     

    ร่างสง่าถามออกไปอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมต้องเป็นหนังสือเล่มนี้ มันทั้งบางและดูไม่มีความสำคัญเลย เขาเกือบจะทิ้งมันไปตั้งแต่ที่ห้องหนังสือนั่นเสียแล้ว

     

    “มันเขียนว่าไดอารี่ของเจ้าหญิงน้อย”

     

    “มันเป็นนิทานเหรอ?”

     

    ชานยอลถามเพราะคิดว่ามันเหมือนเชื่อหนังสือนิทานที่เขาเก็บมาในด้วย แต่เมื่อจงอินเปิดหน้าแรกเพื่อดู กลับส่ายหน้าปฏิเสธคำถามนั้น ดูเหมือนมันจะเป็นไดอารี่จริงๆ ของใครสักคน

     

    ...ไดอารี่ของโฟเธีย...

     

    คริสและชานยอลมองหน้ากันอย่างมีความหวัง เพียงแค่หนังสือเล่มแรกที่จงอินหยิบ ก็ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางที่ดีได้ จงอินหยิบหนังสือเล่มนั้นแล้วถอยกลับไปนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวตรงมุมห้อง นั่งอ่านด้วยสีหน้าที่เครียดขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นพี่ทั้งสองที่มองเขาอยู่ตลอด

     

    “พี่ ผมว่ามันแปลกๆ”

     

    “ทำไม?”

     

    “นายอ่านไปเจออะไร?”

     

    “มันเหมือนเป็นไดอารี่ ที่เขียนโดยพระมารดา”

     

    “หือ?!

     

    ร่างสง่ารีบถลาเข้าหาจงอินอย่างสนใจ ต่างจากชานยอลที่แค่กอดอกหน้าเครียดตามไปด้วยเท่านั้น ดูเหมือนมันจะต่างจากที่พวกเขาคิดไปมากทีเดียว

     

    “ผมว่าเราต้องไปพูดที่อื่น ที่นี่ไม่ปลอดภัย”

     

    กลายเป็นจงอินเสียเองที่เสนอให้หาที่คุยกันใหม่ ถึงนักศึกษาส่วนใหญ่จะกลับบ้านไปแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่ว่าทั้งหมดเสียหย่อย หากมีคนมาได้ยินก็จะกลายเป็นว่าเขาได้ทรยศไปโดยไม่รู้ตัว คริสเดินนำกลับขึ้นไปบนห้องของตนเองและชานยอล รอให้ชานยอลร่ายเวทปิดกั้นเสียงออกไปภายนอกเรียบร้อย แล้วจึงหันมามองเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงของเขา สีหน้าที่เปิดผ่านหน้ากระดาษเรื่อยๆ บอกให้รู้ว่ามันดูไม่ใช่เรื่องดี

     

    “มันเขียนว่าอะไร”

     

    “นี่เป็นภาษาโฟเธียรัส ที่เขียนโดยใครบางคนที่เรียกแทนตนเองว่าแม่ และ เรียกผู้อ่านนี้ว่าลูกรักของแม่ แต่ที่ผมติดใจคือบางวรรคตอนกล่าวถึงชื่อของเทพีโฟเธีย ในทำนองเดียวกับที่เราอ่านเจอในคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดเลยครับ”

     

    “แสดงว่ามันไม่ใช่ไดอารี่ที่เจ้าของเขียนเอง แต่เป็นแม่คนหนึ่งที่เขียนถึงลูกสาว”

     

    “ผมคิดว่าเจ้าของมันยังอ่านไม่จบด้วย”

     

    “หือ?”

     

    “ดูนี่สิพี่ ดูเหมือนผู้หญิงคนที่อ่านจะไว้เล็บน่ะครับ วิธีจับหนังสือของเขาทำให้หน้าที่อ่านผ่านมาแล้วเกิดรอยเล็บหยักบนกระดาษ”

     

    ตาคมวาดมองตามที่จงอินพูด ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนจะมีรอยจิกของเล็บในหน้าหนังสือที่เปิดผ่านมาแล้ว แต่นับหลังจากแผ่นที่จงอินถือเป็นต้นไป มันไม่มีรอยเหล่านั้นเลย

     

    “ที่สำคัญหน้าสุดท้าย มันกล่าวถึงบางอย่างที่ประหลาด”

     

    “มันว่ายังไง?”

     

    “แม่ไม่อาจจำยอมเก็บความลับนี้ได้ต่อไป ลูกคือลูกสาวที่แม่รักที่สุดเสมอลูกรัก แต่ลูกต้องละทิ้งซึ่งดินแดนที่ไม่ใช่ของลูก พระบิดาที่แท้จริงของลูกจะคอยมารับลูกและเลี้ยงดูอย่างดี ใบหน้าที่งดงามของลูกจะแสดงตัวตนที่เก็บซ่อน ลูกต้องจากไปทั้งยังมีข้อกังขา อย่าอยู่เพื่อสิ้นเกียรติให้แก่ฟีนูคอน...”

     

    “เดี๋ยวนะ! หมายความว่ายังไงที่ว่าจากไปทั้งที่มีข้อกังขา”

     

    “หมายถึงให้หนีทั้งที่ไม่สมควรหนีไง ถ้าข้อความนี้เป็นจริงตามที่แกพูด มันหมายความว่าเทพีโฟเธียไม่มีเชื้อสายของเทพเจ้า เขาไม่ใช่ลูกของพระบิดาเหรอ?”

     

    “ผมคิดว่าอย่างนั้น แต่นี่มันแปลกมากเลยนะครับ คัมภีร์กล่าวชัดถึงสายเลือดของเทพเจ้าทั้งหก ที่มาที่ไปของการเกิดธาตุต่างๆไว้อย่างชัดเจน มันจะเป็นไปได้ยังไง”

     

    “เป็นไปได้สิ ก็แค่โกหก”

     

    ...มันง่ายมากที่จะเปลี่ยนแปลงความจริง...

     

    แม้จะฟังดูตลกแต่คำพูดของชานยอลก็คือความจริง คำสั่งสอนในคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดเกิดจากเหล่าผู้ศรัทธา ทวยเทพแห่งฟีนูคอนไม่เคยกล่าวขอให้เกิดขึ้น เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าในความทรงเกียรตินั้นมีเรื่องมากมายซ่อนอยู่ เรื่องที่บอกให้ทุกคนรู้ถึงความอ่อนแอของเทพเจ้า ความเลื่อมใสศรัทธาจะหายไปหากคนเรามองเห็นข้อบกพร่องเพียงนิด นี่คงเป็นเหตุผลที่เราไม่อาจเรียนรู้ข้อด้อยของเทพเจ้าได้

     

    “แต่มันไม่มีเหตุผลที่จะโกหก”

     

    “มีสิ เพราะสิ่งที่นายกำลังพูด มันกำลังยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ต่างอะไรจากเรา”

     

    สายตาที่เข้าใจลึกซึ้งในความหมายแล้วทั้งสามคู่จ้องมองกันสลับไปมา แม้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของผู้ถือกำเนิด แต่สำหรับเทพเจ้าที่สูงส่งและมีเกียรติแล้วนั้น มันคงเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระมารดาที่แสนบริสุทธิ์แห่งฟีนูคอนไม่มีจริง เธอเป็นเพียงหญิงธรรมดาที่มีความต้องการไม่ต่างจากใคร

     

    “แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพระมารดาถึงเขียนมันขึ้นมา พระนางน่าจะรู้ว่ามันอาจไม่เป็นความลับ”

     

    “เพราะเมื่อก่อนไม่ใช่ทุกคนที่อ่านโฟเธียรัสได้ แม้แต่ตอนนี้ก็หาคนที่อ่านได้ยาก พวกเราที่เป็นสายเลือดโฟเธียแท้ๆยังอ่านไม่ได้ มีเพียงนายคนเดียวที่พอจะช่วยได้”

     

    “ไม่ใช่แค่พวกเราที่อ่านไม่ออก รวมถึงพระบิดาด้วยต่างหากล่ะ นี่คือกลลวงที่พระมารดาทำขึ้นเพื่อบอกความจริงต่อเทพีโฟเธีย ฉันเชื่อว่ามันจะมีสมุดบันทึกแบบเดียวกันในลูกทุกคนของพวกท่าน เขียนโดยภาษาทั้งหกที่พระบิดาไม่เข้าใจ ความลับของทั้งเทพเจ้าทั้งหกแห่งฟีนูคอน”

     

    “ทำไมนายคิดงั้นวะ?”

     

    “เพราะหนังสือนิทานที่เจอในห้องหนังสือนั่นไง มันบอกให้พวกเรารู้ว่ามันยังคงอยู่บนแผ่นดินฟีนูคอน เมื่อความลับหนึ่งถูกเปิดเผย ฉันเชื่อว่าคนที่ทำหนังสือเล่มนั้นกำลังจะบอกบางอย่างต่อเรา”

     

    “มันก็แค่หนังสือนิทาน และ แค่บังเอิญชื่อเรื่องเหมือนกัน”

     

    “ไม่มีความบังเอิญบนโลกแห่งความจริงหรอกชานยอล ทุกอย่างถูกกำหนดให้มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ต้น จันทร์จรัสแห่งโชคชะตาถึงได้เป็นจริง”

     

    “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ถือว่าโชคดี”

     

    “หือ?”

     

    “อะไรของนาย”

     

    ทั้งคริสและชานยอลที่กำลังมองหน้ากันเครียดอยู่ ถึงกับหันมามองจงอินที่พูดขึ้นด้วยความสงสัย แต่กลับได้รับเพียงรอยยิ้มค่อนขอดมาให้

     

    “คำทำนายของผมในคืนจันทร์จรัส บอกว่าผมจะหาบางอย่างที่พี่ต้องการเจอ”

     

    “รู้รึไงว่าเราต้องการอะไร”

     

    “ทำไมจะไม่รู้ล่ะครับ อะไรที่ชาวโฟเธียทุกคนตามหา อะไรที่ติดอยู่ในใจของพวกโฟเธีย”

     

    “....”

     

    “จะมีอะไรนอกจากการถอนมนต์สาป!

     

    จงอินไม่ใช่แค่หัวขโมยหรือนักข่าวที่ดีที่สุด เขาคือคนที่รวบรวมเรื่องราวมากมายไว้มากที่สุดคนหนึ่ง ทุกคำพูดของทุกคนมันอยู่ในความทรงจำทั้งหมด ไม่ใช่แค่พวกของคริสกับชานยอลที่พยายามหาวิธีล้างคำสาป แต่ชาวโฟเธียหลายคนก็มาหาเขาเพื่อตามหามันเช่นกัน ต่างก็ตรงคนพวกนั้นไม่มีหนทางใดจะช่วยตนเองกันเลย แต่คริสและชานยอลมาหาเขาพร้อมแสงนำทาง ไม่ต้องถามว่าพี่ทั้งสองไปเอาหนังสือพวกนี้มาจากไหน เขาก็พอจะเดาได้จากสภาพของพวกมัน

     

    หนังสือปกหนาทำจากหนังสัตว์หยาบ ต้องเป็นสัตว์ที่อยู่ในดินแดนเขตร้อนแน่ หน้ากระดาษเป็นกระดาษธรรมชาติดูไร้ประสิทธิภาพ คงเป็นเดินแดนที่ไม่ค่อยอุดมสมบรูณ์เท่าไร ก็ตัดเขตโซม่าที่ถือว่าธรรมชาติงอกงามได้เลย ยิ่งลูบจับไปเจอแต่เศษเถ้าถ่านก็คงเหลือเพียงที่เดียวเท่านั้น

     

    ...เขตปกครองโฟเธีย...

     

    ในเมื่อร่างสง่าและร่างสูงลงทุนไปเอามันออกมา แถมยังไว้ใจเขาขนาดให้เป็นคนแปลหนังสือล้ำค่าพวกนี้ เขาก็ยอมลงพันธะสัญญาด้วยความสัจจริงที่อยากช่วย อย่างไรนี่ก็เป็นถึงลูกค้าชั้นหนึ่งของเขา

     

    “นายเห็นตนเองอ่านมันทั้งหมดมั้ย”

     

    “ไม่ ทำไมผมต้องทำแบบนั้น”

     

    จงอินวางไดอี่เล่มนั้นลง แล้วเดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือของชานยอล ที่วางกองหนังสือทั้งหมดไว้ล้นโต๊ะ นั่งยองๆลงที่ข้างกองหนังสือพวกนั้น แล้วไล่นิ้วอ่านไปตามสันของหนังสือ ถึงภาพในคืนจันทร์จรัสจะไม่ชัดมาก แต่ความรู้สึกสะดุดตาตอนที่เห็นฉากนั้นเขายังจำได้ เขาก็แค่ทำให้ตนเองกลายเป็นโชคชะตา

     

    กึก!

     

    “โชคชะตานำพา”

     

    เสียงเจ้าเล่ห์เอ่ยขึ้นอย่างพอใจ จงอินรู้วิธีล่อหลอกโชคชะตาให้เกิดขึ้นตามที่ตนเองต้องการ เขามันเป็นนักมายากลแห่งโลกผู้วิเศษอยู่แล้ว หากเราต้องการให้โชคชะตาวิ่งเข้าใส่เราก็แค่ทำสิ่งที่ตรงกันข้าม แล้วปล่อยให้มันล็อคหัวเราเข้าไปอยู่ที่เดิม

     

    “มาดูกันสิว่าใช่มั้ย?”

     

    คริสและชานยอลเดินมานั่งลงข้างๆจงอิน ดูหน้าหนังสือที่เปิดออกเต็มไปด้วยตัวหนังสือแปลกๆอย่างไม่เข้าใจนัก จงอินพึมพำอ่านมันด้วยท่าทางจริงจังอีกครั้ง

     

    “บ้าน่ะ!

     

    “อะไรที่นายว่าบ้า?!

     

    “มันเขียนถึงวิธีแก้มนต์สาปไว้จริงๆ แต่มันไม่ได้บอกถึงโดยตรง มันเป็นแค่ความเรียงสั้นๆ แต่หมึกของมันแตกตัวจากน้ำน่ะครับ”

     

    จงอินพูดพร้อมทั้งชี้ไปตรงตำแหน่งที่หมึกแตกตัว ร่างสง่าลุกขึ้นกระทืบเท้าอย่างหัวเสีย ไม่ต่างกับชานยอลที่กำหมัดแน่นอย่างไม่พอใจเหมือนกัน ทั้งที่พวกเขากำลังจะได้คำตอบของสิ่งที่รอมาแสนนานอยู่แล้ว

     

    “ทำไมต้องเป็นแบบนี้วะ!!!

     

    “แล้วเราจะทำยังไงต่อ...”

     

    “อย่าเพิ่งหมดหวังดิพี่ บางส่วนก็พออ่านได้นะ”

     

    “เช่น?”

     

    “มันบอกถึงคฑาแห่งความโศกเศร้า ผู้ครองมันจะนำมาซึ่ง...”

     

    ร่างหนาก้มลงอ่านจนหน้าแทบติดกระดาษ พยายามแกะทีละคำจนเจอสิ่งที่ซ่อนอยู่ รีบชูหนังสือในมือให้พี่ทั้งสองดูอีกครั้ง ว่าหน้าถัดไปก็ยังพออ่านได้อยู่ เพราะถึงทุกหน้าจะมีรอยน้ำแต่ก็น้อยนิดกว่าหน้านั้น

     

    “มันบอกว่า...จงกลับ...สู่...จุด...เริ่มต้น!

     

    “จุดเริ่มต้น?”

     

    เสียงทุ้มทวนคำพูดนั้นอยู่หลายครั้ง พยายามคำนึงหาสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง อะไรที่ทำให้เกิดมนต์สาป ใครที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น จุดเริ่มต้นที่ไม่ใช่แค่ความโกรธแค้น ตาคมไหววูบพยายามมองไปในส่วนต่างๆอย่างว้าวุ่น มีเพียงแต่ความว่างเปล่าและความคิดถึง

     

    ...จาง อี้ชิง...

     

    “เหอะ!

     

    มารู้ตัวอีกทีขายาวก็ก้าวมาอยู่ที่ริมหน้าต่างเสียแล้ว ตาคมมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงบ ก่อนจะหลับตานิ่งซึมซับเอาความผ่อนคลายกลับสู่จิตใจ เขาว้าวุ่นเกินไปก็ไม่ช่วยอะไร มนต์สาปนี้ติดเป็นราคีกับชาวโฟเธียมาหลายร้อยล้านปี มันคงไม่อาจสูญสิ้นได้ง่ายๆ

     

    “เราจะเอายังไงต่อไปดี”

     

    “พักผ่อนไง วันนี้พอแค่นี้ก่อน แกกลับไปก่อนจงอิน หลังวันเปิดเรียนอีกครั้งฉันจะเรียกแกมาเอง”

     

    “เอางั้นเหรอครับ”

     

    “ฉันไม่รีบ”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเยือกเย็นแต่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด จงอินเดินออกจากห้องไปอย่างไม่ติดใจอะไร ต่างจากชานยอลที่มองคริสเพียงชั่วขณะ ก็เห็นแล้วว่ามีบางอย่างที่ติดอยู่ในสายตาของเพื่อน

     

    “นายรู้แล้วใช่มั้ยว่าคฑาอยู่ที่ใคร”

     

    “ใช่ ฉันรู้ว่ามันอยู่ที่ใคร แต่เราเอามันมาไม่ได้แล้ว”

     

    “ใคร? เจ้านายใหม่ของมัน”

     

    เสียงของชานยอลดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยินมาก ไม่ใช่แค่ร่างสง่าที่เฝ้าหาคฑานั้น แต่ทุกคนที่เกิดในสายเลือดโฟเธียด้วยเช่นกัน ชานยอลอ่านหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับแร่นักรบ เพื่อหวังจะพอให้เบาะแสที่นำไปเจอมันได้สักวัน

     

    ...ใครกันเป็นผู้ที่ซ่อนมันไว้...

     

    “จาง อี้ชิง”

     

    “นี่ใช่มั้ยเรื่องที่นายไม่ยอมบอกฉันตอนวันประเพณี เหตุผลที่นายปกป้องเด็กนั่นจนต้องสิ้นชีพ สายเลือดผู้พิทักษ์มันทำให้นายทำเหรอ?”

     

    “บางทีฉันคิดว่าเป็นเพราะตัวฉันเองที่สั่งให้ทำ”

     

    ร่างสง่าพูดออกไปทั้งยังก้มหน้านิ่ง เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงกล้ายอมรับออกมาจากปาก คงเป็นเพราะเขาบอกชานยอลว่าจะไม่โกหก และ เขารู้สึกจริงอย่างที่พูดทุกอย่าง ไม่มีมนต์ใดบังคับให้ทำเช่นนั้น เขาแค่คิดว่าการทำแบบนั้นถูกต้อง แม้แต่วินาทีที่กำลังจะสิ้นชีพเขายังไม่ได้นึกถึงคฑาล้ำค่านั้นเลย คิดแค่ว่าอี้ชิงจะต้องหาที่ซ่อนเท่านั้น

     

    ...ความคิดบ้าๆนั่นเกิดขึ้นมาแล้ว...

     

    “นายตกหลุมรักเด็กนั่นรึเปล่า?”

     

    “ฉันไม่รู้ว่ะ”

     

    คริสตอบออกไปตามที่คิด เขาไม่รู้ว่าตนเองจะเอาอารมณ์ไหนไปรักอี้ชิงได้ลง เขาจำได้แต่ใบหน้าดื้อรั้นที่มักพบเห็นเสมอ คำพูดที่ช่างประชดประชันและถือดีกว่าใคร จองหองจนเกินกว่าที่จะยอมรับว่าชอบได้จริงๆ แต่ชานยอลคิดว่าเขาเข้าใจถูกแล้ว ได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอากับความปากแข็ง เดินตรงไปที่โต๊ะของตนเองแล้วคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย

     

    “นายจะไปไหน”

     

    “อาทิตย์หน้าได้หยุด ฉันจะกลับบ้าน”

     

    “ดึกแล้วนะ”

     

    “อะ...อื้ม ต้องกลับจริงๆว่ะ”

     

    “ก็แล้วแต่เถอะ ยังไงก็ดูแลแผลที่ข้อมือด้วย ฉันเห็นมันเป็นมานานแล้ว”

     

    “ขะ...ขอบใจที่เป็นห่วง”

     

    สองสายตาของเพื่อนรักมองกันอย่างเคย แต่ที่แปลกคือชานยอลที่หลบสายตาไปอีกทาง จนใบหน้าหล่อต้องจ้องลึกด้วยความสงสัย แม้แต่คำลาสุดท้ายร่างสูงยังลืมที่จะพูด มันไม่เหมือนชานยอลคนเดิมสักนิด

     

    “เป็นอะไรของมันวะ?”

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    ห้วงนิทราที่หวานลึกที่สุดคงไม่พ้นการได้หลับบนเตียงนุ่มๆ ในสถานที่ที่เรียกได้เต็มปากแล้วว่าบ้าน เสียงลมหวีดหวิวของเมืองอเนโมสช่วงไพเราะ เหมือนเสียงขับกล่อมจากกล่องดนตรี ดึงให้ดำดิ่งจนแยกไม่ออกว่าอันไหนเสียงลมหยอกล้อ อันไหนเสียงลมพายุที่กระพือจากปีกไป

     

    พรึบ!

     

    เปลวไฟลุกโชนอยู่ไม่ไกล ทำให้ร่างบางที่หลับใหลขยับผ้าห่มออกหนีความอบอุ่น แต่เปลือกตาก็ยังไม่เปิดรับสิ่งที่อยู่ห่างออกไปเพียงกระจกกั้น เพียงแค่อี้ชิงลืมตาขึ้นมา เขาก็จะได้พบเจ้าฟีนิกส์ขนเงางามที่วิ่งตามในคืนจันทร์จรัส มันกลับมาหาเขาเองในเวลานี้ กลับมาเฝ้ามองใบหน้าสวยต้องแสงจันทร์ยามนิทรา ก่อนจะหายไปทิ้งไว้เพียงขนนกสีดำ ที่จะกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านเมื่อต้องลม

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 11

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอโทษนะคะที่ลงสลับไปมา แอมเพิ่งรู้ว่าตัวเองลงผิดอ่ะค่ะ TT^TT รบกวนทุกคนไล่อ่านใหม่ด้วยนะคะ

    ปล. อย่าลืมไปโหวตแอมที่ http://tofupopradio.becteroradio.com/event/TofupopCoverDance/vote ชื่อ โสมวรรณ วงษ์กวน นะคะ คนโหวตมีสิทธิ์ลุ้นบัตรเข้างานราคา 4000 บาท 2 ใบค่ะ^^

    เปิดจองหนังสือรอง 2/2557 สามารถตามอ่านรายละเอียดได้ที่  http://my.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1202714

     

     

     

     

     

    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×