คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ ๔.๓ ภาพจำ(รีไรท์ 1)
สมุนไพรในฤดูเหมันต์ท่ามกลางหิมะโปรย ยังให้พวกเขาทั้งสองพรวนดินใส่ปุ๋ยและหมั่นดูแลสม่ำเสมอ ทั้งที่ศิษย์ชุดขาวทั้งหมดฝึกเพียงฟาดลม กระบวนท่ากระบี่เท่านั้น มองจากดาวอังคาร อี้จิ้งยังรู้เลยว่าถูกแกล้ง! คนในเรื่องมีไหมสักคนที่ไม่รังแกพระเอก เอ่อ น่าจะยกเว้นพวกสาว ๆ เพราะส่วนมากเป็นฮาเร็มของซานเหวินหมด
“เฮ้อ ชุดข้าชื้นเปียกหมดแล้ว งานเช่นนี้ขนาดชาวสวนยังเว้นไว้ ไม่ทำงานช่วงนี้เลย แต่พวกเราต้องมาปะทะอากาศหนาว ๆ เพื่อดูแลสมุนไพรนี้ ยุติธรรมจริงเชียว”อี้จิ้งอดบ่นไม่ได้ จึงนั่งลงกองหิมะหนาแล้วสะบัดเศษหิมะออกจากตัว
“พี่ชายท่านเหนื่อยหรือ?”ซานเหวินหาบถังน้ำที่แทบจะกลายเป็นน้ำแข็งรดพืช
“ใช่ เจ้าเองก็มาพักเถอะ ที่แห่งนี้ไม่มีใครนอกจากเราฉะนั้นไม่ว่าจะทำอันใดก็ย่อมไม่มีคนรู้”
“แต่ยังรดน้ำยังไม่แล้วเสร็จ จะพักได้เช่นไร”พระเอกยังมีคุณธรรมในจิตใจตั้งใจจะไม่คดโกง อี้จิ้งรีบแย่งถังไม้ในมือผอม ออก และกุมไหล่เด็กชายให้เข้าร่ม
“ช่างเถอะ ดูแลอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ สู้เอาเวลานี้ฝึกเองไปเรื่อย ๆ จะไม่ดีกว่าหรือ?” ยิ่งพระเอกเก่งเร็ว บารมีก็จะเพิ่มพูนขึ้น และเขาก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายซานเหวิน เหนือยิ่งกว่าเหนือ
“ฝึกเช่นไรหรือขอรับ”
“อย่างการโคจรลมปราณ หรือไม่ก็กระบวนท่ากระบี่ หากฝึกตอนนี้เจ้าจะมีฝีมือ ปราบศัตรูชั่วร้าย ผู้คนใต้หล้าจะนับหน้าถือตาเจ้า อนาคตหากมีคู่ครอง นางผู้นั้นจะกลายเป็นสิ่งที่เจ้าต้องปกป้อง” อี้จิ้งนึกอิจฉาพระเอกเล็ก ๆ เมื่อนึกถึงสาวงามล้อมรอบตัวโดยเฉพาะอิ่งผิงตัวละครที่เขาชื่นชอบที่สุด
“ข้าไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย คงฝึกไม่ได้แน่”แววตาอันน่าสงสารของเด็กน้อย ทำให้อี้จิ้งรู้สึกคันไม้คันมือ
“ไม่เป็นไรน้องชาย พี่ชายคนนี้เป็นถึงศิษย์เฟินเฉิง ย่อมช่วยเจ้าได้”
“อย่างไรหรือขอรับ?”
“ถือนี้ก่อน คิดซะว่าเป็นกระบี่”อี้จิ้งนำท่อนไม้อันหนึ่งให้ซานเหวินถือด้วยมือผอมเล็ก
“ขอรับ”พระเอกว่าง่ายนัก เพียงแค่บอกประโยคเดียวก็เชื่อฟัง
“ถือแบบนี้ ใช่”อี้จิ้งใช้มือตนจับอีกฝ่ายให้ตามแนวการถือกระบี่ แม้อันนี้จะเป็นเพียงแค่ท่อนไม้ทื่อ ๆ ก็ตาม
“...”เด็กชายจับเองตามลำพัง ค่อย ๆ ตวัดกลายเป็นลวดลาย เดี๋ยวนะ! สกิลพระเอกบรรลุผลอีกแล้วนะหรือ จับทำราวกับฝึกมาช้านาน มิหนำซ้ำมันยังคุ้นตาอีกด้วย
“เจ้าเคยฝึกมาจากที่ใด เหตุใด...”อี้จิ้งตาลุกโต เมื่อกล่าวยังไม่ทันจบประโยคดี รู้แล้ว มันคือท่ากระบี่ที่เขาฝึกอยู่บ่อยครั้งที่เรือนคุณชายหยางฉือจิ้ง พระเอกลอกเลียนแบบท่าเขามาอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย
“ข้าเพียงแค่ดูแล้วทำตาม แต่ไม่เคยฝึกสักครั้งขอรับ”ซานเหวินเก็บท่อนไม้นั้นไว้ พร้อมอาการหอบเหนื่อยเมื่อใช้พลังงาน
“เก่งมาก เอ่อ ข้าคงไม่จำเป็นที่จะต้องสอนแล้ว”อี้จิ้งได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เพราะดูไปเขาก็เป็นเพียงพี่ชายที่ไร้น้ำยาคนหนึ่ง ริอาจจะสอน เด็กชายไม่สบตา เอาแต่จ้องท่อนไม้นั้นเงียบ
ซานเหวินจำได้ทุกกิริยายามที่ร่างเพรียวโปร่งของคุณชายสูงศักดิ์จับกระบี่ และร่ายรำทำนองกระบี่งดงาม ตั้งแต่ตอนนั้นจึงมักลอบมองอยู่ประจำ โดยที่สีหน้าจริงจังพร้อมกับดวงตาคู่นั้นจดจ้องอยู่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กชายเก็บไปฝันอยู่หลายหน
ท่วงท่าปลายแขนจรดเรียวนิ้วขยับ สวยงามและแข็งแกร่ง ดุดันหากก็อ่อนโยน ท่ามกลางลานกว้าง มีเพียงเด็กน้อยเป็นผู้ชม ผมดำราวหยดหมึกยาวสลวยงามพลิ้วตามเคลื่อนที่ หางตาอีกฝ่ายปรายมองพร้อมกับรอยยิ้มที่หวานหยดย้อยคลี่แย้ม ทว่าปลายกระบี่นั้นกำลังแทงอกซานเหวิน เลือดสีแดงฉานไหลหลากเดียวออกทางแผล ก่อนที่มือขาวดุจหิมะนั้นจะถอนออก ฉึก โลหิตสีแดงเข้มฉาบคราบตรงอาวุธ
ซานเหวินได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง เงยหน้ามองคุณชายรูปงามกำลังส่งยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น
‘เจ็บหรือ? เจ็บนักก็ทนหน่อย เพราะข้ายังสนุกอยู่’เมื่อกล่าวจบ กระบี่ก็แทงสวนตรงลำคอเด็กน้อย และค่อยดึงกระบี่คืน ‘เหตุใดจึงไม่ยอมถอย ในเมื่อเจ็บแล้วควรจำสิ ข้ายั้งมือมิได้หรอก’ รู้ว่าคุณชายหยางฉือจิ้งยังแทงเขาหลายร่อง แต่เด็กชายยังคงยืนที่เดิม ปล่อยให้อีกฝ่ายรัวกระบี่เสียบร่าง กระนั้นก็ภาพหนึ่งขึ้นแทรกเมื่อเห็นเป็นท่าทางทุรนทุรายพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากลำน้ำหนาวเหน็บ
“ซานเหวิน ซานเหวิน”เสียงเรียกนั้นทำให้ผู้ถูกอยู่ในความคิดสะดุ้งตื่นจากภวังค์ที่สะพรึง
“พี่ชายท่านมีอันใดหรือ”เด็กน้อยมองอี้จิ้งเพราะเมื่อครู่ไม่ได้ฟัง
“ข้าจะบอกว่า เรารีบกลับเถอะใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว”และที่สำคัญเขาหิวข้าวมาก! อยากซดน้ำซุปร้อน ๆ คลายความหนาวเหน็บสักหน่อยคงจะดีมาก
“ขอรับ” เด็กชายถือถังไม้ไปเก็บที่เดิม ลมหนาวพัดวูบอีกมันทำให้ร่างของซานเหวินเซคะมำลง โชคดีที่อี้จิ้งเห็นแล้วรับไว้ทันพอดี เขาจึงรับรู้ได้ว่าซานเหวินผอมเกินไปท่อนแขนบางราวจะติดกระดูกนั้นด้วย เด็กน้อยสมควรจะได้กินอิ่มและเติบโตอย่างมีคุณภาพสิ เหตุใดถึงดูข้นเข็ญยากเข็ญเกินไปแล้ว หนึ่งสิ่งคือเขาได้ก่นด่าไอ้จางเกียวเสี่ยวในใจอีกระลอก
“เจ็บตรงไหนหรือไม่”อี้จิ้งถามอาการเด็กชายปนความห่วงใยอยู่เล็กน้อย
“ไม่ขอรับข้ามิเป็นไร”เด็กชายส่ายหัวและทรงตัวเองยืน
“ตามมา”อี้จิ้งกลัวว่าร่างเล็ก ๆ จะถูกลมพัดจนเซอีกจึงอาสาจับมือนั้นจูงไปพร้อมกัน หากพระเอกเจ็บตัวในอนาคตเกิดแค้นเคืองเขาทำเป็นแผลถลอกเล็กน้อยจะไม่สิ้นชีพกันในทีเดียวหรือ นิสัยการกลีบมาแก้แค้นของเด็กชายผู้นี้คือการเอาคืนแบบสิบเท่าพันเท่าให้สาสม
“เอ่อ ข้าเดินเองได้ขอรับ”ซานเหวินถดถอยหลุดการจับ
“ไม่ได้หรอก”อี้จิ้งคว้ามือนั้นอีกเมื่อจับแล้วเขาพบกับมือที่ด้านจากการทำงานหนัก แตกต่างจากเขาที่ไม่แตะงานใช้แรงสักนิด ทรหดเกินไปแล้วพระเอกทำงานหนักในช่วงเวลาอยู่ตระกูลซูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวชนา
“…”พระเอกจ้องมือของเขานิ่ง อย่าบอกนะว่าพระเอกรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร!
“น้องชาย มือข้ามีอันใด จึงจ้องเยี่ยงนี้”เขาทำเป็นใจดีสู้เสือไม่แสดงอาการวิตก เว้นเสียว่าเหงื่อจะไหลย้อยตามมือ พระเอกหันมามองที่หน้าเขาช้า ๆ ด้วยหัวใจที่มีจังหวะเดียวกัน เขารู้สึกร้อน ๆ เย็น ๆ อย่างควบคุมไม่อยู่
“มือท่าน มัน...นุ่ม ขอรับ”ราวกับยกภูเขาออกจากอก เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องที่เขาโกหกพระเอกจะแดงขึ้นมา ตอนขี้เหร่ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยซานเหวินจับผิดเขาไม่ได้
“มือข้าเป็นเช่นนี้แล เพราะข้าชอบรักษาผิวให้คงสภาพไว้จึงนุ่มนั่นเอง”ชายอัปลักษณ์เริ่มต้นการบ่ายเบี่ยงพูดเท็จแก่อีกฝ่าย เพราะไม่ควรที่จะบอกเอ่ยชาติตระกูลของตนเองว่า ข้าเป็นคุณชายตระกูลซู... มิหวังคงต้องถูกแรงพลังคราวนั้นสังหารอีก ไม่แน่ว่าอาจจะไม่โชคดีรอดพ้นมาถึงขั้นนี้ จึงได้แต่เก็บเอาไว้แปรเปลี่ยนเป็นรอยคลี่มุมปากบางเบา
ณ สำนักชางฝูหยวน เขาตรงดิ่งไปยังห้องที่มีผู้ประกอบอาหารส่งกลิ่นเครื่องเทศอ่อนโชยตามสายลม คนผู้หนึ่งเห็นเขาเดินเข้ามาก็ทำทีรังเกียจ เมื่อเห็นสิ่งที่เหลือก็ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“มีเพียงน้ำซุปถ้วยเดียวเองหรือ แล้วทั้งหมดล่ะ หายไปไหน?”อี้จิ้งมาถึงห้องครัวช้าเพียงครึ่งชั่วยาม จึงไม่มีข้าวเปล่าเหลือสักเม็ด ผู้ทำงานห้องครัวส่งสายตาน่ารำคาญกับเขา
“ใช่ จะเอาไม่เอา ไม่เช่นนั้นจะเททิ้ง”
“ช้าก่อน เอามาให้ข้า”อี้จิ้งรีบคว้าถ้วยน้ำซุปนั้นอย่างระมัดระวัง อย่างน้อยก็เอาไปให้พระเอกก่อน ยิ่งเด็กยิ่งต้องกินเยอะ ๆ ร่างกายจะได้แข็งแรงเติบโตไว ๆ แล้วจะกลายเป็นร่มไม้ให้เป็นที่พึ่งได้
“แค่นั้นเอง”รอยยิ้มเหยียดนั้น ทำให้อี้จิ้งต้องรีบระงับอารมณ์โกธร
“ทีหลังเก็บไว้ให้พวกข้าบ้างสิ อาหารมีตั้งมากมายจะไม่พอได้อย่างไร”เขาได้แต่ประท้วงจ้องตาแข่งกับอีกฝ่าย
“ไม่มีใครจะใจดีทำหรอก ยิ่งรู้ว่าเจ้าถูกเพ่งเล็งจากท่านรองเจ้าสำนักด้วย”อีกฝ่ายพูดพึมพำเบา ๆ แต่อี้จิ้งก็จับใจความได้ ตกลงคือเขาดึงดูดความซวยสินะ ถึงว่าล่ะให้พระเอกกับเขาทนหนาวดูแลสมุนไพร อี้จิ้งจึงไม่สนทนาต่อนำถ้วยน้ำซุปออกไป เด็กน้อยกำลังรอเขาอยู่ห้องพัก ฉะนั้นจึงรีบสาวเท้าให้ไวไปที่ห้องพักโดยต้องไม่ให้น้ำซุปเย็นชืด จึงโอบกอดถ้วยไว้อย่างดีมุ่งหน้า แม้ว่าท้องของเขาจะประท้วงเจ็บ
ซานเหวินนั่งรอกอดเข่าตัวเองคลายหนาว เงยหน้ามองหยดหิมะหล่นลงพื้น แม้มันจะเริ่มมืดคืบคลานดึกดื่น แต่สีขาวเหล่านั้นยังลงตก แสงโคมไฟเล็ก ๆ มาทางเขา ถือบางสิ่งมาด้วย เมื่อปรากฏร่างผู้มาใหม่ เด็กชายจึงจำได้
“ข้ารู้ว่าพวกนั้นไม่เหลืออาหารมาให้เจ้า ข้าจึงแอบเก็บไว้ให้”ตะกร้าไม้สาน มีอาหารบรรจุครบถ้วน
“ให้ข้าหรือขอรับ”เด็กน้อยตกตะลึง หวังเหยี่ยนนางเป็นคนนำของพวกนี้มาให้ถึงที่
“ใช่ หากมีเรื่องอันใดก็บอกข้าได้ตลอด”แม้ท่าทางของสตรีผู้นี้จะดูทะมัดทะแมงเก่งกาจแต่ก็มีมุมอ่อนโยนเพียบพร้อมใบหน้าหวานงามช่างเป็นสิ่งคู่ควรเหมาะสม
“ขอบคุณท่านมากขอรับ”ซานเหวินโค้งตัวรู้สึกสำนึกบุญคุณอย่างที่สุด
“เรื่องเล็กน้อย ว่าแต่ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”นางโพล่งถามขึ้นอย่างเรียบเชียบ
“ข้าน้อยสิบเอ็ดปีแล้วขอรับ”เด็กน้อยตอบตามจริง
“ห่างกับข้าไม่มากนักนี่ ปีนี้ข้าอายุสิบหกพอดี”หวังเหยี่ยนเอามือถูกันสร้างความอุ่นเงยหน้ามองท้องฟ้า“แต่...วันนี้เป็นวันครบรอบที่ข้าฝึกที่สำนักเป็นปีที่หกแล้วเช่นกัน”เมื่อจบคำริมฝีปากงามจึงยิ้มบาง “จริงสิ วันนี้ข้าบอกเจ้าสำนักแล้วเรื่องที่ดูแลสมุนไพร พรุ่งนี้ไม่ต้องไปให้ไปเรือนเจ้าสำนักแทน เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ”ซานเหวินรู้สึกเบาใจบ้าง เพราะท่านเจ้าสำนักมีความยุติธรรมใจดี จึงเลื่อมใส
“รีบกินซะสิ เดี๋ยวมันจะเย็นก่อน” นางผลักถ้วยข้าวส่งให้คะยั้นคะยอให้กินเดี๋ยวนั้น ซานเหวินจึงตักเข้าปากอย่างว่าง่าย
ความคิดเห็น