ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ต้องรอดให้ได้มากกว่าสามตอน (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ ๔.๒ สาบาน(รีไรท์ 1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.26K
      721
      2 พ.ค. 64

    “โอ๊ย”เจ็บบัดซบจริง! อี้จิ้งรีบกุมปากตนไว้จนได้เลือดตัวเองที่ทะลักจนมุมปากไหลย้อยเป็นทางยาว

    “ข้าไม่สนหรอกนะ คนพวกใช้เส้นสายน่ารังเกียจแบบเจ้า มันสมควรแล้ว” เมื่อว่าจบก็เดินเข้าใกล้เด็กชาย เงื้อด้ามจับขึ้นสูง ใจเขาวูบลงไปตาตุ่มทันที 

    พั่บ พัดด้ามจิ้วกระพือลอยเด่นกระทบกับแขนชายผู้นั้น จนต้องปล่อยกระบี่ลง

    “สำนักมีกฎเช่นไร ไยพวกเจ้าจึงกล้ากระทำอีก?”ผู้มาใหม่เป็นสตรีโฉมงดงามสวมชุดขาวและมีตราสำนักเด่นชัด... พวกเขาเห็นว่าเป็นใครจึงรีบเผ่นหนีไม่หันกลับมาทันที

    สถานที่สงบเรียบร้อยมากที่สุดนั้นคงไม่พ้นเป็นสำนักชางฝูหยวน เพราะรอบด้านมีป่าไผ่เป็นส่วนใหญ่โอบล้อมสำนักชื่อดัง โดยศิษย์ชุดขาวจะได้รับการฝึกฝนจนเก่งกาจ จึงมิต้องแปลกใจหากชาวบ้านขอช่วยเหลือจะมีศิษย์สำนักเข้าไปช่วย จะปราบสัตว์อสูร โจร พวกฉ้อฉลก็ไม่คณามือเพราะเป็นการฝึกที่ผนวกเข้ากับการบำเพ็ญเพียรตบะควบคู่ด้วยกัน เล่ากันว่า เจ้าสำนักคนก่อนหน้าบรรลุถึงขั้นเซียนแล้ว ยิ่งทำให้สำนักมีชื่อขจรไกลฟุ้งไปอีกฟาก 

                    อนึ่งที่ขาดไปไม่ได้คือ คุณหนูตระกูลต่าง ๆ มักจะส่งลูกสาวไปฝึกวิชาที่สำนักชางฝูหยวน เพราะต้องการให้สามารถปกป้องตัวเอง และสามารถสร้างชื่อเสียงแก่วงตระกูลได้ จึงมิแปลกใจว่าจะมีดรุณีฝึกร่วมด้วย และฝีมือก็ไม่แพ้บุรุษ เมื่อเทียบกันแล้วจึงไม่เกิดการเสียเปรียบ ได้เปรียบ แต่อย่างใด และคนผู้นั้นคงหนีไม่พ้นศิษย์หญิงผู้เก่งด้านวรยุทธ์

    นางก็คือ หวังเหยี่ยน หนึ่งในฮาเร็มพระเอก ด้วยการเปิดตัวเช่นนี้ไม่ผิดแน่ นางเป็นคุณหนูจากตระกูลมั่งคั่ง กริยานั้นสำรวม จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักความถูกต้อง ในเนื้อเรื่องมีบทสำคัญมาก ถึงขนาดเขายกให้เป็น MVP เลย เรื่องการช่วยเหลือพระเอก เพราะเธอต้องคอยช่วยไม่ให้พระเอกโดนรังแกเมื่ออยู่ในสำนัก จึงเป็นเหตุที่ว่า เหตุใดเขาถึงถอนหายใจเมื่อต้องแก้คำสาป ในเมื่อไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ ยากจะขอเลือดพระเอกมาถอน ถึงจะกระทำได้ ก็คงมิแคล้วถูกฆ่าอีกหนแน่ เพราะเขายังอยู่ในร่างของหยางฉือจิ้งอยู่

    “พวกเขามีนิสัยเช่นนี้แล พวกเจ้าก็ระวังด้วยแม้จะมีกฎแต่ย่อมเล็ดรอดสายตาได้”นางมาส่งพร้อมเตือน อี้จิ้งทำเพียงพยักหน้าเข้าใจ นึกเปรียบเทียบ ขนาดว่าคุณหนูซูซ่งว่างามแล้วมาเจอนางก็ยิ่งรู้สึกว่างดงามขึ้นอีก

    “ขอบคุณท่านมากขอรับ”เด็กชายซาบซึ้งบุญคุณ

    “เรื่องเล็กน้อย ข้าขอตัวก่อน” นางกล่าวลาและเดินจากในที่สุดแต่กระนั้นเขาก็สังเกตประกายตาของซานเหวิน หนึ่งในฮาเร็มพระเอกปรากฏตัวย่อมรู้สึกมีสายฟ้าสถิตบ้างแหละชักจะเริ่มอิจฉาขึ้นมากเล็ก ๆ แล้ว

    “ขอรับ”เด็กน้อยยังคงมีมารยาทโค้งก้มอีก

    “นี่ ซานเหวิน เจ้าคิดว่านางเป็นอย่างไร”เอาล่ะ ในเมื่อมีโอกาสถามก็ต้องรีบคว้า

    “ท่านหมายถึงหวังหเยี่ยน?”คิ้วได้รูปขมวดลงเชิงสงสัย

    “ใช่แล้ว เจ้าคิดเห็นอย่างไร”อี้จิ้งย้ำอีก

    “นางเป็นคนจิตใจดีขอรับ ช่วยเราไว้ด้วย แต่แผลของท่าน...”เมื่อพระเอกพูดถึงประเด็นนี้ เขาจึงค่อย ๆ รู้สึกว่ามันแสบเจ็บขึ้นมาทันที ไอ้พวกตัวประกอบพวกนี้ช่างทำเจ็บแสบเหนือคณายิ่ง!

    “อ๋อ ย่อมแน่อยู่แล้วมันโอ๊ย...”แม่ง โคตรเจ็บชิบหายเลย

    เขากล่าวต่อในใจพลางสาวเท้าเร็ว ๆ ให้เข้าสู่ที่พักพิง

    “เข้ามาก่อนขอรับ”เด็กชายพยุงเขาเข้าห้องพัก อี้จิ้งทำได้แต่กุมปากตัวเอง เมื่อสู่ด้านในแล้วมันค่อนข้างแคบกว่าที่คิดไว้มาก หรืออาจเป็นเพราะเขาชินกับที่นอนนิ่ม ๆ ตอนอยู่เรือนคุณชายหยางฉือจิ้ง ตอนนี้มีเพียงฟูกนอนเพียงสองอัน และผ้าผืนบาง ๆ สองผืนอย่างสมถะ ยังดีที่มีโต๊ะตัวน้อยตั้งกาน้ำอยู่ พร้อมเสื่อรองนั่ง

    “ขอบใจ ๆ ”เขารับจอกดื่มน้ำจากซานเหวินส่งยื่น พระเอกยืนนิ่งอยู่มุมห้อง ทำให้อี้จิ้งทำตัวไม่ถูกอาจจะเป็นการระวังตัวของเด็กชายผู้นี้เป็นแน่หรือไม่ก็ภาพที่เด็กน้อยใช้พลังมหาศาลจำนวนหนึ่งเข่นฆ่าเข้ามาในความคิด น้ำในจอกเล็ก ๆ ก็คล้ายจะกระเด็นโคลงเคลงออกจนไม่สามารถควบคุม

    “ท่านเป็นอันใดหรือขอรับ”ร่างของพระเอกเข้ามาใกล้แล้วประคองจอกให้ดื่ม อี้จิ้งจึงตั้งสติได้เมื่อลืมลงเสร็จ

    “มานั่งด้วยกันสิ”พูดจบก็ส่งยิ้มไปอีกคราหวังทำลายระยะห่างของเจ้าตัวและแผนการประจบ

    “ไม่ดีกว่าขอรับ ข้ายืนตรงนี้ดีแล้ว”ว่าจบร่างเล็ก ๆ ก็ถอยไปยืนมุมห้องตรงเดิม

    “มาเถอะน่า เดี๋ยวเมื่อยเปล่า ๆ ”อี้จิ้งกลั้นความกลัวภายในใจของตนที่มีต่อพระเอก เดินเข้าใกล้ยื่นมือจับให้มานั่ง แขนอันแห้งติดกระดูกสะบัดมือเขาทันทีเมื่อแตะ ซานเหวินยังคงไม่ไว้วางใจผู้ใด เขาได้แต่น้ำตาตกในเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายถึง

    “เอ่อ ขออภัยด้วย”เด็กน้อยตัวสั่นเทาหลังกระทำสิ่งเมื่อครู่ 

    “กลัวข้าหรือ?”อี้จิ้งนั่งลงย่อ ๆ เพื่อให้ตัวเขาเสมอกับเด็กชายมองผ่านหน้ากากไปยังพระเอก ซ่านเหวินยืนนิ่งไม่เข้าใจในการย่อตัวของเขา

    “ไม่ต้องกลัวข้านะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายหรือรังแกเจ้า” เขามั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว ว่าระบบคงไม่กลับมา ตอนนี้ล่ะต้องสร้างสัมพันธ์อันดีกับพระเอก กระนั้นสายตาพระเอกจ้องกลับและมองคล้ายจะตรวจสอบให้แน่ใจว่ามิได้พูดปด

    “ในเมื่อตอนนี้ข้าไม่มีใคร เจ้าก็ไม่มี เราร่วมด้วยช่วยกันไม่ดีกว่าหรือ?” เขาพยายามโน้มน้าวใจเด็กชาย

    “ท่านกับข้า?”ซานเหวินขบคิดในหัวแต่ก็ยังไม่กระจ่างดี

    “ไม่สิ ข้าอายุมากกว่าเจ้าฉะนั้นเราจะเป็นพี่น้องร่วมสาบาน”อี้จิ้งเดินกลับไปที่โต๊ะ เทน้ำจากกาลงสองจอกยื่นส่งให้แก่เด็กน้อย 

    “นี่คือ…”

    “เราจะดื่มน้ำคนละจอก เพื่อสาบานเป็นพี่น้อง”เขาจำมาจากนิยายแนวศึกชิงยุทธภพกำลังภายในอยู่หลายเรื่อง จึงลองทำดู มันอาจจะได้ผล“ดื่มเลย”อี้จิ้งกระดกน้ำเปล่าเย็นเฉียบสู่ลำคอ แล้วหันมามองพระเอก

    “พี่น้อง”ซ่านเหวินชั่งใจอยู่เล็กน้อยก่อนจะดื่มลงไป อี้จิ้งเผยยิ้มดีใจอย่างที่สุดเขากำลังจะเป็นพี่น้องกับพระเอกเชียวนะ ชีวิตอันสงบสุขหวนคืนอุดมคติ

    “เจ้าเรียกข้าว่า พี่ชายหรือพี่อี้จิ้งก็ได้ ตอนนี้เราเปรียบเสมือนเป็นญาติกันแล้ว”เขายิ้มพอใจเมื่อนึกถึงอนาคตที่เริ่มมีแสงสว่างในการเกาะขาทองคำนี้ไว้

    “พี่...ชาย”เด็กชายกล่าวเนิบช้าแต่ชัดเจน

    “ถูกต้องแล้ว”พระเอกว่านอนสอนง่ายกว่าที่คิดมาก ดูไปดูมาหากซานเหวินไม่โดนกระทำร้ายก่อนคงไม่เกิดเหตุการณ์นองเลือดภายหลังแน่หวังว่าท้ายสุดจะไว้ชีวิตเขานะ

     

                    จากชุดมอซออันเก่ากลายเป็นชุดขาวสะอาดตามระเบียบของสำนัก แม้มันจะไม่หนาทนต่ออากาศหนาวเหน็บ แต่ก็ยังดีกว่าเสื้อผ้าเดิมอยู่มาก ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นระเบียบ เช่นเวลาตื่นนอน จะมีคนเคาะกลองใหญ่บอกเวลายามเช้า แม้ตาเขาอยากจะปิดลงเพียงใด ก็ไม่สามารถทำโดยใจนึก เพราะถูกสายตาเหล่าศิษย์ชุดขาวร่วมสำนักจ้องทุกฝีก้าว

    “วันนี้เป็นวันแรก ที่มีศิษย์ผ่านบททดสอบมาจำนวนทั้งหมดหกคนในรอบห้าปีนี้ ” รองเจ้าสำนักที่อายุราวขึ้นเลขสี่ต้น ๆ กำลังใช้สียงทรงอำนาจพูด แต่กระน้ำสายตาดูแคลนยังถูกส่งมายังพวกเขาทั้งสองอยู่ดี

    มู่ชุ่นคือบุรุษดำรงตำแหน่งรองสำนักชางฝูหยวน ในนิยายกล่าวไว้ว่าเป็นคนที่ไม่ชอบหน้าพระเอกมากที่สุด เพราะเฉินหยวนเข้าข้างและให้ความช่วยเหลือพระเอกมากกว่าศิษย์คนอื่น ๆ จึงเกิดความเคลือบแคลงใจ และหาโอกาสเล่นงานกลั่นแกล้งซานเหวินเป็นเนือง ๆ 

    “ได้ยินว่ามีจำนวนถึงแปดคนไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”หวังเหยี่ยนทักท้วง

    “ข้าไม่ได้นับรวม สำหรับคนที่ไม่เคยแม้กระทั้งเผชิญบททดสอบ”คำพูดจิกกัดของรองเจ้าสำนักเอ่ยขึ้น

    “มิน่าล่ะขอรับ คนพวกนั้นจึงสามารถเดินเหินร่วมสำนักได้ ศิษย์กระจ่างแล้ว”เจ้าหัวโจกกลั่นแกล้งเมื่อวานกล่าวเสริมพูดเหน็บแนม

    “เจ้า!” เนื่องด้วยต้องการซื้อความไว้เนื้อเชื่อใจต่อพระเอก เขาจะต้องออกโรงปกป้องจึงชี้หน้าไปยังอันธพาลในคราบนักฝึกตนทันที 

    “หากจะมาทะเลาะตรงหน้าข้า รู้ใช่ไหมว่าจะมีบทลงโทษเช่นไร?”มู่ชุ่นไม่ให้เขาได้แสดงฝีปากกับเจ้านั่น มิหนำซ้ำสายตาที่ส่งมาหมายความว่า เขาผิดเต็ม ๆ 

    “ขออภัยด้วยขอรับ” อี้จิ้งจึงทำได้เพียงน้อมรับขอโทษ ส่วนเจ้านั่นทำหน้าทำตากวนบาทาเขา อย่าให้ใครได้เห็นเชียวนะเขาจะนวดหน้าด้วยหมัดเลยคอยดู! 

    “เช่นนั้นก็สำรวมด้วย ที่นี้คือสำนักฝึกตน จงคำนึงตลอดเวลา”

    “เข้าใจแล้วขอรับ” อี้จิ้งกัดฟันฝังบัญชีหนังหมาเอาไว้

    “อันดับแรกผู้ที่เข้ามาจะได้รับการฝึกพื้นฐานเสียก่อน คือการฝึกกระบวนท่ารำกระบี่ ด้วยกระบี่ไม้เสียก่อน ส่วนผู้ที่ชำนาญขึ้นจะเริ่มการฝึกระดับขึ้นที่สูงขึ้นตามความเหมาะสม จากการผ่านบททดสอบเลื่อนขั้น” รองเจ้าสำนักเกริ่นรายละเอียดการฝึก

    เวลานี้ล่ะ สกิลพระเอกจะทำงาน

    “ส่วนเจ้าสองคน ซานเหวินและอี้จิ้งจะต้องไปรดน้ำ ดูแลต้นสมุนไพรตรงด้านหลังสำนักในป่าไผ่นั้นจนกว่าจะออกดอก จึงจะสามารถร่วมฝึกกับคนอื่นได้”

    เดี๋ยวนะ ให้รดน้ำต้นสมุนไพร... มันจะต่างอะไรกับคนทำสวนในคราบนักฝึกตนล่ะ!

    อี้จิ้งแสดงความไม่เห็นด้วยชัดเจนจึงแย้งขึ้น“ขออภัยที่เสียมารยาท แต่สำนักชางฝูหยวนสมควรที่จะฝึกศิษย์ตามกระบวนการมิใช่หรือขอรับ”เมื่อมีคนแย้งก็ย่อมมีคนไขกระจ่าง รอยยิ้มร้ายอันหนึ่งปรากฏ

    “ผู้คนในสำนักมีหน้าที่แตกต่างกัน หากเจ้าไม่กระทำแล้วผู้อื่นไม่กระทำ เช่นนี้จะเรียกว่ารับผิดชอบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร”แม้ว่าอี้จิ้งจะสามารถหาข้อแย้งขัดได้มากน้อยเท่าใด แต่ชะตาก็ยังคงถูกให้ไปดูแลสวนสมุนไพรตามเดิม

    “ได้ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”อี้จิ้งน้อมรับด้วยน้ำเสียงกระด้าง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×