สาปแสงจันทร์ - นิยาย สาปแสงจันทร์ : Dek-D.com - Writer
×

    สาปแสงจันทร์

    เมื่อรักกลับกลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง...รอยตราจำจึงฝังแน่นทุกชาติทุกภพ

    ผู้เข้าชมรวม

    753

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    753

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    4
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  25 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  27 ม.ค. 66 / 13:31 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


     

                                                                 บทที่ 1

                สายฝนที่โปรยปรายลงมาตั้งแต่หัวค่ำ ทำให้ถนนสายเล็กๆนั้นยังชื้นแฉะ บางช่วงมีหลุมบ่อต้องคอยหลบหลีกอยู่บ่อยครั้ง หากคนขับก็อาศัยความเคยชิน จึงตะลุยผ่านไปได้ตลอดสองข้างทางแม้จะมีบ้านเรือน แต่เงียบสงบเนื่องจากเป็นเวลาค่อนดึกแล้ว

                สุดปลายทางรถเลี้ยวเข้าสู่ซอยตันค่อนข้างมืด เห็นกำแพงรั้วสีขาวเป็นเงามัวทอดเป็นแนวยาว คนขับชลอความเร็วลงจนจอดสนิทก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงมา ประตูรั้วหนาหนักทำด้วยไม้เปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อยราวรอคอยการมาของใครคนหนึ่ง

                    “อีกแล้ว…โดนฝนเข้าหน่อยก็ฝืดขึ้นมาเชียว”

                    คนพูดออกแรงดันมากกว่าปกติ สภาพประตูรั้วกับตัวบ้านอายุขัยยาวนานกว่าคนเปิดหลายสิบปี ‘บ้านตึก’ ที่แทรกตัวอยู่ทามกลางเงาไม้ครึ้ม สงบ ร่มเย็น ที่นี้ละม้ายวันเวลาจะหมุนช้า ขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเองยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า คนอาศัยในบ้านตึกเป็นอย่างไร นอกจากคนเปิดประตูที่มักนำขนมฝรั่งมาแจกในเทศกาลปีใหม่ก็เท่านั้นเอง

                    “คืนนี้กลับมาซะดึกเลยนะ”

                    ร่างเล็กที่เดินออกจากตัวบ้านกางร่มคันใหญ่ ดวงไฟสีนวลริมรั้วส่องกระทบร่างนั้นคลับคล้ายศิลาสลักที่เคลื่อนไหวได้

                    “ลูกทัวร์ชวนกินข้าว ร้องเพลง นี่คุณย่าขึ้นนอนแล้วซิ”

                    “นอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วจ๊ะ บ่นหนาว…วันนี้ตกทั้งวัน”  

                    คนพูดเปิดประตูให้กว้างความคุ้นเคยทำให้ไหลลื่นไปด้วยดี รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่จึงเคลื่อนเข้าจอด ณ ลานปูนหน้าบ้าน กลิ่นของดอกราตรีขจรขจายตามสายลมยามดึก ร่างโปร่งระหงของมัสลินก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน ห้องกว้างปูด้วยไม้กระดานแผ่นโตขัดเป็นเงา รอบห้องเป็นตู้ไม้แบบโบราณบรรจุงานฝีมือพื้นถิ่นแถบอีสาน ที่คุณทวด คุณปู่ แม้กระทั่งบิดาของเธอได้รับราชการ ณ ดินแดนแถบนั้น เพื่อนหลายคนของหญิงสาวเมื่อได้มาเยี่ยม ‘บ้านตึก’ มักกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า

                    “เย็นยะเยือก วังเวง”

                    หากสำหรับเธอแล้ว ‘บ้านตึก’ คือโลกใบน้อยที่คอยโอบอุ้มเด็กหญิงกำพร้าให้เติบโตขึ้นมา สายโยงใยจากผู้เป็นย่าและบิดาทำให้เด็กหญิงไม่รู้สึกขาด

                    …แม้ยามเป็นเด็ก ประโยคที่ถูกถามมากที่สุด

                    “แม่ของมอสไปไหน?”

                “แม่ของเราไปเที่ยวสวรรค์!”

                    ครั้นเมื่อเติบใหญ่ ทำให้เจ้าตัวรู้ว่า ‘มนุษย์’ ย่อมหนีไม่พ้นการพลัดพราก ช้าหรือเร็ว ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม ความเคร่งครัดในพุทธศาสนาของผู้เป็นย่า ได้เพาะบ่มความศรัทธาให้บังเกิดและนำมาดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย

                    “คุณมอสจะกินข้าวอีกหรือเปล่า เดี๋ยวหนูจะอุ่นต้มจืดให้ป้าทองใบทำไว้เสียหม้อใหญ่”

                    เด็กสาว ‘ต้อยติ่ง’ ยังมีใจเอ่ยถาม แม้หนังตาจะปรือจนแทบลืมไม่ขึ้น เพราะคำสั่งของคุณย่าเจ้าตัวมักจะขัดไม่ค่อยได้

                    “ไม่ล่ะ ต้อยติ่งไปนอนเถอะดึกแล้ว”

                    มัสลินก้าวขึ้นสู่ชั้นสอง ตัวบ้านหลังใหญ่ปลูกสร้างตั้งแต่สมัยคุณทวด หากดูแลรักษาเป็นอย่างดี ทำให้ไม่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ห้องนอนของหญิงสาวอยู่ทางปีกขวาของตัวตึก ความเคยชินทุกคราวเมื่อย่างกายเข้าสู่ห้องส่วนตัว เธอมักเปิดหน้าต่างให้กว้าง แสงสีนวลของดวงไฟเรืองรองจากห้องรับแขกของเรือนหลังเล็ก ที่ก่อนหน้านั้นคุณย่าได้ให้ครอบครัวอเมริกันเช่าอยู่หลายปี ก่อนจะย้ายออกไปเมื่ออาทิตย์ก่อน


     

                    เงาดำของใครคนหนึ่งทาบทับอยู่ตรงหน้าต่าง ระยะห่างหลายสิบเมตรจากบ้านตึกกับเรือนหลังเล็กทำให้มองเห็นไม่ชัด คนแลไปยังรู้สึกแปลกๆ เมื่อหยุดมอง ‘เงา’ นั้นก็หยุดนิ่ง หากเมื่อมองซ้ำ ‘เงา’ นั้นก็เคลื่อนจากไป 

                    “…คงมีคนมาเช่าใหม่”

                    มัสลินหมดความสนใจหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เดินไปเข้าห้องน้ำ กว่าจะอาบน้ำขึ้นเตียงนอนก็ดึกมาแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวไม่เคยลืมเลย ‘คำสั่งคุณย่า’

                    “สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนนะลูก อนิสงส์จะได้เจือจานถึงเจ้ากรรมนายเวร… หนักจะได้กลายเป็นเบา”                และหญิงสาวก็ทำตามคำสั่งนั้นมาตลอด จะมีบ้างในค่ำคืนที่เหน็ดเหนื่อยจากงาน อาจทำให้บทสวดนั้นขาดหายไปเพราะความง่วงงุน….ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นเช่นนั้น เสียงดนตรีอ่อนหวานท่วงทำนองแปลกหูมักจะลอยล่องเข้ามาในสมอง…บางครา…เมื่อหัวถึงหมอนเธอก็ดำดิ่งสู่นิทราอย่างรวดเร็ว

                    และเมื่อนั้นเธอจะอยู่ท่ามกลางเทวสถานขนาดใหญ่…ลวดลายสลักเสลาตามผนังศิลางดงามยิ่ง เสียงลำนำอ่อนหวานก้องกังวาน หลายคราของความฝันเธอมักเห็นตัวเอง ในเครื่องแต่งกายแปลกตา กำลังร่ายรำตามจังหวะลำนำ การย้อน ‘กลับไปมา’ ของความฝันทำให้เธอรู้…บางอย่างกำลังรอเวลา

                    …แต่คืนนี้ เธออยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ลานกว้างโอบรอบด้วยศิลาทรายที่นำมาวางซ้อนกันเป็นรูปร่างต่างๆ รอบกายคือพระพักตร์ที่ปั้นด้วยหินทรายนับสิบนับร้อย ที่สอดส่องลงมา ณ ตัวเธอ

                    “มัญชุเกศี…”

                    เสียงนุ่ม ลึก กังวานก้อง

                    ชื่อใคร…ชื่อใครกัน…หากเธอกระมังที่ก้าวเข้าไปยืนใกล้เทวรูป กลิ่นกำยานลอยล่องมากับสายลม เงาดำ สูง ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง

                    เธอเคยเห็นภาพเหล่านี้…แต่ที่ไหนล่ะ…จากนั้นภาพอีกอันก็ซ้อนทับขึ้นมา ภาพตัวปราสาทขนาดใหญ่ งดงามยิ่งนัก เสียงลำนำเสียงหัวเราะดังแว่วสอดประสานกัน

                    ‘สัจจอธิษฐาน!’

                มัสลินสะดุ้งตื่น เหงื่อเหนียวๆซึมทั่วร่าง ความฝันประหลาดที่พักหลังมักจะเกิดขึ้นซ้ำซาก จนเจ้าตัวเองจดจำชื่อเรียกนั้นได้อย่างแม่นยำ

                    ‘มัญชุเกศี!’      
     

      

                แสงสว่างจากภายนอกส่องทะลุผ้าม่านเนื้อบางเข้ามา ทำให้คนบนเตียงจำต้องลุกขึ้น พร้อมกันนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก็ดังรัวตามมา เจ้าตัวจึงเอื้อมมือไปกดรับ

              “พี่โทรมาปลุกครับ”

                “ตื่นพอดีค่ะ”  

               “วันนี้มีโปรแกรมทัวร์ที่ไหนครับ ช่วงบ่ายพี่อยากให้มอสแวะมาเยี่ยมมหา’ลัยพี่หน่อยมีอะไรอยากให้ดู”

                    เสียงทุ้มของคนปลายสายทอดอ่อนหวานเฉกเช่นทุกครั้งยามเจ้าตัวต้องการ ‘เอาใจ’

                    “อืม… วันนี้ว่างทั้งวันค่ะ แต่ขออยู่ทานมื้อเที่ยงกับคุณย่าก่อนนะคะ ไม่อยากให้คนแก่งอนอีก”

                    สายสัมพันธ์ของเครือญาติห่างๆทำให้ความใกล้ชิดมีมากพอที่จะพูดคุยหยอกเย้ากันได้  

                    “เชิญ…บ่ายสองเจอกันที่ลานอโศก อยากให้พี่ไปรับที่บ้านไหม?”

                    “อย่าเลยค่ะ มอสขับรถไปเองสะดวกกว่า”

                    หลังวางสายหญิงสาวใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงสำหรับอาบน้ำแต่งตัว… บ้านมักเงียบสงบเสมอได้ยินเสียงเพลงหมอลำดังแผ่วเบามาจากห้องครัวด้านหลัง เมื่อมัสลินเดินเข้าไปจึงเห็นแม่สาวต้อยติ่งกำลังเตรียมอาหารเช้าอย่างขมักเขม้น กลิ่นไข่เจียวหอมฟุ้งไปทั่วห้อง

                    “หนูคิดว่าคุณมอสจะลงมาสายเลยไม่รีบ หิวหรือยังคะ?”

                    ‘งาน’ ที่ไม่เป็นเวลาทำให้คนในบ้านคาดเดาเวลาตื่นของมัสลินลำบาก

                    “วันนี้มันตื่นก่อนเวลาไปหน่อย เลยลงมาไว…ฉันขอกาแฟหวานๆเข้มๆแก้วเดียวก็พอ”

                    มื้อเช้าอันคุ้นชินอาจไม่เป็นที่ถูกใจคุณย่ามากนัก

                 ‘คุณค่าอาหารมันน้อยกว่าน้ำพริกปลาทูเสียอีก’   

    แม้จะเกษียณจากข้าราชการครูมานานหลายปี หากผู้เป็นย่ายังฝั่งจิตวิญญานของ ‘ครู’ มาใช้กับคนในบ้านอยู่เสมอ และเมื่อนั้นมัสลินก็มักหลบเลี่ยงได้บ้างไม่ได้บ้าง ทางเดินไปสู่สวน…อาณาเขตด้านหน้าปลูกประดับด้วยไม้ไทยหลากชนิด ส่งกลิ่นหอมโรยรินมากับสายลมอยู่เสมอ คุณย่ามักปรารภว่า

              “บ้านที่ไร้ต้นไม้ ดูยังไงก็ร้อนรุมถึงจะติดแอร์ทั้งหลังก็เถอะ”

    ดังนั้นรอบบ้านจึงร่มรื่นด้วยพรรณไม้ใหญ่น้อย จำปา จำปี เคียงคู่กันอยู่หน้าบ้าน สลับกับไม้พุ่มที่มีกลิ่นหอมชื่นใจอย่างบุหงาสาหรี สวนด้านข้างทอดเชื่อมระหว่างบ้านตึกกับเรือนหลังเล็ก ทางเดินปูด้วยอิฐมอญเป็นระยะต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านก่ายเกยกันจนร่มครึ้ม …มัสลินเดินช้าๆเสียงนกร้องเสนาะใส ให้ความเพลิดเพลินจนลืมสังเกต บรรยากาศรอบตัวเริ่มแปรเปลี่ยน ท้องฟ้าเบื้องบนปกคลุมด้วยผืนเมฆสีดำขนาดใหญ่ สายลมเย็นเยือกพัดวูบ

    ในความเงียบ…สงบ…ภาพที่เห็นเริ่มพร่าเลือนราวม่านหมอกหนา เสียงอะไรอย่างหนึ่งแว่วมาไกลแสนไกล ไม่ใช่เสียงรถจากถนนหน้าบ้าน…เสียง…คลับคล้าย…ล้อเกวียนบดเบียนกับพื้นหิน เสียงอึงอลของภาษาที่ไม่คุ้นหู แต่เธอกลับรับรู้อยู่ในสมอง

    “ไป๊… ไปให้ไว ล่มแล้วเมืองสวรรค์…”

    ร่างที่เบาหวิวคล้ายจะปลิวปลิดตามกระแสลมเสียให้ได้นั้น เซซบอิงแอบกับต้นไม้ หากภาพเลือนลางเบื้องหน้า เริ่มเด่นชัด ร่างสูง กำยำ ผิวเนื้อเหลืองนวลในชุดเครื่องแต่งกายแปลกตา ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มประหนึ่งยินดี หากแววตาล้ำลึก เหี้ยมเกรียม

    “ใครล่ะ?”

    หญิงสาวยกมือขึ้นลูบใบหน้า เหงื่อซึม ใจสั่นระริกพยายามตั้งสติเพ่งมอง

    “เป็นอะไรรึ หน้าคุณซีดเหลือเกิน”

    ร่างสูงสมส่วนในเครื่องแต่งกายสุภาพ ดวงหน้าละม้ายศิลาสลัก คิ้ว สันจมูกกับริมฝีปากรับกันราวปั้นแต่ง หากดวงตาล้ำลึกอย่างประหลาด

                  คลับคล้ายจะเคยพบ…แต่ไม่เคยพบ

                  มัสมินรู้สึกเหมือนโลกจะหมุนกลับมาที่เดิม

         “เปล่าค่ะ…แค่พักผ่อนน้อยเกินไป”

    “ผมเป็นผู้เช่าใหม่เพิ่งย้ายเข้ามาบ้านหลังนี้ไม่กี่วัน…มีอะไรก็ช่วยแนะนำด้วย”

    เสียงอย่างนี้เธอเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน สมองของมัสลินเริ่มคิดค้น หากทุกอย่างมืดมนไร้คำตอบ…

    “ค่ะ…ขาดเหลืออะไรก็บอกกับต้อยติ่งได้ ฉันคงต้องขอตัวก่อน”

    เมื่อคล้อยหลังมัสลินระบายลมหายใจแผ่วเบาคล้ายผ่อนคลาย ความรู้สึกเมื่อครู่ราวถูกจองจำ…กลีบผการ่วงหล่นเกลื่อนพื้น เท้าที่ก้าวย่างเร่งรีบเร็วขึ้น กลิ่นกำยานอบอวลลอยล่อง 


     

    ลานกว้างร่มรื่นด้วยกิ่งก้านของต้นอโศกที่แผ่ขยายออกไปทั่ว เสียงพูดคุยสั่งการคละเคล้ากับกลุ่มผู้คนหลากหลายที่กำลังตระเตรียมสถานที่ 

    “มอสทางนี้”

    บุรุษเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ให้สัญญานมือกับหญิงสาว

    “งานแสดงอะไรคะพี่ฉันท์?”

    มัสลินเอ่ยถามพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายเลื่อนมาให้

    “ระบำอัปสรา…ระบำโบราณของเขมรเคยดูหรือเปล่า?”

    “ไม่เคยค่ะ”

    “เป็นไกด์ยังไงไม่รู้จักระบำเขมร แล้วจะอธิบายลูกทัวร์ได้รึ”

    ด้วยพื้นของคนถามคือนักวิชาการประวัติศาสตร์ บางคราอาจดูคร่ำเคร่ง

    “ลูกทัวร์มอสสนใจแต่จะเล่นกอล์ฟกับร้องคาราโอเกะมากกว่าค่ะ”

    คนตอบกลั้วหัวเราะสดใส

    เสียงดนตรีบรรเลงเริ่มดังระรัวขึ้น เหล่านางรำในเครื่องแต่งกายงดงามแปลกตาเริ่มเคลื่อนออกจากหลังต้นไม้ใหญ่ ท่วงทีอ่อนช้อย พริ้วไหวไปกับท่วงทำนองดนตรีแสนแปลกหู กลุ่มหมอกควันสีขาวลอยล่อง ภาพตรงหน้าเริ่มสลัวลางคล้ายถูกบดบังด้วยม่านหมอกสีขาว มัสลินกระพริบตาถี่ ร่างกายเบาหวิวราวไร้น้ำหนัก

    ครั้นเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าแจ่มใสชัดเจน จะผิดแผกก็สถานที่ลานคอนกรีตใต้ต้นอโศกเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นเทวาลัยขนาดใหญ่ ด้านหน้าเป็นลานกว้าง กระแสลมพัดวูบไล้ผิวกายจนเย็นเยียบ

    “ที่ไหน?”

    คำถามดังก้องอยู่ในหัวสะท้อนกลับไปมาหากไร้ซึ่งเสียงกระซิบตอบ ร่างงามระหงที่เคลื่อนย้ายตามจังหวะลำนำ เริ่มเด่นชัด ผมสีเข้มตอนบนมุ่นเป็นมวย ปักแซมด้วยดอกไม้ชนิดหนึ่ง ตุ้มหูพวงใหญ่ห้อยระย้า สวมกำไลต้นแขน ภูษาสีอ่อนกับผ้านุ่งชายซ้อนงดงามจับตา ดวงหน้านวลกระจ่างตาระบายยิ้มยวนยั่ว

    “เหมือนตัวเรา!”  

    ในความมัวมนระหว่างกึ่งฝันกึ่งจริง เจ้าตัวยังรำพึง

    “มัญชุเกศี…เจ้ามันโลเล”

    เสียงตัดพ้อละม้ายเสียงใครผู้หนึ่ง ในความรู้สึกล่องลอยคล้ายเคลิ้มฝันนั้น ดูเหมือนเสียงนั้นจะสะท้านสะท้อนราวผู้พูดขุ่นเคืองนักหนา มัสลินพยายามตั้งใจจับสำเหนียงแห่งเสียงนั้นให้ชัด หากแล้วก็แผ่วหายจากไป

    “ใครกัน!”

    หญิงสาวหลุดปากออกไปอย่างหงุดหงิด

    “เป็นอะไรหรือมอส?”

    คำถามนั้นทำให้มัสลินสะดุ้งเบิกตากว้างขึ้นทันที

    “เปล่าค่ะ…”

    “เปล่ายังไงเสียงดังขนาดนั้น หรือผีนางรำเข้าสิง!”

    ฉันทะกะหลุดปากออกไปพลางหัวเราะสนุก  หากมัสลินเริ่มมีคำถามให้กับตัวเอง ภาพและเสียงเมื่อครู่เกิดขึ้นได้ยังไงกัน แม้ยามหลับก็ยังตามติดเฉกเช่นเงา

    “มอสคงพาลูกทัวร์ไปวัดบ่อย จินตนาการเลยเต็มหัวไปหมด”

    หญิงสาวบอกปัดไป แต่เธอจะบอกเล่าให้ใครฟังได้ว่าความฝันประหลาดที่เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆนั้น มันบั่นทอนชีวิตประจำวันของเธอมากน้อยแค่ไหน มัสลินเคยคิดจะไปพบจิตแพทย์ หากแล้วก็เปลี่ยนใจ

    ‘เรายังไม่บ้า!แค่เห็นโบราณสถานมากไปเท่านั้น’

     แต่แล้วความฝันเหล่านั้นก็ยังดำเนินต่อไปเหมือนภาพยนต์ที่ฉายซ้ำกลับไปกลับมาเช่นเดิม

    ‘อาการย้ำคิดย้ำทำ’

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น