สาปแสงจันทร์
เมื่อรักกลับกลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง...รอยตราจำจึงฝังแน่นทุกชาติทุกภพ
ผู้เข้าชมรวม
753
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทที่ 1
สายฝนที่โปรยปรายลงมาตั้งแต่หัวค่ำ ทำให้ถนนสายเล็กๆนั้นยังชื้นแฉะ บางช่วงมีหลุมบ่อต้องคอยหลบหลีกอยู่บ่อยครั้ง หากคนขับก็อาศัยความเคยชิน จึงตะลุยผ่านไปได้ตลอดสองข้างทางแม้จะมีบ้านเรือน แต่เงียบสงบเนื่องจากเป็นเวลาค่อนดึกแล้ว
สุดปลายทางรถเลี้ยวเข้าสู่ซอยตันค่อนข้างมืด เห็นกำแพงรั้วสีขาวเป็นเงามัวทอดเป็นแนวยาว คนขับชลอความเร็วลงจนจอดสนิทก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงมา ประตูรั้วหนาหนักทำด้วยไม้เปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อยราวรอคอยการมาของใครคนหนึ่ง
“อีกแล้ว…โดนฝนเข้าหน่อยก็ฝืดขึ้นมาเชียว”
คนพูดออกแรงดันมากกว่าปกติ สภาพประตูรั้วกับตัวบ้านอายุขัยยาวนานกว่าคนเปิดหลายสิบปี ‘บ้านตึก’ ที่แทรกตัวอยู่ทามกลางเงาไม้ครึ้ม สงบ ร่มเย็น ที่นี้ละม้ายวันเวลาจะหมุนช้า ขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเองยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า คนอาศัยในบ้านตึกเป็นอย่างไร นอกจากคนเปิดประตูที่มักนำขนมฝรั่งมาแจกในเทศกาลปีใหม่ก็เท่านั้นเอง
“คืนนี้กลับมาซะดึกเลยนะ”
ร่างเล็กที่เดินออกจากตัวบ้านกางร่มคันใหญ่ ดวงไฟสีนวลริมรั้วส่องกระทบร่างนั้นคลับคล้ายศิลาสลักที่เคลื่อนไหวได้
“ลูกทัวร์ชวนกินข้าว ร้องเพลง นี่คุณย่าขึ้นนอนแล้วซิ”
“นอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วจ๊ะ บ่นหนาว…วันนี้ตกทั้งวัน”
คนพูดเปิดประตูให้กว้างความคุ้นเคยทำให้ไหลลื่นไปด้วยดี รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่จึงเคลื่อนเข้าจอด ณ ลานปูนหน้าบ้าน กลิ่นของดอกราตรีขจรขจายตามสายลมยามดึก ร่างโปร่งระหงของมัสลินก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน ห้องกว้างปูด้วยไม้กระดานแผ่นโตขัดเป็นเงา รอบห้องเป็นตู้ไม้แบบโบราณบรรจุงานฝีมือพื้นถิ่นแถบอีสาน ที่คุณทวด คุณปู่ แม้กระทั่งบิดาของเธอได้รับราชการ ณ ดินแดนแถบนั้น เพื่อนหลายคนของหญิงสาวเมื่อได้มาเยี่ยม ‘บ้านตึก’ มักกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า
“เย็นยะเยือก วังเวง”
หากสำหรับเธอแล้ว ‘บ้านตึก’ คือโลกใบน้อยที่คอยโอบอุ้มเด็กหญิงกำพร้าให้เติบโตขึ้นมา สายโยงใยจากผู้เป็นย่าและบิดาทำให้เด็กหญิงไม่รู้สึกขาด
…แม้ยามเป็นเด็ก ประโยคที่ถูกถามมากที่สุด
“แม่ของมอสไปไหน?”
“แม่ของเราไปเที่ยวสวรรค์!”
ครั้นเมื่อเติบใหญ่ ทำให้เจ้าตัวรู้ว่า ‘มนุษย์’ ย่อมหนีไม่พ้นการพลัดพราก ช้าหรือเร็ว ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม ความเคร่งครัดในพุทธศาสนาของผู้เป็นย่า ได้เพาะบ่มความศรัทธาให้บังเกิดและนำมาดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย
“คุณมอสจะกินข้าวอีกหรือเปล่า เดี๋ยวหนูจะอุ่นต้มจืดให้ป้าทองใบทำไว้เสียหม้อใหญ่”
เด็กสาว ‘ต้อยติ่ง’ ยังมีใจเอ่ยถาม แม้หนังตาจะปรือจนแทบลืมไม่ขึ้น เพราะคำสั่งของคุณย่าเจ้าตัวมักจะขัดไม่ค่อยได้
“ไม่ล่ะ ต้อยติ่งไปนอนเถอะดึกแล้ว”
มัสลินก้าวขึ้นสู่ชั้นสอง ตัวบ้านหลังใหญ่ปลูกสร้างตั้งแต่สมัยคุณทวด หากดูแลรักษาเป็นอย่างดี ทำให้ไม่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ห้องนอนของหญิงสาวอยู่ทางปีกขวาของตัวตึก ความเคยชินทุกคราวเมื่อย่างกายเข้าสู่ห้องส่วนตัว เธอมักเปิดหน้าต่างให้กว้าง แสงสีนวลของดวงไฟเรืองรองจากห้องรับแขกของเรือนหลังเล็ก ที่ก่อนหน้านั้นคุณย่าได้ให้ครอบครัวอเมริกันเช่าอยู่หลายปี ก่อนจะย้ายออกไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
เงาดำของใครคนหนึ่งทาบทับอยู่ตรงหน้าต่าง ระยะห่างหลายสิบเมตรจากบ้านตึกกับเรือนหลังเล็กทำให้มองเห็นไม่ชัด คนแลไปยังรู้สึกแปลกๆ เมื่อหยุดมอง ‘เงา’ นั้นก็หยุดนิ่ง หากเมื่อมองซ้ำ ‘เงา’ นั้นก็เคลื่อนจากไป
“…คงมีคนมาเช่าใหม่”
มัสลินหมดความสนใจหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เดินไปเข้าห้องน้ำ กว่าจะอาบน้ำขึ้นเตียงนอนก็ดึกมาแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวไม่เคยลืมเลย ‘คำสั่งคุณย่า’
“สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนนะลูก อนิสงส์จะได้เจือจานถึงเจ้ากรรมนายเวร… หนักจะได้กลายเป็นเบา” และหญิงสาวก็ทำตามคำสั่งนั้นมาตลอด จะมีบ้างในค่ำคืนที่เหน็ดเหนื่อยจากงาน อาจทำให้บทสวดนั้นขาดหายไปเพราะความง่วงงุน….ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นเช่นนั้น เสียงดนตรีอ่อนหวานท่วงทำนองแปลกหูมักจะลอยล่องเข้ามาในสมอง…บางครา…เมื่อหัวถึงหมอนเธอก็ดำดิ่งสู่นิทราอย่างรวดเร็ว
และเมื่อนั้นเธอจะอยู่ท่ามกลางเทวสถานขนาดใหญ่…ลวดลายสลักเสลาตามผนังศิลางดงามยิ่ง เสียงลำนำอ่อนหวานก้องกังวาน หลายคราของความฝันเธอมักเห็นตัวเอง ในเครื่องแต่งกายแปลกตา กำลังร่ายรำตามจังหวะลำนำ การย้อน ‘กลับไปมา’ ของความฝันทำให้เธอรู้…บางอย่างกำลังรอเวลา
…แต่คืนนี้ เธออยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ลานกว้างโอบรอบด้วยศิลาทรายที่นำมาวางซ้อนกันเป็นรูปร่างต่างๆ รอบกายคือพระพักตร์ที่ปั้นด้วยหินทรายนับสิบนับร้อย ที่สอดส่องลงมา ณ ตัวเธอ
“มัญชุเกศี…”
เสียงนุ่ม ลึก กังวานก้อง
ชื่อใคร…ชื่อใครกัน…หากเธอกระมังที่ก้าวเข้าไปยืนใกล้เทวรูป กลิ่นกำยานลอยล่องมากับสายลม เงาดำ สูง ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง
เธอเคยเห็นภาพเหล่านี้…แต่ที่ไหนล่ะ…จากนั้นภาพอีกอันก็ซ้อนทับขึ้นมา ภาพตัวปราสาทขนาดใหญ่ งดงามยิ่งนัก เสียงลำนำเสียงหัวเราะดังแว่วสอดประสานกัน
‘สัจจอธิษฐาน!’
มัสลินสะดุ้งตื่น เหงื่อเหนียวๆซึมทั่วร่าง ความฝันประหลาดที่พักหลังมักจะเกิดขึ้นซ้ำซาก จนเจ้าตัวเองจดจำชื่อเรียกนั้นได้อย่างแม่นยำ
‘มัญชุเกศี!’
แสงสว่างจากภายนอกส่องทะลุผ้าม่านเนื้อบางเข้ามา ทำให้คนบนเตียงจำต้องลุกขึ้น พร้อมกันนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก็ดังรัวตามมา เจ้าตัวจึงเอื้อมมือไปกดรับ
“พี่โทรมาปลุกครับ”
“ตื่นพอดีค่ะ”
“วันนี้มีโปรแกรมทัวร์ที่ไหนครับ ช่วงบ่ายพี่อยากให้มอสแวะมาเยี่ยมมหา’ลัยพี่หน่อยมีอะไรอยากให้ดู”
เสียงทุ้มของคนปลายสายทอดอ่อนหวานเฉกเช่นทุกครั้งยามเจ้าตัวต้องการ ‘เอาใจ’
“อืม… วันนี้ว่างทั้งวันค่ะ แต่ขออยู่ทานมื้อเที่ยงกับคุณย่าก่อนนะคะ ไม่อยากให้คนแก่งอนอีก”
สายสัมพันธ์ของเครือญาติห่างๆทำให้ความใกล้ชิดมีมากพอที่จะพูดคุยหยอกเย้ากันได้
“เชิญ…บ่ายสองเจอกันที่ลานอโศก อยากให้พี่ไปรับที่บ้านไหม?”
“อย่าเลยค่ะ มอสขับรถไปเองสะดวกกว่า”
หลังวางสายหญิงสาวใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงสำหรับอาบน้ำแต่งตัว… บ้านมักเงียบสงบเสมอได้ยินเสียงเพลงหมอลำดังแผ่วเบามาจากห้องครัวด้านหลัง เมื่อมัสลินเดินเข้าไปจึงเห็นแม่สาวต้อยติ่งกำลังเตรียมอาหารเช้าอย่างขมักเขม้น กลิ่นไข่เจียวหอมฟุ้งไปทั่วห้อง
“หนูคิดว่าคุณมอสจะลงมาสายเลยไม่รีบ หิวหรือยังคะ?”
‘งาน’ ที่ไม่เป็นเวลาทำให้คนในบ้านคาดเดาเวลาตื่นของมัสลินลำบาก
“วันนี้มันตื่นก่อนเวลาไปหน่อย เลยลงมาไว…ฉันขอกาแฟหวานๆเข้มๆแก้วเดียวก็พอ”
มื้อเช้าอันคุ้นชินอาจไม่เป็นที่ถูกใจคุณย่ามากนัก
‘คุณค่าอาหารมันน้อยกว่าน้ำพริกปลาทูเสียอีก’
แม้จะเกษียณจากข้าราชการครูมานานหลายปี หากผู้เป็นย่ายังฝั่งจิตวิญญานของ ‘ครู’ มาใช้กับคนในบ้านอยู่เสมอ และเมื่อนั้นมัสลินก็มักหลบเลี่ยงได้บ้างไม่ได้บ้าง ทางเดินไปสู่สวน…อาณาเขตด้านหน้าปลูกประดับด้วยไม้ไทยหลากชนิด ส่งกลิ่นหอมโรยรินมากับสายลมอยู่เสมอ คุณย่ามักปรารภว่า
“บ้านที่ไร้ต้นไม้ ดูยังไงก็ร้อนรุมถึงจะติดแอร์ทั้งหลังก็เถอะ”
ดังนั้นรอบบ้านจึงร่มรื่นด้วยพรรณไม้ใหญ่น้อย จำปา จำปี เคียงคู่กันอยู่หน้าบ้าน สลับกับไม้พุ่มที่มีกลิ่นหอมชื่นใจอย่างบุหงาสาหรี สวนด้านข้างทอดเชื่อมระหว่างบ้านตึกกับเรือนหลังเล็ก ทางเดินปูด้วยอิฐมอญเป็นระยะต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านก่ายเกยกันจนร่มครึ้ม …มัสลินเดินช้าๆเสียงนกร้องเสนาะใส ให้ความเพลิดเพลินจนลืมสังเกต บรรยากาศรอบตัวเริ่มแปรเปลี่ยน ท้องฟ้าเบื้องบนปกคลุมด้วยผืนเมฆสีดำขนาดใหญ่ สายลมเย็นเยือกพัดวูบ
ในความเงียบ…สงบ…ภาพที่เห็นเริ่มพร่าเลือนราวม่านหมอกหนา เสียงอะไรอย่างหนึ่งแว่วมาไกลแสนไกล ไม่ใช่เสียงรถจากถนนหน้าบ้าน…เสียง…คลับคล้าย…ล้อเกวียนบดเบียนกับพื้นหิน เสียงอึงอลของภาษาที่ไม่คุ้นหู แต่เธอกลับรับรู้อยู่ในสมอง
“ไป๊… ไปให้ไว ล่มแล้วเมืองสวรรค์…”
ร่างที่เบาหวิวคล้ายจะปลิวปลิดตามกระแสลมเสียให้ได้นั้น เซซบอิงแอบกับต้นไม้ หากภาพเลือนลางเบื้องหน้า เริ่มเด่นชัด ร่างสูง กำยำ ผิวเนื้อเหลืองนวลในชุดเครื่องแต่งกายแปลกตา ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มประหนึ่งยินดี หากแววตาล้ำลึก เหี้ยมเกรียม
“ใครล่ะ?”
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบใบหน้า เหงื่อซึม ใจสั่นระริกพยายามตั้งสติเพ่งมอง
“เป็นอะไรรึ หน้าคุณซีดเหลือเกิน”
ร่างสูงสมส่วนในเครื่องแต่งกายสุภาพ ดวงหน้าละม้ายศิลาสลัก คิ้ว สันจมูกกับริมฝีปากรับกันราวปั้นแต่ง หากดวงตาล้ำลึกอย่างประหลาด
คลับคล้ายจะเคยพบ…แต่ไม่เคยพบ
มัสมินรู้สึกเหมือนโลกจะหมุนกลับมาที่เดิม
“เปล่าค่ะ…แค่พักผ่อนน้อยเกินไป”
“ผมเป็นผู้เช่าใหม่เพิ่งย้ายเข้ามาบ้านหลังนี้ไม่กี่วัน…มีอะไรก็ช่วยแนะนำด้วย”
เสียงอย่างนี้เธอเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน สมองของมัสลินเริ่มคิดค้น หากทุกอย่างมืดมนไร้คำตอบ…
“ค่ะ…ขาดเหลืออะไรก็บอกกับต้อยติ่งได้ ฉันคงต้องขอตัวก่อน”
เมื่อคล้อยหลังมัสลินระบายลมหายใจแผ่วเบาคล้ายผ่อนคลาย ความรู้สึกเมื่อครู่ราวถูกจองจำ…กลีบผการ่วงหล่นเกลื่อนพื้น เท้าที่ก้าวย่างเร่งรีบเร็วขึ้น กลิ่นกำยานอบอวลลอยล่อง
ลานกว้างร่มรื่นด้วยกิ่งก้านของต้นอโศกที่แผ่ขยายออกไปทั่ว เสียงพูดคุยสั่งการคละเคล้ากับกลุ่มผู้คนหลากหลายที่กำลังตระเตรียมสถานที่
“มอสทางนี้”
บุรุษเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ให้สัญญานมือกับหญิงสาว
“งานแสดงอะไรคะพี่ฉันท์?”
มัสลินเอ่ยถามพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อีกฝ่ายเลื่อนมาให้
“ระบำอัปสรา…ระบำโบราณของเขมรเคยดูหรือเปล่า?”
“ไม่เคยค่ะ”
“เป็นไกด์ยังไงไม่รู้จักระบำเขมร แล้วจะอธิบายลูกทัวร์ได้รึ”
ด้วยพื้นของคนถามคือนักวิชาการประวัติศาสตร์ บางคราอาจดูคร่ำเคร่ง
“ลูกทัวร์มอสสนใจแต่จะเล่นกอล์ฟกับร้องคาราโอเกะมากกว่าค่ะ”
คนตอบกลั้วหัวเราะสดใส
เสียงดนตรีบรรเลงเริ่มดังระรัวขึ้น เหล่านางรำในเครื่องแต่งกายงดงามแปลกตาเริ่มเคลื่อนออกจากหลังต้นไม้ใหญ่ ท่วงทีอ่อนช้อย พริ้วไหวไปกับท่วงทำนองดนตรีแสนแปลกหู กลุ่มหมอกควันสีขาวลอยล่อง ภาพตรงหน้าเริ่มสลัวลางคล้ายถูกบดบังด้วยม่านหมอกสีขาว มัสลินกระพริบตาถี่ ร่างกายเบาหวิวราวไร้น้ำหนัก
ครั้นเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าแจ่มใสชัดเจน จะผิดแผกก็สถานที่ลานคอนกรีตใต้ต้นอโศกเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นเทวาลัยขนาดใหญ่ ด้านหน้าเป็นลานกว้าง กระแสลมพัดวูบไล้ผิวกายจนเย็นเยียบ
“ที่ไหน?”
คำถามดังก้องอยู่ในหัวสะท้อนกลับไปมาหากไร้ซึ่งเสียงกระซิบตอบ ร่างงามระหงที่เคลื่อนย้ายตามจังหวะลำนำ เริ่มเด่นชัด ผมสีเข้มตอนบนมุ่นเป็นมวย ปักแซมด้วยดอกไม้ชนิดหนึ่ง ตุ้มหูพวงใหญ่ห้อยระย้า สวมกำไลต้นแขน ภูษาสีอ่อนกับผ้านุ่งชายซ้อนงดงามจับตา ดวงหน้านวลกระจ่างตาระบายยิ้มยวนยั่ว
“เหมือนตัวเรา!”
ในความมัวมนระหว่างกึ่งฝันกึ่งจริง เจ้าตัวยังรำพึง
“มัญชุเกศี…เจ้ามันโลเล”
เสียงตัดพ้อละม้ายเสียงใครผู้หนึ่ง ในความรู้สึกล่องลอยคล้ายเคลิ้มฝันนั้น ดูเหมือนเสียงนั้นจะสะท้านสะท้อนราวผู้พูดขุ่นเคืองนักหนา มัสลินพยายามตั้งใจจับสำเหนียงแห่งเสียงนั้นให้ชัด หากแล้วก็แผ่วหายจากไป
“ใครกัน!”
หญิงสาวหลุดปากออกไปอย่างหงุดหงิด
“เป็นอะไรหรือมอส?”
คำถามนั้นทำให้มัสลินสะดุ้งเบิกตากว้างขึ้นทันที
“เปล่าค่ะ…”
“เปล่ายังไงเสียงดังขนาดนั้น หรือผีนางรำเข้าสิง!”
ฉันทะกะหลุดปากออกไปพลางหัวเราะสนุก หากมัสลินเริ่มมีคำถามให้กับตัวเอง ภาพและเสียงเมื่อครู่เกิดขึ้นได้ยังไงกัน แม้ยามหลับก็ยังตามติดเฉกเช่นเงา
“มอสคงพาลูกทัวร์ไปวัดบ่อย จินตนาการเลยเต็มหัวไปหมด”
หญิงสาวบอกปัดไป แต่เธอจะบอกเล่าให้ใครฟังได้ว่าความฝันประหลาดที่เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆนั้น มันบั่นทอนชีวิตประจำวันของเธอมากน้อยแค่ไหน มัสลินเคยคิดจะไปพบจิตแพทย์ หากแล้วก็เปลี่ยนใจ
‘เรายังไม่บ้า!แค่เห็นโบราณสถานมากไปเท่านั้น’
แต่แล้วความฝันเหล่านั้นก็ยังดำเนินต่อไปเหมือนภาพยนต์ที่ฉายซ้ำกลับไปกลับมาเช่นเดิม
‘อาการย้ำคิดย้ำทำ’
ผลงานอื่นๆ ของ เจ้าจันทร์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เจ้าจันทร์
ความคิดเห็น