ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF-BEAST] Shadow ทำนองรักในเงามืด (JunSeob)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอบจบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 115
      1
      4 มี.ค. 57

    Shadow
    ทำนองรักในเงามืด
    (ตอนจบ)


     




    “นี่ดูจุน ดงอุน ฉันมีไอเดียเรื่องเพลงแล้วล่ะ” จุนฮยองรีบปรี่เข้าไปคุยกับเด็กนักเรียนทั้งสองคนทันทีถึงเรื่องเพลงฮัลโลวีนที่เคยรับปากว่าจะช่วย
     
     
    “จริงเหรอฮะ เร็วดีจัง” ดูจุนตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าอาจารย์ยงของพวกเขาจะอัจฉริยะแบบนี้
     
     
    “พอดีไปเจอคนที่มีประสบการตรงมาน่ะ เด็กจรจัดในซอยข้าง ๆ นี่เอง”
     
     
    “ซอยมืดที่ข้างโรงเรียนนี่น่ะเหรอฮะ” ดูจุนถาม
     
     
    “ใช่ พวกเธอเคยเจอรึเปล่า เด็กอายุราว ๆ พวกเธอนี่ล่ะ แต่มอมแมมมากเลย ตาใสแจ๋วเชียวล่ะ ชื่อโยซอบ ฉันเจอเขาเมื่อคืนนี้”
     
     
    “โยซอบเหรอ” ดงอุนพยายามจะนึกตาม
     
     
    “ว่าแต่อาจารย์กล้าเข้าไปในซอยนั้นด้วยเหรอฮะ มีแต่คนไม่กล้าเข้าไป” ดูจุนถามขึ้น เขามั่นใจว่าคนทั้งย่านนี้มีไม่กี่คนที่จะกล้าเดินเข้าไปในซอยนั่น ยิ่งตอนกลางคืนด้วยแล้ว อาจารย์ยงคงเป็นคนใจกล้าน่าดูชม
     
     
    “ตอนแรกก็กลัวนะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ คืนนี้ฉันจะไปหาเขาอีก ไปกับฉันมั้ยล่ะ จะได้ไปช่วยเก็บไอเดียกัน”
     
     
    “ม่ะ...ไม่ดีกว่าฮะ” ทั้งดงอุนและดูจุนต่างปฏิเสธพัลวัล สำหรับสถานที่นั่น แค่มองดูอยู่ด้านหน้าก็ทำเอาขยาดจนไม่กล้าจะคิดแล้วว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
     
     
    “อืม ไม่เป็นไร ฉันก็เข้าใจนะ ไว้ฉันจะชวนโยซอบมาคุยกับพวกเธอเอง” จุนฮยองขำในท่าทีตื่นกลัวของเด็ก ๆ นี่ถ้าทั้งสองคนได้พบโยซอบตัวจริงล่ะก็คงจะกล้าเข้าไปที่นั่นทุกวันแน่ ถึงจะมอมแมมขนาดนั้นแต่ยงจุนฮยองก็ยังมองออกเลยว่าโยซอบนั้นเป็นเด็กหน้าตาดีทีเดียว
     
     
    ทั้งสามคนนั่งช่วยกันแต่งเพลงจนพลบค่ำ ทั้งดงอุนและดูจุนต้องรีบกลับบ้านให้ทันเวลาอาจารย์เย็น โต๊ะประชุมระดมพลังแต่งเพลงก็เป็นอันเลิกราไปสำหรับวันนี้ ลูกศิษย์ทั้งสองต่างโบกมืออำลาอาจารย์ที่หน้าโรงเรียน ซึ่งจุนฮยองก็นโบกมือกลับก่อนจะเดินหายเข้าไปในซอยมืดหมายจะไปหาโยซอบ
     
     
    “อึ๋ย น่ากลัวชะมัด อาจารย์กล้ามากอ่ะ” ดูจุนมองภาพจุนฮยองที่ถูกกลืนเข้าไปในเงาดำนั้นอย่างหวาดกลัว สำหรับเขาแล้วมักคิดไปเองเสมอว่าถ้าเฉียดเข้าไปใกล้ซอยนั่นล่ะก็ อาจจะมีมือเน่าเฟะจากไหนไม่รู้มาดึงตัวเขาเข้าไปก็ได้ แค่คิดก็สยองเต็มที
     
     
    “นี่ โยซอบน่ะ ใช่เด็กจรจัดน่ารัก ๆ คนนั้นรึเปล่านะ คนที่นายเคยให้ขนมปังน่ะ” ดงอุนหันไปถามดูจุน
     
     
    “เอ หรือว่าจะใช่ แต่ไม่เห็นนานแล้วนะ สองเดือนได้แล้วมั้ง อยู่ในนั้นเหรอเนี่ย บรึ๋ย...ไม่มีที่อื่นจะอยู่แล้วหรือไงนะ” ดูจุนบอกออกไปด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาด ลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้ทั้งคู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
     
     
    “กะ...กลับกันเหอะ” ดูจุนตัดสินใจชวนดงอุนกลับบ้านทันที
     
     
     
     
    
     
     
     
     
    “ทำไมแต่งไม่ออกนะ ก็จดมาแล้วตั้งเยอะ” 
     
     
    จุนฮยองเดินนั่งบ่นอยู่บนโซฟาโดยมีพารัมและพาดาป่วนอยู่ข้าง ๆ ทำอย่างไรเจ้าตัวก็แต่งเพลงฮัลโลวีนไม่ออกเสียที นี่ก็ผ่านไปสองอาทิตย์แล้ว ทั้ง ๆ ที่ทุกครั้งที่เขาออกไปฟังเรื่องผีจากโยซอบตอนกลางคืนก็เหมือนจะปิ๊งหัวใสขึ้นทุกครั้ง แต่พอกลับมาที่บ้านไอเดียเหล่านั้นก็ดับวูบไปทุกที ดูเหมือนจุนฮยองจะสามารถแต่งเพลงฮัลโลวีนนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้นั่งอยู่ไกล้ ๆ โยซอบเท่านั้นสินะ
     
     
    “ต้องมีนายมานั่งเล่าเหรอเนี่ย โยซอบ”
     
     
    เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างสูงก็ลุกจากโซฟานุ่มแล้วเก็บข้าวของวิ่งออกไปจากห้องทันที ท่ามกลางสายตาของพารัมและพาดาที่มองอยู่โดยตลอด เมื่อประตูห้องปิดลง เจ้าแมวน้อยทั้งสองก็ได้แต่ใช้เท้าหน้าเขี่ยตามร่องประตูเหมือนว่าอยากจะตามเจ้านายออกไปด้วย 
     
     
    ไม่นานจุนฮยองก็มาถึงรังสถิตของโยซอบ ดูเหมือนเด็กหนุ่มเองก็รอร่างสูงอยู่เช่นกัน เพราะเมื่อจุนฮยองเดินเข้ามา โยซอบที่นั่งหงอยอยู่ก็ดูจะร่าเริงขึ้นมาทันที
     
     
    “นี่...ดูนายมีแปลกไปนะโยซอบ” จุนฮยองเข้ามานั่งประจำที่บนฝาถังขยะและอดสังเกตุไม่ได้ว่าเด็กจรจัดที่เคยเจอในวันแรกดูสดใสแปลกตาไป 
     
     
    วันนี้โยซอบมีผิวพรรณที่สะอาดขึ้น ใบหน้าไม่มีร่องรอยเปรอะอะไรมาบดบังความอ่อนเยาว์ที่ขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ นี่ถ้าโยซอบไปเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนในเมืองคงมีแมวมองมาทาบทามไปเป็นดาราแน่นอน
     
     
    “ก็...ก็แอบไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำมา” โยซอบหลบสายตาตอบอกมาอย่างอาย ๆ
     
     
    “ดีนะ น่าจะอาบบ่อย ๆ นายเป็นคนน่ารักทีเดียว” จุนฮยองบอกจากใจจริงแล้วขยับเข้าใกล้โยซอบมากขึ้น เขามีความสุขที่อยู่ใกล้โยซอบแบบนี้ การที่เด็กหนุ่มยอมอาบน้ำลบกลิ่นเหม็นออกจากตัวทำให้จุนฮยองเข้าใกล้เขาได้มากกว่าเดิม ระยะห่างที่หดสั้นลงทำให้จุนฮยองมองเห็นใบหน้าที่ฉาบสีแดงระเรื่อของโยซอบได้ชัดเจน
     
     
    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จุนฮยองรู้สึกว่าเริ่มขาดโยซอบไม่ได้ เขาต้องมาหาโยซอบที่นี่ทุกคืน มาฟังเรื่องราวผีสางนางไม้ที่โยซอบเล่าให้ฟังทุกวันและทุก ๆ ครั้งที่มา เขาจะสามารถเขียนบทเพลงได้อย่างไหลลื่น อีกทั้งไม่นานมานี้จุนฮยองได้ค้นพบพรสวรรค์ในการร้องเพลงของโยซอบเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย ดังนั้นเมื่อเขาแต่งเพลงได้เต็มวรรค โยซอบก็จะกลายเป็นนักร้องจำเป็นเพื่อใช้ในการตรวจสอบคีย์ทุกครั้งไป จากซอยเปลี่ยวที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและวังเวง กลับเริ่มมีสีสันต์เพราะบทเพลงและท่วงทำนองอันไพเราะขึ้นมาในทันทีในสายตาของจุนฮยอง ถึงแม้เนื้อหาของเพลงจะเต็มไปด้วยความน่ากลัวของความเป็นฮัลโลวีน แต่ด้วยเสียงของโยซอบก็ทำให้มันน่าฟังขึ้นมาได้ จุนฮยองพิงหัวเข้ากับกำแพงนั่งฟังเสียงใสอย่างสุขใจพลางมองโยซอบที่โยกตัวไปร้องเพลงไปอยู่ข้าง ๆ
     
     
    “เฮ้อ...เสร็จแล้วล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะเอามันไปปรับแต่งเพิ่มกับดงอุน” บทเพลงจบลงพร้อมภารกิจที่มอบหมายเสร็จสิ้น จุนฮยองคิดว่ามันเป็นผลงานสิ้นโบว์แดงสำหรับเขาเลยทีเดียว
     
     
    “นี่...ไหนพี่บอกว่าจะพาแมวมาให้ผมเล่นไง” เด็กหนุ่มเสียงใสภายใต้เสื้อผ้าที่ยังคงขาดวิ่นถามขึ้นมา
     
     
    “พารัมกับพาดาซนนะ นายชอบเหรอ” จุนฮยองเลิกคิ้วถาม เขาเคยเล่าเรื่องลูกแมวที่เขาเก็บได้จากที่นี่ให้โยซอบฟัง ซึ่งอีกคนดูจะสนใจสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวของเขาเป็นพิเศษ
     
     
    “เอามาเหอะ ไม่ลองไม่รู้” 
     
     
    โยซอบคงคิดว่าความน่ารักของเจ้าเหมียวทั้งสองคงหักลบกับความซุกซนที่เจ้านายของมันเอามาโฆษณาไว้ได้แน่นอน เด็กหนุ่มอยู่ที่นี่มานาน ถ้าจุนฮยองบอกว่าเก็บแมวได้จากที่นี่ แน่นอนว่าเขาต้องเคยเห็น โยซอบไม่มีอะไรให้จดจำมากไปกว่าสภาพรอบข้างอันโสมมนี้ จุนฮยองแทบจะเป็นคนเดียวที่โยซอบพบหลังจากคืนที่น่ากลัวนั้น แววตาเป็นประกายของเด็กหนุ่มสลดวูบลงเมื่อนึกย้อนไปถึงตัวตนของตัวเอง...ยังโยซอบไม่เหมือนยงจุนฮยอง...นั่นสิ่งที่โยซอบไม่ควรลืมห้ามลืม ร่างเล็กมองตอบสายตาของจุนฮยองที่มองมาอย่างเศร้าใจ เป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่มีอีกคนมาคอยอยู่เป็นเพื่อนในซอยเหงานี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อีกไม่นานเมื่อตัวตนของเขาเปิดเผย เขากับยงจุนฮยองก็คงจะไม่ได้เจอกันอีก
     
     
    “พารัม พาดา สายลม ท้องทะเล” ชื่อของเจ้าแมวทั้งสองมีความหมายที่ชวนอบอุ่น คราแรกที่ได้ยินชื่อทั้งสองนี้ โยซอบรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด
     
     
    “ก็บอกแล้วไง นายก็ไปบ้านฉันสิ” จุนฮยองพยายามชวนอีกคนไปเที่ยวที่บ้านเสมอ 
     
     
    ตั้งแต่รู้จักกันมาจุนฮยองไม่เคยเจอโยซอบที่อื่นเลยนอกจากที่ท้ายซอยแห่งนี้ แถมพอเขามาหาโยซอบในช่วงกลางวันเพื่อชวนไปทานข้าวก็ไม่เคยเจอตัวเลยสักครั้ง 
     
     
    “ไม่อ่ะ” อีกคนปฏิเสธออกมาทันที ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่โยซอบตอบแบบนี้จนจุนฮยองต้องถอดใจ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมโยซอบถึงดื้อดึงไม่ยอมไปไหน แต่เขาก็ไม่อยากจะฝืนใจ 
     
     
    “ค่อยไปวันฮัลโลวีนนะ” ร่างเล็กนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนจะผ่อนลมหายใจบอกออกมา จุนฮยองถึงรู้สึกแปลกใจแต่ก็รู้สึกหัวใจพองโตปนไปด้วย นี่แค่โยซอบบอกว่าจะไปที่บ้านก็สามารถทำให้จุนฮยองยิ้มแก้มแทบฉีกได้ขนาดนี้เชียวหรือนี่
     
     
    ฟอด...
     
     
    “เอ๊ะ” โยซอบตาโตอย่างตกตะลึงที่อยู่ ๆ ใบหน้าคมของจุนฮยองโฉบเอาจมูกของเขาเข้ามาหอมแก้มเนียนของโยซอบอย่างรวดเร็ว
     
     
    “โอเคเลย วันฮัลโลวีนนะ” จุนฮยองบอกพร้อมยิ้มกริ่มใส่อีกคน “หอมดีจัง อาบน้ำบ่อย ๆ นะ จะได้หอมอีก” แถมยังเอ่ยคำพูดที่ทำให้หัวใจของโยซอบเต้นแรงขึ้นมาอีกด้วย
     
     
    “บ้าเหรอไง” ร่างเล็กเบือนหน้าหนี เม้มปากเน้น พร้อมยกมือขึ้นมาลูบแก้มข้างที่โดนหอมป้อย ๆ ถึงปากจะเอ่ยออกมาอย่างนั้น แต่หน้าใสกลับแดงก่ำและระบายไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่อาจแอบซ่อนไว้ได้ 


    ทุกค่ำคืนที่จุนฮยองและโยซอบพบกันก็มักจะเต็มไปด้วยเสียงเพลง รอยยิ้ม และความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เสมอ
     
     
     
     
     
     
    
     
     
     
     
     
     
    31 ตุลาคม 2011



     
     
    “ไปกันเถอะ”
     
     
    จุนฮยองผายมือรอฝ่ารับมือน้อย ๆ ของโยซอบที่ยกขึ้นมาวางทาบมือของเขาตามคำสั่งเมื่อวันฮัลโลวีนมาถึง ตอนนี้โยซอบอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำลาย Jack O’lentern เช่นเดียวกันกับจุนฮยอง กางเกงยีนส์ฟอกขาสี่ส่วนที่จุนฮยองเตรียมไว้ให้เข้ากับวัยของเด็กหนุ่มมากทีเดียว โยซอบก้มหน้างุดด้วยความประหม่ามองไปยังรองเท้าผ้าใบสีขาวลายคาดดำที่ได้มาจากจุนฮยองเช่นเดียวกัน
     
     
    จุนฮยองจูงมือร่างเล็กเดินออกมาจากเงามืด ค่อย ๆ ก้าวออกมาสู่ถนนที่เต็มไปด้วยแสงสวยอันเนื่องมาจากการจัดเทศกาลฮัลโลวีน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปตามทางเพื่อไปยังบ้านของจุนฮยอง ร่างโปร่งกระชับมือนุ่มไว้แน่นราวกับสัญญาว่าจะไม่ทิ้งเจ้าของมือไปไหน ทำให้โยซอบค่อย ๆ มีสีหน้าดีขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นแดงซ่านเมื่อใคร ๆ ก็พากันมองพวกเขาเป็นตาเดียวตลอดทาง
     
     
    “ไง พารัม พาดา” ทันทีที่เข้าไปในห้องของจุนฮยอง โยซอบก็ได้พบกับแมวน้อยทั้งสองที่นั่งรอท่าอยู่หน้าประตูเหมือนจะรู้หน้าที่ของตัวเองว่ามีใครบางคนต้องการพบ
     
     
    “อะไรเนี่ย อ้อนเชียว” จุนฮยองกล่าวอย่างหมั่นไส้เมื่อพบว่าทั้งพารัมและพาดาต่างวิ่งวนคลอเคลียไปมากับโยซอบอย่างเรียบร้อย ร่างสูงรู้สึกหมั่นไส้เจ้าแมวขี้ประจบทั้งสองนัก ทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าจุนฮยองพูดโกหกน่ะสิที่ว่าแมวของเขาซุกซนซะเหลือเกิน
     
     
    หนุ่มนักแต่งเพลงมองภาพที่โยซอบเล่นกับแมวอย่างมีความสุข แม้จะอยู่ในเงามืดโยซอบก็ยังน่าหลงไหล นับประสาอะไรกับภายใต้แสงสีแบบนี้ การพบกันของทั้งคู่จมอยู่ในเงาแห่งรัตติกาลเสมอ วันนี้ถือเป็นวันแห่งความทรงจำที่จุนฮยองจะไม่มีทางลืมลงอย่างแน่นอน
     
     
    “ไปเดินเล่นกันมั้ย” เมื่อเห็นว่าโยซอบกับพวกแมวน้อยเข้ากันได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ จุนฮยองก็ชักชวนอีกคนไปเดินเล่นดูบรรยากาศฮัลโลวีนรอบนอกโดยอุ้มแมวน้อยไปคนละตัว ซึ่งโยซอบเลือกที่จะอุ้มพารัมเอาไว้
     
     
    ตามท้องถนนเต็มไปด้วยแสงไฟจากโคมฟักทองที่สลักเป็นรูปหน้าคน ดูแล้วสมกับเป็นวันฮัลโลวีนจริง ๆ เด็กบางคนถึงกับแต่งตัวแฟนซีเดินกันให้อย่างแออัด จุนฮยองพาโยซอบปลีกตัวมานั่งที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ ที่ตอนนี้เงียบเชียบไม่มีใครเลย ที่นี่...จุนฮยองวางแผนจะบอกบางอย่างกับโยซอบ 
     
     
    “อืม...นี่โยซอบ” จุนฮยองที่เดินนำหน้าอยู่หันกลับมาประสานสายตากับโยซอบที่อุ้มพารัมเดินตามมา คนตรงหน้าดูจะง่วนอยู่กับการหยอกล้อกับพารัมอยู่อยากสนุกสนาน
     
     
    “เป็นแฟนกันนะ” จุนฮยองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น แววตาหวานซึ้งที่มอบมาให้ยังโยซอบทำให้เด็กหนุ่มถึงกับอึ้งไป โยซอบทำได้เพียงหลุดปากเรียก “พี่จุนฮยอง” ของเขาออกมาอย่างแผ่วเบา ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกที่จุนฮยองมีต่อเขานั้นคือความรู้สึกแบบไหน มันคือความรู้สึกเดียวกับที่เขามีต่อร่างสูงนั่นเอง แต่ทว่ามันกลับทำให้โยซอบรู้สึกหนักอึ้งในใจมากกว่าความยินดี
     
     
    “พี่ก็รู้ว่าฉันเป็นพวกจรจัด” โยซอบกล่าวเสียงสั่น ร่างเล็กกอดรัดพารัมแน่นขึ้นกว่าเดิมเพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยว
     
     
    “นายก็รู้ว่าฉันไม่สนเรื่องนั้น” จุนฮยองเปลี่ยนท่าทางโดยย้ายพาดามาอุ้มด้วยแขนข้างเดียว แล้วใช้แขนข้างที่เหลือเอื้อมไปดึงโยซอบให้เข้ามาใกล้ ร่างสูงลูบไล้ใบหน้าขาวเนียนแล้วก้มลงจูบโยซอบอย่างทะนุถนอม โดยโยซอบที่ยังคงอึ้งอยู่ได้แต่หลับตารับสัมผัสนั้น
     
     
    “นายคือแรงบรรดาลใจของฉัน” จุนฮยองถอนจูบออกมาเพียงเล็กน้อยเพื่อกะซิบบอก ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนปากชมพูนั่นอย่างอีกครั้งแล้วถอนออกมาอย่างรวดเร็ว 
     
     
    “ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันที่ฉันรู้สึกว่าขาดนายไม่ได้ อยู่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันนะ มาอยู่ด้วยกัน” นี่คือสิ่งที่จุนฮยองอยากบอกกับโยซอบมาตลอด เขามีความสุขทุกครั้งที่โยซอบอยู่ใกล้ หลายครั้งหลายคราที่จุนฮยองอยากจะพาโยซอบออกจากซอยนั่นมาอยู่ด้วยกัน ติดอยู่ที่อีกคนไม่มีท่าทีว่าต้องการออกมาสักนิด ก็เลยทำให้จุนฮยองทำได้แค่ออกไปหาโยซอบที่ซอยนั่น แต่วันนี้โยซอบยอมออกมากับเขา ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จุนฮยองจะสารภาพความในใจ
     
     
    “ไม่ได้…ไม่ได้” โยซอบส่ายหน้าพลางก้าวเท้าถอยหลัง
     
     
    “ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ได้ นายรังเกียจฉันงั้นเหรอ” จุนฮยองก้าวตาม เริ่มสังเกตุเห็นความตระหนกอย่างผิดปกติในดวงตาของร่างเล็ก
     
     
    “ฉัน...ฉันไม่เหมือนกับพี่” นัยตาใสที่เคยยิ้มแย้มเริ่มแดงและรื้นไปด้วยน้ำตา
     
     
    “ฉันไปที่ไหนไม่ได้นอกจากที่ซอยนั่น” 
     
     
    “ไม่ใช่สักหน่อย ตอนนี้นายอยู่กับฉันที่นี่ไง นายจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้นที่นายอยากไป ฉันจะพานายไปเองนะโยซอบ”
     
     
    “ก็เพราะเป็นวันนี้น่ะสิ” โยซอบไม่รู้จะอธิบายให้จุนฮยองเข้าใจได้อย่างไรในเรื่องของสถานภาพของเขา อยากจะบอกทุกอย่างไปให้หมด แต่มันก็เจ็บปวดเกินไปที่จะเอ่ยออกมาด้วยตัวเอง
     
     
    ‘วันนี้เป็นเพียงวันเดียวที่ตัวตนอย่างฉันจะสามารถมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนท่ามกลางผู้คนได้ มันเป็นวันเดียวที่ฉันยอมออกมากับพี่’ 
     
     
    ยิ่งคิดไปก็ยิ่งนำพาให้น้ำตาไหลออกมา หยาดน้ำสีใสที่ยากจะเข้าใจสำหรับจุนฮยองทำให้ร่างสูงรู้สึกหัวตื้อไปหมด เขานึกว่าโยซอบจะรู้สึกเช่นเดียวกับเขาเสียอีก จุนฮยองมองตามโยซอบที่ปล่อยพารัมลงกับพื้นแล้ววิ่งลับไปอย่างทำอะไรไม่ถูก
     
     
    “โยซอบ....นี่นายเป็นอะไร”
     
     
    จุนฮยองยืนแน่นิ่งสับสนอยู่กับตัวเองชั่วครู่ แข้งขาหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างกะทันหันจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความผิดหวัง ทำไมโยซอบถึงใจร้ายไม่ยอมรับรักของเขากันนะ เขาจมอยู่กับความคิดนี้โดยไม่ได้สนใจถึงเสียงขู่ฟ่อของพารัมที่ดังขึ้นเมื่อพบว่ามีกลุ่มคนเดินเข้ามาจากด้านหลัง
     
     
     

     
     
    
     
     
     
     

     
    “ฮือ...พี่จุนฮยอง ฉันขอโทษ” 
     
     
    โยซอบสะอื้นอยู่ตามลำพังในก้นซอยมืดที่เขาเคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับมีใครอีกคนเขามาทำให้เขาไม่รู้สึกเหงา ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวเองดีว่าไม่ควรคิดเกินเลย แต่สุดท้ายโยซอบก็ตกหลุมรักจุนฮยองไปเสียแล้ว
     
     
    “เหมี๊ยว”
     
     
    โยซอบเคยหน้าเปรอะเปื้อนขึ้นมองหาเสียงร้องของแมวอย่างสงสัย และยิ่งประหลาดใจเข้าไปอีกเมื่อพบเจ้าแมวสองพี่น้องที่เดินเข้ามาใกล้
     
     
    “พารัม พาดา ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” โยซอบเอื้อมมือกอบโกยทั้งสองตัวขึ้นมากอดไว้
     
     
    “พวกมันมากับฉัน” เสียงจากเจ้าของแมวดังมาก่อนที่จะเห็นเงาของร่างสูงที่ย่างก้าวเข้ามาหาโยซอบ แต่ด้วยความผิดปกติบางอย่างทำให้โยซอบถึงกับเบิกตากว้าง...ทำไมตอนนี้ยงจุนฮยองกลายเป็นแบบเดียวกับเขา
     
     
    “พี่จุนฮยอง”
     
     
    “ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงไปกับฉันไม่ได้ แต่ตอนนี้ถึงนายจะไม่ไปอยู่กับฉัน ฉันก็จะมาอยู่กับนายนะ...โยซอบ” จุนฮยองกล่าวและยิ้มให้โยซอบอย่างอบอุ่น
     
     
    “ไม่นะ ทำไมเป็นแบบนี้” น้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไหลกลับพรั่งพรูออกมาอีกครั้งด้วยหัวใจที่แทบแตกสลาย เขามองไปยังยงจุนฮยองที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก...นี่เขาควรจะดีใจอย่างนั้นหรือ
     
     
    ไกลออกไป...ร่างเปื้อนเลือดที่ทรุดกองอยู่ด้านหน้าของซอยถูกพบโดยผู้คนที่สัญจรไปมา ที่ปลายเท้าของศพพบรอยเลือดที่ลากมาเป็นทางยาวนักแต่งเพลงหนุ่มถูกกลุ่มเด็กวัยรุ่นขี้ยาที่กำลังขัดสนถึงขีดสุดเข้าจี้ปล้น และผลจากการขัดขืนก็คือโลหะคมกริบที่แทงทะลุเนื้อหนังจนจมมิดด้าม แต่กระนั้นยงจุนฮยองก็ยังพยายามเป็นอย่างมากที่จะพาตัวเองมาที่นี่ สิ่งแรกและสิ่งเดียวที่จุนฮยองนึกถึงในยามที่หัวสมองขาวโพลนเพราะภาวะเสียเลือดก็คือ...โยซอบ เขามาที่นี่เพื่อมาหาคนที่เขารัก ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้อยู่กับโยซอบที่นี่ไปตลอดกาล...
     
     
     

     
     
     
    
     
     
     
     
     


    6 กรกฎาคม 2008
     


     
     
    สายฝนที่โปรยลงมากเป็นสายอย่างไม่ลืมหูลืมตาตกกระทบลงบนพื้นถนนจนกระเซ็นไปทั่ว เสียงน้ำกระเซาะดังกลบทุกสรรพเสียงในค่ำคืนอันมืดมิดที่มองไม่เห็นแม้แต่แสงของดวงจันทร์และดวงดาว แต่ใครจะรู้ว่าในซอยเปลี่ยวที่แทบจะไม่มีใครเดินผ่านในยามนี้กลับยังมีใครคนหนึ่งที่วิ่งวนเปียกโชกเพื่อเสาะหาบางอย่าง
     
     
    “อยู่ไหนนะ” เสียงบ่นพึมพำในลำคอไม่ได้คาดหวังว่าใครจะได้ยินทั้งสิ้น เงาร่างดำที่เดินวนไปมาอย่างมีจุดประสงค์เคลื่อนไหวตะคุ่มไปตามซอกมุมในซอยตันนี้ 
     
     
    ความมืดมิดมีแต่จะเพิ่มความน่ากลัวและวังเวง หากแต่ร่างนั้นยังคงค้นหาและขุดคุ้นเศษกระดาษลังที่ซ้อนทับกันอยู่เป็นชั้น ๆ จนกระจัดกระจาย พลางคอยเงี่ยหูเพื่อรับฟังเสียงที่เจ้าตัวได้ยินในตอนเช้า 
     
     
    “เหมี๊ยว” 
     
     
    ร่างนั้นหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเล็กดังลอดออกมาจากภายใต้ลังกระดาษเบื้องหน้า ก่อนจะรีบรื้อสิ่งที่กีดขวางนั้นออกจนพบสิ่งมีชีวิตขนเปียกลู่เพราะน้ำฝนสองตัวที่นอนขดกันอยู่ด้วยความหนาว 
     
     
    “อยู่นี่เอง” เขายิ้มอย่างดีใจพลางใช้มือประคองอุ้มลูกแมวน้อยทั้งสองตัวขึ้นมากอดไว้ เสียงนี่เองที่เขาได้ยินเมื่อตอนกลางวัน พนันได้เลยว่าต้องมีใครสักคนเพิ่งนำเจ้าพวกนี้มาทิ้งเอาไว้เพราะไม่อยากรับผิดชอบเลี้ยงดู ที่จริงเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรสัก แต่เมื่อกลับไปยังห้องพักแล้วพบว่าคืนนี้ฝนตกหนักราวกับพายุเข้าแบบนี้ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้าของแต่ในเมื่อรู้ดีแบบนี้แล้วเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ความหนาวเหน็บคร่าชีวิตน้อย ๆ ทั้งสองไปได้ลงคอ
     
     
    “หยุดนะ! นายจะทำอะไรน่ะ?”
     
     
    เสียงเล็กอีกเสียงดังก้องออกมาจากอีกทางหนึ่งจนร่างสูงต้องสะดุ้งเกือบปล่อยลูกแมวน้อยที่นอนร้องระงมอยู่ในอ้อมแขน แสงจากฟ้าที่แลบแปลบในชั่ววินาทีเผยให้เห็นสีหน้านิ่วขมวดอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีใครอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย เขาหมุนตัวไปรอบ ๆ เพื่อหาร่องรอยของเจ้าของเสียงแต่ก็ไม่อาจมองเห็นได้
     
     
    “นายจะเอาพาดากับพารัมไปไหน?” เสียงนั้นยังคงถามออกมา เขาแน่ใจทันทีว่าเขาไม่ได้หูฟาด
     
     
    “นี่แมวของนายเหรอ?” ผู้ที่อุ้มลูกแมวอยู่ในมือตะโกนถามไปอย่างล่องลอยเพราะไม่อาจจะจับทิศทางของเสียงนั้นได้ “ฉันจะเอามันไปดูแลน่ะสิ ก็นายเล่นเอามันมาทิ้งนี่ น่าสงสารออกนะ” เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองกำลังทำตัวเป็นขโมยหรือเปล่า แต่ก็นั่นล่ะ เพราะสงสารเจ้าแมวพวกนี้ เขาเลยวิ่งตากฝนออกมาตามหา
     
     
    “นี่ แล้วนายจะมาเอามันกลับไปเหรอ ก็ดีนะ มาเอาไปสิ พวกมันหนาวจะแย่แล้ว”
     
     
    คงไม่ใช่แค่แมวแล้วล่ะที่หนาวสั่น เพราะตอนนี้ร่างสูงเองก็ตัวสั่นเทาไม่แพ้กัน ถ้าใครคนนั้นเป็นเจ้าของเจ้าสองตัวนี่ก็ถือว่าดีที่ยังมีจิตสำนึกกลับมารับกลับไป เขายังคงพยายามชะเง้อหาต้นเสียงนั้นทั้ง ๆ ที่มันมืดซะเหลือเกิน
     
     
    เสียงนั้นไม่ได้ตอบกลับมาอีก ร่างเปียกชุ่มที่ยืนเก้ออยู่ที่ท้ายซอยรู้สึกหนาวจนแทบจะเนื้อตัวแข็งไปหมด อีกทั้งพยายามยังไงก็ไม่สามารถหาที่มาของเสียงนั้นได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจวิ่งกลับไปยังที่พักทั้ง ๆ ที่ยังติดใจในเรื่องนี้
     
     
    “ยงจุนฮยองเอ้ย แกท่าทางจะประสาทกินแล้วล่ะมั้ง พูดอยู่ได้คนเดียว” ร่างโปร่งวิ่งไปพลางตะโกนต่อว่าตัวเอง โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าตนเองอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอดเวลา ใครอีกคนก้าวออกมาจากที่ซ่อนในยามราตรี มองตรงไปยังชายหนุ่มที่เพิ่งวิ่งจากไปพร้อมสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองเป็นคนตั้งชื่อให้ 
     
     
    “ฉันดูแลพวกมันไม่ได้แล้ว ฝากดูแลพวกมันให้ดีนะ ยงจุนฮยอง” เสียงนุ่มเปล่งออกมาอย่างอ่อนโยน เขาหันไปมองฝ่ามือซีดขาวที่โผล่ออกมาให้เห็นจากกองกล่องกระดาษไม่ไกลจากตำเหน่งที่จุนฮยองพบลูกแมวเหล่านั้นนัก 
     
     
    ร่างไร้วิญญาณที่ไม่ไหวติงถูกทับถมด้วยกกล่องเปียก ๆ เจ้าของร่างหมดลมหายใจไปด้วยความหนาวเหน็บ เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงดังขึ้นอีกครั้งลงมาในจุดที่ร่างนั้นนอนอยู่จนเกิดไฟลุกขึ้น แสงสว่างอันไม่ได้ตั้งใจจากเปลวไฟทำให้สามารถมองเห็นร่างเล็กบอบบางเจ้าของเสียงปริศนานั้น หากแต่เค้าร่างนั้นก็ไม่คมชัดจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่มีลมหายใจ เพียงแค่ยงจุนฮยองจะหันกลับมาสักครั้ง เขาก็จะสามารถมองเห็นร่างโปร่งใสของเด็กหนุ่มมอมแมมคนหนึ่งมียืนจ้องมองเขาอยู่เงียบ ๆ ที่ท้ายซอยนั่น
     
     
     
     
     
    
     
    TALK

    ขอบคุณที่แวะมาอ่านจนจบค่ะ .
    ...อย่าลืมสังเกตุไทม์ไลน์ของเรื่องนะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×