ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนแรก
Shadow
ทำนองรักในเงามืด
(ตอนแรก)
(ตอนแรก)
31 ตุลาคม 2011
แสงไฟที่ส่องสว่างตามราวถนนของวันฉลองเทศกาลฮัลโลวีนที่ครึกครื้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกปีของถนนสายนี้ ผู้คนต่างสนุกสนานไปกับขบวนพาเรดที่มีดนตรีประกอบคึกโครม แต่หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่ายังมีซอยมืดข้างตึกแห่งหนึ่งซึ่งถูกเว้นว่างเอาไว้ไม่เป็นที่ปรารถนาที่ใครจะเดินผ่านไปมา หรือแม้จะมีใครคนใดพลัดหลงเข้าไปเดินเฉียด ก็มักจะรีบผละออกมาให้ไกลอย่างเร็วที่สุดทุกราย
“เสียงอะไรนะ”
“น่ากลัวจังเลย”
“ไปจากที่นี่กันเถอะ”
ประโยคเหล่านี้เป็นที่ชินหูสำหรับคนแถวนี้ เสียงเพลงประหลาดที่ดังแว่วออกมาจากความมืด แม้ว่ามันจะฟังดูไพเราะเพียงใด แต่ก็ยังสามารถสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนทั้งหลายได้
“ดงอุน...มาที่นี่ทำไมน่ะ”
“นั่นสิ น่ากลัวจะตาย”
“ไม่หรอก กีกวัง ฮยอนซึง” แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่หวาดกลัวในเสียงเพลงนั้น
“แต่ถ้าพวกนายกลัวก็ไปรอฉันทางโน้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันตามไป”
หนุ่มหน้ามนเจ้าของชื่อดงอุนกล่าวกับเพื่อนที่มาด้วยกันอย่างนั้น เมื่อเห็นทั้งสองคนต่างสะดุ้งเฮือกตกใจเมื่อมีแมวตัวเต็มไวสองตัววิ่งถลาออกมาจากในซอย ทั้ง ๆ ที่ดงอุนเห็นว่าเจ้าแมวก็แค่วิ่งไล่หยอกล้อกันตามประสาเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าความมืดจะสร้างความกลัวให้กับเพื่อนทั้งสองรวมทั้งผู้คนอื่น ๆ ได้มากขนาดนี้
กีกวังและฮยอนซึงพากันเดินออกไปจากตรงนั้นทันที สวนทางกับหนุ่มร่างใหญ่อีกคนที่กำลังตรงรี่เข้าไปหาดงอุนเงียบ ๆ
“ไงดงอุน” ผู้มาใหม่ทักทายดงอุนด้วยความสนิทสนม
“สวัสดีดูจุน” ดงอุนเอ่ยโดยไม่ได้หันมามองหน้าอีกคนด้วยซ้ำ เขาหลับตารับฟังเพลงที่ใคร ๆ ต่างพากันหวาดกลัว
“ฟังกี่ครั้งก็ยังเพราะดีนะว่ามั้ย” ดูจุนกล่าวเมื่อเดินเข้าใกล้พอที่จะได้ยินท่วงทำนองที่ดังแผ่ว ๆ ออกมาจากท้ายซอย
“ใช่” ดงอุนเห็นด้วย
ทั้งคู่ต่างยืนรับฟังทำนองที่ลอยกระทบเข้ามาด้วยสีหน้าที่ชวนให้คิดถึงอดีต เพลง ๆ นี้....เพลงที่พวกเขาร่วมกันแต่งขึ้นกับใครอีกคน
24 กันยายน 2008
“เหมี๊ยว”
“มี๊อ่าวววว”
เสียงร้องอย่างร่าเริงของเจ้าแมวน้อยสองตัวปลิวเข้าหูเจ้าของห้องพักขนาดกลางใจกลางเมืองโซล
“มี๊อ่าวววว”
เสียงร้องทวีขึ้นราวกับว่าจะพยายามปลุกเจ้านายของพวกมันให้ตื่นขึ้นมารับวันใหม่อย่างไงอย่างงั้น แต่เมื่อเจ้านายที่นอนขดอยู่บนเตียงนอนนุ่มยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนตัวไปไหน เจ้าแมวสีเทาสลับขาวที่ดูเหมือนจะเป็นแมวตัวพี่ก็จัดการต้องกระโดดขึ้นไปเหยียบและขย้ำเขี้ยวลงเบา ๆ ที่ปลายนิ้วที่วางแผ่อยู่อย่างสบายตัว พลางหันไปส่งเสียงเรียกเจ้าแมวขนสีน้ำตาลสลับขาวอีกตัวที่ยืนชะเง้อดูเหตุการณ์อยู่ด้านล่างให้กระทำเช่นเดียวกัน
ตุ่บ
อั๊ก!
ความพยายามของเจ้าขนฟูทั้งสองสำเร็จผลทันทีเมื่อเจ้าแมวตัวน้องกระโจนทิ้งน้ำหนักลงกลางหน้าท้องของร่างขี้เซาอย่างเหมาะเจาะจนทำให้ร่างสูงที่กำลังนอนสบายอยู่ต้องสะดุ้งลืมตาโพลง จากที่นอนหลับอย่างสบายอารมณ์กลับต้องลุกขึ้นมานั่งกุมท้องตัวงอ ถ้าจะให้หาว่าลิ้นปี่อยู่ตรงไหน ตอนนี้เขาคงหาได้ไม่ยาก ก็เพราะว่ามันจุกไปถึงตรงนั้นเลยยั้งไงล่ะ แต่ถึงจะจุกจนร้องไม่ออก มือหนาก็ยังไวพอที่จะรวบดึงตัวต้นเหตุของความเจ็บปวดที่กำลังเตรียมตัววิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว
“มานี่เลยเจ้าพารัม” เมื่อคว้าหมับมาได้ก็เรียกชื่อเจ้าแมวอย่างหงุดหงิด
“เหมี๊ยว ๆ” เจ้าแมวน้อยเองก็ตกใจและพยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างตื่นกลัว เสียงครางสำนึกผิดทำให้เจ้าของมือที่ขยุ้มตัวนิ่มเอาไว้เต็มที่ค่อย ๆ คลายออกมืออกเมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอตัวรุนแรงเกินไป พารัมค่อย ๆ หยุดดิ้นแล้วหันไปหาพี่น้องร่วมสายพันธุ์อีกตัวที่ตอนนี้หายวับไปยังกับอากาศ เจ้าเหมียวหันกลับมามองตาเจ้านายที่มองมาอย่างติติง เสียงเหมียว ๆ ยังคงปล่อยออกมาอย่างออดอ้อน
“ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะ” ถึงจะดูน่ารักก็เถอะ แต่อย่างไรเสียเจ้าพารัมก็ยังต้องโดนทำโทษอยู่ดีด้วยการถูกเขย่ากลางอากาศเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ก็เล่นกันซะแสบขนาดนั้น ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เผลอบีบคอตาย
เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระเจ้าแมวขนน้ำตาลก็รีบวิ่งจี๋ไปแอบในซอกตู้ที่มีเจ้าแมวสีเทารออยู่ทันที ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเริ่มแท้ ๆ แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นพารัมที่รับโทษทัณฑ์อยู่ตัวเดียว
“อ่ะ อยู่นั่นเองพาดา” ร่างสูงที่เพิ่งตื่นนอนมองตามพารัมวิ่งไปจนพบแมวสีเทาเพื่อนเกลอที่รีบปรี่เข้าไปคลอเคลียพารัมเป็นการปลอบใจ
“หัดทำตัวน่ารักเหมือนพาดาซะบ้างสิเราน่ะ” ว่าพลางก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วพาร่างสูงโปร่งที่สวมเสื้อกล้ามขาวและกางเกงบ๊อกเซอร์สีฟ้าอ่อนไปยังห้องน้ำ ผ่านชั้นวางหนังสือที่ถูกปรับเป็นกึ่งตู้โชว์ที่มีการตกแต่งไว้ด้วยหนังสือหลากสไตล์ ซึ่งล้วนแล้วแต่บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนา ปรัชญา และสิ่งเหนือธรรมชาติ บางชั้นถูกใช้แทนแท่นวางรางวัลที่ได้จากการแข่งขันแต่งเพลงที่มีตั้งแต่เวทีระดับประถมจนถึงอุดมศึกษา ทุกแท่นรางวัลถูกสลักไว้อย่าปราณีตเหมือนกันที่ชื่อผู้รับว่า...ยงจุนฮยอง
“นี่เพิ่งจะเช้าเองนะเนี่ย...หนอยแหนะ เจ้าพารัม” ร่างสูงบ่นพึมพำเมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาดิจิตอลที่แสดงตัวเลขบอกเวลาเอาไว้ งานของเขาจะเริ่มก็ตอนเย็นโน่น เขาหันขวับไปมองแมวน้อยทั้งสองที่นั่งเลียขนให้กันอยู่และจะจิกสายตาแค่นแค้นเป็นพิเศษก็กับเจ้าขนน้ำตาลพารัมนี่ล่ะที่บังอาจปลุกเขาจนตื่น
เจ้าแมวทั้งสองตัวคงรู้สึกได้ถึงสายตานั้นจึงหยุดงุ่นง่านกับขนเรียบสวยมามองเจ้านายแทน สักพักก็สะบัดตัวเดินนวยนาดออกไปอีกทางอย่างน่าหมั่นไส้
‘มันน่าจับบีบคอซะทั้งสองตัวจริง ๆ’ ยงจุนฮยองคิดในใจอย่างนั้น
จุนฮยองจัดแจงอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นเทอาหารสำเร็จรูปอย่างดีให้กับพาดาและพารัมแมวกำพร้าสองตัวที่เขาเก็บมาเลี้ยงจากในซอยเปลี่ยวด้านหลังโรงเรียนสอนดนตรีที่เขาทำงานอยู่เมื่อสองเดือนก่อน
“ยิ่งโตยิ่งน่ารักนะพวกแกเนี่ย” ที่จริงแล้วเจ้าแมวทั้งสองดูเป็นแมวพันธุ์ดีทีเดียว จุนฮยองนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าคนใจร้ายขนาดไหนที่ทิ้งเจ้าสองตัวนี้เอาไว้ได้ มือหนาเอื้อมไปลูบหัวแมวน้อยทั้งสองที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหารที่พูนอยู่เต็มชามอย่างเอร็ดอร่อย ถึงทั้งสองตัวจะทำตัวป่วนมากแค่ไหนแต่พวกมันก็ทำหน้าที่เป็นเพื่อนในยามเหงาให้กับเขาได้เป็นอย่างดี
ยงจุนฮยองอาศัยอยู่คนเดียวในฐานะหนุ่มโสดสุดฮ็อต นั่นเพราะไม่ใช่ว่าเขาจะหาใครสักคนมายืนตำแหน่งคนรักไม่ได้ หากแต่เจ้าตัวค่อนข้างที่เป็นคนเข้าถึงได้ยากและมีโลกส่วนตัวสูง เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มอินดี้ตัวจริงเลยทีเดียว
ในเมื่อต้องตื่นเช้าอย่างช่วยไม่ได้ จุนฮยองจึงตัดสินใจเดินทางไปแต่งเพลงเล่นฆ่าเวลาที่ที่ทำงานแทน คงเพราะที่พักของเขาอยู่ไม่ไกลนักจากสถาบันสอนดนตรีที่เขาทำงานอยู่ ดังนั้นเพียงไม่กี่นาทีร่างสูงก็ยืนอยู่หน้าตึกขนาดกลางที่ถูกตกแต่งด้วยอิฐสีส้มตั้งแต่พื้นจนถึงระดับเข่า นับตั้งแต่นั้นก็เป็นกำแพงปูนที่ทาสีขาวพื้นเรียบ ประตูกระจกเลื่อนที่เปิดปิดด้วยมือถูกวางอย่างเหมาะเจาะที่กลางอาคาร ทำให้มองเข้าไปเห็นภายในที่บรรดานักเรียนต่างเดินนั่งกันอย่างคึกคัก
สถาบันแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ใหญ่และโอ่อ่าเทียบเท่ากับความสามารถที่มากล้นของจุนฮยอง แต่เพราะเขาเองไม่ใช่คนทะเยอทะยาน ต้องการก็แค่ความสุขเล็ก ๆ จากการแต่งเพลงอย่างอิสระเท่านั้น ทำให้จุนฮยองไม่ยอมเซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงไหนแม้ว่าจะมีติดต่อเข้ามาบ้างก็ตาม เขากลับมาทำงานเป็นเพียงครูสอนแต่งเพลงที่นี่แทน
“อาจารย์ขา มาแล้วเหรอคะ”
ยังไม่ทันที่จุนฮยองจะได้ก้าวเข้าไปในตัวอาคารก็ถูกโฉบรุมล้อมโดยกลุ่มนักเรียนหญิงที่ชื่นชอบอาจารย์คนนี้ราวกับไอดอล เพราะหน้าตาอันหล่อเหลาบวกกับผิวพรรณและทรงผมที่เซ็ตอย่างดูดี ทำให้จุนฮยองมักเป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดานักเรียนเสมอ นอกจากนี้ด้วยความสามารถในการแต่งเพลงที่เปี่ยมล้นทำให้อาจารย์ยงเป็นที่นิยมชมชอบในกลุ่มนักเรียนชายด้วย
ยามเย็นชั้นเรียนของจุนฮยองเริ่มขึ้นและจบลงอย่างสนุกสนานในตอนพลบค่ำเหมือนเช่นทุกวัน อาจเป็นเพราะใจที่รักในการแต่งเพลงเป็นทุนเดิม ทำให้จุนฮยองสามารถสร้างบทเรียนให้นักเรียนรู้สึกหลงใหลในท่วงทำนองที่ตนตกแต่งขึ้นมาได้เป็นอย่างดี ขณะที่นักเรียนคนอื่นต่างทยอยกันกลับ จุนฮยองสังเกตุเห็นเด็กหนุ่มร่างชะลูดและเด็กหนุ่มร่างโตอีกคนยืนดักรอเขาอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“มีอะไรรึเปล่า ดงอุน ดูจุน”
“อาจารย์ฮะ เดือนหน้าทางโรงเรียนพวกผมมีงานฮัลโลวีนด้วยล่ะฮะ ผมว่าจะแต่งเพลงไปโชว์เพื่อน ๆ ที่นั่น อาจารย์ช่วยหน่อยได้มั้ยฮะ”
โรงเรียนที่ดงอุนกล่าวถึงคือโรงเรียนมัธยมที่เด็ก ๆ เรียนอยู่นั่นเอง ที่แห่งนี้เป็นเพียงการสอนที่เป็นโปรแกรมนอกเวลาเรียนเท่านั้น
“จริงสินะ ใกล้วันฮัลโลวีนเต็มทีแล้วนี่” จุนฮยองเอ่ยอย่างนึกสนใจ
“อาจารย์ยงชอบวันฮัลโลวีนเหรอฮะ” นักเรียนร่างหนากล่าวถามเมื่อเห็นว่าอาจารย์ของเขามีอาการสนใจเป็นพิเศษ ด้วยความที่เขามีลำตัวที่สูงใหญ่ทำให้การพูดคุยของดูจุนและดงอุนกับจุนฮยองดูเหมือนการพูดคุยของเพื่อนฝูงมากกว่าการสนทนาระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์
“ใช่สิ...อย่างที่รู้กันนะ ว่าวันฮัลโลวีนเป็นวันที่ผีจะออกมากันใช่มั้ยล่ะ” จุนฮยองตอบดูจุนอย่างตื่นเต้น “มันก็เท่ากับว่าเราก็จะมีโอกาสใช้ชีวิตและเดินร่วมกับพวกวิญญาณต่าง ๆ น่ะรู้รึเปล่าล่ะ” เขาอธิบายออกมาให้นักเรียนร่างสูงเข้าใจ ด้วยความที่เป็นคนชอบในสิ่งลี้ลับ แต่ดูเหมือนเด็กนักเรียนจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าไอ้การเดินข้างกับวิญญาณมันเป็นเรื่องน่าสนใจตรงไหน
“อ่าฮะ...แต่ยังไงก็เถอะ อาจารย์ต้องช่วยผมนะฮะ”
“ได้สิ...งั้นเราก็มาช่วยกันแต่งก็แล้วกัน เอาให้เพื่อนที่โรงเรียนอึ้งกันไปเลยมั้ยล่ะ” จุนฮยองรับปาก
เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มอย่างดีใจก่อนที่จะปลีกตัวออกไป จุนฮยองจึงได้ทีเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน เป้สะพายใบใหญ่อัดแน่นไปด้วยกระดาษสกอร์ถูกยกขึ้นสะพายพาดบ่าแล้วเดินออกจากตึก ร่างสูงหยุดคิดชั่วครู่เมื่อเผลอหนมองไปยังปากซอยมืดที่ติดกับตัวตึก ความเงียบกับความมืดคอยตอกย้ำใจจุนฮยองให้รู้สึกถึงความน่ากลัว ไม่นานนักจุนฮยองก็รู้สึกวูบโหวงที่หน้าท้องขึ้นมาอย่างกระทันหันจนขนลุกขนพองไปหมด นัยตาคมยังคงจดจ้องเข้าไปในความมืดนั้น
“คืนนั้นเราเข้าไปได้ไงเนี่ย” จุนฮยองเคยเข้าไปในซอยนี่ตอนกลางคืนครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาก็สาบานกับตัวเองเอาไว้เลยว่าจะไม่เข้าไปในนั้นอีก
“พาดา...พารัม” เขาพึมพำชื่อของสัตว์เลี้ยงขนฟูของตัวเองขึ้นมา
ที่จุนฮยองต้องเข้าไปในนั้นตอนนั้นก็เพราะได้ยินเสียงร้องของเจ้าเหมียวสองตัวที่นอนขดอยู่ที่บ้านของเขาตอนนี้ เขาส่ายหน้าแล้วเตรียมหันไปอีกทางเพื่อกลับบ้าน
“เหงาจัง”
แต่แล้วกลับต้องชะงักไปเมื่อเสียงบางอย่างดังออกมาจากซอยตันนั้น เสียงร้องเบาหวิวลอยออกมา จุนฮยองพยายามตั้งใจฟังอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาดไปเอง ความหนาวเย็นที่กระแทกเข้ามาพร้อมกลิ่นสาบชวนคลื่นไส้สร้างความปั่นป่วนให้ร่างสูงเป็นอย่างมาก
“เหงาจัง”
เสียงครวญครางที่ฟังดูเศร้าสร้อยดังต่อเนื่องออกมาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกร้องให้จุนฮยองเริ่มก้าวเท้าเข้าสู่ความมืดมิดนั้นอย่างไม่รู้ตัว
กึก
กึก
กึก
มันเงียบเสียจนเสียงเดียวที่ได้ยินก็คือเสียงก้าวเดินของจุนฮยองเอง เขาไม่รู้ว่าใช้เวลานานไปเท่าไหร่แล้วในเส้นทางมืด ๆ นี้ ในใจเอาแต่พร่ำต่อว่าตัวเองที่เดินเข้ามาอย่างไร้เหตุผล สัมผัสเย็นชื้นและกลิ่นฉุนที่รุนแรงขึ้นยิ่งทำให้จุนฮยองแทบไม่อยากเดินต่อไป แต่เขากลับข้ามเท้าของตัวเองไม่ได้ อาจเพราะครั้งแรกที่เข้ามาที่นี่นั้นเป็นคืนฝนตก กลิ่นสาบสางรุนแรงเช่นนี้จึงไม่โชยเข้าจมูกของเขา แน่นอนว่าความรู้สึกที่เข้ามาในคราวนี้มันแตกต่างจากคืนนั้นมาก น่ากลัวและสยองขวัญมากขึ้น เขาได้แต่คิดว่าที่นี่มันเหมือนคนละโลกกับบรรยากาศที่หน้าปากซอย ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเขาต้องย่างกรายเข้ามาในโลกมืดน่ากลัวแบบนี้ด้วย
จริงอยู่ที่จุนฮยองชื่นชอบเรื่องผีสาง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่กลัว ท่ามกลางบรรยากาศวังเวงแบบนี้ เสียงอะไรที่กระทบเข้าหูมาก็รังแต่จะเพิ่มความหวาดระแวงให้กับเจ้าตัว ปากก็พร่ำบอกนักเรียนว่าอยากเจอผี แต่ถ้าในตอนนี้เกิดมีอะไรโผล่พรวดออกมาจริง ๆ ล่ะก็ พนันได้เลยว่ายงจุนฮยองคงต้องหัวใจวายตายแน่ ๆ
หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้นเพราะความรู้สึกสะอิดสะเอียดจนยากจะบรรยายอันมาจากสัมผัสแฉะชื้นที่ปลายเท้าสัมผัสตลอดทางที่เดินเข้ามา ร่างสูงเริ่มรู้สึกหนาวสะท้านแล้วคิดปลอบใจตัวเองซ้ำ ๆ ว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากแต่เงาร่างคล้ายคนที่ตรงท้ายซอยก็เริ่มเด่นชัดขึ้น เงานั้นแทบจะทำให้จุนฮยองอยากจะรีบกลับหลังหันวิ่งออกไปจากที่นี่ซะเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดที่ว่าร่างเงานั้นมันมีเค้าขึ้นเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาปอน ๆ คนนึง
“อ๊ะ! นี่นายน่ะ ทำไมมาอยู่ที่นี่” ความหวาดระแวงเริ่มบรรเทาลงเมื่อจุนฮยองกับใครอีกคนที่นั่งแกว่งมองขาอยู่บนถังขยะขนาดใหญ่ติดกับกำแพงสูงที่กั้นปิดทางไว้
เด็กหนุ่มมองเขม็งมายังจุนฮยองนิ่งอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรนัก “นายมาที่นี่ทำไม” คำถามห้วนที่ฟังดูเหมือนจะเป็นคำถามแบบเดียวกับที่จุนฮยองเพิ่งถามออกไปหลุดออกมาจากปากบาง ร่างสูงได้ยินก็ยิ่งแปลกใจเพิ่มเข้าไปอีก จุนฮยองไม่อยากจะคิดมากไปเองว่าน้ำเสียงแบบนี้เขาเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง
“มาทำไม ที่นี่ไม่มีอะไรที่นายต้องการหรอกนะ” น้ำเสียงเฉียบแข็งแต่ทว่าใสไพเราะฟังดูมีวี่แววของการระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างดี
ถูกต้องตามที่เด็กหนุ่มกล่าว ที่นี่เวลานี้ไม่ได้มีอะไรที่จุนฮยองควรต้องเข้ามาดูแล และกับเด็กหนุ่มตรงหน้าก็เช่นกัน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ในตอนมืดค่ำขนาดนี้
“ฉันก็อยู่ที่นี่ประจำอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ทั้ง ๆ ที่จุนฮยองยังไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรด้วยซ้ำ นัยน์ตาใสหรี่มองจุนฮยองอย่างพิจารณา “นายน่ะ...ใช่...” เสียงใสเอ่ยต่อเหมือนจะถามบางอย่างแต่แล้วก็ชะงักไว้แล้วตัดบทด้วยการพูดต่อว่า “ช่างเหอะ” จนจุนฮยองอดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้
“ไม่กลัวเหรอ” ถ้าจะบอกว่าอยู่ที่นี่ประจำ ก็คงต้องถามไปสักหน่อยว่าอยู่กับบรรยากาศแบบนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสำหรับจุนฮยองแล้วเขารู้สึกว่ากว่าเขาจะเดินเข้ามาถึงที่นี่ก็รู้สึกกลัวจนแทบจะบ้า
“ไม่…ก็แค่...เหงา” เด็กหนุ่มตอบกลับเสียงห้วนแต่ก็แฝงความเศร้า จุนฮยองเข้าใจในทันทีว่านี่เองคือเสียงครวญที่เขาได้ยินที่ปากซอยจนต้องเดินเข้ามาในนี้
จุนฮยองเพิ่งสังเกตว่าเด็กคนนี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ในหน้าเปื้อนคราบสกปรกจากอะไรสักอย่างเป็นปื้นสีน้ำตาล เส้นผมพันกันยุ่งเหยิง มองถัดไปมีกองกระดาษลังที่ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ มีช่องพอให้สอดตัวเข้าไปได้ ภายในช่องนั้นถูกสุมไปด้วยเศษผ้าขี้ริ้วเป็นกอง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเป็นเด็กจรจัดที่มาจับจองใช้ที่นี่แทนบ้านสำหรับซุกหัวนอน มิน่าเล่าถึงบอกว่าไม่กลัวและอยู่ที่นี่ประจำ
ยิ่งพินิจมากเรื่อย ๆ กลิ่นความจริงก็ยิ่งรุนแรง กลิ่นสาบของคนที่ไม่ได้อาบน้ำกระจายมาจากเด็กหนุ่มข้างหน้าที่กระโดดลงมาจากถังขยะแล้วเดินเข้ามาใกล้ แม้จุนฮยองจะรู้สึกอยากอ้วกเพราะกลิ่นนั้นแต่เขากลับยืนแข็งทื่อมองภาพที่เด็กหนุ่มสกปรกเดินเข้ามาใกล้
“มะ...ไม่กลัวเลยเหรอ ผีเผอไรงี้” ร่างสูงถามเสียงสั่นพร้อมเบือนหน้าหนีกลิ่นเหม็นรุนแรงจากเรื่อนผมของเด็กหนุ่มจรจัดที่เข้ามาสำรวจตัวเองราวกับสุนัขที่หวงพื้นที่
“เคยกลัว แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างผ่อนคลายขึ้น คงเพราะการพูดคุยกันทำให้เขาเริ่มไว้เนื้อเชื่อใจจุนฮยองขึ้นมาบ้าง
“ทำไม” จุนฮยองถามกลับอย่างสงสัยในคำพูดที่ได้ยิน
“ก็...เห็นบ่อย” เด็กหนุ่มยักไหล่ตอบอย่างอวดดี ก่อนจะตรงเข้าไปนั่งรื้อกองผ้าขี้ริ้วมาจัดเป็นหมอน ซึ่งจุนฮยองที่มองตามอยู่เดาว่าอีกคนคงเตรียมตัวนอนแล้ว แค่มองไปก็รู้สึกหนาวแทน ไม่รู้ว่ากล่องกระดาษกับเศษผ้าแค่นั้นจะทำให้เด็กคนนี้ผ่านคืนนี้ไปได้ยังไง
“เป็นพวกมีสัมผัสเหรอ มิน่าล่ะ ดูน่ากลัวแปลก ๆ” แต่เมื่อพูดคุยมาแตะเรื่องลึกลับและผีสาง ทำให้ร่างสูงเริ่มสนอกสนใจคนตรงหน้ามากขึ้น เขาก้มตัวลงถามเด็กหนุ่มโดยลืมที่จะรังเกียจในเรื่องกลิ่นเสียสนิท จนอีกคนต้องหันมามองร่างสูงอย่างแปลกใจ
“ใช่แล้ว พอจะเล่าเรื่องราวผี ๆ ให้ฟังได้หรือเปล่า พี่จะได้เอาไปแต่งเพลง” จุนฮยองเริ่มมีความคิดบรรเจิดในการแต่งเพลงฮัลโลวีนที่รับปากกับดงอุนไว้ แล้วอยู่ ๆ เขาก็ตีสนิทกับเด็กจรจัดเสียอย่างนั้น
“พี่?” คนที่กำลังจะล้มตัวลงนอนยังคงงงและแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของจุนฮยอง พอพูดเรื่องผีปุ๊บ ก็มานับญาติกันเลยทีเดียว
“ใช่ ฉัน...พี่จุนฮยอง เธอล่ะ” จุนฮยองไม่ปล่อยในอีกคนต้องสงสัยนาน เขารีบแนะนำตัวเองแล้วถามไถ่ตัวตนของเด็กหนุ่มเนื้อตัวปอน
“โยซอบ” เด็กจรจัดตอบกลับ ถึงแม้จะเป็นการตอบที่ออกจะไม่เต็มใจนัก แต่การพูดคุยของทั้งคู่ก็ดูจะเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักแต่งเพลงไฟแรงกับเด็กหนุ่มสกปรกในซอยมืด
TALK
มันเป็นฟิคฯ ที่ re-up
มีทั้งหมด 2 ตอนถ้วน เผื่อคนที่ไม่เคยอ่านค่ะ
TALK
มันเป็นฟิคฯ ที่ re-up
มีทั้งหมด 2 ตอนถ้วน เผื่อคนที่ไม่เคยอ่านค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น