ความหมายของ V - ความหมายของ V นิยาย ความหมายของ V : Dek-D.com - Writer

    ความหมายของ V

    คุณเคยเห็นการชู้นิ้ว 2 นิ้วเป็นรูปตัวV = Victory or Vengeance ซึ่งแปลว่าชัยชนะ แต่เราจะมารู้ลึกกว่านั้นค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,941

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    1.94K

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 มี.ค. 49 / 17:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เราคงจำภาพการชูนิ้วชี้และนิ้วกลางเป็นรูปตัว "วี" กันได้นะครับ (ขอไม่เอ่ยว่าเป็นใคร) ซึ่งในภาษาอังกฤษเขาเรียกกันว่า Victory หรือ "ชัยชนะ" นั่นเอง ซึ่งการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งยกนิ้วเป็นตัววีย่อมบ่งบอกถึงความมั่นใจในชัยชนะ หรือได้รับชัยชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชัยชนะในที่นี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ชัยชนะเพื่อส่วนรวมหรือชัยชนะเพื่อตนเอง



      การชูนิ้ว 2 นิ้วเป็น "สัญลักษณ์" ที่ถูกนำมาใช้อยู่บ่อยๆ โดยนำเสนอความหมายประมาณว่า "ข้าชนะแล้ว" หรือ "สู้ตาย" (สู้จนตัวตาย) ซึ่งส่วนมากสัญลักษณ์ดังกล่าวถูกนำมาใช้โดยคนทั่วไปเช่นกัน อาทิ การโพสต์ท่าถ่ายรูปที่ไร้ความหมาย

      แต่ในกรณีที่อดีตผู้นำประเทศนำมาใช้ แปลว่ามั่นใจมาก ว่าตนเองจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งปัญหาคือการนำสัญลักษณ์มาใช้อย่างพร่ำเพรื่อย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และเป็นการ "เย้ยหยัน" แสดงออกถึงความมั่นใจว่า "ชนะแน่นอน ชนะแล้ว"

      ความจริงนั้นสัญลักษณ์ตัววีถูกนำมาใช้หลายชั่วอายุคน โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นายกรัฐมนตรีชาวอังกฤษนามวินสตัน เชอร์ชิลล์ ได้ชูนิ้วเป็นประจำ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวโลกจดจำและนำมาใช้เรื่อยมา

      ทั้งนี้ ความหมายอีกอย่างหนึ่งของ Victory คือ "สันติภาพ" (Peace) ที่เหล่าพันธมิตรนำมาใช้เมื่อหยุดความอหังการของผู้นำเผด็จการชาวนาซีนาม อดอฟ ฮิตเลอร์ ได้สำเร็จในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

      แต่ในเวลานี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยคือ ใครๆ ก็นำตัววีมาใช้อาทิ อดีตผู้นำรัฐบาล จนทำให้งงกันแล้วว่า ตกลงเป็นฝ่ายพันธมิตรหรือเผด็จการกันแน่

      อย่างไรก็ตาม ทุกชัยชนะย่อมอยู่เคียงข้าง "การสูญเสีย" ซึ่งการสูญเสียบางคราวหรือบ่อยครั้งมักจะทำให้เกิด "การล้างแค้น" (Vengeance) การพยาบาท (Hatred) เป็นวงจรอุบาทว์ที่อยู่ระหว่าง Victory และ Vengeance ซึ่งเมื่อทั้ง 2 สิ่งอยู่ด้วยกันสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือ "การปะทะ" (Versus) ระหว่างผู้ที่ได้รับชัยชนะและผู้พ่ายแพ้

      ในเวลานี้ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องชนะด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่จะชนะรูปแบบไหนเป็นคำถามที่ทุกคนล้วนต้องการหาคำตอบ

      ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดถ้าชนะแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร จะดีหรือเลวคงถึงเวลาแล้วละครับที่พวกเราต้องถามตนเอง

      แต่ที่สำคัญ Victory ที่ได้กล่าวมาต้องเป็นชัยชนะของประชาชน ของส่วนรวม ไม่ใช่ชัยชนะเพื่อสนองตัณหาและอีโก้ของใครคนใดคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าชัยชนะอาจจะอยู่บนหลักกฎหมาย แต่ใช่ว่าจะเป็นชัยชนะที่สามารถตอบคำถามในด้านอารมณ์ จิตใจ จริยธรรม และจรรยาบรรณ ไปได้เสียหมด

      ความรู้สึกและกฎเกณฑ์บางคราวเป็นสิ่งที่ลงตัวกันไม่ค่อยได้ สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไว้คือ การชนะทุกคราวใช่ว่าจะเป็นผลดีไปเสียหมด เพราะย่อมทำให้เกิดความแค้น

      อาทิ ในอดีตเคยชนะและมั่นใจว่าจะชนะอีก ก็เลยไปขัดผลประโยชน์ของเขา อยู่เฉยๆ เขาคงไม่มาโกรธเคียดแค้นหรอก

      สังคมไทยทุกคนก็มีแต่สหายญาติมิตรก็จริง แต่เรื่องของ "ผลประโยชน์" เป็นสิ่งที่ไม่เข้าใครออกใคร ดังนั้น คนเราเคยชนะมาก่อนก็ย่อมมีคนหมั่นไส้เยอะ

      คนเราถ้าชนะแบบโกงๆ ก็ทำให้คนบริสุทธิ์เขาเกลียดชัง ส่วนคนเราชนะแบบไม่รู้จักพอก็ย่อมเกิดการล้างแค้นพยาบาทแบบไม่รู้จักพอเหมือนกัน ดังนั้น ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนยงหรอกครับ มีขึ้นก็ต้องมีลงเป็นสัจธรรมของชีวิต

      แต่บางทีการฝืนชะตาลิขิตมากจนเกินไปก็ทำให้ชีวิตวอดวายได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าคนเราสามารถยืดชะตากรรมได้ แต่ก็เอาชนะมันไม่ได้หรอก

      ทั้งนี้การชนะหลายครั้งใช่ว่าจะเป็นการชนะครั้งต่อไป คนเราเมื่อถึงจุดสูงสุดก็ควรจะล้มกันเสียบ้าง เราล้มตัวเองดีกว่าให้คนอื่นเขามาล้มเรา บางทีเห็นเล่นละครก็เก่ง แล้วทำไมเล่นแกล้งล้มเองไม่เป็นเสียละ การเมืองมันก็อย่างนี้ละครับ มีทั้งขึ้นมีทั้งลงล้มแล้วค่อยลุกขึ้นมาใหม่ แต่ขอให้ล้มอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และอย่าง "ชาญฉลาด" ยังดีกว่าให้คนอื่นเขาเคียดแค้นรังเกียจมากกว่านี้นะครับ

      แน่นอนว่า Victory ย่อมนำมาสู่ "อำนาจ" (Power) แต่บางทีอำนาจมากจนเกินไปก็กัดกินตนเองดั่งที่เขาพูดว่า Absolute Power Corrupt Absolutely ไงละครับ ไหนบอกว่าในอดีตเน้นการกระจายอำนาจ แต่ในที่สุดก็กระจุกที่ตนเอง

      อำนาจที่ถูกต้อง ต้องเป็นอำนาจแห่งความชอบธรรม เป็นอำนาจประชาธิปไตย ไม่ซิครับ มันคืออำนาจความรู้สึกของส่วนรวมที่ไม่สามารถบันทึกเป็นกฎหมาย หรือลายลักษณ์อักษรได้

      คนเราถ้ามีความเฉลียวและฉลาดเขาไม่อยากชนะเสมอไปหรอก แกล้งล้มไปซะบ้าง ให้คนอื่นเขาชนะเสียบ้างถึงจะอยู่รอด

      ดังนั้น Victory ที่แท้จริงคือ "สปิริต" ที่ผู้นำต้องอุทิศตนและเสียสละเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ดึงดันอยากจะชนะเพียงอย่างเดียว ถ้าจะให้สรุปก็สามารถพูดได้ว่า คนเราถ้าไม่เรียนรู้ที่จะรู้จักตนเอง ไม่ประมาณตนเอง ไม่หยุดอีโก้และตัณหา พอถึงเวลาคนอื่นเขามาล้างแค้นอย่างจริงจังแล้วจะเสียใจภายหลัง

      ถึงเวลาแล้วครับ พอเถอะครับ เพราะ Victory มันไม่ใช่ความภาคภูมิใจของตนเองเพียงอย่างเดียวหรอก แต่มันคือชัยชนะที่มีเกียรติเมื่อเราเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวมและเพื่อสันติสุขของบ้านเมืองเสียมากกว่านะครับ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×