ตอนที่ 12 : บทที่ ๑๒ : จวบจนทิวาเรืองงาม
บทที่ ๑๒ จวบจนทิวาเรืองงาม
ชายหนุ่มร่างสูงทิ้งตัวลงพิงยังกำแพงด้านหลัง เขาทอดสายตาเหม่อมองไปยังผืนฟ้าสีทอง ที่ ณ ตอนนี้ฝูงวิหคกำลังโบยบินกลับรัง คุณภัทรยกมือหนาของตนขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดอยู่เต็มหน้า นายทหารหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างพะอืดพะอม เป็นเวลากว่าสามสัปดาห์แล้ว ที่เขาจากกองพันและคนที่หัวหินเพื่อที่จะเข้าร่วมการฝึกสวนสนาม และเป็นเวลากว่าสี่สัปดาห์ที่เขาพยายามจะเลิกสุรา
เพราะปีนี้เป็นปีที่สองที่มีการจัดพิธีสวนสนามขึ้น ย่อมต้องมีการเตรียมพร้อมให้ดีกว่าปีแรก การฝึกของแต่ละกองพันจึงหนักขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งการฝึกสามัญและการฝึกสวนสนามกลางแดด คุณภัทรต้องพยายามอย่างหนักที่จะปิดบังอาการมือสั่นและซักซ้อมไปด้วย ทั้งที่ร่างกายและจิตใจของนายทหารหนุ่มไม่สู้ดีนัก แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเขาเป็นคนเลือกเอง ทั้งการมาเป็นทหาร การดื่มสุรา และการรักท่านชายมิ่งขวัญ
“น้ำเสียหน่อยไหมพี่” นายทหารรุ่นน้องยื่นกระติกที่เต็มไปด้วยน้ำเปล่ามา
ยังเบื้องหน้าคุณภัทร ร้อยตรีดนตร์มองซ้ายขวา ด้วยความระแวงว่าจะมีใครมาเห็นเข้า
“ขอบใจว่ะ” คุณภัทรรับแล้วดื่มทันที เนื่องจากเมื่อครู่เขาอาเจียนจนแสบคอ นอกจากท่านชายมิ่งและมนัสแล้ว ก็มีดนตร์ที่รู้ว่าเขามีอาการติดสุรา ขนาด
ดั่งเพลิงและจรัญยังไม่รู้ถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ โดยนายทหารรุ่นน้องอาสารับช่วงต่อดูแลเขาจากท่านชายมิ่ง บุคคลที่ดนตร์ยังเข้าใจว่าเป็นเด็กชาวบ้านนามม่านหมอก
“กิน ถอน กิน ถอน ก็เป็นเสียแบบนี้ อีกกี่วันถึงจะเลิกได้เล่า ผมเห็นนะ” ดนตร์ทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา และพูดขึ้นอย่างเอือมระอา คุณภัทรยอมรับว่าเขาเลิกมันไม่ได้ทันที หลายครั้งที่เขาเองจำต้องแอบดื่มมัน เป็นถึงทหารกล้าแต่เพราะการมีจิตใจอันอ่อนโยนนั่นจึงทำให้คุณภัทรไม่เคยเป็นทหารที่สมบูรณ์แบบได้เลย
“วันนี้มีข่าวดีไหม” คุณภัทรหันไปหานายทหารรุ่นน้อง เอ่ยปากถามคำถามที่เขาถามดนตร์เป็นประจำ ข่าวดี ที่เขาว่าคือการติดต่อมาจากท่านชายมิ่ง
ตั้งแต่ลากันที่หัวหิน คุณภัทรและท่านชายก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ครั้นจะโทรศัพท์ไปก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยนัก หนทางเดียวที่จะติดต่อกันคงไม่พ้นการเขียนจดหมาย คุณภัทรไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ เพราะเขาเขียนจดหมายไปถึงสองฉบับแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววจดหมายตอบกลับที่ส่งกลับมาจากอีกฝ่าย รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่หวังมันเหมือนกับหวังอะไรลม ๆ แล้ง ๆ บางทีท่านชายอาจอยากห่างกันจริง ๆ ก็เป็นได้ ไม่ก็คงอยากดัดหลังเขา ในเมื่อตอนที่ท่านชายเสด็จไปประทับที่อังกฤษ มีจดหมายมากมายหลายฉบับส่งมาถึงเขา แต่เขาไม่เคยเปิดอ่านและตอบกลับเลย ได้แต่เก็บเอาไว้ในกล่องเหล็กข้างหัวเตียงเพราะความขลาดเขลา
“ยังไม่มีเลยว่ะพี่ ผมมีแต่จดหมายจากตันหยง” ดนตร์หลุบตาต่ำมองพื้นดินทันที เมื่อเห็นดังนั้นคุณภัทรจึงยกมือขึ้นตบบ่ารุ่นน้องเบา ๆ
“ไม่เป็นไร ไปกินข้าวกันเถอะ ไม่รู้เย็นนี้ที่โรงครัวมีอะไรกิน” คุณภัทรเอ่ยปากเพื่อให้ดนตร์ไม่รู้สึกแย่ไปด้วย แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อได้กลิ่นเปลือกไม้กลิ่นเฉพาะของอันฬาคนหนึ่งลอยเข้ามาใกล้
“กระจอกฉิบหาย ป่านนี้แล้วยังเลิกไม่ได้อีกหรือ เห็นทีกูคงชนะมึงแน่” มนัสกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน
“ผมว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาต่อล้อต่อเถียงกันนะพี่” ดนตร์ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาทั้งสามคนเอ่ย สีหน้าของดนตร์ดูระอาไม่น้อย แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจให้ชิน เพราะมนัสคงจะตามรังควานคุณภัทรจนกว่าจะมีการประกาศนายทหารผู้นำขบวน
“แหม่ กูแค่ทักทายไปงั้นล่ะไอ้ภัทร” มนัสยิ้มจนเห็นฟันขาวตัดกับสีผิวเข้ม แล้วชี้นิ้วโป้งไปทางเบื้องหลัง “คู่ปรับของจริงมึงมารอพบที่ศาลาทิศใต้ว่ะ”
“ใครหรือพี่” ดนตร์หันมาถามเขาด้วยความใคร่รู้ คู่ปรับของคุณภัทรหากไม่ใช่มนัสแล้วจะเป็นใครได้อีก
“คุณชายหมอวัชระ” คุณภัทรตอบรุ่นน้อง สายตาของเขาจับจ้องไปยังอันฬาในชุดสูทสุภาพที่ยืนอยู่ลิบ ๆ เขามั่นใจว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นคู่หมั้นและศัตรูทางด้านความรักของเขาคงไม่มาปรากฏตัวที่นี่
ดนตร์อ้าปากค้างนิด ๆ ร้อยโทหนุ่มหันมองคุณภัทรและคุณชายหมอสลับ
กันไปมาด้วยความมึนงง ขณะที่มนัสกลับยิ้มอย่างสนอกสนใจ คุณภัทรก็ไม่ได้ใส่ใจท่าทีของดนตร์และมนัส เขาเดินปรี่ไปยังศาลาทิศใต้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นาน เขาก็เดินมายืนด้านหลังของคุณชายหมอที่ยืนมองสนามฝึกซ้อมอยู่เงียบ ๆ
“สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณภัทร” คุณชายหมอกล่าวโดยที่ไม่ได้หันมามองเขาด้วยซ้ำ เสียงที่เรียบนิ่งและท่าทางของอันฬากลิ่นสมุนไพรคนนี้ ทำให้คุณภัทรคาดเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“สายัณห์สวัสดิ์ครับ คุณชายหมอ” คุณภัทรตอบกลับ ในขณะเดียวกัน คุณชายหมอก็หันมาเผชิญหน้ากับเขาพอดิบพอดี
“ได้คุยกันเสียทีนะครับ ผมมาที่นี่เรื่องท่านชาย” คุณชายหมอกล่าว เขาสบตากับคุณภัทรผ่านเลนส์แว่นตา สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ
“ครับ” คุณภัทรพยักหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อ เขาเองก็มีเรื่องคาใจที่จะเอ่ยถามคุณชายหมอเช่นเดียวกัน แต่เพราะไม่มีเวลาและโอกาส ทำให้เขาและคุณชายหมอไม่ได้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาสักที ตั้งแต่คราวคุณภัทรและ
ท่านชายมิ่งผูกชะตากัน
“ผมคิดว่าคุณภัทรเองก็พอจะทราบข่าวมาบ้าง ว่าต้นปีหน้าจะมีการจัดงานมงคลของผมและท่านชาย ตามที่ผู้ใหญ่ได้หารือและตกลงกัน”
“…”
“ผมมาเพื่อถามถึงความสัมพันธ์ของคุณภัทรและท่านชาย” แม้น้ำเสียงผู้พูดจะฟังดูเรียบเฉย แต่ประโยคดังกล่าวสำหรับคุณภัทรมันช่างแหลมคม ราวกับมีดกรีดกลางใจชายหนุ่ม
“ความสัมพันธ์อย่างไหนหรือครับ” คุณภัทรแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกร้อนรน
“อย่างที่เกิดขึ้นที่หัวหินล่ะมังครับ” คุณชายหมอตอกกลับ คำตอบของเขาทำเอาคุณภัทรถึงกับผงะเล็กน้อย ฝ่ายนายทหารหนุ่มเริ่มแสดงสีหน้าวิตกกังวล เขาไม่แน่ใจว่าคุณชายหมอทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร
“คุณชายหมอทราบได้อย่างไรครับ” เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก จากนั้นจึงไต่ถามอย่างใจเย็น
“ไม่มีเรื่องไหน ที่ท่านชายไม่ทรงเล่าให้ผมฟังหรอกนะครับ ผมทราบดีในทุก ๆ เรื่อง” คุณชายหมอตอบ
“เช่นนั้นแล้ว คุณชายก็ทราบแล้วซีครับ ว่าผมและมิ่งนั้นรักกัน...” คุณภัทรเลิกคิ้ว เขาไม่อยากจะเชื่อว่าท่านชายเล่าเรื่องทุกอย่างให้กับคู่หมั้นฟัง
“ครับ แต่ผมคิดว่าผมให้เวลาคุณภัทรมามากพอแล้วน่ะซีครับ”
“…”
คำตอบของคุณชายหมอทำเอาคุณภัทรยืนแข็งทื่อ ไม่ใช่ว่าคนตัวสูงจะไม่เข้าใจสิ่งที่คุณชายหมอจะสื่อ แต่เพียงเขานั้นไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน แม้ว่านายแพทย์หนุ่มตรงหน้าจะคาดเดาใจยากไปเสียหน่อย แต่คุณภัทรก็มั่นใจว่าคุณชายหมอวัชระนั้น ไม่ได้มีความรู้สึกให้กับท่านชายมิ่งขวัญในเชิงชู้สาว กลับกันประโยคเมื่อครู่ มันเหมือนกับพี่ชายที่ห่วงน้องเสียมากกว่า
“เวลากำลังหมดลงเรื่อย ๆ หากเวลานั้นมาถึงแล้วคุณภัทรทำไม่ได้ ผมเองคงต้องยอมรับชะตากรรมเช่นกัน” คุณชายหมอกล่าวต่อ
คำพูดของคุณชายหมอทำให้คุณภัทรเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ แม้ว่าคุณชายหมอจะไม่ได้รักท่านชายมิ่ง แต่หากถึงคราวต้องแต่งงานและอยู่เคียงคู่กัน คุณชายหมอก็ดูไม่ได้นึกรังเกียจหรืออยากปฏิเสธแต่อย่างใด นายแพทย์หนุ่มคงเฝ้ามองเขาและท่านชายมาพักหนึ่งแล้วและคงมาเตือนเขาเป็นครั้งสุดท้าย หากคุณภัทรไม่พยายามเพื่อท่านชายมากกว่านี้ คุณชายหมอคงจะยอมรับในสิ่งที่ผู้ใหญ่กำหนดเอาไว้ให้
จะออกหัวก้อยตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภัทรแล้ว
“ใช่ครับ หากแต่ขอเวลาให้ผมอีกหน่อยไม่ได้หรือ” คุณภัทรวิงวอน ใช่ว่าเขาละเลยเรื่องดังกล่าว เขาเองก็พยายามอย่างหนักอยู่เหมือนกัน
“ผมไม่ได้มาเพื่อขอเวลา แต่ผมมาเพื่อขอความมั่นใจ” คุณชายหมอเตือนสติ
“ผมรักมิ่งขวัญและผมจะพิสูจน์ให้คุณชายได้รู้ ผมจะไม่มีวันยอมเสีย
มิ่งขวัญไป” นายทหารหนุ่มกล่าวเต็มเสียง แม้ว่าสิ่งที่เขาแบกไว้บนบ่านั้นจะหนักหนาสาหัส แต่เขาก็โล่งใจที่ในวันนี้เขาได้พูดความรู้สึกของตน ให้กับคุณชายวัชระฟัง
“พิสูจน์ที่ว่านั้นหมายถึงการเดินสวนสนามในเดือนธันวาคมงั้นหรือ” อีกฝ่ายถามกลับ พลางมองไปยังพลทหารที่พากันแบกหามอุปกรณ์สวนสนามอยู่อีกฝั่งของกองพัน
“ครับ หลังจากพิธีสวนสนาม ผมจะได้รับการเลื่อนยศและคงมีหน้าไปคุยกับผู้ใหญ่ ขอโทษนะครับคุณชาย” นายทหารหนุ่มกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“หากคุณภัทรให้คำมั่นเช่นนั้น ผมก็จะคอยดู” คุณชายหมอยิ้มบาง จากนั้นจึงหยิบอะไรสักอย่างที่อยู่ด้านในเสื้อนอกออกมา เขายื่นซองจดหมายสีขาวหมดจดให้กับคุณภัทร “นี่ครับ จดหมายจากท่านชาย”
“จากมิ่งงั้นหรือครับ” คุณภัทรรับซองจดหมายซองดังกล่าวมาไว้ในมือ เขาสบตากับนายแพทย์หนุ่มแล้วพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“จดหมายฉบับนี้ส่งมาหาผมที่โรงพยาบาล ท่านชายขอร้องให้ผมนำมาให้ถึงมือคุณภัทร การกระทำของท่านชายช่างชัดเจนเหลือเกินว่าจะเลือกใคร” คุณชายหมอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ขอบพระคุณครับ” คุณภัทรพนมมือไหว้ขอบคุณคุณชายผู้อาวุโสกว่า ชายหนุ่มแอบคิดไม่ได้ว่าหากเขาเป็นคนที่ถูกคู่หมั้นขอร้องให้ส่งจดหมายให้กับคนรักก็คงรู้สึกหน้าชาไปเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รักกันก็ตามที
“เช่นนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” คุณชายหมอเอ่ยปากขอตัว ทั้งสองก้มหัวให้กันเล็ก ๆ ก่อนที่นายแพทย์หนุ่มจะขับรถยนต์ออกจากกองพันไปไกลสุดสายตา
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว คุณภัทรจึงเดินตรงไปยังสวนพฤกษาที่เปิดไฟสว่างไสว มีแสงไฟพอที่จะอ่านอะไรได้แล้วจึงฉีกซองจดหมายออก เขาไล่สายตาอ่านมันอย่างเงียบ ๆ และก็ต้องอมยิ้มทันทีเมื่อเห็นว่าต้นจดหมายนั้น มีคำว่า พี่ภัทรของมิ่ง อยู่
ถึง พี่ภัทรของมิ่ง
สวัสดีครับ มิ่งคิดพินิจอยู่นานสองนานว่าจะติดต่อพี่ภัทรอย่างไรดี ครั้นจะใช้โทรศัพท์ คนที่กองพันคงจะแปลกใจ ว่าเหตุใดเด็กชาวบ้านอย่างม่านหมอกนั้น จึงมีธุระปะปังมากมายนัก ท้ายแล้วจึงคิดว่าเขียนจดหมายตอบกลับมาจึงจะดีเสียกว่า
มิ่งสบายดี ตันหยงและเจ้าแสนทำให้มิ่งคลายเหงาได้บ้าง หลังจากที่พี่ภัทรกลับพระนครไป มิ่งยอมรับว่าไม่มีวันใดเลยที่มิ่งไม่มองไปยังบ้านหลังที่พี่ภัทรและคุณดนตร์ใช้พักพิงเมื่อคราวอยู่ที่นี่ มันดูเงียบเหงาราวกับรอวันให้พี่ภัทรกลับมาอยู่ เจ้าพวกม้าที่กองพันหัวหินเช่นเดียวกัน อ่านมาถึงตรงนี้พี่ภัทรคงสงสัยล่ะสิ ว่ามิ่งจะเขียนบอกว่าคิดถึงไหม อยากบอกให้รู้ไว้ว่ามิ่งนั้นคิดถึงพี่ภัทรสุดหัวใจ
อีกราวสองวัน เสด็จพ่อก็จะเสด็จมาประทับที่นี่แล้ว มิ่งคงต้องบอกลา
กองพันไปเฉกเช่นเดียวกัน เพื่อที่จะกลับไปอยู่วังริมหาดทางโน้น แล้วหลังจากนั้นที่กองพันแห่งนี้คงจะกลายเป็นเพียงสถานที่ในความทรงจำของสองเรา แม้ว่ามันจะเป็นระยะเวลาอันสั้น แต่สำหรับมิ่งแล้วมันก็แสนสุข
อย่างที่มิ่งได้เรียนไปข้างต้น เพราะมิ่งจะต้องกลับไปอยู่วังริมหาด เราคงไม่ได้ติดต่อกันอีกสักพัก และมิ่งคงไม่อาจบากหน้าขอร้องพี่ชายหนึ่งให้ช่วยไปมาก
กว่านี้ จากนี้ไปมิ่งหวังว่าพี่ภัทรจะสบายดี สุขภาพแข็งแรง และมีแรงใจในการฝึก พักนี้คงฝึกหนักน่าดูเชียว อยากให้ทราบไว้ว่ามิ่งนั้นยังคงเป็นกำลังใจให้พี่ภัทร และรอคอยวันที่เราจะได้พบเจอกันอีกครั้ง
คิดถึงพี่ภัทรสุดหัวใจ
มิ่งขวัญของพี่ภัทร
คุณภัทรยิ้มบางให้กับกระดาษในมือ เขายิ้มกับทุกข้อความในจดหมาย แต่ทว่าในย่อหน้าสุดท้ายก็แทบทำให้เข้าเสียน้ำตา เพราะข้อความที่บอกว่าคงไม่ได้ติดต่อกันอีกพักใหญ่ ทำให้เขาเจ็บปวดใจยิ่ง และรู้ถึงเหตุผลที่หลายวันมานี้ เขาสัมผัสได้ว่าท่านชายของเขารู้สึกไม่สู้ดีนัก กว่าจดหมายฉบับนี้จะมาถึงมือเขาก็คงราวสองวันได้ ในตอนนี้ท่านชายก็คงเสด็จไปประทับที่วังริมหาดแล้ว และกองพันหัวหินก็กลายเป็นสถานที่ในความทรงจำตลอดกาล
เสียงเฮของเหล่าอันฬาและบรรตาชายดังขึ้นเกรียวกราว ยิ่งค่ำมากเพียงใด เสียงของผู้คนในบาร์ฝรั่งก็ยิ่งดังขึ้นจนแทบจะกลบเสียงดนตรีสดที่บรรเลงอยู่บนเวที ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนพิเศษ เนื่องจากมีเศรษฐีหน้าใหญ่ใจโตจัดการเหมาร้านให้เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมารวมตัวกัน เศรษฐีที่ว่าจะเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ดั่งเพลิง อันฬา
ผู้เป็นขาประจำของบาร์
“คุณชายสองท้องต้องฉลองปานนี้เลยหรือวะพี่” ดนตร์ที่นั่งกระดิกเท้าอยู่โต๊ะเดียวกับคุณภัทร และจรัญเอ่ยขึ้น นอกจากดั่งเพลิงจะเหมาร้านแล้ว ภายในร้านยังสามารถดื่มกินแบบบุฟเฟต์ได้ไม่จำกัด สิทธิพิเศษให้แค่เพียงเพื่อนร่วมสถาบันสวนกุหลาบและคู่ควงเท่านั้น
“ทำยังกับไม่รู้จักไอ้เพลิงมัน เบี้ยวนัดเก่งนักล่ะ แต่เชื้อมันแรงจริงว่ะ แต่งกันเดือนเจ็ด เดือนนี้ก็ท้องได้เกือบสามเดือนแล้ว” จรัญว่าพลางยกแก้วสุราขึ้นดื่ม ส่งสายตาเล็ก ๆ ไปยังบรรตาสาวสวยที่อยู่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกล
“แล้วไอ้เพลิงมันไม่มาหรือ วันหยุดทั้งทีก็อุตส่าห์มาให้ นึกว่าจะได้เจอมัน” คุณภัทรถามขึ้นบ้าง เพราะนี่ก็ปาไปสองทุ่มแล้ว ยังไร้วี่แววเจ้าของงาน
“มันเหมาร้านให้ แต่มันไม่มาหรอก โน่น เฝ้าคุณชายสองอยู่บ้านโน่น” จรัญหัวเราะร่วน คุณภัทรเมื่อได้ยินดังนั้นก็อดที่จะส่ายหัวแล้วยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ ที่เขาว่ากันว่าดั่งเพลิงเลิกเที่ยวคงจะเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะมัง
“ไอ้คุณภัทร เหล้าเสียหน่อยไหม” อันฬาสาวรูปร่างสูงทักขึ้น เจ้าหล่อนวางขวดเหล้าแล้วเท้ามือยันตัวกับโต๊ะที่คุณภัทรนั่งอยู่ เมื่อเงยหน้าไป ชายหนุ่มก็นึกออกทันทีว่านี่ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันสมัยเรียนไม่ใช่ใครอื่น
“ไม่ล่ะ ขอบใจ ฉันเลิกเด็ดขาดแล้ว วันนี้มาก็เพราะไอ้เพลิงมันชวน” คุณภัทรยิ้มบางแล้วเงยหน้าตอบเพื่อนอันฬาสาว พอเห็นขวดเหล้าตรงหน้าก็พลันทำให้นึกถึงตนเมื่อสองเดือนก่อนที่กินเหล้าเช้าเย็นจนดูไม่ได้ นึกแล้วก็ภูมิใจนิด ๆ ที่ตอนนี้ตนเลิกได้แล้ว หวังแค่เพียงรอคอยให้คนไกลมาพิสูจน์กับตาในเร็ววัน
“หนีลูกเมียมาเที่ยวหรือไงครับ คุณนิล” จรัญทักขึ้นบ้าง คุณภัทรหัวเราะกับดนตร์ทันที เมื่ออันฬาสาวทำหน้าตาหลุกหลิก เรื่องที่พวกเขาเอามาแซวอันฬาทายาทห้างดังได้เสมอก็คือเรื่องที่นิลชอบหนีภรรยามาเที่ยว
คุณภัทรยอมรับว่าตอนแรกคิดว่าดั่งเพลิงจะเป็นเหมือนกับนิล แต่สงสัยคงต้องมองลูกพี่ลูกน้องตนเสียใหม่ ช่วงที่ฝึกอยู่ที่กองพัน เขาก็ได้ยินมาว่าดั่งเพลิงนั้นรักคุณชายสองจนหมดใจ นึกแล้วก็น่าอิจฉา ขนาดหนุ่มเจ้าสำราญอย่างดั่งเพลิงยังหนีไปมีครอบครัวแล้ว ในขณะที่ตัวเขานั้นกลับต้องนั่งคิดถึงใครสักคนที่ใจร้ายไม่ยอมส่งข่าวคราวมาเกือบสองเดือน
‘สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องมิตรสหายสวนกุหลาบที่รัก กระผม จรัญ กล่อมวาทิน บรรตาผู้หล่อเหลาและทรงเสน่ห์ที่สุดในพระนคร จะขออนุญาตส่งสารแทน นาย
ดั่งเพลิง เกริกวานิช เจ้าภาพผู้ติดภารกิจดูแลภรรยานะครับผม’
คุณภัทรหัวเราะกับท่าทางที่ดูกรึ่มได้ที่ของจรัญ เขาเผลอละสายตาเพียงครู่เดียว เพื่อนของเขาก็ตะกายขึ้นไปพูดออกไมโครโฟนบนเวทีเสียแล้ว
‘คุณดั่งเพลิงฝากกระผมมาบอกว่า ราตรีนี้กินดื่มได้ไม่อั้นและขอให้ทุกท่านมีความสุข จาก ดั่งเพลิงผู้กำลังเป็นพ่อคน ครับผม เอ้า เฮ! ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ!’
ด้วยฤทธิ์น้ำเมาและความคึกคะนอง อันฬาและบรรตาชายภายในร้านจึงบ้าจี้ส่งเสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนานในคืนวันศุกร์ คุณภัทรและดนตร์ก็ปล่อยตัวไปตามบรรยากาศเช่นกัน เนื่องจากการซ้อมใหญ่ที่กินเวลาหลายเดือน ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาออกมาสังสรรค์ใด ๆ
‘อ้อ มีอีกเรื่องที่อยากประกาศครับผม ผมขอถือโอกาสนี้ แสดงความยินดีกับผู้นำขบวนสวนสนามของกองพันที่ ๑ ในปีนี้ด้วยนะครับผม...’
ทันทีที่จรัญกล่าวประโยคเมื่อครู่ไป คุณภัทรก็หันหน้าไปมองยังร้อยโท
มนัส คู่ปรับตัวฉกาจของตนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของบาร์ฝรั่ง เมื่อเขาและมนัสสบตากัน อีกฝ่ายก็แสยะยิ้มออกมา
‘ขอเสียงปรบมือให้กับหม่อมหลวงภัทรดนัย หรือไอ้คุณภัทรสหายของพวกเราด้วยครับผม!’
มนัสยกแก้วเหล้าในมือชูขึ้นเล็ก ๆ เป็นเชิงยอมรับ ขณะที่ดนตร์ก็เป็น
หน้าม้าปรบมือให้คุณภัทรก่อนใคร เพียงไม่นานคนอื่น ๆ ในงานก็ปรบมือให้คุณภัทรกันเกรียวกราว เมื่อบ่ายที่ผ่านมาที่กองพันมีการประกาศอย่างชัดเจนแล้ว ว่านายทหารผู้นำขบวนและดูแลธงในปีนี้คือหม่อมหลวงภัทรดนัยโดยวัดจากผลงานการฝึกและความอดทนของคุณภัทรที่มีสูงกว่ามนัส ตัวมนัสแม้จะผิดหวังนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงกิริยาก้าวร้าวใด ๆ ทุกอย่างเป็นตามธรรมเนียมของทหาร ชนะเป็นชนะ แพ้เป็นแพ้ คุณภัทรจำได้ว่าตนดีใจมากเสียจนยืนยิ้มทั้งวัน ในที่สุดเป้าหมายของเขาก็สำเร็จไปหนึ่งอย่าง
คุณภัทรยืนขึ้นแล้วก้มหัวให้กับเพื่อน ๆ รุ่นพี่รุ่นน้องที่ปรบมือให้ตนอย่างอาย ๆ ไม่นึกมาก่อนว่าจรัญจะเล่นประกาศออกไมโครโฟนอย่างนี้ ไม่นานบรรยากาศในร้านก็กลับเข้าสู่ปกติหลังจากที่วงดนตรีกลับมาเล่นสดอีกครั้ง คุณภัทรยกแก้วน้ำเปล่าของตนขึ้นดื่ม เมื่อสายตาคมลอบเห็นว่ามนัสเดินออกจากบาร์ไปหลังไว ๆ เขาจึงเดินตามออกไปด้วยเพราะต้องการพูดคุยอะไรบางอย่าง
“ว่าไงครับ ท่านหัวขบวน” มนัสจุดบุหรี่ขึ้นสูบ แล้วจึงพ่นควันให้ลอยขึ้นหายไปในอากาศ
“ว่าจะออกมาขอบใจ” คุณภัทรกล่าวเสียงเรียบ เขาต้องการพูดคุยกับมนัสส่วนตัวอย่างลูกผู้ชาย เมื่อจบเกมทุกอย่างก็จบ และคุณภัทรเองก็ไม่อยากสร้างความบาดหมางกับบุตรชายท่านนายพลไปมากกว่านี้
“ขอบใจงั้นหรือวะ เรื่องอะไรล่ะ” มนัสเลิกคิ้วแล้วหันมามองที่เขา
“ที่ไม่เอาเรื่องกูติดเหล้าไปป่าวประกาศทั้ง ๆ ที่ทำได้ และขอบใจที่เป็นคู่แข่งที่สูสีเสมอมา” คุณภัทรยื่นมือไปด้านหน้าของมนัสอย่างต้องการกระชับมิตร “ทั้ง ๆ ที่กู—”
“เลิกทำตัวพ่อพระสักทีได้ไหมวะ ตงิดตีนฉิบหาย” มนัสหัวเราะร่วน แล้วจึงยื่นมือมาจับมือของเขา ชายหนุ่มทั้งสองหัวเราะให้แก่กัน และเริ่มพูดคุยนั่นนี่เรื่อยเปื่อยเคล้ากับเสียงเพลงที่ดังออกมาจากด้านในของบาร์
“แขนมึง—” คุณภัทรมองไปที่แขนของมนัสที่มีผ้าพันแผลพันอยู่
“ไอ้มนัสตายซะเถอะมึง!” ชายร่างท้วมตะโกนขึ้นจากทางด้านหลังของร้อยโทผิวเข้ม หากแต่คนที่เห็นมันคนแรกไม่ใช่มนัสแต่อย่างใด ในขณะที่มนัสหันกลับไปมอง คุณภัทรก็เห็นว่ามันกำลังเหนี่ยวไกปืนและเป้าหมายคือมนัส
ปัง! เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด พื้นถนนสีเทาเจิ่งนองไปด้วยเลือด ชายหนุ่มทั้งสองร่วงลงไปกองกับพื้นก่อนที่หนึ่งในนั้นจะลุกขึ้นตรงไปต่อยมือปืนฝึกหัดล้มลง ผู้คนที่สัญจรไปมาเริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์ ขณะที่ด้านในของบาร์ยังคงขับกล่อมเพลงอาทิตย์อับแสงอันแสนเศร้า
‘...ทิวาทราม ยามห่างดวงกมล
สุริยาหมองหม่น
ปวงชีวิตในโลกอับจนเสื่อมทราม
หวังคอย คอยเฝ้าโมงยาม
จวบจนทิวาเรืองงาม
สบความรักยามคืนคง...’
“ไอ้คุณภัทร!”
คุณภัทรกะพริบตาขึ้นลงช้า ๆ รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วช่วงท้อง มันเจ็บปวดจนไม่อาจจะเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมาได้ เขาเห็นบุคคลสวมชุดขาวมากหน้าหลายตาวิ่งตามเตียงรถเข็นที่เขานอนอยู่อย่างร้อนรน เสียงโหวกเหวกทำให้เขาไม่เข้าใจนักว่าคนเหล่านั้นพูดคุยอะไรกัน และเมื่อเขาเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งซึ่งมีไฟขนาดใหญ่ส่องลงมาที่เขา ไม่นานทุกอย่างก็มืดดับลง
ชายหนุ่มร่างสูงสะดุ้งตื่น เขายันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันซ้ายหันขวามองไปทั่วบริเวณที่เขานอนอยู่ ไม่ผิดแน่ว่าที่นี่คือชายหาดริมทะเลที่กองพันหัวหิน เบื้องหน้าของเขาในขณะนี้คือผืนฟ้าและท้องทะเลสีคราม เพียงแค่หันมองไปรอบ ๆ เขาก็คล้ายกับว่าจะเห็นภาพซ้อนเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่
คุณภัทรกำลังรู้สึกสับสน เขาพอจะจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ว่าเขาอยู่หน้าบาร์ฝรั่งที่เฟื่องนคร และมีคนจะมาลอบทำร้ายมนัส ซึ่งเป็นเขาเองที่ผลักมนัสออกเพื่อรับกระสุนแทน แล้วไฉนเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ในเมื่อภาพสุดท้ายก่อนจะหลับตาสิ่งที่เขาจำได้คือเขากำลังใกล้ตายอยู่ที่โรงพยาบาล
น่าแปลกที่ชายหาดหัวหินในวันนี้กลับเงียบงัน จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก นายทหารหนุ่มไม่รอช้าหันไปมองหาต้นเสียง เมื่อมองไป เขาก็พบกับเด็กชายตัวเล็กสองคนกำลังวิ่งเลียบชายหาดตรงมาทางเขา แต่ไม่ทันจะวิ่งมาถึงเด็กชายที่ตัวสูงกว่าก็ล้มลงกับหาดทราย จากนั้นก็ร้องไห้จ้าออกมา
“ฮึก...ฮือ ๆ ๆ” เด็กชายที่ดูอายุมากกว่ายกมือทั้งสองข้างขยี้ตาไปมา เขาร้องไห้เสียงดังเต็มไปด้วยความเจ็บ คุณภัทรเดินตรงเข้าไปหาเด็กชายทั้งสองทันที เขาย่อตัวลงแล้วมองไปที่เข่าเด็กคนพี่ จึงเห็นว่าที่หัวเข่าของเด็กคนนี้เป็นแผลถลอก
“ไม่เอาสิ คนเก่งต้องไม่ร้อง!” เด็กชายคนน้องพูดขึ้นพลางสวมกอดเด็กชายอีกคนเอาไว้
“หนู ให้อาดูให้ไหม” คุณภัทรเอ่ยปากพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนขึ้นมาซับ เขาใช้มันผูกห้ามเลือดให้กับเด็กชาย
“…” เมื่อมองใกล้ ๆ เขากลับรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กคนนี้อย่างประหลาด เขาเหมือนเห็นใครสักคนผ่านแววตาของเด็กคนพี่ ดูเหมือนจะเป็นคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในขณะที่เด็กคนน้องเขากลับรู้สึกว่าเขาเห็นความเป็นตัวเอง
“เมื่อครู่วิ่งมาทำไมหรือ ดูซีเป็นแผลเลย” ชายหนุ่มว่าพลางใช้มือหนาซับน้ำตาให้กับเด็กคนพี่ นึกสงสัยว่าเด็กสองคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ช่างดูคุ้นหน้าเสียเหลือเกิน
“กลับไปนะ กลับไป” เด็กชายคนน้องร้องแล้วกระโดดเกาะแขนเขาทันที ในขณะที่คนพี่ก็สวมกอดเขาเอาไว้ น้ำหนักของเด็กทั้งสองที่พุ่งใส่เขาทำเอาคุณภัทรล้มตัวไปนั่งกับหาดทราย ชายหนุ่มหัวเราะร่าออกมาทันที
“กลับไปไหนล่ะ” คุณภัทรเอ่ยปากถามเจ้าเด็กทั้งสอง เขาไม่เข้าใจนักว่าสองพี่น้องกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่
“ที่โน่น มีคนรอครับ!” เจ้าคนน้องพูดเสียงดัง ดวงตากลมโตเป็นประกายทำให้คุณภัทรแอบรู้สึกไม่ได้ว่ามีส่วนคล้ายกับคุณชายภาคผู้เป็นบิดา
“แล้วอาจะได้เจอพวกหนูอีกไหม” เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กชายคนพี่ที่ซบอยู่กับไหล่ของเขา
“ไม่นานหรอก” เด็กชายคนพี่เงยหน้ามองเขา ดวงตาเย่อหยิ่งของเด็กชายคนพี่ทำให้เขานึกออกทันทีว่าเด็กคนนี้คล้ายกับใคร
“พี่ภัทร!” เด็กทั้งสองยิ้มร่าแล้วมองหน้ากัน เมื่อเสียงหวานของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง แต่ไม่ทันที่คุณภัทรจะได้หันหลังกลับไปมอง ภาพที่ชายหาดหัวหินก็ดับมืดลงไปอีกครา..
“พี่ภัทร!” เสียงเดียวกันร้องขึ้นทันที เมื่อเขาค่อย ๆ ลืมตา แสงที่สว่างจ้าภายในห้องทำให้ม่านตาของชายหนุ่มต้องปรับสภาพยกใหญ่ เขาหันหน้าไปมองยังคนที่นั่งกุมมือเขาอยู่ด้านข้างอย่างช้า ๆ แล้วจึงพบว่าเป็นคนที่เขาเฝ้ารอเพื่อจะได้เจอมาโดยตลอด
แม้ในยามที่ใบหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยน้ำตา
ท่านชายมิ่งขวัญก็ยังดูงามยิ่งในสายตาของเขาอยู่ดี
#ศักดินาอากาศ
TALK: สวัสดีค่ะ! ชิววี่นะคะ มาแบบฮึกเหิม แหะ ๆ
ยอมรับว่าฟิกเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรามีความผัดวันประกันพรุ่งบ่อยมาก ๆ เลยค่ะ ป่วยบ้าง ข้อมูลผิดบ้าง คอมพังบ้าง อะไรบ้าง ตอนนี้ก็เริ่มกลัวแล้ว จริง ๆ แล้วตอนนี้มีการปรับแก้เยอะมากค่ะ แทบจะรื้อเส้นเรื่องเลยเชียว แต่เราเองก็พอใจกับมันนะ หลายคนถามว่าทำไมชิววี่เขียนมินฮยอนบินดราม่าทุกเรื่องเลยอ่ะ เราเองก็ไม่มีคำตอบเหมือนกันค่ะว่าทำไม แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพิ่งมาสังเกตตอนมีคนทักนี่ล่ะ..
ในส่วนของเนื้อเรื่องบทนี้ก็เกิดอะไรขึ้นหลายอย่างมาก ๆ เลยค่ะ ทั้งเรื่องอาการติดเหล้าของคุณภัทร คุณชายหมอ การคัดผู้นำขบวน แต่เราอยากให้บทนี้ได้เห็นถึงความตั้งใจของคุณภัทรค่ะในการเลิกเหล้า และพยายามจนกระทั่งเอาชนะมนัสได้เป็นคนนำขบวน ถึงแม้ว่าจะมีจะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นั่นก็คือคุณภัทรของเราถูกยิง แต่อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาพยายามนะ ที่จะไต่เต้าไปยังดวงจันทร์ และบทนี้แอบมีตัวละครสมทบโผล่มาด้วยนะคะ เรารู้สึกว่าหลายคนน่าจะรู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นใครในเรื่อง (ฮี่ ๆ)
ส่วนเรื่องไทม์ไลน์เรื่องนี้จะมีความตัดไปตัดมาบ่อยกว่า มวฬ ค่ะ เนื่องจากตัวเองของเราจำต้องจากกันบ่อย ในขณะที่คู่นั้นเขาอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาไปแล้ว และเราก็คิดว่า ศดน น่าจะกินเวลานานกว่าด้วยนะ
ท้ายนี้เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นแล้วนะคะ สำหรับเรื่องนี้ เราเฝ้าอ่านฟีดแบ็คเสมอ ๆ เลย ขอบคุณมากนะคะที่ยังติดตามกันอยู่ (ฮือ) หวังว่าจะได้อัพตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้ค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย ㅠㅠ
งท้ออกสกสหสหยหวหส ใจหายแว่บบบบ บ้าเฮ้ยยย กำลังดีใจพี่ภัทรทำได้ แถมยังปรับความเข้าใจแบบแมนๆกับมนัส ดันมาโดนลูกหลงเพราะไปช่วยเค้าอี้กกก พี่รอดก้อพอแล้ว ไม่จำเปนต้อวเปนคนนำขบวนอะไรอีกกกกก
ชายหมอ? ชายหมอมาทำอีหยังที่นี้วะเนี้ยยยย เนี้ยยยยยย คำพูดคำจานะชายหมอ ถ้าไม่ติดที่เป็นคนดีนี่ด่าไปแล้วนะชายหมอออ เด๊ะเหอะ กริ๊ดดดดดดดดดดดดดด พี่ภัทรได้เป็นผู้นำขบวนสวนสนามแล้ว ดีใจด้วยนะพี่! อ่ออ!! ไอ่อ้วนนี่หรอพี่ที่ยิงพี่ภัทร ไอ่เฬววววววว ไอ่ระกำ ยิงก็ยิงให้มันถูกตัวสิวะ! นอกจากชั่วแล้วยังตาบอดอีก อีควายยยยยย มิงยิงพี่ภัทรของท่านมิ่งงงงงง มิงตายยยยยยยยย ไอ่อ้วนนนนน ไอ่อ้วนนนนนนนนนมิงตายยยยยยยยยยยยยยยย
เห้ย.... อย่าบอกนะ พี่ภัทร กลับมาก่อน! อย่าตายนะพี่ เห้ยยยยย เด็กสองคนที่ไล่พี่ภัทรคือใครหรอ ลูกในอนาคตหรอ หรือใครอะ น้องไม่ค่อยเข้าใจ แงงงงงงงงงงง