ตอนที่ 13 : บทที่ ๑๓ : สุริยนย่ำสมุทร
บทที่ ๑๓ สุริยนย่ำสมุทร
ณ ศาลาทรงชิโนโปรตุกีสขนาดใหญ่ริมชายหาด ปรากฏชายสามคนที่อยู่ด้านในของศาลาหรู ในขณะที่ชายสองคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับแบบแปลนในมืออย่างออกรสตามประสาสถาปนิกและวิศวกร ชายหนุ่มอีกคนกลับนั่งทอดสายตาไปยังผืนทะเลเบื้องหน้าอย่างว่างเปล่า เป็นอีกวันที่พระอาทิตย์กำลังจะร่วงหล่นและจางหายไปภายใต้ท้องทะเล และอีกไม่นานก็จะเป็นวันใหม่อีกครั้ง ท่านชายไม่รู้ว่าชายผู้เป็นเจ้าของกลิ่นทะเลจะเป็นอย่างไรบ้าง และจดหมายที่ฝากไปนั้นถึงมือหรือไม่
กว่าสามสัปดาห์แล้วที่หม่อมเจ้ามิ่งขวัญกลับมาประทับยังวังริมหาด เนื่องจากพระบิดาเสด็จมาประทับที่หัวหิน เขาที่ล่วงหน้ามาดูชีวิตความเป็นอยู่และร่วมอยู่อาศัยกับชาวบ้านก็ถึงคราวต้องเริ่มทำตามฝันที่วาดเอาไว้เสียที อีกไม่นานวังแห่งนี้จะถูกปรับปรุงให้เป็นโรงเรียนแห่งใหม่ที่หัวหิน โรงเรียนสำหรับวรรณะล่างของสังคมอย่างกาฬวิฬาร์ที่จะได้มีโอกาสศึกษาและเล่าเรียน เหตุเพราะทางรัฐบาลยังมีคนที่ยึดติดกับระบบวรรณะอยู่มากจึงไม่ได้ให้งบสนับสนุนกับท่านชาย ทว่าองค์ฯ โชติที่ทรงเล็งเห็นและเข้าใจถึงปัญหา พระองค์จึงทรงเสนอให้ใช้ที่ดินของวังริมหาดมาทำโรงเรียน เพียงเท่านี้ภาครัฐบาลจึงได้ยอมให้สร้างโรงเรียนขึ้นมา
“มิ่งขวัญ...เหม่ออะไรอยู่หรือลูก” องค์ฯ โชติตรัส พระองค์ทรงรับสั่งให้นายวิศวกรที่มาร่วมพูดคุยกลับออกไป หลังจากที่ร่วมพูดคุยถึงการปรับปรุงโครงสร้างอาคารมาร่วมชั่วโมง
“ไม่มีอะไรครับ มิ่งกำลังสงสัยว่าลมแรงปานนี้ ตอนค่ำฝนคงจะตกหนักเสียกระมัง” ท่านชายมิ่งยิ้มบางให้กับผู้เป็นพระบิดา ด้านหลังของเขาเป็นภาพผ้าม่านริมหน้าต่างปลิวไสวด้วยแรงลม
“เช่นนั้นเข้าไปในตัวบ้านกันเถอะ อีกประเดี๋ยวคงได้เวลาทานข้าวแล้ว” องค์ฯ โชติตรัส จากนั้นก็ทรงยกถ้วยน้ำชาขึ้นเสวย
ท่านชายมิ่งขวัญได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับ คนตัวขาวลุกขึ้นเต็มความสูง ก้มลงเก็บพวกสมุดและปากกาที่ตนนำมาจดบันทึกเกี่ยวกับโรงเรียนในฝันไว้ในอ้อมกอด เขาไม่ลืมอุ้มตุ๊กตาหมีที่โพกหัวด้วยผ้าเช็ดหน้าสีเข้มขึ้นมา ไม่นานสองพ่อลูกก็เดินผ่านสะพานเชื่อมและกลับเข้าตัวบ้านหลังใหญ่ไป ท่านชายมิ่งไม่รู้เลยว่าพายุที่จะเข้าหัวหินคืนนี้จะหนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้ง
เปรี้ยง! หลังจากที่ฟ้าแลบไปเพียงไม่กี่อึดใจ เสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณ ฝนห่าใหญ่เทลงมาตั้งแต่ช่วงหนึ่งทุ่ม และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเสียง่าย ๆ เสียงของสายฝนและเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่ง ทำเอาท่านชายมิ่งขวัญหลับตานอนไม่ลง คนตัวขาวพลิกตัวไปหาตุ๊กตาตัวโปรดที่วางอยู่บนหัวนอน จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบมันมาไว้ในอ้อมกอด ก้มหน้าดมกลิ่นทะเลอันเจือจางจากผ้าเช็ดหน้าสีเข้มแล้วพยายามหลับตาอีกครั้ง
เพียงหลับตาไม่นาน จู่ ๆ ท่านชายก็ลืมตาโพลงด้วยความร้อนรน ใบหน้าหวานมีเหงื่อผุดทั้งใบหน้าและตามร่างกาย หม่อมเจ้าหนุ่มรีบยันตัวลุกขึ้นทันที เหตุด้วยเพราะความร้อนรุ่มที่อยู่ภายในอกซ้าย รวมถึงความเจ็บแปลบตรงช่วงท้อง ปากเป็นกระจับสวยสั่นระริกด้วยความกลัว ความกลัวที่เจ้าตัวนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันไม่ใช่ฤทธิ์ของการฮีตที่เคยเผชิญ แต่เหมือนกับว่าดวงวิญญาณของท่านชายกำลังฉีกขาด
พี่ภัทร...งั้นหรือ...
เพล้ง! ใบหน้าหวานอันซีดเซียวหันไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ามือของตนไปปัดเอาแจกันข้างหัวเตียงตกตั้งแต่เมื่อใด เศษแก้วกระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้อง ไม่ต่างกับช่อดอกพุดซ้อนที่ก่อนหน้านี้ถูกจัดเอาไว้อย่างดีในแจกัน
“ท่านชายเพคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ!” สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องร้องเสียงหลงทันที เมื่อเห็นว่าท่านชายของหล่อนนั่งชันเข่าคุดคู้ตัวสั่นอยู่บนเตียง ในขณะที่ด้านข้างมีแจกันแตกละเอียดอยู่
“เกิดอะไรขึ้นรึ!?” เสียงของพระบิดาดังขึ้นคล้อยหลังตามมา
เปรี้ยง! ฟ้าผ่าลงมาอีกครั้ง แสงสว่างจากสายฟ้านอกหน้าต่าง ทำเอาทุกคนยืนนิ่งงันแล้วมองตรงมายังท่านชายที่อยู่บนเตียง
“พี่ภัทร...พี่ภัทรเป็นอะไรหรือครับ” ท่านชายเอ่ยถามผู้เป็นบิดา แม้จะกลั้นใจมากเท่าใดแต่ก็ห้ามไม่ให้ตนรู้สึกเจ็บไม่ได้ ร่างกายเหมือนกับจะฉีกขาด ท่านชายรู้เพียงว่ามันน่ากลัว น่ากลัวเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่เกิดการผูกชะตาหรือฮีตแรก
“เนตรของท่านชายเป็นสีเขียว...”
“เสด็จฯ พ่อ ได้โปรด...ได้โปรดพาลูก...ฮึก...ไปหาพี่ภัทรเถิดนะ” ท่านชายเดินปรี่ไปหาผู้เป็นบิดา จากนั้นจึงทรุดลงกอดขาองค์ฯ โชติด้วยน้ำตานองหน้า ไม่ยี่หระสักนิดว่าเมื่อครู่ตนได้เหยียบเศษแจกันจนโลหิตไหลออกมาเป็นสาย
ภายในห้องสีขาว ท่านชายมิ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เตียงกำลังมองไปยังคุณภัทรที่นอนหลับอยู่ ด้านข้างเตียงมีสายช่วยชีวิตระโยงระยางไปทั่ว สัญชาตญาณของ
โซลเมตไม่ได้ผิดไปแต่อย่างใด ในคืนที่คุณภัทรถูกยิง ชายหนุ่มเองก็ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลประจำจังหวัดและเมื่อผู้พันประจำกองพันที่หัวหินมาเข้าเฝ้า จึงได้รู้ว่าคุณภัทรนั้นถูกยิงอาการปางตายที่พระนคร
แม้ว่าองค์ฯ โชติจะทรงสับสนอยู่บ้าง แต่เพราะคำขอร้องทั้งน้ำตาจากพระโอรส พระองค์และท่านชายจึงเสด็จโดยรถยนต์ฝ่าฝนกลับมาพระนครเพื่อดูอาการของคุณภัทรทันที ในช่วงที่คุณภัทรสลบไป ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนท่านชายตั้งตัวไม่ทัน เขาจำไม่ได้ว่าร้องไห้ไปมากเพียงไหน เมื่อแรกเห็นสภาพของคุณภัทร
ท่านชายจำได้เพียงความเจ็บปวดที่อกซ้าย ประหนึ่งว่าหัวใจจะถูกฉีกขาด ถึงแม้ว่าแพทย์ผู้ดูแลอาการจะกล่าวว่าคุณภัทรปลอดภัยดีแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ คุณภัทรกลับยังไม่ฟื้นขึ้นมา
ท่านชายในตอนนี้ไม่ได้เกรงกลัวต่อคำครหาหรือความเคลือบแคลงใจจากใครทั้งสิ้น เขามาเฝ้าคุณภัทรทุกวันโดยไม่กลับไปที่วังอรุณรัตน์สักครั้ง เขาไม่สนใจว่าบุคลากรของทางโรงพยาบาล ครอบครัวของคุณภัทรที่อยู่ในห้องพักฟื้น หรือแม้กระทั่งพระบิดาของตนจะคิดอย่างไร เขาเพียงแค่อยากจะทำในสิ่งที่ควรทำ หาใช่ในฐานะโซลเมตร่วมชะตาไม่ หากแต่ในฐานะ คนรัก ที่เปิดเผย
“พี่มิ่งขวัญ ผลไม้ค่ะ คุณแม่ให้นำมาให้ ทานอะไรเสียหน่อยนะคะ” คุณปริมยิ้มกว้างแล้วจึงส่งจานผลไม้ให้กับท่านชาย
“ขอบใจนะคุณปริม” ท่านชายมิ่งขวัญรับจานจากคุณปริม จากนั้นจึงหันไปมองคุณหลิว มารดาของคุณภัทร รอยยิ้มน้อย ๆ จากคุณหลิวพอจะทำให้เขาใจชื้นไปได้บ้าง แม้ว่าในช่วงเช้าคุณชายภาคดูท่าจะไม่ชอบใจที่ตนมาเฝ้าคุณภัทรไม่ไปไหน
“หากเสวยจนหมด หม่อมฉันจะรู้สึกดีใจมากเลยเพคะกระหม่อม” คุณหลิวกล่าวยิ้ม ๆ รอยยิ้มของเจ้าหล่อนดูละม้ายคล้ายกับคุณภัทรจนน่าตกใจ
“ผลไม้เยอะเพียงนี้ พี่ภัทรคงต้องตื่นมาช่วยมิ่งทานแล้วล่ะครับ” ท่านชายหันไปพูดกับคุณภัทรที่นอนอยู่ เขายกมือเรียวขึ้นวางบนมือที่วางนิ่งไม่ไหวติงของคุณภัทร นัยน์ตาเริ่มเต็มไปด้วยน้ำใส ๆ
“…”
สัมผัสใต้ฝ่ามือทำเอาท่านชายนิ่งค้างไปทันที เมื่อครู่หากตาไม่ฝาดเขาเห็นว่านิ้วมือของคุณภัทรกระดิกตอบรับ เจ้าของดวงตาหยิ่งจับจ้องไปที่ใบหน้าหล่อของนายทหารหนุ่ม และท่านชายก็ได้มั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาดไปจริง ๆ เมื่อเห็นว่าคุณภัทรกำลังกะพริบตาและมองมาที่เขา
“พี่ภัทร!” ท่านชายร้องขึ้น เขาใช้มือทั้งสองข้างกุมมือชายอันเป็นที่รักแน่น ก่อนที่น้ำตาจะไหลอาบแก้มด้วยความปีติ
“มึงมันเป็นคนดีเสียจนน่ารำคาญ” ชายหนุ่มผิวเข้มกล่าว สายตาคมจ้องมายังคุณภัทรที่นอนอยู่บนเตียง มนัสแสร้งวางของเยี่ยมส่ง ๆ ไว้ที่โต๊ะมุมห้อง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาในห้องพักฟื้น
ท่าทางมาดเยอะของมนัส ทำให้คนป่วยถึงกับต้องส่ายหัว ถึงแม้ว่ามนัสจะปากดีสักเพียงไหน แต่คุณภัทรก็รู้มาบ้างว่าตอนที่ถูกยิง มนัสก็ฉุนเฉียววิ่งเข้าใส่คนร้ายแล้วกระทืบคู่กรณีจนเจ็บสาหัส
“ถ้ากูไม่เข้าไปขวางมึงก็คงตายไปแล้วล่ะ ไอ้...มนัส” คุณภัทรที่นอนอยู่บนเตียงกล่าว แต่เพราะจุดที่โดนกระสุนนั้นเป็นช่วงท้อง ทำให้ชายหนุ่มยังคงต้องนอนรักษาตัวอีกเป็นสัปดาห์
“อย่าพูดมากไปเลยพี่ ประเดี๋ยวแผลจะฉีกเอา” ดนตร์ที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องพูดขึ้นบ้าง สายตาร้อยตรีหนุ่มเหม่อลอยคล้ายรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้องลูกพี่ของตนได้
“รู้สึกแย่ฉิบหาย มึงสะเหล่อมารับกระสุนแทนกูยังไม่พอ ยังต้องมาพลาดนำขบวนให้กูนำแทนอีก”มนัสเดาะลิ้นแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างดนตร์ นายทหารทั้งสองมาเยี่ยมเขาช่วงเวลาราชการได้ก็เพราะสิทธิ์ลูกนายพลของมนัส โดยมนัสอ้างว่าเขาต้องการออกมาแจ้งข่าว แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเขาก็เข้าใจดนตร์ จึงให้
รุ่นน้องติดสอยห้อยตามมาด้วย หลังจากที่คุณภัทรเพิ่งได้สติกลับมาเมื่อคืนวาน
แม้ว่าพิธีจะมีขึ้นในอีกสองเดือน แต่การที่ทหารถูกยิงโดยที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาการปฏิบัติหน้าที่ก็ถือว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวพอตัว ถึงจะมีอำนาจในการใช้เงินปิดข่าวมากเพียงใด แต่ก็ห้ามเรื่องการกระจายข่าวจากปากต่อปากไม่ได้ ยิ่งเป็นทหารและเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคมด้วยแล้วอย่างหม่อมหลวงภัทรดนัย ข่าวการยิงกันที่เฟื่องนครจึงเป็นข่าวใหญ่กว่าที่ใคร ๆ คิด คุณภัทรจึงถูกถอดออกอย่างไม่ต้องสงสัย แม้คุณภัทรจะเสียดาย แต่เขาก็ยินดีหากผู้ที่มารับหน้าที่แทนเป็นทหารมีฝีมืออย่างมนัส
ปึง...นายทหารทั้งสามหันไปมองยังบุคคลตามเสียงปิดประตู กาฬวิฬาร์เจ้าผู้มาอาสาดูแลคนป่วยถึงกับควบคุมสีหน้าไม่อยู่กับเรื่องที่คุณภัทรถูกถอดจากขบวน ฝ่ายคุณภัทรเองก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน นึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้เรื่องนำขบวนสวนสนาม ลำพังตัวเขาก็ไม่ได้เสียดายหากได้ช่วยชีวิตคน แต่เขาก็กลัวว่าท่านชายจะรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ เพราะก่อนหน้า เขาก็รู้ได้ผ่านความรู้สึกที่เชื่อมถึงกันว่าพักนี้ใจของท่านชายช่างหม่นหมองเหลือเกิน
“สวัสดีครับ” ท่านชายมิ่งเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่ามีแขกอยู่ภายในห้อง
ช่วงที่พักฟื้น คุณภัทรนั้นอ่อนเพลียจากการเสียเลือดมาก ทำให้เขาเองก็จำได้บ้างไม่ได้บ้างว่ามีใครคอยเฝ้าไข้ เมื่อตื่นมาไม่พบท่านชายก็นึกว่าอีกฝ่ายจะกลับวังไปแล้ว แต่ท่านชายก็ยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ไปไหน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกที่ท่านชายอยู่เฝ้าเขาตลอด ทว่าเขากลับไม่มีโอกาสได้คุยกับอีกฝ่ายตามลำพังตั้งแต่ได้สติ
“สวัสดีครับ” มนัสตอบเสียงเรียบ ร้อยโทผิวเข้มไม่ได้มีทีท่าสนอกสนใจใด ๆ กับการปรากฏตัวของคนตัวขาว ต่างกับดนตร์ที่ดูลุกลี้ลุกลนและประหม่า
“เอ่อ...ท่านชายมิ่งขวัญใช่ไหมครับ” ดนตร์พูดถาม เขาแสดงออกชัดเจนว่ากำลังสับสนว่าผู้มาใหม่คือท่านชายมิ่งขวัญหรือม่านหมอกกันแน่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะจนถึงตอนนี้ ดนตร์เองก็ยังไม่รู้ว่าท่านชายมิ่งและม่านหมอกคือคนคนเดียวกัน
“อืม เรามาอยู่ดูแลพี่ภัทรน่ะ” ท่านชายพยักหน้าน้อย ๆ แล้วจึงตอบกลับเสียงเบา คุณภัทรลอบสังเกตเห็นว่าท่านชายไม่ได้สวมรองเท้าคัทชูอย่างที่มักจะสวมเป็นประจำ แต่เปลี่ยนเป็นสวมรองเท้าหนังหุ้มข้อและที่ส้นเท้าข้างขวาก็มีผ้าพัน
แผลพันอยู่
“เชิญนั่งก่อนกระหม่อม...ลุกซีครับ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” สิ้นเสียงท่านชาย ดนตร์ก็รีบลุกขึ้นยืน เขารีบผายมือเชิญให้ท่านชายนั่งที่โซฟา แต่พอเห็นว่ามนัสยังคงนั่งลอยหน้าลอยตา รุ่นน้องหนุ่มก็เอ็ดนายทหารรุ่นพี่โดยไม่เกรงกลัว ท่าทางของดนตร์ทำให้รอยยิ้มที่คุณภัทรไม่เห็นมาหลายวันปรากฏบนใบหน้าอันซีดเซียวของท่านชาย
“พี่ภัทรไม่ได้นำขบวนแล้วหรือครับ” ท่านชายเอ่ยปากถามเพื่อความแน่ใจ นัยน์ตาของเขาตอนนี้ยิ่งดูหม่นหมองเข้าไปใหญ่
“ใช่ครับ มนัสจะเป็นคนนำขบวนในปีนี้” คุณภัทรตอบ สีหน้าของท่านชายทำให้คุณภัทรรู้สึกผิด หากไม่มีใครอยู่ในห้องและร่างกายของเขาแข็งแรงกว่านี้ เขาคงเข้าไปกอดปลอบแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าตลอดหลายวันก่อนนี้คนรักต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
“จริงหรือไม่ ที่พี่ภัทรเอาตัวไปบังกระสุนให้กับคุณคนนี้” ท่านชายเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“...” ดนตร์ที่ได้ยินประโยคดังกล่าวก็ถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เริ่มแอบภาวนาในใจหวังไม่ให้ท่านชายและมนัสโต้เถียงกัน
“ใช่กระหม่อม ไอ้ภัทรมันเอาตัวมาบังกระหม่อมเอง แม้มันจะคิดน้อยแต่มันก็กล้าหาญมาก” มนัสตอบ มีวูบหนึ่งที่แววตาของมนัสดูเศร้า เขาเองก็ไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้เช่นกัน
“อืม เราเข้าใจแล้ว” ท่านชายมิ่งเม้มปากเป็นเส้นตรง เขาไม่ได้ติดใจหรือถือโทษโกรธอะไรมนัส เพียงแค่อยากรู้จากปากของทั้งสองว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษนะครับ” คุณภัทรพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด เพราะรู้ว่าท่านชายคงผิดหวังในตัวเขาและคงรักชีวิตเขามากกว่าที่เขารัก
“ไม่เป็นไรเลย พี่ภัทรไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” คนตัวขาวว่าพลางยกมือขึ้นทาบกับมือของคุณภัทรที่วางข้างเตียง ดวงตาของท่านชายเริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อล้นอีกครั้ง ใต้ตาที่บวมเป่งของท่านชาย มองดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“ครับ...” คุณภัทรเลิกคิ้วเล็กน้อยกับท่าทีที่ไม่ปิดบังของท่านชาย ชายหนุ่มหันไปมองยังดนตร์และมนัส แต่เมื่อเห็นว่าอีกสองคนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาจึงยกมืออีกข้างมากุมมือของคนรักเอาไว้
ก๊อก ๆ ...เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนภายในห้อง เป็นจรัญที่เดินนำเข้ามาก่อน คุณภัทรยิ้มให้สหายนักดนตรีเป็นการทักทาย แต่ว่าผู้มาเยี่ยมไม่ได้มีแค่จรัญคนเดียว อันฬาทุกคนในห้องต่างหันมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย พวกเขาได้กลิ่นพิมเสนเหมือนกัน จากนั้นไม่นานดั่งเพลิงก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับคุณชายสอง
การแต่งกายของดั่งเพลิงยังคงเป็นเอกลักษณ์เสมอ เสื้อเชิ้ตลายตรงปลดกระดุมสองเม็ด พับแขนเสื้ออย่างลวก ๆ คุณภัทรอยากจะทำหน้าเอือมระอาใส่
ดั่งเพลิงทันทีที่เห็นหน้า แต่พอเห็นภรรยาตัวเล็กของผู้พี่ก็ทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ คุณชายสองในชุดคลุมท้องเชิ้ตตัวใหญ่ยาวจนถึงหัวเข่าช่างดูน่ารักน่าเอ็นดู
สมกับเป็นดั่งเพลิงผู้ใจร้อน
เผลอแป๊บเดียวก็จะมีหลานให้เขาแล้ว
“ยังไม่ตายนี่หว่า” ญาติผู้พี่ทักทาย ดั่งเพลิงมองไปที่คุณภัทรที่นอนอยู่บนเตียง เขาสำรวจอาการคุณภัทรคร่าว ๆ ด้วยสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“สวัสดีครับทุกคน” คุณชายสองกล่าวด้วยความเขินอาย เนื่องจากมีคนจำนวนมากอยู่ภายในห้อง มือเรียวยกขึ้นจับหน้าท้องตนอย่างเผลอตัว
“สวัสดีครับ คุณชายสอง ยังตาสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” คุณภัทรเอ่ยปากแซวคุณชายสอง ทำเอาดั่งเพลิงหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที
“คุณภัทรดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ...” คุณชายตัวเล็กยังคงถามต่อ เจ้าของดวงตากลมโตมองมาที่เขาสลับกับมองไปยังท่านชายมิ่งที่อยู่ในห้อง
“มันไม่ตายง่าย ๆ หรอกนั่นน่ะ” ดั่งเพลิงกล่าวกับคุณชายสอง ทำเอาผู้เป็นภรรยามองค้อนใส่ดั่งเพลิงที่ใช้คำเสียมารยาท
“ดีขึ้นแล้ว ขอบพระคุณครับ อุตส่าห์พาหลานมาเยี่ยมด้วยอย่างนี้ ผมคงหายดีในเร็ววัน” คุณภัทรยิ้มบาง เขาจ้องไปยังหน้าท้องนูนของคนตัวเล็ก
ฝ่ายคุณชายสองได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกเขินอายหน้าแดงจัด ในขณะที่
ดั่งเพลิงเองก็ยิ้มกว้างพลางยกมือขึ้นจับหลังคออย่างเขิน ๆ
“สอง...อยากคุยกับท่านชายไม่ใช่หรือ” ดั่งเพลิงหันไปกล่าวกับภรรยา
สีหน้าของผู้พี่กลับมาจริงจังอีกครั้ง
“ท่านชาย กระหม่อมคิดว่าท่านชายอาจต้องการสหายคอยรับฟัง ออกไปพูดคุยกันข้างนอกดีกว่าไหมกระหม่อม” คุณชายสองว่าพลางจับมือของท่านชายที่นั่งอยู่ขึ้นมากุม
“ไปสิ” ท่านชายมิ่งขวัญยิ้มให้กับคุณชายสอง จากนั้นกาฬวิฬาร์ทั้งสองก็จูงมือพากันออกจากห้องไป เหลือเพียงแต่อันฬาและบรรตาหนุ่มที่อยู่ภายในห้อง
เมื่อสิ้นเสียงปิดประตูและให้หลังคุณชายสองและท่านชายเท่านั้น ดั่งเพลิงก็ปรี่ไปกระชากคอเสื้อของมนัสทันที ดวงตาที่อ่อนโยนเมื่อมองคุณชายสองเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นดวงตาแข็งกร้าวด้วยแรงโทสะ
“ไอ้เวรเอ๊ย!” ดั่งเพลิงสบถ ตาของเขาแข็งกร้าวอีกทั้งยังแปรเปลี่ยนเป็นสีทองพร้อมสู้
“…” นายทหารผิวเข้มไม่ได้มีทีท่าตกใจแต่อย่างใด มนัสมองจ้องไปในดวงตาของดั่งเพลิงอย่างไม่เกรงกลัว
“ไอ้เพลิงใจเย็นซีวะ” นายจรัญส่ายหัวแล้วตรงไปห้ามทัพชายหนุ่มทั้งคู่ทันที ด้านดนตร์พอเห็นว่าท่าจะไม่ดี เขาจึงเข้าไปช่วยจรัญจับดั่งเพลิงและมนัสแยกออกจากกัน
คุณภัทรถอนหายใจ เขารู้จักญาติผู้พี่ของตนดี ดั่งเพลิงนั้นเป็นคนเลือกรักพวกพ้องของตนมาก รวมทั้งไม่ใช่คนใจเย็นอะไร เมื่อครู่ที่ดั่งเพลิงกักเก็บความโกรธไว้ได้ก็เพราะมีคุณชายสองอยู่ด้วยภายในห้อง
“กูไม่รู้ว่ามึงไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้ แต่ไอ้คุณภัทรมันต้องมาเดือดร้อนเพราะมึง!” ดั่งเพลิงปล่อยมือจากคอเสื้อของมนัสแล้วจึงทิ้งตัวนั่งกับเก้าอี้ เขาพยายามสงบสติ ไม่ให้บันดาลโทสะไปมากกว่านี้
“อย่าโทษมันเลย ฉันเข้าไปบังกระสุนแทนมันเอง” คุณภัทรพูดปราม เขาไม่ต้องการให้ทั้งสองมามีเรื่องเคืองใจเพียงเพราะการตัดสินใจของเขา ถ้าหากในเรื่องนี้จะมีคนผิด มันไม่ควรจะเป็นมนัส แต่มันควรจะเป็นมือปืนที่ยิงมากกว่า
“กูเองก็ไม่อยากให้มันมารับแทนนักหรอก ไอ้มือปืนนั่นก็จัดการกระทืบไปแล้ว” มนัสว่าพลางจัดเสื้อตนใหม่ เขาไม่ได้โกรธดั่งเพลิงกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“เสียดายที่มึงเป็นทหารเลยทำให้มันตายไม่ได้” ดั่งเพลิงพูดเสียงเรียบ ทุกคนรู้ดีว่าทายาทเกริกวานิชนั้นไม่ได้พูดเล่น อำนาจของเจ้าสัวเส็งมีมากพอที่จะชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเสือเฒ่าลาวงการก็ตามที
“พี่ดั่งเพลิง ใจเย็นนะพี่นะ” ดนตร์เอ่ยปาก เขายกมือขึ้นจับไหล่ดั่งเพลิง
“กูไม่สั่งเก็บมันหรอก อีกไม่กี่เดือนกูก็จะมีลูกแล้ว เอาแค่ให้มันล่มจมก็พอ จรัญเอ็งไปสืบมาซะนะ ว่าไอ้นัดมันไปเหยียบตีนใครเข้า” ดั่งเพลิงยกมือขึ้นนวด
ต้นคอ ต่อให้เขาจะหงุดหงิดมนัสสักเพียงไหน มนัสก็ถือว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขาอยู่ดี
“มึงนี่นะ” คุณภัทรส่ายหัวอย่างระอากับนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของดั่งเพลิง
“…” มนัสที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะในลำคอทันที ร้อยโทผิวเข้มเดินตรงไปตบไหล่ดั่งเพลิงที่นั่งอยู่แทนการขอบใจ อย่างไรเสียเพื่อนกันก็ตัดกันไม่ขาด
“แล้วเป็นอย่างไรบ้างวะ” ญาติผู้พี่หันหน้ามาถาม สายตาของดั่งเพลิงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จนคุณภัทรแอบคิดเองเออเองว่าคงเป็นเพราะดั่งเพลิงกำลังจะเป็นพ่อคนอย่างที่บอก
“ตามที่เอ็งว่า ไม่ตายง่าย ๆ” คุณภัทรยักไหล่แล้วกล่าวติดตลก
“ไม่ ฉันหมายถึงกาฬวิฬาร์เจ้า ได้ยินมาว่าพวกผู้ใหญ่เพ่งเล็งเข้าเสียแล้ว” ดั่งเพลิงกล่าว เขาเกยคางกับพนักพิงเก้าอี้ที่ตนนั่งอยู่
คุณภัทรกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หากดั่งเพลิงพูดเช่นนี้แล้ว แสดงว่าเรื่องของเขากับท่านชายคงแพร่กระจายไปทั่ว เขาไม่แปลกใจที่ดั่งเพลิงจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและท่านชาย เพราะอีกฝ่ายก็พูดแซวเขาอ้อม ๆ ไปหลายครั้งตั้งแต่งานแข่งม้าแล้ว ทว่าเขาเองไม่แน่ใจว่าดั่งเพลิงและคนอื่น ๆ รู้เรื่องของเขาตื้นลึกหนาบางเพียงไหน
“แย่ว่ะ ท่านชายไม่ได้พูดอะไรมากนักแต่ก็รู้สึกได้ว่ามีเรื่องไม่สบายใจ ที่น่าหนักใจกว่าคือตั้งแต่ฉันได้สติ ฉันก็ยังไม่เจอพ่อเลยด้วย ไม่รู้จะเข้ามาเยี่ยมหรือไม่” คุณภัทรตอบกลับไปตามตรง จากการที่ท่านชายมาเฝ้าชายที่ไม่ใช่คู่หมั้นเช้าเย็น ใครเห็นก็คงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับท่านชายมันพิเศษกว่าเจ้านายเก่าและบริวาร ดูแล้วอีกไม่นานคงจะมีพายุใหญ่กระหน่ำเข้ามาอีกครั้ง
“หลงรักดอกฟ้าก็เป็นเช่นนี้แล แต่ดอกฟ้าก็โน้มกิ่งลงมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเอ็งยังเอื้อมไม่ถึง คงต้องถามเจ้าของสวนแล้วล่ะว่าจะยกให้ทั้งต้นหรือไม่” จรัญพูดติดตลก นักดนตรีหนุ่มไม่อยากให้บรรยากาศตึงเครียดจนเกินไป ทำเอาคนอื่น ๆ ในห้องหัวเราะไปกับการเปรียบเปรยของเขา
“เดี๋ยวก่อนนะพี่ แล้วหมอกเล่า ไอ้ฉันก็นึกว่าพี่พบรักใหม่กับหมอกไปเสียแล้ว” ดนตร์ถามด้วยสีหน้าเหลอหลา ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็เลิกคิ้วสงสัยกับชื่อของบุคคลที่ไม่คุ้นหูเช่นเดียวกัน
“ม่านหมอกกับท่านชายเป็นคนเดียวกันน่ะ กูขอโทษที่ไม่ได้บอกมึงนะ” คุณภัทรตอบคำถามของดนตร์
“ฉิบหายแล้วไอ้ดนตร์” ดนตร์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นทึ้งหัวตนเองทันที พอคิดว่าเมื่อตอนที่อยู่หัวหิน เขาใช้คำสามัญกับท่านชายเป็นประจำ ไหนจะตอนที่ไปกินข้าวบ้านผู้พันแล้วท่านชายก็ต้องบริการยกข้าวยกน้ำให้ตนอีก “ก็ว่ามันทะแม่ง ๆ คนเราจะหน้าเหมือนกันได้ปานนี้เชียวรึ โง่แท้ ๆ ไอ้ดนตร์!”
“เรื่องอะไรกันวะ ดูเหมือนฉันจะพลาดไปหลายประเด็น” ดั่งเพลิงพูดขึ้น ไม่แปลกที่เขาจะตั้งคำถาม เพราะดั่งเพลิงเองก็หายหน้าหายตาไปนานพอตัวหลัง
จากแต่งงานกับคุณชายสอง
“คนติดเมียติดลูกมีสิทธิ์ที่จะถามด้วยหรือพ่อ” จรัญยอกย้อนเพื่อนนักธุรกิจ
“ถอดเขี้ยวเล็บแล้วนี่หว่า บาร์ที่เฟื่องนครคงเหงาน่าดูชม” มนัสพูดขึ้นลอย ๆ แต่ทำเอาทุกคนหัวเราะครืน เว้นก็แต่ดั่งเพลิงที่หันมองทุกคนด้วยสีหน้ามึนงง
“นี่มึงก็เอากับเขาด้วยรึ รักเมียรักลูกมันผิดตรงไหน ไอ้พวกไม่มีเมีย” ดั่งเพลิง
ยักไหล่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ว่าก็ว่าเถอะไอ้คุณภัทร ถ้าดอกฟ้ามันอยู่สูงมาก เดี๋ยวพวกกูช่วยโน้มกิ่งลงมาให้เอง จนกว่ามึงจะเอื้อมถึง” มนัสหันมากล่าวกับเขา มนัสคงอยากจะทำอะไรแทนการขอบคุณ
“ถึงเวลาที่จะพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมาแล้วหรือยังวะพี่” ดนตร์พูดบ้าง และดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับคำพูดของดนตร์
“ขอบใจว่ะ” คุณภัทรตอบ
ไม่นานจากนั้น มนัสและดนตร์ก็ขอตัวกลับไปก่อนเพราะที่กองพันกำลังวุ่นเรื่องการซักซ้อมพิธีใหญ่ ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงคนนำขบวนก็ยิ่งแล้วใหญ่ ไหนจะมีการปรับเปลี่ยนจำนวนทหารที่ใช้ในการเดินขบวนอีก ทำให้เหลือเพียงจรัญและดั่งเพลิงที่ผลัดกันเล่าเรื่องโน่นนี่ให้เขาฟัง จนคุณภัทรไม่รู้ว่าจะให้ความสนใจกับเรื่องดนตรีจากเกาะอังกฤษของจรัญ เรื่องที่ดั่งเพลิงต้องรีบกลับจากฝรั่งเศสเพราะเจ้าสัวเส็งหลังเดาะจากการเล่นกอล์ฟ หรือฟังชื่อแปลก ๆ ที่ดั่งเพลิงตั้งใจจะตั้งให้กับหลานของเขาก่อนดี
บริเวณสวนริมน้ำใกล้ท่าเรือของโรงพยาบาลศิริราช กาฬวิฬาร์รูปงามสองคนที่กำลังเดินในสวน ทำเอาใครหลายคนที่ผ่านมาเห็นพวกเขาต้องเหลียวหลัง น่าเสียดายไม่น้อยที่นิ้วนางบนมือซ้ายของทั้งสองมีแหวนสวมอยู่ อีกทั้งหนึ่งในนั้นกำลังอุ้มท้องอยู่ด้วย ทว่ายังมีอีกคนที่งามและมีกลิ่นกาฬวิฬาร์บริสุทธิ์ ส่งผลให้อันฬาหนุ่มสาวหลายคนถึงกับจ้องมาที่ท่านชายไม่วางตา สมกับสมญานามกาฬวิฬาร์เจ้าที่เลื่องลือไปทั่วพระนคร
“ที่คอนั่น เจ็บมากไหม” ท่านชายเอ่ยปากถาม แม้ว่าจะมีโบสีดำผูกอยู่ที่คอของคุณชายสอง แต่มันก็ไม่สามารถปิดรอยกัดของสามีอีกฝ่ายเอาไว้ได้สนิท
“ตอนกัดก็เจ็บนะกระหม่อม แต่พอรุ่งเช้าก็ไม่เจ็บสักเท่าใดแล้ว” คุณชายสองตอบพลางยกมือขึ้นลูบรอยที่ถูกตีตราโดยดั่งเพลิง หม่อมเจ้าหนุ่มยิ้มเล็ก ๆ กับท่าทีที่เขินอายของสหายคนสนิท
“ยอมให้กัด แสดงว่ารัก และคุณเพลิงก็คงรักชายสองมากเช่นเดียวกัน” ท่านชายมิ่งกล่าว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ม้าหินอ่อนในริมแม่น้ำ
“ชะ...ใช่แล้วกระหม่อม” คุณชายตัวเล็กตอบ เขาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ท่านชาย
ด้วยความระมัดระวัง สายลมเอื่อย ๆ ที่พัดผ่าน ทำให้คนตัวขาวรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
“เด็กคนนี้ก็เป็นหลานกันซีนะ” ท่านชายมิ่งหัวเราะน้อย ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ ยกมือเรียวสัมผัสหน้าท้องนูนของคุณชายสอง
“พอมีลูก กระหม่อมก็กลัวไปหลายสิ่งอย่าง กลัวว่าจะเป็นแม่ที่ดีไม่ได้” คุณชายสองเอ่ยถึงความกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
“อย่ากลัวไปเลย ชายสองกำลังจะมีลูกกับคนที่ชายสองรัก กันน่ะอิจฉาชายสองมากเลยนะ” ท่านชายกล่าวปลอบขวัญคุณชายสอง เขายกมือของอีกฝ่ายขึ้นมากอบกุมเอาไว้ ยิ่งเห็นว่าเพื่อนที่ตนเคยเห็นใจ ได้มีสิทธิ์เลือกชายที่จะแต่งงานด้วยและกำลังจะมีครอบครัวที่อบอุ่น มันก็ทำให้เขาทั้งยินดีและแอบอิจฉา ต่อจากนี้ไป เพื่อนของเขาจะมีชีวิตที่มีแต่ความสุขเสียที
ในขณะที่ความสุขของเขานั้นช่างดูเลือนราง
“ท่านชาย...รักกับคุณภัทรใช่หรือไม่กระหม่อม” คุณชายสองยกมืออีกข้างขึ้นมาวางทับมือของท่านชาย น้ำเสียงไม่ได้มีความไม่พอใจแต่เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“อืม เรารักกับพี่ภัทร ชายสองไม่โกรธกันใช่ไหม ที่กันไม่ได้รักพี่ชายหนึ่ง” ท่านชายถาม เขาไม่ได้ต้องการที่จะปกปิดเรื่องนี้อีกต่อไป “กันขอโทษ”
“ไม่โกรธเลยกระหม่อม หากจะไม่พอใจก็เพียงเพราะท่านชายไม่เคยบอกกระหม่อมต่างหาก” คุณชายสองตัดพ้อเล็ก ๆ เขาส่งยิ้มให้กับท่านชายด้วยความเข้าใจ “ถึงกระหม่อมจะเป็นน้องของพี่หนึ่ง เป็นลูกของท่านพ่อ กระหม่อมก็เป็นสหายของท่านชายนะกระหม่อม”
“…”
“แต่นี้ต่อไป หากมีเรื่องที่ไม่สบายใจ ได้โปรดบอกกระหม่อมเถิดนะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวอีกเลย” คุณชายสองกล่าว ท่านชายเมื่อได้ยินดังนั้นก็กลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่อยู่ ใบหน้าหวานหันไปมองยังแม่น้ำที่สงบนิ่ง ไม่อยากให้ใครเห็นว่าตนร้องไห้
เหนื่อยเหลือเกิน
เหนื่อยที่จะต้องทำเป็นเข้มแข็ง
“มิ่งขวัญ พวกพ่อมีเรื่องจะคุยกับลูก” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลังทั้งสองคน
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จฯ พ่อ” ท่านชายยกมือขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะลุกขึ้นตามพระบิดาไป
คุณภัทรรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลังจากคุณชายภาคและคุณหลิวเข้ามาในห้องพักฟื้น ทันทีที่บิดาและมารดาของเขาปรากฏตัว จรัญและดั่งเพลิงก็เปลี่ยนมายืนข้างเตียงฝั่งริมหน้าต่างแทน คุณภัทรลอบมองใบหน้าของคุณหลิว เขาไม่ได้เป็นห่วงมารดาเลยเพราะเขารู้ได้ว่ามารดาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องท่านชายมิ่งขวัญ หากแต่ที่เขาเป็นกังวลที่สุดก็คือคุณชายภาคเสียมากกว่า
ตั้งแต่คุณชายภาคเดินเข้ามาในห้องก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยถามอาการของเขาแต่อย่างใด ในขณะที่คุณหลิวนั้นมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ หม่อมเจ้าภพและหม่อมผกาก็เข้ามายังภายในห้อง ชายหนุ่มทั้งสามยกมือขึ้นไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ทันที โดยเฉพาะดั่งเพลิงที่คล้ายจะเหงื่อตกเล็ก ๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นพ่อตาของตน ไม่นานห้องพักฟื้นของคุณภัทรก็เต็มไปด้วยผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน
จรัญค่อย ๆ เขยิบตัวเข้ามาช่วยพยุงตัว จัดแจงให้เขาลุกขึ้นนั่งพิงไปกับหัวเตียง ด้วยเพราะร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงดีทำให้คุณภัทรเริ่มเหนื่อยหอบ เขามอง
สีหน้าเคร่งเครียดของผู้ใหญ่เพียงปราดเดียว ก็มองออกทันทีว่าสถานการณ์ที่เขากลัวกำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้า
คุณภัทรมองไปยังประตูที่เปิด เมื่อได้กลิ่นอันฬาขององค์ฯ โชติพระบิดาของท่านชายมิ่งขวัญ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” บุคคลภายในห้องขานกันเกลียวเมื่อองค์ฯ โชติเสด็จเข้ามา คุณภัทรเริ่มหน้าเสียเมื่อเห็นว่าท่านชายที่เขารักเดินตามเข้ามาทั้งน้ำตา ในขณะที่คุณชายสองนั้นเดินตรงเข้าไปกอดหม่อมผกาด้วยความกังวลไม่แพ้กัน สีพระพักตร์ขององค์ฯ โชติในเพลานี้ช่างยากเกินจะคาดเดา
“ขาดเพียงชายหนึ่งซีนะ” ท่านชายภพกล่าว เขาชายตามองดั่งเพลิงผู้เข้ามาประคองคุณชายสองที่กำลังครรภ์อยู่ให้นั่งลง
“กระหม่อมทราบดีว่าเหตุใดทุกคนจึงมารวมกันที่นี่” คุณภัทรตัดสินใจพูดขึ้น เขาเตรียมใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องพูดเรื่องนี้อยู่ดี
“เช่นนั้นก็รีบขอขมาผู้หลักผู้ใหญ่เสียซีตาภัทร! รู้อยู่แก่ใจซีนะว่าเรื่องแกกับท่านชายมิ่งมันคาวคลุ้งไปทั่วพระนครแล้ว” เสียงตวาดของคุณชายภาคทำเอาหลายคนสะดุ้งโหยง ในที่สุดผู้เป็นบิดาของเขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมา เห็นได้ชัดว่าคนที่ดูจะไม่พอใจเรื่องอื้อฉาวของเขาและท่านชายที่สุดคือคุณชายภาคภูมิ ชายผู้พร่ำสอนบุตรธิดามาทั้งชีวิตให้เจียมเนื้อเจียมตัว
“ใจร่ม ๆ เถิดคุณชายภาค” องค์ฯ โชติตรัสปรามคุณชายภาค พลางจับพระหัตถ์ของพระโอรสขึ้นมากอบกุมเอาไว้
“เช่นนี้จะทำอย่างไรเล่า ข่าวที่ท่านชายมาเฝ้าคุณภัทรนั้นกระจายไปทั่ว ฝั่งเทววงศ์เองก็เสียหายไม่แพ้กันที่คู่หมั้นของชายหนึ่งมีชายอื่น” ท่านชายภพกล่าวเสียงเรียบ ส่งสายตาตำหนิและผิดหวังมายังคุณภัทรและท่านชายมิ่งขวัญ
“บอกพ่อมาตามตรง ทุกอย่าง” องค์ฯ โชติตรัสกับท่านชาย สีพระพักตร์ยังคงเรียบเฉย แต่แววพระเนตรนั้นไม่อาจซ่อนความผิดหวังไว้ได้
“ลูกรักพี่ภัทร” ท่านชายมิ่งขวัญยกมือขึ้นกราบพระทรวงพระบิดา คุณภัทรรู้สึกปวดหัวใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลเป็นสายของคนรัก
“ท่านชายทรงเป็นเช่นนี้เพราะแก ทำไมจึงไม่ยับยั้งชั่งใจเอาเสียบ้าง...” คุณชายภาคหันมากล่าวกับคุณภัทรอย่างคาดโทษ นายทหารหนุ่มยิ้มสมเพชตนเองกับความพยายามที่จะเป็นลูกชายผู้สมบูรณ์แบบให้กับชายคนนี้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ล้มเหลว เขาเป็นคนที่ถ่อมตนและเสียสละไม่ได้เหมือนดังบิดาไม่ได้...เป็นไม่ได้ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้พบกับท่านชายมิ่งขวัญแล้ว
“คุณชายภาค อย่าว่าพี่ภัทรเลยนะ เรา...เราผิดเอง เราตามตื๊อพี่ภัทรจนพี่ภัทรใจอ่อน ได้โปรด...ด่าว่าเราเถอะ” ท่านชายมิ่งยกมือขึ้นไหว้ คุณภัทรตกใจทันทีที่ท่านชายของเขาลดตัวลงไปนั่งกับพื้น คนตัวขาวร้องห่มร้องไห้แล้วยกมือไหว้พวกผู้หลักผู้ใหญ่อย่างน่าเวทนา ภาพดังกล่าวทำเอาผู้ใหญ่หลายคนถึงกับส่ายหัวและสะเทือนใจ
ใจของท่านชายกำลังแหลกสลายไม่ต่างกันกับเขา
“ท่านชาย!” เสียงของหม่อมราชวงศ์วัชระผู้เข้ามาใหม่ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าท่านชายมิ่งขวัญลงไปนั่งกับพื้น คุณชายหมอก็รีบปรี่เข้ามาหาท่านชายทันที ทว่าคุณชายหมอนั้นช้ากว่าคุณภัทรไปเพียงหนึ่งก้าว เพราะคุณภัทรฝืนตัวแล้วลงมานั่งเคียงข้างกับท่านชายมิ่งขวัญทั้งน้ำตา การขยับตัวดังกล่าวทำให้แผลที่เพิ่งเย็บใหม่ ๆ ของคุณภัทรปริออกจนมีเลือดซึมออกมา
“หากจะผิดก็คงผิดที่เราทั้งคู่ อย่าถือโทษโกรธท่านชายเลยนะครับ โกรธผมที่มันไม่เจียมเนื้อเจียมตัวดีกว่า ริอ่านดึงฟ้าต่ำ แค่ตายมันยังน้อยไป” คุณภัทร
ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประนมมือ เขากราบลงแทบเท้าของบิดาและองค์ฯ โชติ
“เหตุใดจึงกล้าพูดเรื่องตาย ในเมื่อเธอเป็นโซลเมตของลูกเรา” องค์ฯ โชติทรงยกพระบาทถอยแล้วตรัสเสียงแข็ง ประโยคดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้
กับใครหลายคน ไม่มีใครในห้องนี้รู้เรื่องนี้มาก่อน หากจะเป็นความบังเอิญ ก็คงเป็นความบังเอิญที่ตลกร้ายสิ้นดีที่ลูกผู้ถวายงานได้เป็นถึงโซลเมตกับลูกเจ้านาย
“เพราะเป็นโซลเมตกันหรือ...เรื่องนี้ถึงเกิดขึ้น” คุณหลิวถามคุณภัทรและท่านชายมิ่งอย่างใจเย็น
“ต่อให้ชาตินี้ไม่ได้เป็นโซลเมตกัน ลูกก็จะรักท่านชายมิ่งขวัญ” คุณภัทรกล่าวเสียงดังฟังชัด ดวงตาของเขาเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ ถึงแม้ว่าจะมีน้ำตาของชายชาติทหารไหลออกมา
“ไอ้ลูกคนนี้!” คุณชายภาคที่ได้ยินดังนั้นก็เผลอยกมือขึ้นจะทุบตีบุตรชาย คุณภัทรหลับตาเตรียมใจรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นทันที
“พอเถอะครับ...” คุณชายหมอคว้าแขนของคุณชายภาคได้ทัน นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจแล้วจึงคุกเข่าลงเคียงข้างกับคุณภัทรและท่านชายมิ่ง
ขณะที่คุณภัทรลืมตามองหน้าบิดาด้วยความผิดหวังและน้อยใจ ในวันเช่นนี้คนที่คอยจะซ้ำเติมเขามากที่สุดแทนที่จะเป็นคนอื่นแต่กลับกลายเป็นบิดาบังเกิดเกล้า
“มีอะไรก็ว่ามาเถอะคุณชายหมอ” องค์ฯ โชติตรัสกับคุณชายหมอ ถึงแม้
ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเรื่องของเขา คุณชายหมอ และท่านชายมิ่งขวัญอยู่ดี
“กระผมทนให้เรื่องมันเลยเถิดไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความกล้าของคุณภัทรและท่านชายทำให้คนขี้ขลาดอย่างผมรู้สึกละอาย ทั้งในฐานะลูกชายคนโตก็ดี ทั้งในฐานะคู่หมั้นของท่านชายที่ไม่เคยได้รับความรักก็ดี...” คุณชายหมอว่าพลางถอดแว่นแล้วเหน็บมันไว้กับเสื้อกาวน์
“…” ทุกคนในห้องเงียบและรอเพียงการตัดสินใจของคุณชายหมอ
“ท่านพ่อครับ ช่วยรับภาพถ่ายนี้ไปด้วยครับ” นายแพทย์หนุ่มหยิบภาพถ่ายในกระเป๋า แล้วส่งต่อไปให้กับท่านชายภพผู้เป็นบิดา
“ทำไมหรือ” ท่านชายภพรับภาพถ่ายดังกล่าวไปแล้วจึงถามบุตรชายคนโต
“เด็กในภาพชื่อโซเฟีย เป็นลูกของผม และหลานของท่านพ่อครับ” คุณชายวัชระกล่าวกับบิดาด้วยดวงตาแดงก่ำ คำกล่าวของคุณชายหมอทำเอา
ท่านชายภพถึงกับทำภาพถ่ายนั้นร่วงลงกับพื้น ภาพที่มีเด็กผู้หญิงชาวต่างชาติอายุราวสิบปียืนยิ้มกับผู้หญิงผมทองคนหนึ่ง
“พี่ชายหนึ่ง...” ท่านชายมิ่งขวัญเอ่ยขึ้น สีหน้าของท่านชายเองก็ไม่อยาก
จะเชื่อเหมือนกับทุกคนที่อยู่ในห้อง
“นี่คงเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะถอนหมั้นนะครับ” คุณชายวัชระหยิบภาพบุตรสาวขึ้นมาไว้กับตัว
#ศักดินาอากาศ
TALK: สวัสดีค่า ชิววี่นะคะ
หลายคนอ่านถึงช่วงท้ายคงตกใจกันหมด ว่าคุณชายหมอจ้อจี้ป่ะเนี่ย ไม่ได้จ้อจี้ค่ะ เด็กหญิงในภาพถ่ายเป็นลูกสาวของคุณชายหมอที่อังกฤษจริง ๆ ซึ่งคุณชายหมอปีนี้ก็อายุราว ๒๘ ปีแล้ว นั่นหมายความว่าเขามีลูกตั้งแต่ไปเรียนต่อที่เมืองนอกค่ะ ใครจะไปรู้ว่าคุณชายหมอผู้แสนดีที่โผล่มาช่วยคนอื่นตลอด จะเก็บงำความลับเอาไว้ได้นานขนาดนี้ สมัยก่อนการแต่งงานระหว่างคนไทยและชาวต่างชาตินั้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับมากค่ะ ดังนั้นอย่างที่คุณชายหมอบอกเลยว่าเขาขี้ขลาด ไม่กล้าที่จะบอกใครว่าตัวเองมีลูกกับฝรั่งอยู่เมืองนอก
ในบทนี้นั้นก็จะเน้นหลัก ๆ นั่นคือรักที่มั่นคงของคุณภัทรและท่านชายค่ะ อย่างที่บอกว่าต่อให้ไม่ใช่โซลเมท ทั้งคู่ก็จะรักกันอยู่ดี และการที่ทั้งคู่เองก็กล้าที่จะยอมรับต่อหน้าผู้ใหญ่กับเรี่องความสัมพันธ์นี้ อีกทั้งยังได้เห็นถึงพื้นฐานการเลี้ยงดูของครอบครัวด้วย หลายคนคงสงสัยว่าทำไมพ่อของคุณภัทรถึงรับไม่ได้ เหตุผลก็เพราะท่านชายเป็นลูกนายของตนเองค่ะ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่ากินบนเรือนขี้บนหลังคาอะไรเทือกนั้น
อีกทั้งยังได้เห็นความสัมพันธ์เชิงมิตรภาพของหนุ่ม ๆ ชาวสวนด้วย ถึงแม้ว่าคุณมนัสจะปากไม่ดีนัก แต่ยังไงเสียก็นับว่าเป็นเพื่อคนหนึ่งนะ รวมทั้งความเป็นเพื่อนของท่านชายและคุณชายสองด้วยค่ะ
สำหรับตอนนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้นะคะ สวัสดีค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พีคมากตกใจจริงๆ แต่ทั้งคู่รักกันมากจริงๆอ่ะ ถึงขนาดนั่งลงกับพื้นขอร้องเลยอ่ะฮือ ;___;
ร้องแล้วววว หนักด้ววยยย
ไม่นะ ไม่นะๆๆๆๆ ไม่นะ สงสารท่านมิ่งมาก อาการที่คนผูกชะตากันแล้ว แล้วอีกคนจะตายมันเป็นบแบบนี้เองหรอ ไม่เคยอ่านถึงจุดนี้เลย โอ้โหหหห ไอ่อ้วนนนนนนน มิงคนเดียวเลยยยยย ทำให้พี่ภัทรไม่ได้นำขบวนเนี้ย! มาเคลียร์กันให้รู้เรื่องเลย ไอ่ชิบหา------
อห... ผู้ใหญ่มาในห้องกันหมดขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องดีแน่เลยพี่ภัทรเอ้ยยย ตายแน่ๆพี่ภัทรรร ฮื้ออ เนี้ยยยย สงสารทั้งคู่เลยอะสงสารมาก ท่านพ่อพี่ภัทรสงสารเด็กมันบ้างมั้ยวะเนี้ย แงงงงง ทำไงดี
โอ้โหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหห อะไรวะเนี้ยยยยยยยยย พี่ชายหนึ่งงงง เรื่องใหญ่แน่ๆ เรื่องนี้เรื่องใหญ่แน่ๆพี่คะ ตายยยยยยแน่พี่หมอออ พี่หมอเล่นใหญ่แบบนี้ มีเรื่องใหญ่ๆแน่พี่ แต่อีกใจหนึ่งก้แบบ... อยากก้มลงกราบเท้าพี่หมอมากๆ แบบ ขอบคุณนะคะ ฮื้อออออออ
ในส่วนของตอนนี้ก็น้ำตาแตกกันไปค่ะพูดเลย
ฮฮื่อออ สมหวังซักที