เคล็ดลับการเเอ๊บแบ๊ว - เคล็ดลับการเเอ๊บแบ๊ว นิยาย เคล็ดลับการเเอ๊บแบ๊ว : Dek-D.com - Writer

    เคล็ดลับการเเอ๊บแบ๊ว

    หุหุ สำหรับผู้ที่สนใจจ้า

    ผู้เข้าชมรวม

    507

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    507

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ธ.ค. 50 / 10:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    อ่านดูนะคะ

    หวานว่าตลกดี

    55+

    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      > >เคล็ดลับการแอ๊บแบ๊ว (ฮาโครต)Date: Thu, 19 Jul 2007 16:59:01 +0700
      > >
      > >
      > >
      > >
      > >
      > >
      > >
      เคล็ดลับการ "แอ๊บแบ๊ว" วันนี้คุณ "แอ๊บแบ๊ว" กันหรือยัง ?!
      > >
      เคยได้ยินคำว่า " แอ๊บแบ๊ว" กันมั้ยคะ ?
      > >
      รู้สึกว่าอาการนี้กำลังระบาดไปทั่วจริงๆ เป็นยังไงมาดูกัน.. "
      > >
      แอ๊บแบ๊ว" เป็นอาการทางจ(ริ)ตชนิดหนึ่ง
      > >
      มักเกิดขึ้นในเพศหญิงช่วงแรกสาวเป็นต้นไป แต่เดี๋ยวนี้เริ่มลุกลามในผู้ชาย
      > >
      กะเทย และเพศใกล้เคียงด้วย โรคนี้จะมีอาการควบคู่ไปกับภาวะแทรกซ้อน
      > >
      ที่แสดงออกทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้ 1. ดวงตา
      > >
      จากที่เคยมีลูกตาขนาดปกติไม่ว่าขนาดใดก็ตาม คนที่"แอ๊บแบ๊ว"
      > >
      จะมีดวงตากลมบ้องแบ๊ว เกิดประกายวิบวับขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ (
      > >
      สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของคำว่าแอ๊บแบ๊วนั่นเอง) ถ้านึกภาพไม่ออก
      > >
      แนะนำให้ไปดูเอ็มวี เพลงปู ของเนโกะจั๊มพ์ อะโนโนโน่ อย่างนี้ไม่ดี..
      > >
      ช็อตทื่สองสาวเล่นกับกล้อง นั่นแหละใช่เลย!
      > >
      อุปกรณ์เสริมความแบ๊วในข้อนี้ได้แก่ ที่ ดัดขนตา , มาสคาร่า
      > >
      และอายไลเนอร์ ที่จะช่วยขับให้ตาแบ๊วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
      > >
      เดี๋ยวนี้มีคอนแท็ค เลนส์ประเภทเพิ่มขนาดลูกตาดำด้วย..แม่เจ้า
      > >
      แต่มีข้อแม้ว่าควรมีทักษะในการเสริมแต่งนิดนึง
      > >
      เพราะเคยเห็นสาวๆหลายคนทามาสคาร่าหนาเป็นปื้น ขนตาจับเป็นก้อนๆเหมือนขาแมลงวัน
      > >
      อันนั้นออกแนวสยองแล้วล่ะค่ะ เมื่อตาโตขึ้นแล้ว
      > >
      อวัยวะข้างเคียงที่จะมีผลกระทบก็คือ คิ้ว ที่จะเลิกขึ้นนิดๆ
      > >
      หัวคิ้วจะหดเข้าหากันนิดนึง นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนแอ๊บแบ๊วมีสีหน้าดูสงสัย
      > >
      ไร้เดียงสาอยู่ตลอดเวลา
      > >
      สายตาแบบนี้เพื่อนชายหลายคนของอิชั้นสารภาพว่าเห็นแล้วถึงกับร้องอ๊าง
      > >
      สาวคนไหนจะลองทำตาแบ๊วดูก็ไม่ว่ากันค่ะ 2. แก้ม
      > >
      อยากรู้จังว่าใครคือมนุษย์คนแรกที่ตัดสินว่า
      > >
      ผู้หญิงแก้มป่องคือผู้หญิงน่ารัก
      > >
      แก้มป่องจึงเป็นอาการแบ๊วอันดับสองที่ขาดไม่ได้
      > >
      ลำพังคนที่แก้มป่องเป็นธรรมชาติก็ถือเป็นโชคดีของเค้าไปค่ะ
      > >
      แต่สำหรับคนที่แก้มตอบ โหนกปูด กรามสองข้างทำมุมฉากซึ่งกันและกัน
      > >
      เราก็จะได้เห็นอาการพยายามอมลมไว้ในปาก
      > >
      แล้วดันกระพุ้งแก้มให้ป่องออกมาจนกระทั่งดูน่าหยิกเล่น (อิชั้นเคยลองดูแล้ว
      > >
      รู้สึกเหมือนอมน้ำยาบ้วนปากแล้วลืมบ้วนทิ้ง)
      > >
      คนที่แอ๊บแบ๊วจนชำนาญก็จะขนาดแก้มที่ป่องกำลังดีดูน่ารัก
      > >
      แต่สำหรับแบ๊วมือใหม่หลายคนก็พลาด กะไซส์แก้มผิดป่องเป็นปลาทองรักเร่
      > >
      หรือไม่ก็ ชิพกับเดลล์เพิ่งผ่าฟันคุด ก็ถือว่าต้องฝึกกันอีกเยอะ..
      > >
      ได้ไม่ต้องกังวล เพราะถ้าแก้มยังทำให้คุณดูแบ๊วไม่สมใจละก็..ปาก
      > >
      ยังช่วยคุณได้ค่ะ 3. ปาก
      > >
      ไม่ว่าตามปกติใครจะมีริมฝีปากไซส์อ้อมพิยดา หรือจอยรินลณี
      > >
      ปากของสาวแอ๊บแบ๊วจะถูกกำหนดให้มีริมฝีปากบนบางๆ
      > >
      แล้วยกเชิดขึ้นจนเห็นฟันคู่หน้านิดๆ
      > >
      แบบอั้มพัชราภา/แตงโม/เมย์พิชนาฏ/กิ๊บซ่า กิ๊บซี่
      > >
      เกิร์ลลี่เบอรี่และดาราอีกเป็นสิบคน
      > >
      ที่ถ่ายรูปลงหนังสือกี่เล่มๆก็ทำปากแบบเดิมได้ตลอดเวลา
      > >
      ส่วนริมฝีปากล่างขณะแอ๊บแบ๊วนั้นมีข้อบังคับว่า
      > >
      ห้ามเผยอออกมาจนห้อยย้อยแบบโน๊ต เชิญยิ้มเด็ดขาด แต่ต้องเกร็งไว้นิดๆ
      > >
      เบะคางให้ดูคล้ายแอบงอนใครมาหน่อยนึง
      > >
      และทีเด็ดคือต้องยิงมุมปากให้เบี้ยวไปข้างที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งพอประมาณหน้าแบ๊วที่ออกมาจะดูแก่นเซี้ยวแสนซน
      > >
      และทำให้แอบคิดไปเองได้ว่า "ตอนนี้เราหน้าเหมือนโฟร์แล้วล่ะตะเอง.."
      > >
      อย่าลืมรักษารูปปากไว้ตลอดเวลาที่พูดคุยด้วยนะคะ เสียงที่ออกมาจะได้อ้อมแอ้ม
      > >
      พูดไม่ชัด น่ารักน่าถีบ เอ๊ย! น่าจีบ ขึ้นอีกจมเลย 4. เสียง
      > >
      เสียงเป็นอาการทางกายภาพข้อสุดท้ายของโรคแอ๊บแบ๊ว
      > >
      เสียงมาตรฐานการแอ๊บแบ๊วคือเสียงเล็กๆ อู้อี้นิดๆ อ้อนหน่อยๆ
      > >
      ประมาณน้องเบเบ้ หรือจิ๊บ ปกฉัตร อะไรแถบๆนี้
      > >
      ใครที่เคยสอบอ่านร้อยแก้วร้อยกรองแล้วได้คะแนนเต็มมา
      > >
      อาจจะต้องไปตัดปลายลิ้นตัวเองก่อน จึงจะออกเสียงแบ๊วๆแบบนี้ได้
      > >
      น้ำเสียงที่นิยมแอ๊บแบ๊วคือ level ตั้งแต่ 2 เป็นต้นไป
      > >
      ทำอย่างไรก็ได้ให้ผิดอักขระวิธีให้มากที่สุด เช่น จริงเหรอ
      > >
      ออกเสียงเป็น จิ๊ง-ง๋ออออออ ?? ใช่ไหม เป็น ชิเมะ ? /
      > >
      ชิป้ะ ? / ชิม้า ? ไม่เอา เป็น มิอาวววว
      > >
      คือว่า , เอ่อ เป็น คึ่บั่บ / คึ่แบ๊บ / เอิ่ม / อึ่มมม
      > >
      อะไรน่ะ เป็น อึ่หล่ายอ้ะ ? เป็นต้น ตัวอย่างประโยค "
      > >
      อ้าว สวัสดีแก ไม่ได้เจอกันนานมาก คิดถึงสุดๆ ไปกินข้าวที่สยามกันมั้ย
      > >
      เดี๋ยวพี่ชายเราไปส่งล่ะ" เป็น " ฮั้ย! สัสดีแกร..มะได้เจ๊อกึนนานม๊ากกก
      > >
      คิดถึ่งซูดซู๊ดดด ไปกินค๊าวที้ซึ่หย่ามกึนเมะ เด๋วพี๊..ชายเราป้ะส่งแหละ"
      > >
      ฯลฯ วิธีฝึกง่ายๆก็คือยืนหน้ากระจก ฝึกทำหน้าให้แบ๊วที่สุด
      > >
      แล้วลองอ่านข้อความเหล่านี้อัดเสียงใส่เทปเอาไว้
      > >
      ถ้าเปิดฟังแล้วรู้สึกอยากกระโดดถีบตัวเองเมื่อไหร่ แสดงว่าคุณผ่านการ
      > >"
      แอ๊บแบ๊ว" ระดับเบสิคได้แล้วล่ะค่ะ
      > >

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×