. คืนนี้แปลกกว่าทุกคืน  ผมรู้สึกนอนไม่หลับ  แต่จะว่าตื่นก็ไม่เชิง  ผมยืนอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
มืดสนิท  มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดเต็มไปหมด  แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ได้อยู่ในห้องนอนของตัวเอง  รู้สึกร่างกายมันขยับลำบากยังไงพิกลอยู่  เหมือนกำลังล่องลอย
. ลอยอยู่ใต้น้ำ  ผมยังหายใจได้นะ  น่าแปลกทีเดียว  ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาทีละน้อยเลยล่ะ  บางทีผมอาจจะตายตอนนี้เลยก็ได้  พอความคิดเหล่านี้โผล่เข้ามาในมโนสำนึกแล้ว ก็ทำให้ผมนึกถึง “ตัวผมเอง”  ขึ้นมาจับใจ  ถ้าเกิดผมต้องตายไปตอนนี้  ผมมีความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้างนะ ?  ผมจะยอมตายไปโดยที่ไม่ได้เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอย่างนั้นหรือ  ไม่ใช่แน่ๆ ล่ะ  ผมค่อยๆ นึกย้อนความทีละนิดๆ  อย่างช้าๆ  และค่อยๆ เร็วขึ้นๆ  ผมเริ่มนึกออกแล้วล่ะ  ในตอนนั้นเองที่ความมืดที่อยู่ด้านข้างผมก็พลันสว่างออกมา  ภาพแห่งความทรงจำในวัยเด็กของผม
..
    วัยเด็ก
นานเท่าไหร่แล้วนะ  ภาพที่ฉายออกมา  เด็กน้อยอ้วนกลมคนหนึ่ง  กำลังวิ่งเล่น  ในสนามหญ้าในชุดอนุบาล  หกล้ม ซุกซนไปตามประสา  ไม่เคยอยู่สุขเลย  ใช่
จนเกิดเรื่องที่กระจกบานเกล็ดบาดมือถึงกับต้องไปเย็บเกือบสิบเข็ม  ตอนนั้นละมั้ง  ที่ความซุกซนของเจ้าหนูคนนี้หายไป  ความเข้มงวดของพ่อแม่และครูบาอาจารย์เริ่มเข้ามาแทนที่    ให้ตายเถอะ  ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นคนคิดมากนะ    แม้จะยังแค่อนุบาล 2  แต่กลับได้เรียนรู้ถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ
.. นิ้วโป้งเหล่านั้น  เขาไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร  แต่สำหรับเขา มีเพียงความหมายเดียว  นั่นคือ  การที่เพื่อนๆ จะไม่ยอมให้เขาเล่นระบายสีรูปภาพและนั่งโต๊ะด้วยกัน  ทุกครั้ง  ทุกวัน  ที่อาบน้ำประแป้งหลังนอนกลางวัน  สิ่งที่เด็กน้อยต้องเผชิญคือโลกทั้งใบที่หันหลังให้เขา  ปิดกั้น  ด้วยนิ้วโป้ง
..นิ้วโป้งเหล่านั้น  ต้องทนกล้ำกลืนฝืนทนกับสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้  ได้แต่ร้องไห้อย่างน่าสมเพชเวทนาเหลือเกิน  ผมมองย้อนกลับไป  อาจจะเพราะเจ้าเด็กคนนั้น  มันเป็นอะไรที่แปลกประหลาดกว่าคนอื่นก็ได้  เวลาคนอื่นกิน  มันเล่น  เวลาคนอื่นนอน มันเล่น  เวลาคนอื่นเล่น  มันก็จะเล่น    ฟังดูตลกเป็นบ้าเลยนะ
..
    ผมเริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้นมานิดหนึ่งแล้วล่ะ  แสงไฟจากความทรงจำฉายผ่านมาช่วยปรับสายตาของผมให้มองไปรอบๆ ได้มากขึ้น  รวมถึงหัวสมองและความคิดของผมที่แล่นขึ้นมากกว่าเก่าอีกด้วย    และโดยที่ไม่ทันตั้งตัว  ความทรงจำชิ้นใหม่ก็ผุดขึ้นมา  สว่างวาบทางด้านหลังของผม  ผมค่อยๆ แหวกว่ายไปตามความมืดเพื่อไปยังหน้าต่างแห่งความทรงจำนั้นด้วยความลำบากอยู่บ้าง 
    ชั้นประถม
.ความเขี่ยวเข็ญจากการเรียนในช่วงประถมต้นของเจ้าหนูคนนี้ เคี่ยวกรำให้มันเป็นเด็กที่เก่งที่สุดในชั้นเลยล่ะ  ไม่เคยเรียนได้ต่ำกว่าที่ 5 ของห้อง แต่มันก็แค่นั้น
.ดูเหมือนบทเรียนต่อเนื่องจากอนุบาลจะตามมาเพื่อสอนเด็กน้อยอีกครั้ง  เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กอ้วนกลม  อยากจะลงเล่นบอลกับเพื่อนๆ แต่ก็มีเด็กเกเรคนหนึ่ง  คอยกีดกันไม่ให้เขาเล่นอยู่ร่ำไป  เด็กน้อยไม่เคยเข้าใจ
เขารู้สึกเป็นทุกข์  รู้สึกว่าการที่เขาเรียนเก่งไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดี  หรือเป็นที่โดดเด่นภาคภูมิใจกับใคร  เขาพยายามฝึกฝน  พยายามเล่น  แต่ก็ยังไม่เป็นผล    เขาเกลียด
..เกลียดเด็กเกเรคนนั้น  เกลียดคนที่มาว่ากล่าวถึงปมด้อยของตัวเขาเอง  และเริ่มระบายความรู้สึกอึดอัดอั้นตันใจเหล่านั้นด้วยกำปั้น  เขาชกทุกคนที่เข้าข่าย  หรือเมื่อไม่พอใจ  เด็กน้อยทำให้พ่อแม่เริ่มลำบากใจ  เพื่อนๆ เริ่มห่างเหิน  แต่เขาก็ยังไม่สามารถระบายความอึดอัดเหล่านี้ได้อยู่ดี
..
    สำหรับผมแล้ว  ช่วงเวลานั้น  คือการเรียนรู้ความเจ็บปวดในขั้นแรก
ผมยังเด็ก  ผมไม่เคยเข้าใจหรอกว่าเพราะอะไร  หรือเพราะเหตุใด  ผมเพียงแต่รู้ว่า  ผมต้องการกำจัดความรู้สึกเหล่านั้นให้หมดไป  ระบายความโกรธใส่คนที่ผมคิดว่าเป็นต้นเหตุ  แต่มันก็แค่นั้น  ในตอนนี้หน้าต่างของความทรงจำเริ่มหม่นหมองลงทีละนิด  ผมพอจะเดาออกแล้วล่ะว่ามันกำลังจะเข้าสู่ช่วงไหน
   
    เด็กน้อยที่น่าสงสาร
.เขาต้องออกจากโรงเรียนเดิมกลางคันเพื่อย้ายไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ที่เขาไม่คุ้นเคย  โรงเรียนที่ห่างไกลจากบ้าน  ด้วยเหตุผลเพราะอยู่ใกล้ที่ทำงานพ่อ และสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า
..อย่างนั้นรึเปล่า  เด็กน้อยแปลงสภาพตัวเองให้เป็นคนร่าเริง เฮฮา แจ่มใส  และอึกทึกครึกโครมที่สุดในชั้นเรียน  แต่เหล่านี้ก็ยังปิดบังความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวตนของเขาได้  เขาเป็นคนคิดมาก  ใจน้อย  และแคร์ความรู้สึกคนอื่นๆ เสมอ  และท้ายที่สุด ด้วยความผิดพลาดในชีวิตที่ตอกย้ำเข้ามาอย่างจัง  เด็กน้อยก็กลับสู่สภาพเดิมที่หนักขึ้นกว่าเก่า  เขาไม่ระบายโทสะอีกต่อไปแล้ว  ( หรืออีกนัยหนึ่งคือ  น้อยลง) หากแต่เขาเก็บตัวเองมากขึ้น
.มากขึ้น  ช่วงเวลาประถมปลายของเด็กน้อยสิ้นสุดที่ ป6 ด้วยความทรงจำที่ขมบาดคอยากจะลืมเลือน  เขากลายเป็นเด็กเรียนดี  แต่เงียบและขี้เกรงใจ  อ่อนแอ  ขี้น้อยใจ  และที่สำคัญ
เขามักจะถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนคนหนึ่งอยู่เสมอ  เขาไม่เข้าใจ  เขาไม่ได้ทำอะไรผิด  แต่ทำไมมีแต่เขาคนเดียวที่ต้องโดนแกล้ง  ที่ต้องโดนทำให้รู้สึกแย่กับชีวิตของตนเองแบบนั้น  เขาเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กสาวคนหนึ่งที่เขาแอบมีใจให้  แต่ดูเหมือนเธอจะไม่คิดอะไรนอกจากที่เขาเป็นคนที่
.. น่าสงสารคนหนึ่ง
   
รสชาติขมสิ้นดี  แม้จะสัมผัสแค่ภาพ  แต่ผมกลับขมในปาก จุกในลำคอ  เหล่านี้คือเรื่องหนึ่งที่เขาพยายามจะกลบฝัง  แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ไม่มีเรื่องดี  เด็กสาวคนนั้น
ชื่ออะไรนะ  นึกออกแล้ว  แต่ก็ช่างเถอะ  ผมเพียงแต่รู้ว่า  มีบางสิ่งที่ทำให้ผมฝังใจกับเธอมากๆ เลยล่ะ  อะไรนะ
.ใช่แล้ว แว่นตา  ผมชอบมองเธอตอนใส่แว่น  ไม่รู้สินะ  มันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมชอบสาวใส่แว่นก็ได้  เอาเถอะ  ในขณะที่ผมกำลังยิ้มเฝืออยู่กับความทรงจำหม่นๆ นี้  แสงสว่างแวววาวก็สะท้อนเข้ามาจากทางด้านบน  สว่างมาก
จนทำให้ตาของผมเกือบพร่า  ผมพยายามที่จะมอง  เห็นเป็นภาพรางๆ  แต่ให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ
    ชีวิตมัธยมต้นเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเขามาก  ด้วยค่าที่ว่าห่างเหินจากสังคมเด็กทั่วไปพอสมควร  การที่เขาสอบติดโรงเรียนรัฐบาลทีชื่อแห่งหนึ่งได้  ก็ย่อมหมายถึงชีวิตใหม่
..ไม่ต้องเจอการกลั่นแกล้ง  เจอเพื่อนใหม่  สังคมใหม่ๆ  ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ 
.. มันช่างเป็นความรู้สึกที่สุดยอดจริงๆ  ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจบ้าง  แต่ก็ไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรง  ชีวิตของเด็กน้อยที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยหนุ่มเริ่มพุ่งสูงสุดในช่วงมัธยมที่ 3  เขาเรียนดีในระดับ Top Ten ของระดับชั้น  เขามีความสุขกับการเรียน  มีเพื่อนที่ดี  มีครูที่ดี  พ่อแม่ภูมิใจ  ไม่มีอะไรที่มากไปกว่านี้แล้วล่ะ
.
    ใช่แล้ว
.. มันเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีและภูมิใจสำหรับผมมาก  ผมรู้สึกได้เลยว่าผมสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ  เป็นอะไรก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น  ผมเริ่มวาดฝัน  เริ่มมีความหวัง  ชีวิตของผมต้องสดใสแน่นอน  ในขณะที่ผมกำลังยิ้มกริ่มอยู่กับความทรงจำอันหอมกรุ่นและสดใสนี้  ทันใดนั้น  แสงสว่างจากความทรงจำชุดนี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไป  สีค่อยๆ หม่นขึ้นเรื่อยๆ
..เรื่อยๆ  ผมตกใจจนถึงขีดสุด  โดยไม่มีสาเหตุ  ผมหันหลังกลับไป  และต้องเผชิญหน้ากับมัน
มัน  ที่ผมไม่อยากจะนึกถึง  ที่ผมไม่อยากจะมีส่วนรับรู้  รวมทั้งลืมไปแล้วว่าตัวของผมเคยมีชีวิตอยู่  ในช่วงเวลาแบบนั้นด้วย
..
    ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่มยังดำเนินต่อไป  ล่องลอยไปกับจินตนาการของตนเอง  แต่ด้วยคำพูดของอดีตที่ตามมาหลอกหลอน  ไม่ว่ายังไง  ความจริงก็ต้องเป็นความจริง  ความประมาทและจมไม่ลงของเด็กหนุ่มทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาในขณะนั้น  เขาสอบไม่ติดโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อแห่งหนึ่ง  และนั่นคือจุดเริ่มต้น
ของความพินาศ
    ชีวิตของเด็กหนุ่มต้องตรากตรำอยู่กับกองตำรา  เริ่มทำให้เขาคิดถึงความหมายที่แท้จริงของตัวตนของตนเองมากขึ้น  การแสวงหาในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเด็กน้อยที่ไม่เคยได้เผชิญโลกอย่างจริงๆ จังๆ แม้สักหน  เขาไม่มีแม้กระทั่งความมั่นใจที่จะดำรงตนต่อไป  ประกอบกับความรู้สึกตกต่ำอย่างถึงขีดสุด  ความรู้สึกภาคภูมิใจถูกแทนที่ด้วยความสงสารและสมเพชตัวเอง  ผ่านวันเวลาอย่างท้อแท้เหนื่อยหน่ายในช่วงต้นของมัธยมปลาย  บ่มกลั่นกลายเป็นระยำต่ำทรามในมัธยมที่ 5
..ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต  เขาเข้ากับเพื่อนๆ ไม่ได้  เขาถูกเคี่ยวกรำจากพ่อแม่ในการเรียน  โดยมีความหวังกับตัวเขาว่าจะกลับมา Top Form ได้อีกครั้งหนึ่ง  เขาโกรธ
..เขาเกลียด  เกลียดทุกอย่าง ความผิดหวังจากทั้งการเรียนและชีวิตที่ไม่สมปราถนาเริ่มประดังประเดจนยากจะทานทน  เขาเริ่มจมตัวเองอยู่กับโลกส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง  เกมคอมพิวเตอร์ (ทุกเกมยกเว้นเกม Online จำพวก Ragnarok ) เขาเล่นมันอย่างบ้าคลั่ง  เล่นจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญ  แต่มันช่างไร้ค่าสิ้นดี  เขาเริ่มหมกตัวเอง  สาปแช่งโลกใบนี้ไปกับเนื้อเพลง Rock , Hardcore , Rap และ  Metal ทั้งหลายที่ประดังเข้ามาในห้วงมโนสำนึก  ที่แทบจะเรียกว่าไร้สำนึกโดยสิ้นเชิง ล่องลอยไปกับความคิดอันเลือนรางไร้สติของตนเอง เขาลองทุกอย่างที่ตรงข้ามกับชีวิตเดิมๆ ของตนเองโดยสิ้นเชิง  โดดเรียน  สูบบุหรี่  หนีเที่ยว
. เขาทำมันเพราะเขาเบื่อตัวเอง  เบื่อชีวิต  และโลกอันเฮงซวยใบนี้เหลือเกิน  แม้ว่าจะพยายามพิสูจน์คุณค่าของตนเองในสิ่งที่ตัวเองเป็น  แต่มันก็ยังไร้ค่าในสายตาของเพื่อนๆ  และคนรอบข้างอยู่ดี
.. เด็กหนุ่มที่หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตถึงกับพยายามจะฆ่าตัวตายถึงสามครั้งในช่วงเวลาสองปี  แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ  ยิ่งส่งให้เขารู้สึกตกต่ำกับชีวิตหนักข้อเข้าไปอีก  แต่อย่างน้อยที่สุด  ช่วงเวลา ม6 ก็ยังมีพื้นที่ให้เขาได้หลบพักใจอีกครั้ง  บ้านเก่า
.กองตำรา  การเรียน  เขาหมกตัวเองเข้าสู่กองตำราอีกครั้งหนึ่ง เคี่ยวกรำตัวเองถึงขีดสุด  แต่ผลตอบสนองที่ได้  กลับเทียบไม่ได้เลยกับกลุ่มคนที่เขาเกลียดชังทั้งหลาย
เขาเปลี่ยนความเกลียดชังเหล่านี้มาลงที่ตัวเอง  เขาเกลียดตัวเอง  เกลียดทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายของตน  ที่ทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้  และเริ่มหมกตัวเองกับโลกส่วนตัวและกองตำราหนักขึ้นไปอีก  ภาพพจน์ของเด็กหนุ่มกลายเป็นเพียงตัวตลกในสายตาผู้ชาย  และตัวที่น่ารำคาญในสายตาของผู้หญิงในห้อง  เขาอยู่คนเดียวอย่างแท้จริงแล้ว
.มีเพียงตัวเขาคนเดียว
   
หากจะกล่าวกันโดยคำหยาบคายถึงขีดสุดแล้ว  คงต้องขอบอกเลยว่า  นี่เป็นช่วงเวลาที่เลวระยำต่ำทรามที่สุดในชีวิตของผมแล้วล่ะ  ผมยืนจ้องมองความทรงจำเหล่านี้ด้วยอารมณ์และความรู้สึกอันชาด้าน  น้ำตาที่ค่อยๆ ไหลลงมาอย่างไม่อาจจะควบคุมได้  เป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย  แต่อย่างน้อยที่สุด
. มันก็คงไม่เลวร้ายไปซะทีเดียวหรอก  ความลำบากและอุปสรรคที่ผมผ่านมาได้  ทำให้ผมรู้สึกแข็งแกร่งและกร้านต่อโลกใบนี้ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ  แต่ถ้าถามกันตรงๆ
ผมขอจดจำความเกลียดชังทั้งหลายของช่วงเวลานี้ให้อยุ่กับตัวเองจะดีกว่า
ในตอนนี้  ภาพของความทรงจำชุดนี้ค่อยๆ หมุนเร็วขึ้น  เร็วขึ้น
. ผมอาจจะข้ามอะไรดีๆ ไปหลายอย่างในช่วงเวลานี้ไปก็ได้  แต่ช่างมันเถอะ  ตอนนี้ภาพเหล่านั้นหยุดแล้ว  แสงสว่างเรืองๆ ค่อยๆ เผยออกมา แม้จะไม่สว่างสดใสเท่ากับภาพตอนมัธยมต้น  แต่มันก็ยังดีกว่าความมืดหม่นที่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
    ชีวิตมหาวิทยาลัยถือเป็นของแปลกใหม่สำหรับเด็กหนุ่ม  สังคมใหม่  เพื่อนใหม่  วิชาเรียนแบบใหม่  แต่เหล่านั้นไม่มีความสำคัญมากไปกว่า  การที่เขาสามารถสอบเข้าได้ตามที่ตัวเองตั้งใจไว้  สามารถยืนยันการมีอยู่ของ “ตัวตน”  ของตนเองได้  ทำให้แม่ภูมิใจ  คืนดีกับพ่อได้หลังจากตั้งแง่ใส่กันมาเกือบปีกว่าๆ  ทุกอย่างดูสดใสไปหมด  ใช่    เขาสนุกกับการเรียนที่นี่มาก  เพื่อนที่ดี  รวมถึงเธอคนนั้น
คนที่เข้ากับเขาได้ดีราวกับเกิดมาเพื่อกันและกัน  เขามีความสุขมาก
จนกระทั่งเธอจากเขาไป  โดยไม่มีสาเหตุ  จากความสุขที่เคยมีให้กัน  กลายเป็นความไม่เข้าใจ  เด็กหนุ่มร้องไห้  เขาร้องไห้อยู่หลายวันทีเดียว  เขาไม่อาจจะตอบคำถามที่คาใจได้เลย  ทำไมเธอต้องไป?  เขาทำอะไรผิด ?  แต่อย่างน้อยประสบการณ์ในวัยเด็กและตอน ม.ปลายก็ได้สอนให้เขาปล่อยวางในบางสิ่ง  พยายามที่จะไม่มองกลับไป  แต่มันก็ทำให้เขากลับมาสู่ความมืดหม่นของชีวิตอีกหนหนึ่ง  แต่รุนแรงน้อยกว่า ม.ปลายมากนัก  ชีวิตของเขายังคงดำเนินต่อไป  จนเขาได้พบกับหนทางในการระบายความอัดอั้นตันใจที่สั่งสมโดยบังเอิญ  และง่ายมาก  ง่ายอย่างคาดไม่ถึง
การเขียน
    เด็กหนุ่มเริ่มเขียน
เขาเขียน  เริ่มต้นด้วยไดอารี่ธรรมดาๆ ของตัวเอง  เลื่อนมาถึงเรื่องสั้นเรื่องแรกของตัวเอง  และมาลงที่นิยายขนาดยาว  ที่เขายังคงเขียนต่อเนื่องไป  ชีวิตของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ  อย่างน้อยที่สุด  เขาก็ได้พบอะไรบางอย่างที่เข้ากับบุคลิกและนิสัยส่วนตัวของตนได้อย่างหนึ่งแล้ว  แต่ชีวิตก็ไม่ได้มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ  ตลอดเวลาเพียงหนึ่งปีสำหรับเขาในการเป็นน้องใหม่ของรั้วมหาลัย  เด็กหนุ่มยอมรับแต่โดยดีว่า  เขาเองก็เป็นคนที่อ่อนไหวไปกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองพอสมควรเหมือนกัน  อย่างน้อยก็สามคน  ที่เขามีใจให้อย่างจริงจัง  และจบด้วยความผิดหวัง  แต่อย่างน้อยมันก็ลดความรุนแรงเจ็บปวดลงไปในทุกครั้ง  เขาอาจจะทำใจได้จริงๆ
ก้าวข้ามสู่ปีที่สองของชีวิตมหาวิทยาลัย  การเรียนที่ยากขึ้น  ความเข้าใจที่ต้องใช้กับเนื้อหาเป็นจำนวนมาก  เด็กหนุ่มเริ่มจะท้อขึ้นมาบ้างแล้วสิ  แต่ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย  เขาตั้งปณิธานเอาไว้ว่า  เขาต้องเรียนจบให้ได้ภายในสี่ปี  ระหว่างนั้นเองที่เขาได้รับการตอบแทนจากความชอบส่วนตัวในการเขียนและเกมคอมพิวเตอร์  และด้วยความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เข้าข่ายใช้ได้    ตอนนี้เด็กหนุ่มได้งานแล้ว
คอลัมนิสต์ในนิตรยสารเกมคอมพิวเตอร์รายเดือนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง  ถือเป็นการเติมความฝันที่อยู่ในหัวใจของเขาที่มีมาแสนนานสักที  เขาสนุกกับงานมาก  ถึงแม้เงินที่ได้มาจะไม่สวยงามมากนัก  ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคและความผิดพลาดเกิดขึ้นอยู่บ้าง  แต่เขาก็ยังคงทำมันต่อไป
..
    ผมเฝ้ามองภาพนั้นแล้วนึกขำในใจ
ใช่  นี่ล่ะตัวผมเองล่ะ  ให้ตายเถอะ  บทความจำนวน 6 หน้าที่บรรณาธิการสั่งไว้ผมทำเสร็จรึยังวะ?  ผมนั่งขัดสมาธิกอดอก  หลับตานั่งนึก  นี่ผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย
. ความรู้สึกที่ดีๆ จากสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง  แต่ในบางครั้ง  อารมณ์และความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นมาในช่วงหลังๆ นี้    ผมเริ่มกลัว
การทำงานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ทุกหยาดเหงื่อแรงงานที่แลกมา  ทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มา  ทำให้ผมเริ่มคิด  ขนาดเป็นเพียงงาน  Side Line  ยังโหดได้ขนาดนี้  ชีวิตข้างหน้าของผมจะเป็นยังไงนะ ?  ตอนนี้ความเข้าใจของผมที่มีกับวิชาภาคเริ่มไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก  ผมเริ่มคิดมาก  ผมจะตามเพื่อนทันรึเปล่า?  ผมจะจบใน 4 ปีรึเปล่า ?  ที่สำคัญ  การที่ผมเป็นแบบนี้  เหมาะสมกับสถานภาพของตนเองกับพื้นที่ที่ตัวเองยืนอยู่รึเปล่า ?  หลายครั้งที่ผมกลัวจนจับใจ
.. ผมนึกออกแล้วว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ  อาจจะเพราะสาเหตุนี้ก็ได้  ในตอนนั้นเองที่สมองผมกำลังแล่นอย่างรุนแรงอย่างไม่สามารถควบคุมได้  ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นอย่างฉับพลัน  และอีกครั้งที่หน้าต่างแห่งความทรงจำผุดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง    ผมยังมีอะไรที่ซ่อนอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ  ก็ความทรงจำกับประสบการณ์ผมมันหมดช่วงนี้แล้วนี่หว่า
. ในตอนนี้อาการปวดหัวของผมเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ แล้ว  ผมค่อยๆ แหวกว่ายความมืดตรงเข้าไปยังหน้าต่างบานล่าสุดที่ผุดขึ้นมา  และมันก็ทำให้ผมประหลาดใจอย่างถึงขีดสุด  เป็นไปไม่ได้
ภาพอนาคตของผมอย่างนั้นเหรอ 
    แสงไฟวูบวาบ  ผู้คนที่ดิ้นเร่าอยู่บนพื้นฟลอร์ตามด้วยเสียงดนตรีที่ดังกระฮึ่ม  แต่เหล่านั้นไม่สำคัญเท่ากับภาพที่จับอยู่ที่ชายคนหนึ่ง  สวมแว่นดำ  กำลังสับเปลี่ยนและหมุนแผ่นเสียงอยู่ด้านหลังเครื่อง  Turntable  ตัวเก่ง  เด็กหนุ่มคนนั้น
. เป็นเวลาเกือบสิบกว่าปีแล้วหลังจากเรียนจบ  สีหน้าที่เพิ่มความแก่วัยขึ้นตามเวลา  เขาเรียนจบมาด้วยความรู้สึกที่ผิดแผกไปจากเพื่อนๆ คนอื่นๆ  เขารู้สึกว่าที่เขาเรียนมามันยังไม่ใช่ในสิ่งที่เขาต้องการ  เขาใช้เวลาเกือบ 5 ปีในการทำงาน  Side Line  ประกอบกับอาชีพหลัก  เก็บหอมรอมริบ  ด้วยเป้าหมายที่แตกต่างจากคนอื่นไป  ในขณะที่คนอื่นสร้างฐานะ  เขาเก็บเงินเพื่อซื้อคอนโดส่วนตัว  ในขณะที่คนอื่นทะยอยแต่งงานกันหมดแล้ว เขายังคงอยู่ตัวคนเดียว  เพื่อนๆ ที่เคยอยู่ช่วยงานในฐานะผู้ร่วมงาน ลดน้อยลง เป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวทีละคนสองคน
    ในขณะที่คนอื่นกำลังไต่เต้าไปตามสายงานของตน  เขากลับยื่นซองจดหมายขอลาออกด้วยเหตุผลที่ว่า  เขามาถึงจุดที่ต้องการทำตามความฝันของตัวเองแล้ว  เขาใช้เวลาต่ออีก 5 ปีในการเรียนรู้และฝึกฝนและอาศัยความหน้าด้านของตัวเอง  จนได้รับการถ่ายทอดวิชาการเล่นแผ่นเสียงจากดีเจเปิดแผ่นในผับแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ  ประกอบกับความรู้ทางคอมพิวเตอร์ที่เขาเรียนมาก็เอามาใช้กับงานด้านเสียงเพลงได้เป็นอย่างดี  ในที่สุดเขาก็ได้ทำในสิ่งเหล่านี้สมใจ  ด้วยวัยสามสิบปลายๆ  ชายหนุ่มมีทุกอย่างที่เขาคาดหวังเอาไว้  ทุกสิ่งที่เขาเคยตั้งความฝันในวัยรุ่นเอาไว้ทุกประการ  แต่เขามีความสุขอย่างนั้นหรือ
.. เขาหาเวลาให้กับตัวเองได้น้อยลงเต็มที  หลายครั้งที่เขาเลิกงานจริงๆ เกือบตีสาม  กลับถึงที่พักเกือบเช้า  เพียงเพื่อล้มตัวลงนอนและมีความสุขกับความเงียบสงบเป็นส่วนตัวของตัวเอง
..จนบัดนี้เขาก็ยังอยู่กับความเงียบ  ไม่ต่างอะไรกับตอนวัยเด็กและวัยรุ่นเลยแม้แต่น้อย  เขาอยู่กับตัวเองมาโดยตลอด  หลายครั้งในวันที่เขาไม่ต้องไปเปิดแผ่นเล่นตามผับ  เขาลุกขึ้นมากลางดึก  มองออกไปนอกหน้าต่างและร้องไห้ออกมา  สังคมเมืองใหญ่  ตัวเขาเพียงคนเดียว  แม้ว่าเขาจะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาในชีวิต  แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืน  ต่างคนต่างไป  บางทีอาจจะมีคนที่คิดจะจริงจังกับเขาอยู่ก็ได้นะ  ในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด  แต่เขาก็ยังมีกลัวที่ยังฝังหัวอยู่  เขาเชื่อว่าเขารับมือกับมันได้  แต่หลายครั้งเหลือเกินที่เขายั้งตัวเองไม่ให้ถลำตัวเองไปมากกว่านั้น  อาจจะเพราะว่าเขาขี้ขลาดเกินกว่าที่จะเผชิญหน้ากับความผิดหวังก็เป็นได้  ไม่มีใครรู้  แต่เขารู้เพียงว่า  เขาเหงาเหลือเกิน
. 
   
. นี่คืออนาคตของผม  อันที่จริง  มันก็ไม่ใช่อนาคตของผมจริงๆ จังๆ อะไรหรอก  มันเป็นสิ่งที่ผมคาดหวังเอาไว้  ผมอยากทำอะไรที่ผมต้องการ  หลีกหนีออกจากกรอบที่ตัวเองเป็นอยู่  หนีจากความทุกข์ใจที่กำลังเผชิญอยู่  แต่สิ่งที่ผมเห็นจากกรอบความทรงจำนี้  ผมเพียงแต่หนีออกไป  เพื่อไปเผชิญกับกรอบอีกกรอบหนึ่ง  ที่หนาวเหน็บและเงียบเหงากว่าที่ผมกำลังเป็นอยู่ซะอีก  บางทีผมอาจจะคิดผิดก็ได้  ทันใดนั้น  กรอบความทรงจำทั้งหมดก็ค่อยๆ จางลง  จนทุกอย่างกลับสู่ความมืดอีกครั้งหนึ่ง  พร้อมทั้งปรากฏกรอบเล็กๆ ขึ้นข้างๆ ตัวผม
    บั้นปลายชีวิตแล้ว
สำหรับชายชราผู้หนึ่ง  ที่ได้แต่นั่งมองเพื่อนร่วมวัยไม้ใกล้ฝั่งด้วยกัน  อยู่กับลูกหลานของตน  บางทีเขาก็มานั่งนึกเสียใจ  เขาปล่อยเวลาให้ผ่านไปเร็วเหลือเกิน
.เปล่าประโยชน์เหลือเกิน  แต่อย่างน้อย  ข้างๆ กายของเขา  ก็ยังมีสตรีผู้หนึ่ง
..ที่อยู่กับเขามาตลอด  เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่เขามี  ในช่วงเวลาที่เขาไม่มีใคร  เขารู้จักกับเธอตอนไหนนะ 
ช่างมันเถอะ  แต่สิ่งที่เขาจำได้ดีเกี่ยวกับตัวเธอคือ  เธอก็ใช้ชีวิตที่รวดเร็วเช่นเดียวกับที่เขาเคยเป็น  ทั้งสองคนต่างเป็นคนเหงาด้วยกันทั้งคู่    เขาอาจจะล่วงหน้าไปก่อนเธอก็ได้  แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว  เพราะทั้งเขาและเธอต่างก็อยู่ด้วยกันในท้ายที่สุด  สัมผัสกับความสงบ
. ที่ทั้งสองคนได้รับรู้และอยู่กับมันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว 
    นี่คือบั้นปลายชีวิตของผมอย่างนั้นสินะ
.. มันอาจจะไม่แน่เสมอไปหรอก  ทุกอย่างมีหนทางความเป็นไปได้เสมอ  แต่ถึงกระนั้น  ภาพอนาคตเหล่านี้ก็สมจริงจนไม่อาจจะปฏิเสธไปได้เลยว่า  มันอาจจะเป็นบั้นปลายสุดท้ายของชีวิตของผมก็ได้  มันอบอุ่น
แต่เป็นความอบอุ่นที่เศร้าเหลือเกิน  ตอนนี้ความมืดค่อยๆ จางหายไป  แสงสว่างค่อยๆ แทนที่มาอย่างช้าๆ  ช้า
.
    ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง  บนเตียงนอนในห้องของผม ห้องที่คุ้นเคย  นาฬิกาปลุกหัวเตียงบอกเวลา 3.00 น  ผมนอนไปเพียงสามชั่วโมงเท่านั้นเอง    น่าแปลก  ผมกลับรู้สึกสดชื่นกว่าทุกวันที่ผ่านมา  ผมนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเตียงสักพักหนึ่ง  ค่อยๆ รวบรวมหัวคิดของผมทีละน้อย  ปะติดปะต่อเรื่องราว  และตัดสินใจว่า  ผมคงมีงานสำคัญบางอย่างที่ต้องทำจริงๆ ในตอนนี้แล้วล่ะ  ไม่รอช้า  ผมรีบสลัดผ้าห่มและเดินตรงไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์  Notebook  ด้วยความตั้งใจบางอย่างที่เต็มหัวใจ  อย่างที่ไม่สามารถหักห้ามใจได้เลย
.
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น