ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

    ลำดับตอนที่ #13 : CHAPTER 12 :: ABOUT DAY ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 126
      14
      15 ม.ค. 62

    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

     

    CHAPTER 12 :: ABOUT DAY ::

     

    ม่านสีอ่อนถูกเปิดออกรับไอแดดอุ่นๆ ซึ่งถูกกรองด้วยกระจกหนาอีกขั้น แสงสว่างจ้าพร้อมสัมผัสอุ่นๆ กระทบเข้าเปลือกตาของอีกคนที่กำลังหลับฝันหวานให้ค่อยๆ ยู่หน้าพลางพลิกตัวตะแครงหันหลังหลบหนีไออุ่นของแดดยามเช้า ซึงยุนเหลือบมองพี่ชายคนดีแล้วต้องส่ายศีรษะน้อยๆ ก่อนทิ้งตัวลงด้านหลัง เอื้อมมือขาวนั้นเขย่ากายสูงของคนขี้เซา

     

    หลังจากคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ตลอดจนได้คำแนะนำปรึกษาดีๆ จากจินอูคนรักของเขาทำให้ซึงยุนคลายความวิตกกังวลหลายๆ อย่างลงไปได้ เขาเริ่มเพิ่มระยะห่างเพื่อไม่ให้ซึงฮุนรู้สึกอึดอัด เริ่มใส่ความห่วงใยลงไปในพื้นที่เล็กๆ ระหว่างกัน ไม่ใช่การบีบรัด และเริ่มทำตัวเป็นน้องชายที่คอยอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เพื่อให้พี่ชายคนดีลิขิตชีวิตของตัวเองบ้าง

     

    เพราะที่ผ่านมา เขากำหนดกรอบให้กับพี่ซึงฮุนมากเกินไป ข้อนี้เขารู้ดี แม้จะเป็นการบีบบังคับทางอ้อมโดยซึงยุนเองก็ไม่รู้ตัวก็ตาม แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว ที่ผ่านมานั้นเขาแทรกแซงชีวิตของซึงฮุนมากเกินไป คอยเตือนให้ซึงฮุนไปพบอาหมอจีวอนเสมอแม้ซึงฮุนจะตระเตรียมตารางชีวิตของเขาเอาไว้แล้ว คอยเตือนให้ซึงฮุนทานข้าวให้ตรงเวลาทั้งที่รู้ดีว่าพนักงานออฟฟิศนั้นมีเวลาพักเป็นเวลา คอยเตือนถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการอาบน้ำ การให้ระมัดระวังตัวยามซึงฮุนจะออกไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ตามร้านสะดวกซื้อใต้ตึก หรือแม้แต่การเปิดไฟในห้องให้สว่างเสมอ เมื่อมาคิดดูดีๆ สิ่งที่เขาคอยย้ำเสมอในทุกๆ วันมันอาจทำให้ซึงฮุนอึดอัดและรำคาญอยู่ไม่น้อย แต่พี่ชายคนดีไม่ท้วงหรือบ่นออกมาให้เห็นเพราะคงไม่อยากทำให้เขารู้สึกแย่ก็เป็นได้

     

    "พี่ซึงฮุน ..." เจ้าของกายสูงมีพลิกตัวบ้างเล็กน้อยก่อนร้องเสียงงัวเงียลอดจากลำคอพลางตะแคงหันหลังให้กับน้องชาย คอเสื้อยืดย้วยๆ นั้นรั้งออกเผยให้เห็นท้ายทอยขาวแต่งแต้มด้วยรอยสักสีฟ้าสวย แค่รอยสักไม่ได้ทำให้ซึงยุนรู้สึกแย่อะไรหรอก หากแต่ร่องรอยสีแดงเป็นจ้ำราวคราบของไวน์แดงยังคงไม่จางหายไปจากผิวหนังขาวๆ นั้นจนซึงยุนนึกอยากเปิดประตูออกไปฟาดหมัดใส่หน้ามินโฮซึ่งอยู่ห้องตรงกันข้ามกัน ถึงอย่างนั้นก็ต้องสะกดจิตตัวเองให้สงบและเย็นลงเมื่อปล่อยให้ทั้งพี่ชายคนดีและซงมินโฮคนฉวยโอกาสนั้นคบกันอย่างเปิดเผย "เช้าแล้วนะพี่ซึงฮุน ... จะนอนไปถึงไหน ? ตื่นไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานได้แล้ว"

     

    "ฮือ ... ซึงยุนอ่า ..." กายยาวที่ยังขดอยู่ใต้ผ้าห่มนวมขาวฟูพลิกตัวหันมาทางอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตแม้จะพยุงหนังตาหนักๆ ให้ลืมขึ้นมามองหน้าคู่สนทนาด้วยความยากลำบาก ซึงฮุนพยายามหรี่ตาเรียวเล็กมองน้องชายสุดหล่อซึ่งนั่งกับขอบเตียง ซ้ำยังเปล่งออร่ารอบตัวด้วยรังสีของดวงสุริยันสีทองจากทางด้านหลัง ซึงยุนสวมเสื้อแจ็คเก็ตทับเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์ขาดเป็นริ้วๆ ไล่ตั้งแต่ต้นขายาวมาถึงใต้เข่านั้นพร้อมกับการออกไปเผชิญโลกภายนอกแล้ว "ขอนอนอีกสักห้านาทีได้ไหม ?"

     

    "ไม่ดื้อนะครับ ลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานได้แล้ว วันนี้ยุนจะกลับบ้านแล้วนะ"

     

    "หืม ? ทำไมกลับเร็วจัง ? เพิ่งอยู่ด้วยกันแค่สองวันเอง"

     

    "ต้องกลับไปเรียนน่ะ" ซึงยุนว่าพลางขยับกายลุกขึ้นยืนก่อนขายาวจะก้าวสั้นๆ ไปยังปลายเตียง กระเป๋าเป้ใบโตที่ถูกรูดซิปปิดเอาไว้แล้วเรียบร้อย มือขาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสัมผัสกับสายสะพายผ้าซึ่งดูดซับไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเอาไว้ พาดให้สัมภาระทั้งหมดทิ้งน้ำหนักตัวรั้งไปบนแผ่นหลังติดจะกว้างนั้น "พี่ฮุน ... ถ้าวันไหนมินโฮทำพี่เสียใจให้รีบบอกน้องนะ วันนั้นน้องจะรีบนั่งรถไฟมารับพี่กลับปูซานทันที"

     

    "ซึงยุนอา ..."

     

    "อย่าปฏิเสธความห่วงใยของน้องนะ พี่ฮุนก็รู้ว่าผมน่ะเป็นห่วงพี่มากแค่ไหน"

     

    "โอเคครับๆ ไม่เถียงอะไรแล้วทั้งนั้น" ผู้เป็นพี่รีบผุดลุกขึ้นจากเตียงนอนแม้ความเหนื่อยล้ายังคงครอบงำอยู่ เมื่อคืนหลังจากโดนเซอร์ไพร์สด้วยการถูกมินโฮพาไปดูวิวแม่น้ำฮันยามค่ำคืน สติที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนั้นก็แตกซ่านไปเสียหมด น้ำตาที่ไม่รู้ว่าดวงตาไปหาน้ำจากไหนมากลั่นถึงได้ไม่หยุดไหลเสียที ทันทีที่ถึงห้อง แสงไฟทุกดวงสว่างไสวขึ้นนั้นทำเอาซึงฮุนแทบหมดแรง เดือดร้อนมินโฮต้องพยุงไปส่งเขาถึงเตียงนอนพร้อมจูบร่ำลาแสนหวาน แค่คิดก็ทำเอาเจ้าของแก้มฟูรู้สึกร้อนรุ่มไปแล้วทั้งกาย "พี่ยืนยันนะว่าพี่เชื่อใจมินโฮ ซึงยุนไม่ต้องเป็นห่วงพี่เรื่องนี้นะครับ"

     

    "ไม่รู้แหละ ห่วงอยู่ดี"

     

    "เด็กน้อย" ผู้เป็นพี่ชายหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงนิ่มก้าวฉับๆ พลางโซเซเนื่องจากอาการงัวเงียหลังโดนปลุกแม้จะลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ ไปแล้วหลายนาที แต่ในเมื่อร่างกายยังไม่ทันสามารถตั้งหลักได้ก็ทำให้เกิดอาการเสียศูนย์ถ่วงได้เหมือนกัน "ไม่ไว้ใจพี่แล้วหรอ ? หืม ?"

     

    มือหนาวางลงบนศีรษะทุยของเจ้าแก้มคนน้องก่อนใบหน้ากลมๆ จะโอนเอนไปตามแรงเนื่องจากเจ้าแก้มคนพี่จับหัวของเขาส่ายไปมาราวกับตุ๊กตาล้มลุกที่เอียงเอนทันทีเมื่อถูกผลัก

     

    "ไว้ใจ ..." ซึงยุนปัดมือของพี่ชายออก ปากอิ่มอ้าบ่นงุบงิบไร้เสียง มือก็ถูกยกขึ้นปัดเรือนผมสีเข้มให้เข้าทรงเช่นเดิม "ผมไว้ใจพี่นะครับ แต่ไม่ไว้ใจมินโฮ ... เห้อ ... พูดไปพี่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมไปดีกว่าเดี๋ยวไม่ทันรถไฟรอบเช้า ดูแลตัวเองด้วยนะครับพี่ซึงฮุน แล้วน้องจะมาเยี่ยมบ่อยๆ"

     

    "หืม ? เยี่ยมบ่อยๆ คังซึงยุน ... ปกตินายไม่ชอบเข้ามาในโซลนี่นา เกิดอะไรขึ้นกับนายเนี้ยถึงอยากเข้ามาบ่อยๆ ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยใช่ไหม ?"

     

    "ไม่บอกหรอก !"

     

    ซึงยุนยกมือขึ้นโบกไหวๆ พร้อมยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผู้เป็นพี่มาดกวนหนึ่งทีก่อนเปิดประตูหายออกจากห้องไป ปล่อยให้ซึงฮุนเอ๋อไปชั่วขณะกับการกระทำเป็นว่าเล่นนั้น เมื่อได้สติเจ้าแก้มคนพี่คิดอยากจะตามไปตีหัวดีดเหม่งเสียทีให้เลิกกวนใส่ แต่เมื่อวิ่งตามออกมาแล้วนั้นก็ต้องพบเพียงความว่างเปล่าเมื่อประตูบานเขื่องถูกปิดลงสนิทพร้อมสัญญาณเสียงเตือนว่าประตูนั้นปิดลงแล้วอย่างสนิท

     

    "คังซึงยุน !"

     


     

    รถยนต์คันงามจอดเทียบฟุตบาทหน้าบริษัทอีกครั้ง ท่ามกลางผู้คนเดินสวนกันไปมา อากาศอบอุ่นยามเช้าไม่ได้ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกตื่นตัวเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันความง่วงยังคงโรยตัวอยู่เหนือศีรษะ ปากหยักบางอ้าหาวหวอดเสียกว้างจนผู้โดยสารด้านข้างที่กำลังปลดสายเข็มขัดนิรภัยนั้นต้องเอื้อมมือไปตีเข้ากับต้นแขนแกร่งแม้จะมีแขนเสื้อแจ็คเก็ตสีดำคลุมอยู่ก็ตาม แต่นั้นก็เจ็บปวดอยู่ไม่น้อยเมื่อคนถูกกระทำไม่ทันตั้งตัว

     

    "ซึงฮุนอา ... เจ็บนะ"

     

    "ใครใช้ให้หาวปากกว้างแบบนั้นล่ะ ? น่าเกลียด บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาส่ง ออฟฟิศก็อยู่แค่นี้ ฉันเดินมาทำงานของฉันทุกวันก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย นายเลยไม่ได้หลับไม่ได้นอน เมื่อคืนก็ต้องร้องเพลงจนใกล้สว่างอีก ให้บ่นหน่อยเถอะ แล้วนี่อะไร ดื่มไปเท่าไหร่เนี้ย ? กลิ่นเหล้าถึงได้หึ่งลอยออกมาขนาดนี้"

     

    "เดี๋ยวครับคุณซึงฮุน ทีละคำถามก็ได้ ให้ตัวเองได้หายใจบ้าง"

     

    "ยังจะเล่นอีกนะมินโฮ" นิ้วชี้ยกขึ้นพลางทำหน้าดุใส่เจ้าของใบหน้าคมคาย มินโฮเห็นท่าทางของคนรักแล้วก็ต้องหลุดขำ ขนาดทำหน้าดุยังน่ารักได้ขนาดนี้ ความน่ากลัวอยู่ตรงไหนกันนะพ่อดวงตะวัน "ขำอีก เดี๋ยวพ่อก็ตีให้แขนลายเลยนี่"

     

    "โหดจริง ... เมียใครเนี้ย"

     

    "หยาบคายนะ" แม้มือขาวจะกระหน่ำฟาดลงบนต้นแขนด้านขวาของมินโฮแต่ก็ไม่สามารถแก้อาการเขินได้เมื่อเจ้าคนหยาบคายหลุดปากพูดสถานะของของเขา ดวงหน้านิ่มเห่อร้อนจนแดงจัดลามไปถึงใบหูราวกับมะเขือสุกที่เจ้าตัวชอบทานเป็นประจำ ผู้โดยสารรีบเปิดประตูเหล็กก่อนกระโดดออกไปจากตัวรถ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมยืดตัวกลับเข้าไปภายในห้องโดยสารเพื่อจุ๊บเบาๆ เข้ากับริมฝีปากของใครอีกคน "กลับบ้านไปนอนพักผ่อนได้แล้ว นายทำงานกลางคืน นอนไม่พอเดี๋ยวจะป่วยเอาได้นะ"

     

    "เป็นห่วงกันใช่ไหมครับ ? คุณเมีย ..."

     

    "จะไม่ห่วงเพราะเอาแต่พูดว่าฉันเป็นเมียอยู่นี่แหละ"

     

    "เรื่องจริงนี่นา"

     

    "ไปทำงานแล้ว !"

     

    แผ่นหลังติดจะกว้างภายใต้เสื้อสูทสีเทานั้นค่อยๆ หายเข้าไปในตัวอาคารทรงสูง ออฟฟิศของมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่ต้องมีดีไซน์สวยงามเหมือนอย่างคลับที่เขาถือหุ้นอยู่ แม้เขา พี่จียง พี่จินอู หรือแม้แต่กูจุนฮเว นักร้องอีกคนในคลับจะมีหน้าตาดึงดูดให้สาวๆ ทั้งหลายเข้ามาพักผ่อน แต่หากสถานที่ไม่สวยเหมือนหน้าตาของพนักงานก็ไร้ความหมายเหมือนกันไม่ใช่หรอ ?

     

    มือขวายกขึ้นกุมแผ่นอกด้านซ้ายซึ่งมีก้อนเนื้อหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่พร้อมความรู้สึกแปลกประหลาด อาการใจแกว่งหรือปวดหน่วงๆ ก่อนหน้านี้มันได้จางหายไปหมดแล้ว มินโฮได้แต่คิดทบทวนแท้จริงแล้วเขานั้นกลัวความรักหรือแค่กลัวคำว่าผิดหวังจากสิ่งที่เรียกว่ารักกันแน่

     

    อย่างที่คิมจินอูเคยถาม ... ถ้าอาการเหล่านั้นเรียกว่ากลัวความรัก แล้วทำไมต้องเป็นอีซึงฮุน ?

     

    หรือเพราะคำว่า 'ขาดหาย' ของกันและกันทำให้ทั้งสองคนมาเจอกัน เพื่อจะเป็นสิ่งเติมเต็มให้ชีวิตสมบูรณ์ มินโฮกลัวคำว่ารัก ซึ่งซึงฮุนมีความรักที่บริสุทธิ์อยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจ พร้อมจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คนรอบข้างเสมอ ในขณะที่ซึงฮุนเองก็กลัวความมืด และเขาเองคือคนกลางคืนมาโดยตลอดเวลาเกือบสองปี นั้นอาจเป็นชะตาให้ฟ้าดึงเขาและซึงฮุนให้มาเจอกันก็เป็นได้

     

    เรื่องนี้ อาจต้องพึ่งหมอจีวอน เรื่องนี้หมออาจจะช่วยได้

     

    บุหรี่มวนยาวถูกดึงออกมาจากซองหลังจากที่ซุกซ่อนไว้ตามช่องเล็กช่องน้อยตามรถอยู่นานเพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้โดยสารตัวขาวนั้นเหม็นเอาได้ ไฟร้อนถูกจุดพร้อมเผากระดาษอัดสารเสพติดจนส่งควันเทาๆ ลอยขึ้นเหนืออากาศ กระจกรถยนต์นั้นถูกเปิดออกเล็กน้อยก่อนที่มือหนาจะส่งไปเคลื่อนคันเกียร์พร้อมเหยียบคันเร่งทะยานให้พาหนะสี่ล้อเคลื่อนออกไปตามถนน

     

    มือหนาข้างหนึ่งคีบมวนบุหรี่สีขาว อีกหนึ่งมือยังคงบังคับพวงมาลัยรถ แต่สมองไม่อาจหยุดให้คิดถึงเรื่องของซึงฮุนได้เลย

     

    ต้องนานแค่ไหนนะกว่าความกลัวที่อีกคนเป็นจะจางหายไป ?

     

    ต้องใช้เวลาสักกี่นาทีกว่าซึงฮุนจะเห็นความพยายามของเขาว่าเขานั้นทุ่มเทเพียงใดกับคำว่ารักที่มีให้

     

    และต้องรออีกนานเพียงใดกว่าซึงฮุนจะยอมพูดคำว่า 'รัก' กับเขา

     

    แม้การกระทำผ่านทางกายจะพิสูจน์แล้วว่าซึงฮุนก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเขา แต่อย่างน้อยให้มินโฮได้ยินจากปากของคนรักบ้างว่ารัก ไม่ใช่ให้มินโฮเดาเอาเองผ่านการจูบ การกอด หรือสัมผัส

     

    พวงมาลัยอันกลมถูกหักเลี้ยวให้ตัวรถเคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ของโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ คอนโดของเขา ที่ที่ซึงฮุนเคยถูกส่งตัวมารักษาเมื่อไม่นานมานี้ รถยนต์คันงามเคลื่อนลงชั้นใต้ดินซึ่งเป็นลานจอดรถกว้างขวาง ทันทีที่รถจอดสนิทบุหรี่ในมือก็แทบหมดมวน มินโฮเดินวนหากระบะสำหรับปักก้นบุหรี่อยู่สองนานจนพบมันซ่อนอยู่หลังกำแพงด้านหนึ่ง อากาศร้อนชื้นในชั้นใต้ดินทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ จึงรีบจ้ำอ้าวไปยังลิฟต์โดยสารเพื่อนำให้ขึ้นไปยังชั้นบนซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการรักษาและพยาบาลผู้ป่วย

     

    ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลคือจุดแรกที่เขาตรงไป เนื่องจากว่าไม่ทราบว่าคนที่เขาต้องการมาพบนั้นอยู่หรือไม่

     

    "สวัสดีค่ะ"

     

    "สวัสดีครับ ต้องการพบหมออึนจีวอน ไม่ทราบว่าอยู่หรือเปล่าครับ ?"

     

    คำทักทายและความต้องการถูกเอ่ยเสียงต่ำ สีหน้าแววตาเรียบเฉยนั้นอาจเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งให้เจ้าตัวถูกจับตามองรวมถึงเป็นที่สนใจของเหล่าพยาบาลและผู้ป่วยผู้หญิง 

     

    "อ่า ... วันนี้คุณหมออึนจีวอนเข้ามาอยู่ค่ะ อยู่ในห้องให้คำปรึกษาแผนกจิตเวชชั้นสี่ค่ะ"

     

    "ขอบคุณครับ"

     

    ขายาวก้าวฉับตรงไปยังลิฟต์ใกล้ๆ อากาศเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศและกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยคลุ้งไปทั่วจนมินโฮอยากกลั้นหายใจไว้นานๆ เขาไม่เคยชอบกลิ่นของโรงพยาบาล ครั้งล่าสุดที่เข้าโรงพยาบาลคงเป็นช่วงดื่มหนักเพราะคำว่ารักทอดทิ้งเขา แต่วันนี้เขากลับเข้ามายังสถานที่นี้อีกครั้งเพราะคำว่ารักเช่นกัน

     

    ตลกสิ้นดี ...

     

    ประตูโลหะออกเผยให้เห็นประตูห้องสีขาวพร้อมป้ายชื่อบุคคลที่เขาต้องการพบ ไม่รอช้า เท้าออกวิ่ง มือยื่นไปบิดกลอนประตูเย็นเฉียด ออกแรงผลักเพียงน้อยนิดก็พบกับคุณหมอคนเก่งนั่งไขว่ห้างพลางดื่มกาแฟกรุ่นท่าทีสบายราวกับรู้อยู่แล้วว่ามินโฮจะมา

     

    "นั่งก่อนสิมินโฮ นายคงมีหลายอย่างที่อยากรู้เกี่ยวกับซึงฮุนสินะ"

     

    "หมอรู้ ... ?"

     

    แม้จะยังสงสัยในความหยั่งรู้ของหมอวัยสี่สิบปีแต่ก็ยอมสาวเท้าเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยมขาวก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟาสีเดียวกับผนังทั้งสี่ด้าน เขาเผลอเสียมารยาทด้วยการพิงพนักด้านหลังพลางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นค้ำไปทางด้านหลัง ขายาวยกขึ้นไขว่ห้างปล่อยสบาย

     

    จิตแพทย์ใต้เสื้อกาวน์สีสะอาดไม่ได้มองตาขวางหรือแสดงท่าทีว่ารำคาญตาเนื่องจากเด็กคนนี้ไร้มารยาทแต่อย่างไร กลับเข้าใจอาจเพราะบุคลิกภาพของเจ้าหนุ่มผมสีสว่างคนนี้ จีวอนขยับมานั่งโซฟาเดี่ยวเข้าชุดกันกลางห้องก่อนเพ่งมองเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคนไข้แต่รักเป็นหลานอย่างซึงฮุนไปเสียแล้วด้วยความเอ็นดู คนถูกจับจ้องกลับรู้สึกอึดอัดเสียได้ รีบเปลี่ยนท่านั่งให้สมกับที่พ่อเลี้ยงอย่างชเวซึงฮยอนสั่งสอนมาเป็นอย่างดี สายตาของหมอจีวอนประกายความเอ็นดูแบบนั้นแล้วกลับทำให้มินโฮรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เผลอลูบไล้ต้นแขนตัวเองเบาๆ แม้จะมีเสื้อแขนยาวปกคลุมอยู่ก็ตาม

     

    เครื่องปรับอากาศเสียหรืออย่างไร ทำไมถึงได้หนาวขึ้นมาเสียดื้อๆ ?

     

    "ฉันว่าฉันพอรู้จุดประสงค์ที่นายมาหาฉันถึงที่นี่ ..." เมื่อคิดได้ว่าต้องทำการต้อนรับคนไข้ระดับวีวีไอพี จิตแพทย์คนเก่งก็ขยับกายลุกขึ้นเดินไปอีกมุมหนึ่งของห้อง ซองกาแฟสำเร็จรูปถูกฉีกพร้อมกับเทลงแก้วเซรามิคอย่างบรรจง น้ำร้อนที่ถูกกดจากกาไฟฟ้าส่งให้กลิ่นหอมละมุนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องดื่มสีเข้มนั้นลอยคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ช้อนสแตนเลสคันเล็กถูกนำมาผสมให้ของเหลวในแก้วเข้ากันเป็นอย่างดี ก่อนคุณหมอคนเก่งจะยื่นมันไปยังคนไข้ของเขา "เรื่องซึงฮุนสินะ ..."

     

    "อาหมอของซึงฮุนนี่ ... เป็นจิตแพทย์หรือหมอดูกันแน่นะ ? ถึงได้รู้ลึกรู้จริงอะไรขนาดนั้น"

     

    "จิตแพทย์น่ะ อ่านความรู้สึกของคนเก่งนะจะบอก ..." ชายชุดขาวทิ้งตัวลงโซฟาตัวเดิมอีกครั้ง ก่อนส่งสายตาจ้องมองใบหน้าหล่อคมคายนั้น ทำเอามินโฮอึดอัดขึ้นมาอีกครั้งแม้จะมีกาแฟร้อนๆ ช่วยให้ผ่อนคลายลงบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจผ่อนคลายลงได้หากยังโดนจ้องอยู่แบบนี้ "มินโฮ นายมาที่นี่เพราะอยากช่วยซึงฮุนเหมือนที่ฉันกำลังทำอยู่ใช่ไหม ?"

     

    "ใช่ครับ ..." ถ้วยเซรามิกถูกวางลงบนโต๊ะเล็กตรงหน้า แววหน้าจริงจังประกายลอดเมื่อคุณหมอพูดถึงซึงฮุน "ผมอยากให้ซึงฮุนหายจากความกลัวต่างๆ หมอรักษาด้วยยาและคำปรึกษา ส่วนผมจะใช้หัวใจเข้าเยียวยา ..."

     

    "มีเหตุผลดีนี่"

     

    "ผมไม่รู้หรอกนะว่าซึงฮุนเป็นแบบนี้มานานเท่าไรแล้ว ผมรู้เพียงอยากทำให้คนที่ผมรักใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปเขาเป็นกัน ไม่ต้องมาคอยพะวงถึงกลางวันหรือกลางคืน ไม่ต้องคอยห่วงกังวลว่าต้องรีบกลับบ้านหลีกหนีผู้คนและโลกที่สวยงามใบนี้"

     

    "มินโฮ ... เรื่องนี้น่ะ แม้แต่ฉันที่พยายามมาทุกเดือนก็ทำให้ซึงฮุนอาการดีขึ้นแค่เพียงสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น ถ้าจะให้หายแบบจริงๆ จังๆ คงต้องใช้เวลา ซึงฮุนเจอกับความบอบช้ำทางจิตใจมาเยอะ จนมันสะสมเป็น PTSD ไม่แปลกที่การรักษาจะยาวนานและไม่ค่อยได้ผลหากมีอะไรมากระทบจิตใจของซึงฮุนจนสิ่งที่หัวใจพยายามพับเก็บเอาไว้มันถูกปลดปล่อยออกมา ..."

     

    "ผมใจร้อน ..."

     

    "ความเร่งรีบไม่ได้ทำให้อาการของซึงฮุนดีขึ้น กลับกันมันอาจส่งผลทำให้ซึงฮุนกลัวมากขึ้นกว่าเดิม จำไว้นะมินโฮ ถ้าอยากช่วยซึงฮุนจริงๆ นอกจากหัวใจอันอบอุ่นและบริสุทธิ์แล้ว เวลาก็มีส่วนช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของหลานชายฉัน อย่าใจร้อน อย่าประมาทกับหัวใจของซึงฮุน เจ้าเด็กนั้นดูเหมือนคนปกติทั่วไปก็จริง แต่กลับโดนกระทำมามากพอสมควร"

     

    "พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับซึงฮุน"

     

    "ถ้าจะให้เล่าทั้งหมด ... มันคงผิดจรรยาบรรณแพทย์นะ ..." เจ้าคนหยาบหน้าหงอยลงเล็กน้อย จีวอนเห็นเด็กหน้ายุ่งแล้วนึกสงสาร ภาพลักษณ์นิสัยเสียที่เคยเห็นเวลานี้แทบไม่มีหลงเหลือ แพทย์คนดีคิดว่ามองเด็กตัวโตคนนี้ออกตั้งแต่วันแรก ภาพเด็กกายหนาร้องท้วงขอให้ช่วยเหลือชายหนุ่มอีกคนที่ตัวโตกว่ามากนั้นดังลั่นไปทั่วทั้งโรงพยาบาล หากไม่ได้มองเห็นเพียงผิวเผิน ซงมินโฮก็คือเด็กธรรมดาๆ ที่สร้างเกราะกำแพงป้องกันความรู้สึกดีๆ ขึ้นมาบังหน้าปกป้องตัวเองจากความผิดหวังทั้งหมด "แต่ถ้าเป็นนาย คงไม่ผิดอะไร ตอนนี้นายคงเป็นคนคนเดียวกันกับซึงฮุนแล้ว"

     

    ใบหน้าสีน้ำผึ้งเนียนขึ้นริ้วแดงก่ำพาดผ่านโหนกแก้มสวยไปกับคำพูดชวนให้คิดสองแง่สามง่าม คนตรงหน้ายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทีเขินอายของผู้อายุน้อยกว่า สิ่งที่เขาคิดมันถูกต้องทุกประการ เพียงแค่เห็นครั้งแรกก็รู้แจ้งแล้วว่า

     

    ซงมินโฮไม่ได้กลัวความรักอย่างที่ใครๆ เขาว่ากัน ...

     

    เพียงแต่กลัวผลลัพท์ที่ตามมาจากการให้หัวใจใครว่ามันอาจติดลบจนทำให้เขาแทบคลั่งเท่านั้นเอง

     

    "คง ... งั้นมั้งครับ"

     

    "อีซึงฮุนตอนเด็กๆ น่ะ เขาถูกทำโทษด้วยการปล่อยให้อยู่ในห้องปิดตายไร้แสงไฟ ปลอดแสงเดือนและดวงตะวันอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เขาดื้อหรือขัดใจพ่อแม่ จะถูกส่งให้เข้าไปอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านทุกที" ความลับอันน่ากลัวของคนที่เขารักแทบทำให้มินโฮสะอึกออกมาลูกใหญ่ เพียงแค่คำว่าถูกกักขังก็ทำให้ขนอ่อนๆ ตามร่างกายลุกชันไปด้วยความหวาดกลัวเสียแล้ว แต่ซึงฮุนกลับถูกกระทำด้วยพ่อและแม่ คนที่ให้ชีวิตเขา ทำไมถึงได้ใจร้ายกับคนที่มีรอยยิ้มสดใสราวดวงตะวันได้ลงคอ "ความทรงจำเรื่องแย่ๆ นี่คอยตอกย้ำให้ซึงฮุนคิดถึงมันเสมอๆ ทุกครั้งเมื่อฟ้าเริ่มมืดลง ภาพความมืดดำคอยตอกหัวใจของหลานชายฉันให้พ่ายแพ้เสมอจนสะสมเป็นอาการทางจิต ฉันถึงได้เตือนนายเอาไว้ก่อนไงมินโฮว่าการรักษาซึงฮุนน่ะ มันไม่ง่ายเลย ต้องใจเย็นและคอยอยู่ดูแลฮุนอย่างใกล้ชิด"

     

    "ผมเข้าใจแล้วครับ" เด็กหนุ่มพยักหน้ารับกับคำแนะนำรวมถึงความลับที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อน "งั้นหน้าที่รักษาเป็นของหมอไปแล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องหัวใจของหลานชายหมอคนนั้น ... ผมจะคอยดูแลเอง"

     

    แม้ไม่ใช่คำสัญญาแต่เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของมินโฮนั้นประกายออกมาอย่างเห็นได้ชัดทำให้จีวอนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างที่บอกว่าแม้จะรู้จักกับซึงฮุนมานานแค่ไหน แต่คนไข้ของเขานั้นกลับไม่ยอมเปิดใจอะไรเลย เอาแต่เก็บตัว มีเพื่อนร่วมงานแทบจะนับนิ้วได้ การมีคนใจกล้าหน้าด้านเข้ามาพัวพันในชีวิตอย่างมินโฮอีกสักคน คงทำให้ซึงฮุนกล้าเริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ถึงจะยังไม่รู้อนาคตว่าจะไปในทิศทางไหน แต่อย่างน้อยมินโฮอาจทำให้หลานชายบุญธรรมนั้นกลับกลายเป็นคนใช้ชีวิตเป็นปกติโดยสมบูรณ์เลยก็ว่าได้

     

    "ขอบใจนะ อ้อ ... อีกอย่างหนึ่งนะมินโฮ" จิตแพทย์ขยับกายเพียงนิดพลางยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง คู่สายตาประกายโรจน์จ้องเข้าสองตาเรียวคมราวกับกำลังวินิจฉัยอยู่อย่างนั้น หากเป็นคนไข้คนอื่นอาจหลบเลี่ยงหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้ว หากแต่มินโฮไม่ได้กลัว พร้อมจดจ้องสู้ตานั้นด้วย "นายคงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองกลัวความรักสินะ จริงๆ แล้วนายน่ะแค่สร้างเกราะป้องกันความเจ็บปวดจากความรักเท่านั้นแหละ"

     

    "หมอรู้ ?"

     

    "แน่นอนสิ ฉันเห็นจากการกระทำของนายทั้งหมดแหละ" รูปปากหยักของคนอายุมากกว่ายกมุมบางๆ ปลายคางถูกวางไว้บนอุ้งมือเมื่อจีวอนค้ำแขนยาวๆ ลงกับหน้าขาที่ช้อนขึ้นไขว่กัน "หากนายเป็นโรคกลัวความรักจริงๆ นายคงไม่เลือกเป็นนักร้องในคลับที่ถือหุ้นส่วนอยู่ เพราะโรคนี้กลัวการพบปะผู้คน หลีกหนีออกจากสังคมและชอบทำกิจกรรมต่างๆ เพียงคนเดียว นายคงไม่เข้าหาซึงฮุนก่อน และนายคงจะปลีกตัวเองออกจากซึงฮุนเพื่อไม่ให้ตัวเองถลำตัวลึกจนชอบหลานชายของฉันขนาดนี้"

     

    "ตามสืบกันขนาดนี้เลยหรอหมอ ?"

     

    "นายเป็นคนดังย่านฮงแดเชียวนะ ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ" คำว่าคนดังทำให้ผู้ฟังรู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย เรียวปากสีเข้มเนื่องจากเจ้าตัวสูบบุหรี่ยกยิ้มมุมปากพลางเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ ยกกาแฟที่เริ่มอุ่นพอดีดื่มขึ้นจิบช้าๆ ก่อนวางแก้วลงที่เดิมเมื่อลำคอที่เคยแห้งผากนั้นเริ่มชุ่มชื้นเมื่อได้ของเหลวรสเข้มเจือให้ชุ่มคอ "สิ่งที่นายเป็นเพียงเพราะกลัวหัวใจจะถูกทำร้ายอีกครั้งก็เท่านั้น ซงมินโฮ นายเก่งมากแล้วนะที่กล้าก้าวออกมาขนาดนี้ นายกล้าพังกำแพงที่นายสร้างขึ้นมาเองกับมือเพียงเพราะนายทำตามความต้องการของหัวใจ ..."

     

    "แล้วไอ้อาการปวดใจหน่วงๆ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้คนอื่นแล้วรู้สึกดีมาตลอดล่ะหมอ ?"

     

    "คงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของนายกำลังสั่งไม่ให้นายอย่าปีนข้ามกำแพงหัวใจออกไปยังไงล่ะ" จีวอนฉายความจริงจังออกมาทางสีหน้า ผู้ชายสูงวัยตรงหน้ามินโฮยามนี้มีจิตวิญญาณของการเป็นจิตแพทย์สูงเหลือเกิน "คราวนี้นายก็รู้แล้วใช่ไหมว่านายปกติ ไม่ได้ป่วย มีเพียงซึงฮุนเท่านั้นที่ยังไม่กล้าก้าวออกมาจากความกลัวนั้น มินโฮ ... เป็นนายได้ใช่ไหมที่จะช่วยซึงฮุนให้กล้าออกมาเผชิญกับโลกใบนี้แบบจริงๆ จังๆ เสียที"

     

    "ถึงคุณไม่ขอ ผมก็จะช่วยซึงฮุนอยู่แล้วครับ ..." ผู้อายุน้อยกว่าหยัดกายลุกขึ้นจากโซฟานิ่ม ถ้าไม่ตัดสินใจลุกขึ้นมาหวังกายของเขาคงจมยวบจนไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกแน่ๆ "หมอจีวอน ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วผมปกติดี ขอบคุณที่ทำให้ผมเข้าใจว่าตัวเองนั้นรักซึงฮุนขนาดไหน และขอบคุณสำหรับความไว้ใจยอมให้ผมดูแลหลานชายของหมอนะครับ"

     


     

    ตอนนี้อยากขอบคุณคุณอาหมอมากเลยค่ะ

     

    ที่ทำให้คุณซงของเรารู้ใจตัวเองสักที คึคึ

     

    คอยติดตามกันนะคะว่าท้ายที่สุดแล้วคุณอีเขาจะหายจากสิ่งที่เป็นหรือเปล่า ?

     

    เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป คอยติดตามกันนะคะ

     

    #DAYNIGHTSTORY

     

    ปล. เป็นอีกหนึ่งตอนที่สั้นและอัพช้า จริงๆ จะอัพตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ

     

    แต่เนื่องจากกลับมาจากสอบ อาการหน่วงๆ จากการพักผ่อนไม่เพียงพอก็เล่นงาน

     

    บวกกับหยุดงานไปสอบ 2 วันทำให้งานของไซเรนท์กองเป็นภูเขา ต้องเคลียร์กันยกใหญ่

     

    เลยเลื่อนมาแบบนี้

     

    ขอบคุณและขอโทษจริงๆ นะคะ T^T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×