คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : CHAPTER 12 :: ABOUT DAY ::
[#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::
CHAPTER 12 :: ABOUT DAY ::
ม่านสีอ่อนถูกเปิดออกรับไอแดดอุ่นๆ
ซึ่งถูกกรองด้วยกระจกหนาอีกขั้น แสงสว่างจ้าพร้อมสัมผัสอุ่นๆ
กระทบเข้าเปลือกตาของอีกคนที่กำลังหลับฝันหวานให้ค่อยๆ
ยู่หน้าพลางพลิกตัวตะแครงหันหลังหลบหนีไออุ่นของแดดยามเช้า
ซึงยุนเหลือบมองพี่ชายคนดีแล้วต้องส่ายศีรษะน้อยๆ ก่อนทิ้งตัวลงด้านหลัง
เอื้อมมือขาวนั้นเขย่ากายสูงของคนขี้เซา
หลังจากคิดทบทวนเรื่องต่างๆ
ตลอดจนได้คำแนะนำปรึกษาดีๆ จากจินอูคนรักของเขาทำให้ซึงยุนคลายความวิตกกังวลหลายๆ
อย่างลงไปได้ เขาเริ่มเพิ่มระยะห่างเพื่อไม่ให้ซึงฮุนรู้สึกอึดอัด
เริ่มใส่ความห่วงใยลงไปในพื้นที่เล็กๆ ระหว่างกัน ไม่ใช่การบีบรัด
และเริ่มทำตัวเป็นน้องชายที่คอยอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
เพื่อให้พี่ชายคนดีลิขิตชีวิตของตัวเองบ้าง
เพราะที่ผ่านมา
เขากำหนดกรอบให้กับพี่ซึงฮุนมากเกินไป ข้อนี้เขารู้ดี
แม้จะเป็นการบีบบังคับทางอ้อมโดยซึงยุนเองก็ไม่รู้ตัวก็ตาม แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว
ที่ผ่านมานั้นเขาแทรกแซงชีวิตของซึงฮุนมากเกินไป
คอยเตือนให้ซึงฮุนไปพบอาหมอจีวอนเสมอแม้ซึงฮุนจะตระเตรียมตารางชีวิตของเขาเอาไว้แล้ว
คอยเตือนให้ซึงฮุนทานข้าวให้ตรงเวลาทั้งที่รู้ดีว่าพนักงานออฟฟิศนั้นมีเวลาพักเป็นเวลา
คอยเตือนถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการอาบน้ำ
การให้ระมัดระวังตัวยามซึงฮุนจะออกไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ตามร้านสะดวกซื้อใต้ตึก
หรือแม้แต่การเปิดไฟในห้องให้สว่างเสมอ เมื่อมาคิดดูดีๆ
สิ่งที่เขาคอยย้ำเสมอในทุกๆ วันมันอาจทำให้ซึงฮุนอึดอัดและรำคาญอยู่ไม่น้อย
แต่พี่ชายคนดีไม่ท้วงหรือบ่นออกมาให้เห็นเพราะคงไม่อยากทำให้เขารู้สึกแย่ก็เป็นได้
"พี่ซึงฮุน
..."
เจ้าของกายสูงมีพลิกตัวบ้างเล็กน้อยก่อนร้องเสียงงัวเงียลอดจากลำคอพลางตะแคงหันหลังให้กับน้องชาย
คอเสื้อยืดย้วยๆ นั้นรั้งออกเผยให้เห็นท้ายทอยขาวแต่งแต้มด้วยรอยสักสีฟ้าสวย
แค่รอยสักไม่ได้ทำให้ซึงยุนรู้สึกแย่อะไรหรอก
หากแต่ร่องรอยสีแดงเป็นจ้ำราวคราบของไวน์แดงยังคงไม่จางหายไปจากผิวหนังขาวๆ
นั้นจนซึงยุนนึกอยากเปิดประตูออกไปฟาดหมัดใส่หน้ามินโฮซึ่งอยู่ห้องตรงกันข้ามกัน
ถึงอย่างนั้นก็ต้องสะกดจิตตัวเองให้สงบและเย็นลงเมื่อปล่อยให้ทั้งพี่ชายคนดีและซงมินโฮคนฉวยโอกาสนั้นคบกันอย่างเปิดเผย
"เช้าแล้วนะพี่ซึงฮุน ... จะนอนไปถึงไหน ? ตื่นไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานได้แล้ว"
"ฮือ
... ซึงยุนอ่า ..." กายยาวที่ยังขดอยู่ใต้ผ้าห่มนวมขาวฟูพลิกตัวหันมาทางอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตแม้จะพยุงหนังตาหนักๆ
ให้ลืมขึ้นมามองหน้าคู่สนทนาด้วยความยากลำบาก
ซึงฮุนพยายามหรี่ตาเรียวเล็กมองน้องชายสุดหล่อซึ่งนั่งกับขอบเตียง
ซ้ำยังเปล่งออร่ารอบตัวด้วยรังสีของดวงสุริยันสีทองจากทางด้านหลัง
ซึงยุนสวมเสื้อแจ็คเก็ตทับเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์ขาดเป็นริ้วๆ
ไล่ตั้งแต่ต้นขายาวมาถึงใต้เข่านั้นพร้อมกับการออกไปเผชิญโลกภายนอกแล้ว
"ขอนอนอีกสักห้านาทีได้ไหม ?"
"ไม่ดื้อนะครับ
ลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานได้แล้ว วันนี้ยุนจะกลับบ้านแล้วนะ"
"หืม
? ทำไมกลับเร็วจัง ? เพิ่งอยู่ด้วยกันแค่สองวันเอง"
"ต้องกลับไปเรียนน่ะ"
ซึงยุนว่าพลางขยับกายลุกขึ้นยืนก่อนขายาวจะก้าวสั้นๆ ไปยังปลายเตียง
กระเป๋าเป้ใบโตที่ถูกรูดซิปปิดเอาไว้แล้วเรียบร้อย มือขาวค่อยๆ
เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสัมผัสกับสายสะพายผ้าซึ่งดูดซับไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเอาไว้
พาดให้สัมภาระทั้งหมดทิ้งน้ำหนักตัวรั้งไปบนแผ่นหลังติดจะกว้างนั้น "พี่ฮุน
... ถ้าวันไหนมินโฮทำพี่เสียใจให้รีบบอกน้องนะ
วันนั้นน้องจะรีบนั่งรถไฟมารับพี่กลับปูซานทันที"
"ซึงยุนอา
..."
"อย่าปฏิเสธความห่วงใยของน้องนะ
พี่ฮุนก็รู้ว่าผมน่ะเป็นห่วงพี่มากแค่ไหน"
"โอเคครับๆ
ไม่เถียงอะไรแล้วทั้งนั้น"
ผู้เป็นพี่รีบผุดลุกขึ้นจากเตียงนอนแม้ความเหนื่อยล้ายังคงครอบงำอยู่
เมื่อคืนหลังจากโดนเซอร์ไพร์สด้วยการถูกมินโฮพาไปดูวิวแม่น้ำฮันยามค่ำคืน
สติที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนั้นก็แตกซ่านไปเสียหมด
น้ำตาที่ไม่รู้ว่าดวงตาไปหาน้ำจากไหนมากลั่นถึงได้ไม่หยุดไหลเสียที
ทันทีที่ถึงห้อง แสงไฟทุกดวงสว่างไสวขึ้นนั้นทำเอาซึงฮุนแทบหมดแรง
เดือดร้อนมินโฮต้องพยุงไปส่งเขาถึงเตียงนอนพร้อมจูบร่ำลาแสนหวาน
แค่คิดก็ทำเอาเจ้าของแก้มฟูรู้สึกร้อนรุ่มไปแล้วทั้งกาย
"พี่ยืนยันนะว่าพี่เชื่อใจมินโฮ ซึงยุนไม่ต้องเป็นห่วงพี่เรื่องนี้นะครับ"
"ไม่รู้แหละ
ห่วงอยู่ดี"
"เด็กน้อย"
ผู้เป็นพี่ชายหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงนิ่มก้าวฉับๆ
พลางโซเซเนื่องจากอาการงัวเงียหลังโดนปลุกแม้จะลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ ไปแล้วหลายนาที
แต่ในเมื่อร่างกายยังไม่ทันสามารถตั้งหลักได้ก็ทำให้เกิดอาการเสียศูนย์ถ่วงได้เหมือนกัน
"ไม่ไว้ใจพี่แล้วหรอ ? หืม ?"
มือหนาวางลงบนศีรษะทุยของเจ้าแก้มคนน้องก่อนใบหน้ากลมๆ
จะโอนเอนไปตามแรงเนื่องจากเจ้าแก้มคนพี่จับหัวของเขาส่ายไปมาราวกับตุ๊กตาล้มลุกที่เอียงเอนทันทีเมื่อถูกผลัก
"ไว้ใจ
..." ซึงยุนปัดมือของพี่ชายออก ปากอิ่มอ้าบ่นงุบงิบไร้เสียง
มือก็ถูกยกขึ้นปัดเรือนผมสีเข้มให้เข้าทรงเช่นเดิม "ผมไว้ใจพี่นะครับ
แต่ไม่ไว้ใจมินโฮ ... เห้อ ... พูดไปพี่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ผมไปดีกว่าเดี๋ยวไม่ทันรถไฟรอบเช้า ดูแลตัวเองด้วยนะครับพี่ซึงฮุน
แล้วน้องจะมาเยี่ยมบ่อยๆ"
"หืม
? เยี่ยมบ่อยๆ คังซึงยุน ... ปกตินายไม่ชอบเข้ามาในโซลนี่นา
เกิดอะไรขึ้นกับนายเนี้ยถึงอยากเข้ามาบ่อยๆ ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยใช่ไหม ?"
"ไม่บอกหรอก
!"
ซึงยุนยกมือขึ้นโบกไหวๆ
พร้อมยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผู้เป็นพี่มาดกวนหนึ่งทีก่อนเปิดประตูหายออกจากห้องไป
ปล่อยให้ซึงฮุนเอ๋อไปชั่วขณะกับการกระทำเป็นว่าเล่นนั้น
เมื่อได้สติเจ้าแก้มคนพี่คิดอยากจะตามไปตีหัวดีดเหม่งเสียทีให้เลิกกวนใส่
แต่เมื่อวิ่งตามออกมาแล้วนั้นก็ต้องพบเพียงความว่างเปล่าเมื่อประตูบานเขื่องถูกปิดลงสนิทพร้อมสัญญาณเสียงเตือนว่าประตูนั้นปิดลงแล้วอย่างสนิท
"คังซึงยุน
!"
รถยนต์คันงามจอดเทียบฟุตบาทหน้าบริษัทอีกครั้ง
ท่ามกลางผู้คนเดินสวนกันไปมา
อากาศอบอุ่นยามเช้าไม่ได้ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกตื่นตัวเลยแม้แต่น้อย
ในทางกลับกันความง่วงยังคงโรยตัวอยู่เหนือศีรษะ
ปากหยักบางอ้าหาวหวอดเสียกว้างจนผู้โดยสารด้านข้างที่กำลังปลดสายเข็มขัดนิรภัยนั้นต้องเอื้อมมือไปตีเข้ากับต้นแขนแกร่งแม้จะมีแขนเสื้อแจ็คเก็ตสีดำคลุมอยู่ก็ตาม
แต่นั้นก็เจ็บปวดอยู่ไม่น้อยเมื่อคนถูกกระทำไม่ทันตั้งตัว
"ซึงฮุนอา
... เจ็บนะ"
"ใครใช้ให้หาวปากกว้างแบบนั้นล่ะ
? น่าเกลียด บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาส่ง ออฟฟิศก็อยู่แค่นี้
ฉันเดินมาทำงานของฉันทุกวันก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย นายเลยไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เมื่อคืนก็ต้องร้องเพลงจนใกล้สว่างอีก ให้บ่นหน่อยเถอะ แล้วนี่อะไร
ดื่มไปเท่าไหร่เนี้ย ? กลิ่นเหล้าถึงได้หึ่งลอยออกมาขนาดนี้"
"เดี๋ยวครับคุณซึงฮุน
ทีละคำถามก็ได้ ให้ตัวเองได้หายใจบ้าง"
"ยังจะเล่นอีกนะมินโฮ"
นิ้วชี้ยกขึ้นพลางทำหน้าดุใส่เจ้าของใบหน้าคมคาย
มินโฮเห็นท่าทางของคนรักแล้วก็ต้องหลุดขำ ขนาดทำหน้าดุยังน่ารักได้ขนาดนี้
ความน่ากลัวอยู่ตรงไหนกันนะพ่อดวงตะวัน "ขำอีก
เดี๋ยวพ่อก็ตีให้แขนลายเลยนี่"
"โหดจริง
... เมียใครเนี้ย"
"หยาบคายนะ"
แม้มือขาวจะกระหน่ำฟาดลงบนต้นแขนด้านขวาของมินโฮแต่ก็ไม่สามารถแก้อาการเขินได้เมื่อเจ้าคนหยาบคายหลุดปากพูดสถานะของของเขา
ดวงหน้านิ่มเห่อร้อนจนแดงจัดลามไปถึงใบหูราวกับมะเขือสุกที่เจ้าตัวชอบทานเป็นประจำ
ผู้โดยสารรีบเปิดประตูเหล็กก่อนกระโดดออกไปจากตัวรถ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมยืดตัวกลับเข้าไปภายในห้องโดยสารเพื่อจุ๊บเบาๆ
เข้ากับริมฝีปากของใครอีกคน "กลับบ้านไปนอนพักผ่อนได้แล้ว นายทำงานกลางคืน
นอนไม่พอเดี๋ยวจะป่วยเอาได้นะ"
"เป็นห่วงกันใช่ไหมครับ
? คุณเมีย ..."
"จะไม่ห่วงเพราะเอาแต่พูดว่าฉันเป็นเมียอยู่นี่แหละ"
"เรื่องจริงนี่นา"
"ไปทำงานแล้ว
!"
แผ่นหลังติดจะกว้างภายใต้เสื้อสูทสีเทานั้นค่อยๆ
หายเข้าไปในตัวอาคารทรงสูง
ออฟฟิศของมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่ต้องมีดีไซน์สวยงามเหมือนอย่างคลับที่เขาถือหุ้นอยู่
แม้เขา พี่จียง พี่จินอู หรือแม้แต่กูจุนฮเว นักร้องอีกคนในคลับจะมีหน้าตาดึงดูดให้สาวๆ
ทั้งหลายเข้ามาพักผ่อน
แต่หากสถานที่ไม่สวยเหมือนหน้าตาของพนักงานก็ไร้ความหมายเหมือนกันไม่ใช่หรอ ?
มือขวายกขึ้นกุมแผ่นอกด้านซ้ายซึ่งมีก้อนเนื้อหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่พร้อมความรู้สึกแปลกประหลาด
อาการใจแกว่งหรือปวดหน่วงๆ ก่อนหน้านี้มันได้จางหายไปหมดแล้ว
มินโฮได้แต่คิดทบทวนแท้จริงแล้วเขานั้นกลัวความรักหรือแค่กลัวคำว่าผิดหวังจากสิ่งที่เรียกว่ารักกันแน่
อย่างที่คิมจินอูเคยถาม
... ถ้าอาการเหล่านั้นเรียกว่ากลัวความรัก แล้วทำไมต้องเป็นอีซึงฮุน ?
หรือเพราะคำว่า 'ขาดหาย' ของกันและกันทำให้ทั้งสองคนมาเจอกัน
เพื่อจะเป็นสิ่งเติมเต็มให้ชีวิตสมบูรณ์ มินโฮกลัวคำว่ารัก
ซึ่งซึงฮุนมีความรักที่บริสุทธิ์อยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจ พร้อมจะแบ่งปันสิ่งดีๆ
ให้คนรอบข้างเสมอ ในขณะที่ซึงฮุนเองก็กลัวความมืด
และเขาเองคือคนกลางคืนมาโดยตลอดเวลาเกือบสองปี นั้นอาจเป็นชะตาให้ฟ้าดึงเขาและซึงฮุนให้มาเจอกันก็เป็นได้
เรื่องนี้
อาจต้องพึ่งหมอจีวอน เรื่องนี้หมออาจจะช่วยได้
บุหรี่มวนยาวถูกดึงออกมาจากซองหลังจากที่ซุกซ่อนไว้ตามช่องเล็กช่องน้อยตามรถอยู่นานเพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้โดยสารตัวขาวนั้นเหม็นเอาได้
ไฟร้อนถูกจุดพร้อมเผากระดาษอัดสารเสพติดจนส่งควันเทาๆ ลอยขึ้นเหนืออากาศ
กระจกรถยนต์นั้นถูกเปิดออกเล็กน้อยก่อนที่มือหนาจะส่งไปเคลื่อนคันเกียร์พร้อมเหยียบคันเร่งทะยานให้พาหนะสี่ล้อเคลื่อนออกไปตามถนน
มือหนาข้างหนึ่งคีบมวนบุหรี่สีขาว
อีกหนึ่งมือยังคงบังคับพวงมาลัยรถ แต่สมองไม่อาจหยุดให้คิดถึงเรื่องของซึงฮุนได้เลย
ต้องนานแค่ไหนนะกว่าความกลัวที่อีกคนเป็นจะจางหายไป
?
ต้องใช้เวลาสักกี่นาทีกว่าซึงฮุนจะเห็นความพยายามของเขาว่าเขานั้นทุ่มเทเพียงใดกับคำว่ารักที่มีให้
และต้องรออีกนานเพียงใดกว่าซึงฮุนจะยอมพูดคำว่า
'รัก'
กับเขา
แม้การกระทำผ่านทางกายจะพิสูจน์แล้วว่าซึงฮุนก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเขา
แต่อย่างน้อยให้มินโฮได้ยินจากปากของคนรักบ้างว่ารัก
ไม่ใช่ให้มินโฮเดาเอาเองผ่านการจูบ การกอด หรือสัมผัส
พวงมาลัยอันกลมถูกหักเลี้ยวให้ตัวรถเคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ของโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ
คอนโดของเขา ที่ที่ซึงฮุนเคยถูกส่งตัวมารักษาเมื่อไม่นานมานี้
รถยนต์คันงามเคลื่อนลงชั้นใต้ดินซึ่งเป็นลานจอดรถกว้างขวาง
ทันทีที่รถจอดสนิทบุหรี่ในมือก็แทบหมดมวน
มินโฮเดินวนหากระบะสำหรับปักก้นบุหรี่อยู่สองนานจนพบมันซ่อนอยู่หลังกำแพงด้านหนึ่ง
อากาศร้อนชื้นในชั้นใต้ดินทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ
จึงรีบจ้ำอ้าวไปยังลิฟต์โดยสารเพื่อนำให้ขึ้นไปยังชั้นบนซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการรักษาและพยาบาลผู้ป่วย
ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลคือจุดแรกที่เขาตรงไป
เนื่องจากว่าไม่ทราบว่าคนที่เขาต้องการมาพบนั้นอยู่หรือไม่
"สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีครับ
ต้องการพบหมออึนจีวอน ไม่ทราบว่าอยู่หรือเปล่าครับ ?"
คำทักทายและความต้องการถูกเอ่ยเสียงต่ำ
สีหน้าแววตาเรียบเฉยนั้นอาจเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งให้เจ้าตัวถูกจับตามองรวมถึงเป็นที่สนใจของเหล่าพยาบาลและผู้ป่วยผู้หญิง
"อ่า
... วันนี้คุณหมออึนจีวอนเข้ามาอยู่ค่ะ
อยู่ในห้องให้คำปรึกษาแผนกจิตเวชชั้นสี่ค่ะ"
"ขอบคุณครับ"
ขายาวก้าวฉับตรงไปยังลิฟต์ใกล้ๆ
อากาศเย็นๆ
ของเครื่องปรับอากาศและกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยคลุ้งไปทั่วจนมินโฮอยากกลั้นหายใจไว้นานๆ
เขาไม่เคยชอบกลิ่นของโรงพยาบาล ครั้งล่าสุดที่เข้าโรงพยาบาลคงเป็นช่วงดื่มหนักเพราะคำว่ารักทอดทิ้งเขา
แต่วันนี้เขากลับเข้ามายังสถานที่นี้อีกครั้งเพราะคำว่ารักเช่นกัน
ตลกสิ้นดี ...
ประตูโลหะออกเผยให้เห็นประตูห้องสีขาวพร้อมป้ายชื่อบุคคลที่เขาต้องการพบ
ไม่รอช้า เท้าออกวิ่ง มือยื่นไปบิดกลอนประตูเย็นเฉียด
ออกแรงผลักเพียงน้อยนิดก็พบกับคุณหมอคนเก่งนั่งไขว่ห้างพลางดื่มกาแฟกรุ่นท่าทีสบายราวกับรู้อยู่แล้วว่ามินโฮจะมา
"นั่งก่อนสิมินโฮ
นายคงมีหลายอย่างที่อยากรู้เกี่ยวกับซึงฮุนสินะ"
"หมอรู้
... ?"
แม้จะยังสงสัยในความหยั่งรู้ของหมอวัยสี่สิบปีแต่ก็ยอมสาวเท้าเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยมขาวก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟาสีเดียวกับผนังทั้งสี่ด้าน
เขาเผลอเสียมารยาทด้วยการพิงพนักด้านหลังพลางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นค้ำไปทางด้านหลัง
ขายาวยกขึ้นไขว่ห้างปล่อยสบาย
จิตแพทย์ใต้เสื้อกาวน์สีสะอาดไม่ได้มองตาขวางหรือแสดงท่าทีว่ารำคาญตาเนื่องจากเด็กคนนี้ไร้มารยาทแต่อย่างไร
กลับเข้าใจอาจเพราะบุคลิกภาพของเจ้าหนุ่มผมสีสว่างคนนี้
จีวอนขยับมานั่งโซฟาเดี่ยวเข้าชุดกันกลางห้องก่อนเพ่งมองเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคนไข้แต่รักเป็นหลานอย่างซึงฮุนไปเสียแล้วด้วยความเอ็นดู
คนถูกจับจ้องกลับรู้สึกอึดอัดเสียได้
รีบเปลี่ยนท่านั่งให้สมกับที่พ่อเลี้ยงอย่างชเวซึงฮยอนสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
สายตาของหมอจีวอนประกายความเอ็นดูแบบนั้นแล้วกลับทำให้มินโฮรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
เผลอลูบไล้ต้นแขนตัวเองเบาๆ แม้จะมีเสื้อแขนยาวปกคลุมอยู่ก็ตาม
เครื่องปรับอากาศเสียหรืออย่างไร
ทำไมถึงได้หนาวขึ้นมาเสียดื้อๆ ?
"ฉันว่าฉันพอรู้จุดประสงค์ที่นายมาหาฉันถึงที่นี่
..." เมื่อคิดได้ว่าต้องทำการต้อนรับคนไข้ระดับวีวีไอพี
จิตแพทย์คนเก่งก็ขยับกายลุกขึ้นเดินไปอีกมุมหนึ่งของห้อง
ซองกาแฟสำเร็จรูปถูกฉีกพร้อมกับเทลงแก้วเซรามิคอย่างบรรจง
น้ำร้อนที่ถูกกดจากกาไฟฟ้าส่งให้กลิ่นหอมละมุนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องดื่มสีเข้มนั้นลอยคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง
ช้อนสแตนเลสคันเล็กถูกนำมาผสมให้ของเหลวในแก้วเข้ากันเป็นอย่างดี
ก่อนคุณหมอคนเก่งจะยื่นมันไปยังคนไข้ของเขา "เรื่องซึงฮุนสินะ ..."
"อาหมอของซึงฮุนนี่
... เป็นจิตแพทย์หรือหมอดูกันแน่นะ ? ถึงได้รู้ลึกรู้จริงอะไรขนาดนั้น"
"จิตแพทย์น่ะ
อ่านความรู้สึกของคนเก่งนะจะบอก ..." ชายชุดขาวทิ้งตัวลงโซฟาตัวเดิมอีกครั้ง
ก่อนส่งสายตาจ้องมองใบหน้าหล่อคมคายนั้น
ทำเอามินโฮอึดอัดขึ้นมาอีกครั้งแม้จะมีกาแฟร้อนๆ ช่วยให้ผ่อนคลายลงบ้าง
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจผ่อนคลายลงได้หากยังโดนจ้องอยู่แบบนี้ "มินโฮ
นายมาที่นี่เพราะอยากช่วยซึงฮุนเหมือนที่ฉันกำลังทำอยู่ใช่ไหม ?"
"ใช่ครับ
..." ถ้วยเซรามิกถูกวางลงบนโต๊ะเล็กตรงหน้า
แววหน้าจริงจังประกายลอดเมื่อคุณหมอพูดถึงซึงฮุน "ผมอยากให้ซึงฮุนหายจากความกลัวต่างๆ
หมอรักษาด้วยยาและคำปรึกษา ส่วนผมจะใช้หัวใจเข้าเยียวยา ..."
"มีเหตุผลดีนี่"
"ผมไม่รู้หรอกนะว่าซึงฮุนเป็นแบบนี้มานานเท่าไรแล้ว
ผมรู้เพียงอยากทำให้คนที่ผมรักใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปเขาเป็นกัน
ไม่ต้องมาคอยพะวงถึงกลางวันหรือกลางคืน ไม่ต้องคอยห่วงกังวลว่าต้องรีบกลับบ้านหลีกหนีผู้คนและโลกที่สวยงามใบนี้"
"มินโฮ
... เรื่องนี้น่ะ
แม้แต่ฉันที่พยายามมาทุกเดือนก็ทำให้ซึงฮุนอาการดีขึ้นแค่เพียงสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น
ถ้าจะให้หายแบบจริงๆ จังๆ คงต้องใช้เวลา ซึงฮุนเจอกับความบอบช้ำทางจิตใจมาเยอะ จนมันสะสมเป็น
PTSD ไม่แปลกที่การรักษาจะยาวนานและไม่ค่อยได้ผลหากมีอะไรมากระทบจิตใจของซึงฮุนจนสิ่งที่หัวใจพยายามพับเก็บเอาไว้มันถูกปลดปล่อยออกมา
..."
"ผมใจร้อน
..."
"ความเร่งรีบไม่ได้ทำให้อาการของซึงฮุนดีขึ้น
กลับกันมันอาจส่งผลทำให้ซึงฮุนกลัวมากขึ้นกว่าเดิม จำไว้นะมินโฮ
ถ้าอยากช่วยซึงฮุนจริงๆ นอกจากหัวใจอันอบอุ่นและบริสุทธิ์แล้ว
เวลาก็มีส่วนช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของหลานชายฉัน อย่าใจร้อน
อย่าประมาทกับหัวใจของซึงฮุน เจ้าเด็กนั้นดูเหมือนคนปกติทั่วไปก็จริง
แต่กลับโดนกระทำมามากพอสมควร"
"พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับซึงฮุน"
"ถ้าจะให้เล่าทั้งหมด
... มันคงผิดจรรยาบรรณแพทย์นะ ..." เจ้าคนหยาบหน้าหงอยลงเล็กน้อย
จีวอนเห็นเด็กหน้ายุ่งแล้วนึกสงสาร
ภาพลักษณ์นิสัยเสียที่เคยเห็นเวลานี้แทบไม่มีหลงเหลือ
แพทย์คนดีคิดว่ามองเด็กตัวโตคนนี้ออกตั้งแต่วันแรก ภาพเด็กกายหนาร้องท้วงขอให้ช่วยเหลือชายหนุ่มอีกคนที่ตัวโตกว่ามากนั้นดังลั่นไปทั่วทั้งโรงพยาบาล
หากไม่ได้มองเห็นเพียงผิวเผิน ซงมินโฮก็คือเด็กธรรมดาๆ
ที่สร้างเกราะกำแพงป้องกันความรู้สึกดีๆ
ขึ้นมาบังหน้าปกป้องตัวเองจากความผิดหวังทั้งหมด "แต่ถ้าเป็นนาย คงไม่ผิดอะไร
ตอนนี้นายคงเป็นคนคนเดียวกันกับซึงฮุนแล้ว"
ใบหน้าสีน้ำผึ้งเนียนขึ้นริ้วแดงก่ำพาดผ่านโหนกแก้มสวยไปกับคำพูดชวนให้คิดสองแง่สามง่าม
คนตรงหน้ายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทีเขินอายของผู้อายุน้อยกว่า
สิ่งที่เขาคิดมันถูกต้องทุกประการ เพียงแค่เห็นครั้งแรกก็รู้แจ้งแล้วว่า
ซงมินโฮไม่ได้กลัวความรักอย่างที่ใครๆ
เขาว่ากัน ...
เพียงแต่กลัวผลลัพท์ที่ตามมาจากการให้หัวใจใครว่ามันอาจติดลบจนทำให้เขาแทบคลั่งเท่านั้นเอง
"คง
... งั้นมั้งครับ"
"อีซึงฮุนตอนเด็กๆ
น่ะ เขาถูกทำโทษด้วยการปล่อยให้อยู่ในห้องปิดตายไร้แสงไฟ ปลอดแสงเดือนและดวงตะวันอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่เขาดื้อหรือขัดใจพ่อแม่
จะถูกส่งให้เข้าไปอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านทุกที"
ความลับอันน่ากลัวของคนที่เขารักแทบทำให้มินโฮสะอึกออกมาลูกใหญ่
เพียงแค่คำว่าถูกกักขังก็ทำให้ขนอ่อนๆ ตามร่างกายลุกชันไปด้วยความหวาดกลัวเสียแล้ว
แต่ซึงฮุนกลับถูกกระทำด้วยพ่อและแม่ คนที่ให้ชีวิตเขา
ทำไมถึงได้ใจร้ายกับคนที่มีรอยยิ้มสดใสราวดวงตะวันได้ลงคอ
"ความทรงจำเรื่องแย่ๆ นี่คอยตอกย้ำให้ซึงฮุนคิดถึงมันเสมอๆ
ทุกครั้งเมื่อฟ้าเริ่มมืดลง
ภาพความมืดดำคอยตอกหัวใจของหลานชายฉันให้พ่ายแพ้เสมอจนสะสมเป็นอาการทางจิต ฉันถึงได้เตือนนายเอาไว้ก่อนไงมินโฮว่าการรักษาซึงฮุนน่ะ
มันไม่ง่ายเลย ต้องใจเย็นและคอยอยู่ดูแลฮุนอย่างใกล้ชิด"
"ผมเข้าใจแล้วครับ"
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับกับคำแนะนำรวมถึงความลับที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
"งั้นหน้าที่รักษาเป็นของหมอไปแล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องหัวใจของหลานชายหมอคนนั้น
... ผมจะคอยดูแลเอง"
แม้ไม่ใช่คำสัญญาแต่เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของมินโฮนั้นประกายออกมาอย่างเห็นได้ชัดทำให้จีวอนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
อย่างที่บอกว่าแม้จะรู้จักกับซึงฮุนมานานแค่ไหน
แต่คนไข้ของเขานั้นกลับไม่ยอมเปิดใจอะไรเลย เอาแต่เก็บตัว
มีเพื่อนร่วมงานแทบจะนับนิ้วได้
การมีคนใจกล้าหน้าด้านเข้ามาพัวพันในชีวิตอย่างมินโฮอีกสักคน
คงทำให้ซึงฮุนกล้าเริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ถึงจะยังไม่รู้อนาคตว่าจะไปในทิศทางไหน
แต่อย่างน้อยมินโฮอาจทำให้หลานชายบุญธรรมนั้นกลับกลายเป็นคนใช้ชีวิตเป็นปกติโดยสมบูรณ์เลยก็ว่าได้
"ขอบใจนะ
อ้อ ... อีกอย่างหนึ่งนะมินโฮ"
จิตแพทย์ขยับกายเพียงนิดพลางยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง
คู่สายตาประกายโรจน์จ้องเข้าสองตาเรียวคมราวกับกำลังวินิจฉัยอยู่อย่างนั้น
หากเป็นคนไข้คนอื่นอาจหลบเลี่ยงหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้ว หากแต่มินโฮไม่ได้กลัว
พร้อมจดจ้องสู้ตานั้นด้วย "นายคงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองกลัวความรักสินะ จริงๆ
แล้วนายน่ะแค่สร้างเกราะป้องกันความเจ็บปวดจากความรักเท่านั้นแหละ"
"หมอรู้
?"
"แน่นอนสิ
ฉันเห็นจากการกระทำของนายทั้งหมดแหละ" รูปปากหยักของคนอายุมากกว่ายกมุมบางๆ
ปลายคางถูกวางไว้บนอุ้งมือเมื่อจีวอนค้ำแขนยาวๆ ลงกับหน้าขาที่ช้อนขึ้นไขว่กัน
"หากนายเป็นโรคกลัวความรักจริงๆ
นายคงไม่เลือกเป็นนักร้องในคลับที่ถือหุ้นส่วนอยู่ เพราะโรคนี้กลัวการพบปะผู้คน
หลีกหนีออกจากสังคมและชอบทำกิจกรรมต่างๆ เพียงคนเดียว นายคงไม่เข้าหาซึงฮุนก่อน และนายคงจะปลีกตัวเองออกจากซึงฮุนเพื่อไม่ให้ตัวเองถลำตัวลึกจนชอบหลานชายของฉันขนาดนี้"
"ตามสืบกันขนาดนี้เลยหรอหมอ
?"
"นายเป็นคนดังย่านฮงแดเชียวนะ
ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ" คำว่าคนดังทำให้ผู้ฟังรู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย
เรียวปากสีเข้มเนื่องจากเจ้าตัวสูบบุหรี่ยกยิ้มมุมปากพลางเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ
ยกกาแฟที่เริ่มอุ่นพอดีดื่มขึ้นจิบช้าๆ
ก่อนวางแก้วลงที่เดิมเมื่อลำคอที่เคยแห้งผากนั้นเริ่มชุ่มชื้นเมื่อได้ของเหลวรสเข้มเจือให้ชุ่มคอ
"สิ่งที่นายเป็นเพียงเพราะกลัวหัวใจจะถูกทำร้ายอีกครั้งก็เท่านั้น ซงมินโฮ
นายเก่งมากแล้วนะที่กล้าก้าวออกมาขนาดนี้
นายกล้าพังกำแพงที่นายสร้างขึ้นมาเองกับมือเพียงเพราะนายทำตามความต้องการของหัวใจ
..."
"แล้วไอ้อาการปวดใจหน่วงๆ
ทุกครั้งที่อยู่ใกล้คนอื่นแล้วรู้สึกดีมาตลอดล่ะหมอ ?"
"คงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของนายกำลังสั่งไม่ให้นายอย่าปีนข้ามกำแพงหัวใจออกไปยังไงล่ะ"
จีวอนฉายความจริงจังออกมาทางสีหน้า
ผู้ชายสูงวัยตรงหน้ามินโฮยามนี้มีจิตวิญญาณของการเป็นจิตแพทย์สูงเหลือเกิน
"คราวนี้นายก็รู้แล้วใช่ไหมว่านายปกติ ไม่ได้ป่วย
มีเพียงซึงฮุนเท่านั้นที่ยังไม่กล้าก้าวออกมาจากความกลัวนั้น มินโฮ ... เป็นนายได้ใช่ไหมที่จะช่วยซึงฮุนให้กล้าออกมาเผชิญกับโลกใบนี้แบบจริงๆ
จังๆ เสียที"
"ถึงคุณไม่ขอ
ผมก็จะช่วยซึงฮุนอยู่แล้วครับ ..." ผู้อายุน้อยกว่าหยัดกายลุกขึ้นจากโซฟานิ่ม
ถ้าไม่ตัดสินใจลุกขึ้นมาหวังกายของเขาคงจมยวบจนไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกแน่ๆ
"หมอจีวอน ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วผมปกติดี
ขอบคุณที่ทำให้ผมเข้าใจว่าตัวเองนั้นรักซึงฮุนขนาดไหน
และขอบคุณสำหรับความไว้ใจยอมให้ผมดูแลหลานชายของหมอนะครับ"
ตอนนี้อยากขอบคุณคุณอาหมอมากเลยค่ะ
ที่ทำให้คุณซงของเรารู้ใจตัวเองสักที คึคึ
คอยติดตามกันนะคะว่าท้ายที่สุดแล้วคุณอีเขาจะหายจากสิ่งที่เป็นหรือเปล่า
?
เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป คอยติดตามกันนะคะ
#DAYNIGHTSTORY
ปล. เป็นอีกหนึ่งตอนที่สั้นและอัพช้า จริงๆ
จะอัพตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ
แต่เนื่องจากกลับมาจากสอบ อาการหน่วงๆ
จากการพักผ่อนไม่เพียงพอก็เล่นงาน
บวกกับหยุดงานไปสอบ 2
วันทำให้งานของไซเรนท์กองเป็นภูเขา ต้องเคลียร์กันยกใหญ่
เลยเลื่อนมาแบบนี้
ขอบคุณและขอโทษจริงๆ นะคะ T^T
ความคิดเห็น