ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

    ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 1 :: FIRST DAY ::

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 62


    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

     

    CHAPTER 1 :: FIRST DAY ::

     

    มวนบุหรี่เล็กถูกดึงออกจากซองอ้อยอิ่งก่อนถูกคาบด้วยริมฝีปากหยักสีเข้มไม่ต่างกับผิวกาย ไฟร้อนๆ ส่องสว่างตัดบรรยากาศมืดสลัวถูกจุดจากไฟแช็ก มือใหญ่ป้องมันเอาไว้ไม่ให้ลมเอื่อยๆ พัดจนดับไปเสียก่อน ทันทีที่ม้วนกระดาษอัดแท่งบรรจุสารเสพติดถูกติดไฟ เจ้าของกายหนาก็รีบสูบอัดเอาสารพิษต่างๆ เข้าไปจนเต็มปอดก่อนจะพ่นเอาไอควันสีเทาหม่นให้ลอยคลุ้งไปทั่วตามท้องอากาศ

     

    รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเสพมันไม่ดีกับสุขภาพร่างกาย แต่เขาก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้ ยิ่งถ้าวันไหนตกอยู่ในสภาวะเครียดจัด เจ้าสารเสพติดอัดเป็นมวนกลมๆ ก็ยิ่งถูกหยิบมาใช้มากขึ้นเท่านั้น

     

    สายลมเอื่อยๆ ของเวลาห้าทุ่มกว่าๆ กระทบเข้ากับเรือนกายที่สวมทับด้วยเสื้อกล้ามเนื้อผ้าบางเบาสีขาวและกางเกงยีนส์ขายาวตัวโคร่ง เครื่องประดับโลหะแวววาวพลอยทำให้รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสผิวกาย หากแต่ 'ซงมินโฮ' เป็นคนขี้ร้อน สายลมแค่นี้ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บแต่อย่างใด

     

    เสียงเพลงจากในคลับดังเล็ดลอดออกมาตามช่องว่างระหว่าประตูและผนังเรียกให้ศีรษะของเขาโยกไปตามจังหวะ บีทหนักๆ สามารถพังเครื่องขยายเสียงในคลับให้ชำรุดได้นั้นกลับทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีมากกว่าที่ควร

     

    ตาเรียวเหม่อมองผืนฟ้าเบื้องบนแม้จะยังคีบบุหรี่ด้วยสองปลายนิ้ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาเห็นว่าเบื้องบนทาเคลือบด้วยสีดำแม้ไร้แสงระยิบระยับของดวงดาวนี้สวยงามนัก และไม่เคยคิดเลยว่าแสงไฟจากเสาสูงบนพื้นดินนั้นจะงดงามได้มากมายขนาดนี้

     

    ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเขาก็ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป ตื่นตอนเช้านอนหลับเมื่อฟ้ามืด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขาเริ่มคิดลิ้มลองรสชาติของชีวิตกลางคืนตามคำชักชวนของ 'ควอนจียง' รุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเรียนจบมาในเวลาไล่ๆ กัน ซึ่งเป็นเจ้าของคลับและเขาเองก็เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ที่กำลังสร้างความสุขให้กับเหล่าผีเสื้อกลางคืนนับร้อยชีวิตแออัดยัดเยียดอยู่ภายในอาคารนั้น

     

    สุรา นารี สารเสพติด การพนัน สิ่งผิดกฎหมายหรืออะไรที่ไม่ค่อยดีกับตัวเองทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันได้ผ่านมือของมินโฮมาหมดแล้ว

     

    "มินโฮ พี่จียงให้กูมาตามมึงไปขึ้นเวทีได้แล้วเว้ย อย่าโอ้เอ้ กูไม่อยากโดนพี่แกบ่นจนหูชาอีก"

     

    เจ้าของดวงหน้าหวานและผิวขาวใสภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมทับด้วยกั๊กสีดำสนิท กางเกงขายาวและรองเท้าหนังขัดจนขึ้นเงามันเดินออกมาพิงกายกับแผงเหล็กกั้นให้รู้ถึงอาณาเขตสำหรับสูบบุหรี่ภายนอกร้าน 'คิมจินอู' บาเทนเดอร์มือหนึ่งที่ไม่ว่าใครได้ลิ้มลองดื่มเครื่องดื่มของเจ้าตัวเล็กคนนี้แล้วล่ะก็ ... เป็นอันต้องกลับมาสัมผัสรสชาติละมุนลิ้นอีกเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ หรือห้า

     

    คนถูกตามจิ๊ปากไม่พอใจเล็กๆ รีบสูบอัดเอานิโคตินเข้าสู่ร่างกายอีกเฮือกใหญ่ก่อนจิ้มมวนแท่งกระดาษขาวๆ ในมือลงกับกระบะทราย ควันสีหม่นถูกพ่นใส่หน้าหวานๆ ของจินอูอย่างไม่ทันตั้งตัวพลอยทำให้ผู้ได้รับสารพิษมือสองนั้นไอสำรักออกมาเสียยกใหญ่

     

    "ว่าแต่พี่จียง พี่จินอูก็ขี้บ่นไม่ต่างกันหรอกนะ"

     

    "ไอ้ ... แค่กๆ" อยากจะก่นด่าให้กับความไร้มารยาทของรุ่นน้อง แต่ก็ต้องกลืนก้อนคำด่าลงคอก่อนไอไล่กลิ่นควันเหม็นๆ ออกมาให้หมด "ให้ตายเถอะ ! มึงก็รู้ว่ากูเกลียดไอ้กลิ่นบุหรี่เนี้ย มึงก็ยังชอบแกล้งกูด้วยการพ่นควันใส่หน้า ถ้ากูเป็นมะเร็งเมื่อไหร่ กูจะให้พี่จียงไล่มึงออก !"

     

    "ไล่ไม่ได้หรอก ผมก็หุ้นส่วนร้านนี้เหมือนกันนะครับ พี่จินอู"

     

    "กูเกลียดมึงตรงนี้ !" เมื่อรู้แล้วว่าเถียงไปยังไงก็แพ้ จินอูจึงเดินกระทืบเท้าปึงปังนำหน้าทำทีท่าเดินเข้าไปในคลับตามทางเดิมที่ตนออกมาเมื่อครู่ "เอ้า ! อยากโดนพี่แกหักเงินหรือไง รีบเข้ามาสิ !"

     

    มุมปากของรุ่นน้องกายหนายกขึ้นก่อนเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ สองสายตาเรียวมองไล่แผ่นหลังบางของรุ่นพี่ตัวเล็กจนหายไปกับแสงสีราวกับถูกกลืนกินไปทั้งตัวก่อนตนจะสืบเท้าเดินเข้าไปภายในตัวอาคารบ้าง

     

    กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปะปนกับกลิ่นกายซึ่งถูกประโคมด้วยเครื่องหอมของนักเที่ยวยามค่ำคืนหลากหลายจนทำให้เขารู้สึกมึนๆ ไปบ้าง ยิ่งแสงสีจากเลเซอร์เธคสาดไปมาท่ามกลางความมืดสลัวยิ่งทำให้รู้สึกเวียนหัวไปหมด แต่สำหรับมินโฮแล้ว มันเป็นภาพแสนคุ้นชินจนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว หากคืนใดไม่เห็นแสงเหล่านี้ คงเป็นวันที่เขาเอาแต่ทิ้งตัวจมกับเตียงนอนทั้งวันทั้งคืนเสียมากกว่า

     

    ไมโครโฟนถูกดึงออกจากขาตั้งซึ่งมันถูกวางไว้อยู่ริมๆ เวทีอย่างไม่ค่อยโดนสนใจมากนัก มินโฮสวมใส่อินเอียร์ประจำตัวเข้ากับหูก่อนเริ่มเดินขึ้นเวทีซึ่งยกสูงขึ้นจากระดับพื้นปกติเพียงประมาณหนึ่งเมตร แสงสปอร์ตไลท์ราวกับจะกลั่นแกล้งนักร้องมาดเท่ห์นั้นสาดกระทบเข้ากับตาของเขาจังๆ แต่นั้นก็ทำให้เขาดูเท่ห์ไม่น้อยจนสาวๆ ทั้งคลับแทบคลั่ง แสงไฟสว่างไสวนั้นทำให้รอยสักสีหม่นพาดผ่านตามลาดไหล่ ไหปลาร้า และเหนืออกเด่นหราเมื่อเสื้อกล้ามเนื้อผ้าบางนั้นเลื่อนไล่ไปตามผิวสีน้ำผึ้ง มัดกล้ามเนื้อต้นแขนแน่นเรียกเสียงหวีดร้องพร้อมส่งเสียงเรียกชื่อมินโฮหรือ 'ไมโน' ปนเปดังไม่หยุดจนเจ้าตัวต้องกรอกเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงด้วยความเซ็กซี่ลงกับไมโครโฟนเพื่อให้สัญญาณว่าเขาจะเริ่มร้องเพลงแล้ว

     

    ทันทีที่อินโทรของดนตรีจบ เสียงทุ้มต่ำและเซ็กซี่ของเจ้าตัวก็เริ่มรัวเป็นการแร๊ปที่มีความหมายสองแง่สามง่ามปลุกกระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนในกายของเหล่านักเที่ยวให้เริ่มออกเลื้อย ยิ่งการแสดงของมินโฮมีท่าเต้นเซ็กซี่และยั่วยวนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนฉีกความอดทนของพวกหื่นกระหายในกามารมณ์มากขึ้นเท่านั้น

     

    แต่ถึงอย่างนั้น มินโฮกลับไม่รู้สึกอะไรทำนองนั้นเลย ...

     

    มินโฮไม่ใช่พวกตายด้านหรือไร้ความรู้สึกทางเพศ หากแต่มันมีเรื่องอะไรบางอย่างจนทำให้เขาต้องขยาดกับความสัมพันธ์ทางใจจนต้องหลบซ่อนตัวเองจนส่งผลกับความรู้สึกทางกาย

     

    จนต้องพาตัวเองจมกับอารมณ์สีเทามาโดยตลอด

     

    'โรคกลัวความรัก'

     

    คือสิ่งชักนำพาให้มินโฮต้องพาตัวเองหลบหนีจากผู้คนที่อยากเข้ามาทำความรู้จักกับเขา ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม โรคไม่ร้ายแรงแต่สามารถซ่อนเร้นความรู้สึกด้านบวกเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาเมื่อพบเจอกับผู้คนใหม่ๆ หลีกหนีจากสังคมเมืองอันสดใสในช่วงรุ่งอรุณหันหน้าเข้าสู่ความสับสนวุ่นวายแต่เคลือบไว้ด้วยความสงบของราตรีกาล

     

    เรื่องนี้คงเกิดขึ้นราวๆ หนึ่งปีก่อน ...

     

    ประตูห้องถูกผลักทันทีที่รหัสถูกกรอกอย่างถูกต้องครบถ้วน ขายาวของมินโฮก้าวทอดน่องเข้าไปภายใน ห้องชุดของคอนโดหรูปรากฏภาพของเฟอร์นิเจอร์สะท้อนรสนิยมของเจ้าของสถานที่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนประดับด้วยสีแดงหรือดำ มินโฮรู้ดีว่า 'อีแชริน' คนรักของเขานั้นเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แฟชั่นรวมถึงการใช้ชีวิตของเธอต้องล้ำหน้ามากกว่าคนอื่นๆ จนบางครั้งบางทีเธอก็ดูเหมือนจะเยอะเกินไป หากแต่ในความเยอะของเธอนั้นทำให้ดูเฟียร์สเกินกว่าผู้หญิงธรรมดาๆ เป็นคนน่าค้นหา ซึ่งนั้นทำให้มินโฮหลงไหลในตัวของแชรินมากขึ้นทุกวัน

     

    ดอกสแตติสสีม่วงไร้การตกแต่งในมือหนาร่วงลงกับพื้นไม้ลามิเนตสีอ่อนเย็นเฉียบเพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศซึ่งถูกเปิดทิ้งเอาไว้ทันทีที่เขาเปิดประตูห้องนอนเข้าไป คู่ตาคมเบิกโพลงเมื่อโฟกัสไปที่ร่างกายเปลือยเปล่ากลับถูกคลุมด้วยผ้าห่มนวมหนา หนึ่งคนเป็นร่างของหญิงสาวที่ได้หัวใจของมินโฮไป และเจ้าหล่อนก็มอบความรักการดูแลเอาใจใส่ให้กับมินโฮไม่ต่างกัน ร่างกายบอบบางของเธอกำลังถูกโอบกอดด้วยแขนแกร่งของชายหนุ่มอีกคนซึ่งมินโฮเองนั้นไม่เคยรู้จัก ใบหน้าสวยสไตล์อินเตอร์ของแชรินนอนหลับตาพริ้มบนอกแกร่งของคู่นอน ผมเผ้าของทั้งสองยุ่งเหยิงจนเขารู้ได้ทันทีว่ามีเกิดอะไรขึ้นบ้างตลอดทั้งคืน น้ำตาลูกผู้ชายรื้นร้อนตามขอบตาผ่าวๆ อย่างห้ามไม่ได้จนไม่อาจโฟกัสภาพอะไรได้อีก นิ้วมือทั้งสิบถูกรวบแน่นเข้ากับฝ่ามือจนเส้นเลือดปูดโปน ความโมโหปะทุให้เจ้าตัวขาดสติ ตรงไปฉุดกระชากไหล่หนาของชายหนุ่มที่กำลังเข้าสู่ห้วงฝันหวานนั้นตื่นขึ้นมาก่อนฟาดหมัดหลุนๆ เข้าแก้มซ้าย ตามด้วยมุมปากข้างเดียวกันอีกหลายครั้ง

     

    "มินโฮ หยุด !"

     

    ร่างกายบอบบางของหญิงสาวเพียงคนเดียวเข้ามาห้ามขวางกั้นระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง เรือนกายงดงามราวรูปปั้นของเทพีพันธนาการด้วยผ้าห่มผืนโตเพียงเท่านั้น เลือดร้อนๆ พลุ่งพล่านในกายของมินโฮไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงเลย แต่ก็ต้องหยุดมือลงแม้จะอยากซัดหมัดลงใบหน้าหล่อของชายชั่วนั้นอีกสักที

     

    ลมหายใจหอบถี่พ่นระบายออกทั้งจมูกและปากหยักสีเข้ม อกแกร่งแข็งแรงภายใต้เสื้อยืดสีดำสวมทับด้วยเสื้อวอร์มยี่ห้อดังสีเดียวกันนั้นเพื่อมไหวไปตามจังหวะการหายใจ ก้อนเนื้อหัวใจฝังในกายหนานั้นเต้นแรงเกินควบคุมไหว มันกำลังตอบรับความเจ็บปวดกับภาพติดตาเมื่อครู่

     

    "แชริน ไอ้หมอนี่มันทำอะไรเธอ มันล่อลวง มันขืนใจเธอใช่ไหม ?!"

     

    ตาเรียวดุดันเมื่อครู่อ่อนโยนลงเมื่อสบเข้ากับตากลมๆ ของหญิงสาวเจ้าของห้อง น้ำตาของมินโฮไหลลงข้างแก้มเมื่อสมองเอาแต่ประมวลความคิดว่าไม่สามารถปกป้องคนรักได้ดีตามที่เคยให้สัญญาไว้ มือหนาจับประคองเข้ากับต้นแขนเล็กทั้งสองข้างด้วยความอ่อนละมุนเกรงว่าจะทำให้เจ็บปวดกว่าเดิม แต่แชรินกลับหลบสายตาก่อนส่ายหน้าเป็นคำตอบ

     

    "ขอโทษนะมินโฮที่ปิดบังมาตลอด" น้ำเสียงหวานแผ่วแต่แฝงความหนักแน่นนั้นทำให้หัวใจของมินโฮบีบรัดความเจ็บปวดอีกครั้ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาคมราวนกอินทรีอีกครั้ง คราวนี้ตากลมๆ นั้นเคลือบด้วยหยาดน้ำตาอุ่นจนเต็มเบ้า "มินโฮ คือฉัน ..."

     

    "ไม่ต้องพูดแล้วแชริน ผมว่าผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว"

     

    "อืม ... เรา ... เราเลิกกันนะ"

     

    ขายาวเดินก้าวลงจากเวทีหลังจากการแร๊ปราวกับพ่นไฟ ริมฝีปากหยักที่เคยยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์บนเวทีบัดนี้กลับเรียบเป็นเส้นตรงไม่สื่อถึงความรู้สึกใดๆ พลางเบียดเสียดผู้คนอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไรนักแม้กลุ่มสาวๆ นักรักจะพยายามเข้าถึงตัว แต่มินโฮกลับเลือกจะปัดมือเหล่านั้นออกและเบี่ยงตัวหลบ

     

    เขาเลือกจะขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ทรงสูงตรงหน้าเคาน์เตอร์ หนุ่มหน้าหวานกายบางซึ่งมีสถานะเป็นพี่เหลือบมองนักร้องหนุ่มและเป็นหุ้นส่วนของร้านอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนคว้าขวดบรั่นดีสีอำพันมาเทลงแก้วโอลด์แฟชั่นซึ่งมีน้ำแข็งก้อนโตบรรจุอยู่

     

    "อ่ะ ดื่ม ... เผื่อมึงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง"

     

    "ขอบใจนะอิพี่จินอู"

     

    "เดี๋ยวปั๊ดตบปาก" ว่าแล้วคนอายุมากกว่าก็ง้างมือขึ้นกลางอากาศเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องคนสนิทเริ่มปีนเกลียว แต่เมื่อเห็นหน้าตายียวนกวนประสาทของคนตรงหน้าแล้วนั้นก็แทบอยากพุ่งเข้าไปบีบคอให้ตายคาคลับเสียมากกว่า จนต้องยอมแพ้แล้วลดมือลง ใช้มือชงเหล้าอร่อยๆ ดีกว่า "เมื่อไรมึงจะหายจากไอ้โรคบ้านี่สักทีวะ ? กูเห็นสาวๆ ที่เข้ามาในชีวิตมึงแต่ละคนแล้วเสียดายแทน"

     

    "เสียดายแล้วทำไมไม่จีบเองซะล่ะ ?"

     

    "ถ้าสาวๆ พวกนั้นชอบหน้าอย่างกูก็ดีสิวะ ติดที่ชอบหน้าหล่อๆ อย่างมึง"

     

    "เออ ... ก็จริงนะ" มินโฮว่าพลางยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นยกกระดกดื่มโดยไม่สนใจว่าจะส่งผลร้ายตามมามากมายเพียงใด "หน้าอย่างอิพี่ไม่เหมาะเป็นผัวเลยว่ะ ไปหาเป็นเมียเสี่ยรวยๆ สักคนดีไหมวะ ?"

     

    "เป็นเมียอะไรกันเล่า ! เดี๋ยวกูก็ไล่หมาในปากมึงด้วย SPIRYTUS ให้กระเจิงเลยเนี้ย กูผู้ชายเว้ย จะเอาเมีย ไม่เอาผัว"

     

    "เออ ... น้องคนนี้จะคอยดูแล้วกันนะพี่"

     


     

    ลูกไฟกลมๆ ดวงใหญ่ค่อยๆ โผล่พ้นปลายขอบฟ้าพลางทอแสงผ่านช่องว่างระหว่างตัวตึกสาดแสงเหลืองทองอ่อนๆ ทะลุผ่านหน้าต่างกระจกแผ่นหนาเพื่อป้องกันอากาศเย็นหรือร้อนมากเกินไปตามฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน ผ้าม่านสีครีมนิ่งสนิทมีพริ้วไหวบ้างเมื่อไอเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศพัดผ่าน เจ้าของห้องร่างสูงโปร่งยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงกว้าง ผ้าห่มนวมผืนขาวห่มคลุมถึงปลายจมูก เส้นผมสีดำสนิทมียุ่งไปบ้างจากการปรับเปลี่ยนท่านอนตลอดทั้งคืน เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงดังขึ้นเพื่อปลุกให้เจ้าของเครื่องลืมตาตื่นขึ้นมารับสายได้แล้ว

     

    โทรศัพท์มือถือที่เขาตั้งใจวางเอาไว้บนโต๊ะเล็กหัวเตียงเริ่มส่องสว่างพร้อมเสียงริงโทน มันค่อยๆ เคลื่อนที่เนื่องจากแรงสั่นไปกับพื้นไม้สีอ่อนปลุกให้คนนอนหลับอย่างสบายนั้นเริ่มรู้สึกตัว

    มือขาวยื่นออกจากผ้าอุ่นไล่ปัดป่ายไปมาเพื่อหาเครื่องมือสื่อสารบางเฉียบส่งเสียงแผดจนนึกรำคาญ หน่วยตาเล็กหยีไปเล็กน้อยเมื่อต้องแสงสว่างจ้าแฝงอันตรายต่อดวงตา เมื่อเห็นชื่อของผู้ประสงค์จะคุยด้วยแต่เช้า 'อีซึงฮุน' ก็เลื่อนนิ้วหัวแม่มือไปตามหน้าจอโทรศัพท์ตามเครื่องหมายให้รับสาย

     

    "โทรมาแต่เช้าอีกแล้วนะ"

     

    [ก็เป็นห่วงพี่นี่นา ยังไม่ตื่นอีกหรอครับ ?]

     

    ซึงฮุนคลี่ยิ้มออกมาบางๆ พลางขยับตัวลุกกึ่งนั่งกึ่งนอน ช่วงหลังยาวพิงกับหมอนใบใหญ่ฟูนุ่มทำให้ไม่ปวดหลังเท่าพิงกับหัวเตียงแม้จะบุด้วยลูกฟูกเนื้อดี มือข้างที่ว่างยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ ปลุกเรียกให้ตัวเองนั้นตื่นเต็มตา

     

    "ตื่นแล้ว ... ว่าแต่นายเถอะ ซึงยุน เตรียมตัวไปเรียนหรือยังน่ะ ?"

     

    [นี่กำลังไปอาบน้ำเลย วันนี้พี่เข้างานตอนสิบโมงไม่ใช่หรอ ? รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเลยนะ]

     

    'คังซึงยุน' น้องชายคนดีทำเสียงเขียวเมื่อได้ยินเสียงงัวเงียผ่านคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ พี่ชายของตนยังคงมัวโอ้เอ้ไม่รีบร้อนหรือกระตือรือร้นให้มากกว่านี้ ถ้าเขาอยู่ข้างๆ มีหวังได้ดีดหน้าผากของผู้เป็นพี่จนช้ำแน่ๆ

     

    "อะไรกัน นี่เพิ่งเจ็ดโมงครึ่งเองนะซึงยุน แต่นายน่ะมีเรียนตอนเก้าโมงไม่ใช่หรอ ? ทำไมไม่รีบล่ะ ? อย่าคิดว่าปูซานจะไม่มีรถติดนะ"

     

    [โหย ... ไม่น่าบอกตารางพี่เลย เชอะ ! ไปอาบน้ำเตรียมไปเรียนก็ได้] ปลายสายมีน้ำเสียงติดจะงอนก่อนที่หูของซึงฮุนจะได้ยินเสียงคล้ายๆ ขวดพลาสติกหลายๆ ใบร่วงตกลงบนพื้นกระเบื้อง ซ้ำยังได้ยินเสียงก้องไปหมดราวกับซึงยุนได้พาตัวเองเข้ามาในห้องน้ำแล้ว [เออ ... พี่ซึงฮุน]

     

    "หืม ... ว่าไงครับ ?"

     

    [ดูแลตัวเองด้วยนะ โซลอันตรายกว่าปูซานเยอะ ผมกับแม่เป็นห่วงพี่นะครับ]

     

    "รู้แล้วๆ ฝากบอกแม่ด้วยนะว่าพี่คิดถึง"

     

    [รับทราบครับ ไปทำงานก็ตั้งใจล่ะ อย่าแอบอู้ให้เจ้านายเขาหักเงินเดือนเชียวนะ]

     

    "เห็นพี่เป็นพวกขี้เกียจตัวเป็นขนหรือยังไงนะ ? พี่ไม่ทำหรอก นายเองก็ตั้งใจเรียนล่ะ อย่าหลับในห้องเรียนเหมือนตอนเรียน ม.ปลาย ล่ะ"

     

    [ไม่เคยเหอะ ! ไปอาบน้ำแล้ว แค่นี้นะพี่บ้า !]

     

    ปลายสายตัดการสนทนาโดยไม่รอให้ซึงฮุนตอบกลับ ชายหนุ่มผิวขาวแย้มยิ้มหลังจากโดนต่อว่า ตาเล็กนั่งมองโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งภาพหน้าจอเป็นรูปเขากับเด็กหน้ากลมที่เพิ่งคุยกันไป

     

    แม้ซึงฮุนกับซึงยุนจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่สำหรับเขา ซึงยุนและ 'แม่' คือผู้มีพระคุณและดึงเขาขึ้นมาจากเหวนรกนั้น

     

    นรกภูมิซึ่งสร้างโดยพ่อแม่แท้ๆ ของเขา ...

     

    ซึงฮุนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผู้ให้กำเนิดเขา ให้ชีวิต ให้ลืมตาขึ้นมาในโลกกว้างใหญ่นี้จะคอยขุดหลุมฝังเขาให้ตายทั้งเป็นมาโดยตลอดช่วงวัยเด็ก มันก็ตลกดีเหมือนกันที่คนกำเนิดกับคนจ้องจะฆ่าเขานั้นคือคนคนเดียวกัน

     

    จนทำให้เขาต้องคอยเข้าพบจิตแพทย์เสมอหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น !

     

    ผลการวิเคราะห์และรักษาทำให้รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่คือภาวะ PTSD ซึ่งมันสั่งสมมาตั้งแต่โดนกระทำครั้งแรก มันรุนแรงขึ้นทุกวันจนเขาแทบจะเป็นบ้า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เหล่าพ่อและแม่พร้อมใจกันทำกับเขามีมากมายจนทำให้เขาจมกับความเจ็บป่วยทางจิตใจ ซึงฮุนกลัวความมืด กลัวกลางคืน เพราะพ่อแม่ชอบกักขังเขาไว้ในห้องปิดตายชั้นใต้ดินของบ้านหลังใหญ่ทุกครั้งเมื่อซึงฮุนทำอะไรไม่ถูกใจท่าน ไม่มีหน้าต่างสำหรับหลบหนี ไร้หลอดไฟเปิดปิดให้เห็นแสงสว่าง ทางเข้าออกก็มีเพียงทางเดียวคือประตูที่พวกท่านส่งเขาเข้าไปเหมือนส่งเข้าสู่เงื้อมือของมัจจุราช ทุกครั้งที่โดนจับเข้าไปขังนั้น ความรู้สึกเหมือนคนกำลังจะตายมักคืบคลานเข้าหาเสมอ ออกซิเจนในอากาศเหลือน้อยลงทุกทีถ้าเขาหายใจเข้าออกแรงๆ จนท้ายที่สุด ประตูนรกเกือบเปิดต้อนรับให้เขาเข้าไปเดินเล่นในดินแดนของคนตาย

     

    ถ้าวันนั้น ซึงยุนไม่เข้าไปตามหาเขาเพื่อไปเล่นอย่างทุกๆ วัน พี่ชายคนนี้อาจจะไม่ได้อยู่เล่นกับน้องชายแถวบ้านคนนั้นก็ได้

     

    สุดท้ายซึงฮุนก็ถูกรับเลี้ยงโดยคุณแม่ของซึงยุน ส่วนพ่อแม่แท้ๆ ก็กลัวผลของความผิดเกรงว่าจะถูกจับเข้าคุกคิดตาราง จึงพร้อมใจกันเก็บกระเป๋าหนีไปอยู่ต่างประเทศ ไร้การติดต่อและไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนกันอีกเลย

     

    การแบกรับความโหดร้ายของชีวิตด้วยแผ่นหลังเพียงลำพังมันยากลำบาก แต่เพราะซึงยุนและแม่เลี้ยงทำให้ซึงฮุนได้พบความสุขแท้จริงแม้แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดไม่สามารถให้ได้

     

    แต่โรคร้ายในกายซึงฮุนมันหนักหนาและรักษาลำบากเหลือเกิน

     

    'พี่ซึงฮุน อาหมอนัดวันไหนก็ไปตามนัดด้วยนะ แม่กับผมเป็นห่วงพี่ พี่อยู่คนเดียวต้องคอยเตือนตัวเองนะครับ'

     

    ข้อความผ่านแอปพลิเคชันแชทถูกส่งมาหลังจากเจ้าของกายสูงเลิกผ้าห่มออกจากร่างพร้อมก้าวออกไปใช้ชีวิตในยามอรุณรุ่ง ชีวิตของเขายึดติดกับแสงสว่าง อย่างที่บอก เพราะซึงฮุนกลัวความมืดมาโดยตลอดทำให้เขาไม่กล้าออกจากบ้านในช่วงเวลาหลังตะวันลาคล้อยเส้นขอบฟ้า มีแสงไฟทุกดวงในห้องเป็นเพื่อนในเวลากลางคืน มีเสียงเพลงขับกล่อมให้นอนหลับสนิท ซึงฮุนไม่ใช่คนขี้เหงาหากแต่การอยู่คนเดียวก็ทำให้คิดฟุ้งซ่าน ถ้าสายตาของเขามองเห็นภาพความมืดแม้แต่นิดเดียว ใจของเขาอาจแกว่งเอาได้

     

    เลยเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่ซึงฮุนจะมีเพื่อนน้อย แม้แต่ในออฟฟิศ เขาเองนั้นก็แทบไม่มีเพื่อนสนิทกันเลย เนื่องจากเขาไม่เคยออกไปปาร์ตี้หลังเลิกงานกับทีมเลยสักครั้ง ไอ้โรคร้ายคอยตามติดเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่คอยทำให้ประสบการณ์ชีวิตของเขานั้นน้อยลง

     

    ทั้งๆ ที่ชีวิตวัยรุ่นทั่วๆ ไปนั้นจะมีการสังสรรค์บ้าง แต่ซึงฮุนกลับไม่เคยมีโมเมนต์นั้น ...

     

    ไม่แปลกใจเลยที่งานของเขานั้นมักจะเป็นงานกลางวัน ทุกคนในออฟฟิศต่างเข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มร่างสูงแต่กลับบอบบางคนนี้เป็นอยู่

     

    การเข้ามาใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวในเมืองหลวงของประเทศนั้นมันลำบากกับหนุ่มหน้าตี๋คนนี้เหลือเกิน แต่เพราะปูซานหางานทำกลางวันยากนัก จึงจำเป็นต้องอพยพเข้ามาอยู่ในโซล ซึ่งหางานง่ายและจิตแพทย์เก่งๆ ก็มีให้เลือกรักษาด้วยเยอะแยะ

     

    แต่ซึงฮุนกลับเลือกเป็นคนไข้ประจำของคุณหมอ 'อึนจีวอน' จิตแพทย์คนเก่งวัยสี่สิบปีซึ่งดูแลเขาดีกว่าหมอไหนๆ ที่เคยรักษามา

     

    ซ้ำยังนับถือเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งในครอบครัว จึงทำให้ซึงฮุนรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่กลัวเกรงเหมือนหมอคนอื่นๆ ที่ผ่านมา

     

    แม้จะรักษามานานหลายปี แต่อาการของซึงฮุนกลับไม่ดีขึ้นมาบ้างเลย แต่แค่โลกไม่ใจร้ายกับซึงฮุน มันก็ไม่มีอะไรทำให้เขาวิตกกังวล ตรงกันข้าม เขากลับยิ้มเก่งและอยู่กับความเป็นจริงได้อย่างเช่นคนปกติทั่วไป

     



     

    # โรคกลัวความรัก (Philophobia)

    ผู้ป่วยโรคนี้จะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความรัก พยายามที่จะไม่ให้ตัวเองรู้สึกว่ารักใครหรือรู้สึกพิเศษกับใคร ต่อให้ในบางครั้งจะรู้สึกดีกับใครขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายก็จะไม่ยอมเปิดใจและถอยห่างออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

     

    # PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder)

    คือโรคที่มีอาการเครียดและเจ็บป่วยหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง

     

    # SPIRYTUS

    สุราที่มีปริมาณของแอลกอฮอล์มากถึง 96% หากได้ลองดื่มจะมีความรู้สึกคล้ายกับโดนต่อยท้องเลยค่ะ

     

    เอาแล้วค่ะ พระเอกก็ป่วย นายเอกก็ป่วย แล้วแบบนี้เรื่องราวจะเป็นยังไง ฝากติดตามกันด้วยนะคะ จุ๊บๆ

     

    แท็กฟิคเรื่องนี้นะคะ #DAYNIGHTSTORY ถ้าไม่กล้าเมนชั่นมาคุยกับไซเรนท์ก็สามารถสกรีมได้เลย เดี๋ยวไซเรนท์ไล่อ่านนะคะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×