คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 1 :: FIRST DAY ::
[#MINHOON
#WINNER] :: DAY & NIGHT ::
CHAPTER 1 :: FIRST DAY ::
มวนบุหรี่เล็กถูกดึงออกจากซองอ้อยอิ่งก่อนถูกคาบด้วยริมฝีปากหยักสีเข้มไม่ต่างกับผิวกาย
ไฟร้อนๆ ส่องสว่างตัดบรรยากาศมืดสลัวถูกจุดจากไฟแช็ก
มือใหญ่ป้องมันเอาไว้ไม่ให้ลมเอื่อยๆ พัดจนดับไปเสียก่อน ทันทีที่ม้วนกระดาษอัดแท่งบรรจุสารเสพติดถูกติดไฟ
เจ้าของกายหนาก็รีบสูบอัดเอาสารพิษต่างๆ
เข้าไปจนเต็มปอดก่อนจะพ่นเอาไอควันสีเทาหม่นให้ลอยคลุ้งไปทั่วตามท้องอากาศ
รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเสพมันไม่ดีกับสุขภาพร่างกาย
แต่เขาก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้ ยิ่งถ้าวันไหนตกอยู่ในสภาวะเครียดจัด
เจ้าสารเสพติดอัดเป็นมวนกลมๆ ก็ยิ่งถูกหยิบมาใช้มากขึ้นเท่านั้น
สายลมเอื่อยๆ
ของเวลาห้าทุ่มกว่าๆ
กระทบเข้ากับเรือนกายที่สวมทับด้วยเสื้อกล้ามเนื้อผ้าบางเบาสีขาวและกางเกงยีนส์ขายาวตัวโคร่ง
เครื่องประดับโลหะแวววาวพลอยทำให้รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสผิวกาย หากแต่ 'ซงมินโฮ' เป็นคนขี้ร้อน
สายลมแค่นี้ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บแต่อย่างใด
เสียงเพลงจากในคลับดังเล็ดลอดออกมาตามช่องว่างระหว่าประตูและผนังเรียกให้ศีรษะของเขาโยกไปตามจังหวะ
บีทหนักๆ สามารถพังเครื่องขยายเสียงในคลับให้ชำรุดได้นั้นกลับทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีมากกว่าที่ควร
ตาเรียวเหม่อมองผืนฟ้าเบื้องบนแม้จะยังคีบบุหรี่ด้วยสองปลายนิ้ว
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาเห็นว่าเบื้องบนทาเคลือบด้วยสีดำแม้ไร้แสงระยิบระยับของดวงดาวนี้สวยงามนัก
และไม่เคยคิดเลยว่าแสงไฟจากเสาสูงบนพื้นดินนั้นจะงดงามได้มากมายขนาดนี้
ทั้งๆ
ที่เมื่อก่อนเขาก็ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป ตื่นตอนเช้านอนหลับเมื่อฟ้ามืด
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขาเริ่มคิดลิ้มลองรสชาติของชีวิตกลางคืนตามคำชักชวนของ
'ควอนจียง' รุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเรียนจบมาในเวลาไล่ๆ
กัน ซึ่งเป็นเจ้าของคลับและเขาเองก็เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ที่กำลังสร้างความสุขให้กับเหล่าผีเสื้อกลางคืนนับร้อยชีวิตแออัดยัดเยียดอยู่ภายในอาคารนั้น
สุรา นารี
สารเสพติด การพนัน สิ่งผิดกฎหมายหรืออะไรที่ไม่ค่อยดีกับตัวเองทุกสิ่งทุกอย่างนั้น
มันได้ผ่านมือของมินโฮมาหมดแล้ว
"มินโฮ
พี่จียงให้กูมาตามมึงไปขึ้นเวทีได้แล้วเว้ย อย่าโอ้เอ้
กูไม่อยากโดนพี่แกบ่นจนหูชาอีก"
เจ้าของดวงหน้าหวานและผิวขาวใสภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมทับด้วยกั๊กสีดำสนิท
กางเกงขายาวและรองเท้าหนังขัดจนขึ้นเงามันเดินออกมาพิงกายกับแผงเหล็กกั้นให้รู้ถึงอาณาเขตสำหรับสูบบุหรี่ภายนอกร้าน
'คิมจินอู' บาเทนเดอร์มือหนึ่งที่ไม่ว่าใครได้ลิ้มลองดื่มเครื่องดื่มของเจ้าตัวเล็กคนนี้แล้วล่ะก็
... เป็นอันต้องกลับมาสัมผัสรสชาติละมุนลิ้นอีกเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ หรือห้า
คนถูกตามจิ๊ปากไม่พอใจเล็กๆ
รีบสูบอัดเอานิโคตินเข้าสู่ร่างกายอีกเฮือกใหญ่ก่อนจิ้มมวนแท่งกระดาษขาวๆ
ในมือลงกับกระบะทราย ควันสีหม่นถูกพ่นใส่หน้าหวานๆ
ของจินอูอย่างไม่ทันตั้งตัวพลอยทำให้ผู้ได้รับสารพิษมือสองนั้นไอสำรักออกมาเสียยกใหญ่
"ว่าแต่พี่จียง
พี่จินอูก็ขี้บ่นไม่ต่างกันหรอกนะ"
"ไอ้
... แค่กๆ" อยากจะก่นด่าให้กับความไร้มารยาทของรุ่นน้อง
แต่ก็ต้องกลืนก้อนคำด่าลงคอก่อนไอไล่กลิ่นควันเหม็นๆ ออกมาให้หมด "ให้ตายเถอะ
! มึงก็รู้ว่ากูเกลียดไอ้กลิ่นบุหรี่เนี้ย
มึงก็ยังชอบแกล้งกูด้วยการพ่นควันใส่หน้า ถ้ากูเป็นมะเร็งเมื่อไหร่
กูจะให้พี่จียงไล่มึงออก !"
"ไล่ไม่ได้หรอก
ผมก็หุ้นส่วนร้านนี้เหมือนกันนะครับ พี่จินอู"
"กูเกลียดมึงตรงนี้
!" เมื่อรู้แล้วว่าเถียงไปยังไงก็แพ้
จินอูจึงเดินกระทืบเท้าปึงปังนำหน้าทำทีท่าเดินเข้าไปในคลับตามทางเดิมที่ตนออกมาเมื่อครู่
"เอ้า ! อยากโดนพี่แกหักเงินหรือไง รีบเข้ามาสิ !"
มุมปากของรุ่นน้องกายหนายกขึ้นก่อนเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ
สองสายตาเรียวมองไล่แผ่นหลังบางของรุ่นพี่ตัวเล็กจนหายไปกับแสงสีราวกับถูกกลืนกินไปทั้งตัวก่อนตนจะสืบเท้าเดินเข้าไปภายในตัวอาคารบ้าง
กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปะปนกับกลิ่นกายซึ่งถูกประโคมด้วยเครื่องหอมของนักเที่ยวยามค่ำคืนหลากหลายจนทำให้เขารู้สึกมึนๆ
ไปบ้าง
ยิ่งแสงสีจากเลเซอร์เธคสาดไปมาท่ามกลางความมืดสลัวยิ่งทำให้รู้สึกเวียนหัวไปหมด
แต่สำหรับมินโฮแล้ว มันเป็นภาพแสนคุ้นชินจนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
หากคืนใดไม่เห็นแสงเหล่านี้
คงเป็นวันที่เขาเอาแต่ทิ้งตัวจมกับเตียงนอนทั้งวันทั้งคืนเสียมากกว่า
ไมโครโฟนถูกดึงออกจากขาตั้งซึ่งมันถูกวางไว้อยู่ริมๆ
เวทีอย่างไม่ค่อยโดนสนใจมากนัก
มินโฮสวมใส่อินเอียร์ประจำตัวเข้ากับหูก่อนเริ่มเดินขึ้นเวทีซึ่งยกสูงขึ้นจากระดับพื้นปกติเพียงประมาณหนึ่งเมตร
แสงสปอร์ตไลท์ราวกับจะกลั่นแกล้งนักร้องมาดเท่ห์นั้นสาดกระทบเข้ากับตาของเขาจังๆ
แต่นั้นก็ทำให้เขาดูเท่ห์ไม่น้อยจนสาวๆ ทั้งคลับแทบคลั่ง
แสงไฟสว่างไสวนั้นทำให้รอยสักสีหม่นพาดผ่านตามลาดไหล่ ไหปลาร้า
และเหนืออกเด่นหราเมื่อเสื้อกล้ามเนื้อผ้าบางนั้นเลื่อนไล่ไปตามผิวสีน้ำผึ้ง
มัดกล้ามเนื้อต้นแขนแน่นเรียกเสียงหวีดร้องพร้อมส่งเสียงเรียกชื่อมินโฮหรือ 'ไมโน' ปนเปดังไม่หยุดจนเจ้าตัวต้องกรอกเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงด้วยความเซ็กซี่ลงกับไมโครโฟนเพื่อให้สัญญาณว่าเขาจะเริ่มร้องเพลงแล้ว
ทันทีที่อินโทรของดนตรีจบ
เสียงทุ้มต่ำและเซ็กซี่ของเจ้าตัวก็เริ่มรัวเป็นการแร๊ปที่มีความหมายสองแง่สามง่ามปลุกกระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนในกายของเหล่านักเที่ยวให้เริ่มออกเลื้อย
ยิ่งการแสดงของมินโฮมีท่าเต้นเซ็กซี่และยั่วยวนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนฉีกความอดทนของพวกหื่นกระหายในกามารมณ์มากขึ้นเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น
มินโฮกลับไม่รู้สึกอะไรทำนองนั้นเลย ...
มินโฮไม่ใช่พวกตายด้านหรือไร้ความรู้สึกทางเพศ
หากแต่มันมีเรื่องอะไรบางอย่างจนทำให้เขาต้องขยาดกับความสัมพันธ์ทางใจจนต้องหลบซ่อนตัวเองจนส่งผลกับความรู้สึกทางกาย
จนต้องพาตัวเองจมกับอารมณ์สีเทามาโดยตลอด
'โรคกลัวความรัก'
คือสิ่งชักนำพาให้มินโฮต้องพาตัวเองหลบหนีจากผู้คนที่อยากเข้ามาทำความรู้จักกับเขา
ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม
โรคไม่ร้ายแรงแต่สามารถซ่อนเร้นความรู้สึกด้านบวกเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาเมื่อพบเจอกับผู้คนใหม่ๆ
หลีกหนีจากสังคมเมืองอันสดใสในช่วงรุ่งอรุณหันหน้าเข้าสู่ความสับสนวุ่นวายแต่เคลือบไว้ด้วยความสงบของราตรีกาล
เรื่องนี้คงเกิดขึ้นราวๆ
หนึ่งปีก่อน ...
ประตูห้องถูกผลักทันทีที่รหัสถูกกรอกอย่างถูกต้องครบถ้วน
ขายาวของมินโฮก้าวทอดน่องเข้าไปภายใน
ห้องชุดของคอนโดหรูปรากฏภาพของเฟอร์นิเจอร์สะท้อนรสนิยมของเจ้าของสถานที่
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนประดับด้วยสีแดงหรือดำ มินโฮรู้ดีว่า 'อีแชริน' คนรักของเขานั้นเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง
แฟชั่นรวมถึงการใช้ชีวิตของเธอต้องล้ำหน้ามากกว่าคนอื่นๆ
จนบางครั้งบางทีเธอก็ดูเหมือนจะเยอะเกินไป
หากแต่ในความเยอะของเธอนั้นทำให้ดูเฟียร์สเกินกว่าผู้หญิงธรรมดาๆ เป็นคนน่าค้นหา
ซึ่งนั้นทำให้มินโฮหลงไหลในตัวของแชรินมากขึ้นทุกวัน
ดอกสแตติสสีม่วงไร้การตกแต่งในมือหนาร่วงลงกับพื้นไม้ลามิเนตสีอ่อนเย็นเฉียบเพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศซึ่งถูกเปิดทิ้งเอาไว้ทันทีที่เขาเปิดประตูห้องนอนเข้าไป
คู่ตาคมเบิกโพลงเมื่อโฟกัสไปที่ร่างกายเปลือยเปล่ากลับถูกคลุมด้วยผ้าห่มนวมหนา
หนึ่งคนเป็นร่างของหญิงสาวที่ได้หัวใจของมินโฮไป
และเจ้าหล่อนก็มอบความรักการดูแลเอาใจใส่ให้กับมินโฮไม่ต่างกัน
ร่างกายบอบบางของเธอกำลังถูกโอบกอดด้วยแขนแกร่งของชายหนุ่มอีกคนซึ่งมินโฮเองนั้นไม่เคยรู้จัก
ใบหน้าสวยสไตล์อินเตอร์ของแชรินนอนหลับตาพริ้มบนอกแกร่งของคู่นอน
ผมเผ้าของทั้งสองยุ่งเหยิงจนเขารู้ได้ทันทีว่ามีเกิดอะไรขึ้นบ้างตลอดทั้งคืน
น้ำตาลูกผู้ชายรื้นร้อนตามขอบตาผ่าวๆ อย่างห้ามไม่ได้จนไม่อาจโฟกัสภาพอะไรได้อีก
นิ้วมือทั้งสิบถูกรวบแน่นเข้ากับฝ่ามือจนเส้นเลือดปูดโปน
ความโมโหปะทุให้เจ้าตัวขาดสติ ตรงไปฉุดกระชากไหล่หนาของชายหนุ่มที่กำลังเข้าสู่ห้วงฝันหวานนั้นตื่นขึ้นมาก่อนฟาดหมัดหลุนๆ
เข้าแก้มซ้าย ตามด้วยมุมปากข้างเดียวกันอีกหลายครั้ง
"มินโฮ
หยุด !"
ร่างกายบอบบางของหญิงสาวเพียงคนเดียวเข้ามาห้ามขวางกั้นระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง
เรือนกายงดงามราวรูปปั้นของเทพีพันธนาการด้วยผ้าห่มผืนโตเพียงเท่านั้น เลือดร้อนๆ
พลุ่งพล่านในกายของมินโฮไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงเลย
แต่ก็ต้องหยุดมือลงแม้จะอยากซัดหมัดลงใบหน้าหล่อของชายชั่วนั้นอีกสักที
ลมหายใจหอบถี่พ่นระบายออกทั้งจมูกและปากหยักสีเข้ม
อกแกร่งแข็งแรงภายใต้เสื้อยืดสีดำสวมทับด้วยเสื้อวอร์มยี่ห้อดังสีเดียวกันนั้นเพื่อมไหวไปตามจังหวะการหายใจ
ก้อนเนื้อหัวใจฝังในกายหนานั้นเต้นแรงเกินควบคุมไหว
มันกำลังตอบรับความเจ็บปวดกับภาพติดตาเมื่อครู่
"แชริน
ไอ้หมอนี่มันทำอะไรเธอ มันล่อลวง มันขืนใจเธอใช่ไหม ?!"
ตาเรียวดุดันเมื่อครู่อ่อนโยนลงเมื่อสบเข้ากับตากลมๆ
ของหญิงสาวเจ้าของห้อง
น้ำตาของมินโฮไหลลงข้างแก้มเมื่อสมองเอาแต่ประมวลความคิดว่าไม่สามารถปกป้องคนรักได้ดีตามที่เคยให้สัญญาไว้
มือหนาจับประคองเข้ากับต้นแขนเล็กทั้งสองข้างด้วยความอ่อนละมุนเกรงว่าจะทำให้เจ็บปวดกว่าเดิม
แต่แชรินกลับหลบสายตาก่อนส่ายหน้าเป็นคำตอบ
"ขอโทษนะมินโฮที่ปิดบังมาตลอด"
น้ำเสียงหวานแผ่วแต่แฝงความหนักแน่นนั้นทำให้หัวใจของมินโฮบีบรัดความเจ็บปวดอีกครั้ง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาคมราวนกอินทรีอีกครั้ง คราวนี้ตากลมๆ
นั้นเคลือบด้วยหยาดน้ำตาอุ่นจนเต็มเบ้า "มินโฮ คือฉัน ..."
"ไม่ต้องพูดแล้วแชริน
ผมว่าผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว"
"อืม
... เรา ... เราเลิกกันนะ"
ขายาวเดินก้าวลงจากเวทีหลังจากการแร๊ปราวกับพ่นไฟ
ริมฝีปากหยักที่เคยยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์บนเวทีบัดนี้กลับเรียบเป็นเส้นตรงไม่สื่อถึงความรู้สึกใดๆ
พลางเบียดเสียดผู้คนอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไรนักแม้กลุ่มสาวๆ
นักรักจะพยายามเข้าถึงตัว แต่มินโฮกลับเลือกจะปัดมือเหล่านั้นออกและเบี่ยงตัวหลบ
เขาเลือกจะขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ทรงสูงตรงหน้าเคาน์เตอร์
หนุ่มหน้าหวานกายบางซึ่งมีสถานะเป็นพี่เหลือบมองนักร้องหนุ่มและเป็นหุ้นส่วนของร้านอย่างเหนื่อยหน่าย
ก่อนคว้าขวดบรั่นดีสีอำพันมาเทลงแก้วโอลด์แฟชั่นซึ่งมีน้ำแข็งก้อนโตบรรจุอยู่
"อ่ะ
ดื่ม ... เผื่อมึงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง"
"ขอบใจนะอิพี่จินอู"
"เดี๋ยวปั๊ดตบปาก"
ว่าแล้วคนอายุมากกว่าก็ง้างมือขึ้นกลางอากาศเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องคนสนิทเริ่มปีนเกลียว
แต่เมื่อเห็นหน้าตายียวนกวนประสาทของคนตรงหน้าแล้วนั้นก็แทบอยากพุ่งเข้าไปบีบคอให้ตายคาคลับเสียมากกว่า
จนต้องยอมแพ้แล้วลดมือลง ใช้มือชงเหล้าอร่อยๆ ดีกว่า
"เมื่อไรมึงจะหายจากไอ้โรคบ้านี่สักทีวะ ? กูเห็นสาวๆ
ที่เข้ามาในชีวิตมึงแต่ละคนแล้วเสียดายแทน"
"เสียดายแล้วทำไมไม่จีบเองซะล่ะ
?"
"ถ้าสาวๆ
พวกนั้นชอบหน้าอย่างกูก็ดีสิวะ ติดที่ชอบหน้าหล่อๆ อย่างมึง"
"เออ
... ก็จริงนะ"
มินโฮว่าพลางยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นยกกระดกดื่มโดยไม่สนใจว่าจะส่งผลร้ายตามมามากมายเพียงใด
"หน้าอย่างอิพี่ไม่เหมาะเป็นผัวเลยว่ะ ไปหาเป็นเมียเสี่ยรวยๆ สักคนดีไหมวะ ?"
"เป็นเมียอะไรกันเล่า
! เดี๋ยวกูก็ไล่หมาในปากมึงด้วย SPIRYTUS ให้กระเจิงเลยเนี้ย
กูผู้ชายเว้ย จะเอาเมีย ไม่เอาผัว"
"เออ
... น้องคนนี้จะคอยดูแล้วกันนะพี่"
ลูกไฟกลมๆ ดวงใหญ่ค่อยๆ
โผล่พ้นปลายขอบฟ้าพลางทอแสงผ่านช่องว่างระหว่างตัวตึกสาดแสงเหลืองทองอ่อนๆ
ทะลุผ่านหน้าต่างกระจกแผ่นหนาเพื่อป้องกันอากาศเย็นหรือร้อนมากเกินไปตามฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน
ผ้าม่านสีครีมนิ่งสนิทมีพริ้วไหวบ้างเมื่อไอเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศพัดผ่าน
เจ้าของห้องร่างสูงโปร่งยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงกว้าง ผ้าห่มนวมผืนขาวห่มคลุมถึงปลายจมูก
เส้นผมสีดำสนิทมียุ่งไปบ้างจากการปรับเปลี่ยนท่านอนตลอดทั้งคืน
เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงดังขึ้นเพื่อปลุกให้เจ้าของเครื่องลืมตาตื่นขึ้นมารับสายได้แล้ว
โทรศัพท์มือถือที่เขาตั้งใจวางเอาไว้บนโต๊ะเล็กหัวเตียงเริ่มส่องสว่างพร้อมเสียงริงโทน
มันค่อยๆ
เคลื่อนที่เนื่องจากแรงสั่นไปกับพื้นไม้สีอ่อนปลุกให้คนนอนหลับอย่างสบายนั้นเริ่มรู้สึกตัว
มือขาวยื่นออกจากผ้าอุ่นไล่ปัดป่ายไปมาเพื่อหาเครื่องมือสื่อสารบางเฉียบส่งเสียงแผดจนนึกรำคาญ
หน่วยตาเล็กหยีไปเล็กน้อยเมื่อต้องแสงสว่างจ้าแฝงอันตรายต่อดวงตา เมื่อเห็นชื่อของผู้ประสงค์จะคุยด้วยแต่เช้า
'อีซึงฮุน' ก็เลื่อนนิ้วหัวแม่มือไปตามหน้าจอโทรศัพท์ตามเครื่องหมายให้รับสาย
"โทรมาแต่เช้าอีกแล้วนะ"
[ก็เป็นห่วงพี่นี่นา
ยังไม่ตื่นอีกหรอครับ ?]
ซึงฮุนคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
พลางขยับตัวลุกกึ่งนั่งกึ่งนอน ช่วงหลังยาวพิงกับหมอนใบใหญ่ฟูนุ่มทำให้ไม่ปวดหลังเท่าพิงกับหัวเตียงแม้จะบุด้วยลูกฟูกเนื้อดี
มือข้างที่ว่างยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ ปลุกเรียกให้ตัวเองนั้นตื่นเต็มตา
"ตื่นแล้ว ... ว่าแต่นายเถอะ
ซึงยุน เตรียมตัวไปเรียนหรือยังน่ะ ?"
[นี่กำลังไปอาบน้ำเลย
วันนี้พี่เข้างานตอนสิบโมงไม่ใช่หรอ ? รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเลยนะ]
'คังซึงยุน' น้องชายคนดีทำเสียงเขียวเมื่อได้ยินเสียงงัวเงียผ่านคลื่นสัญญาณโทรศัพท์
พี่ชายของตนยังคงมัวโอ้เอ้ไม่รีบร้อนหรือกระตือรือร้นให้มากกว่านี้
ถ้าเขาอยู่ข้างๆ มีหวังได้ดีดหน้าผากของผู้เป็นพี่จนช้ำแน่ๆ
"อะไรกัน นี่เพิ่งเจ็ดโมงครึ่งเองนะซึงยุน
แต่นายน่ะมีเรียนตอนเก้าโมงไม่ใช่หรอ ? ทำไมไม่รีบล่ะ ?
อย่าคิดว่าปูซานจะไม่มีรถติดนะ"
[โหย ... ไม่น่าบอกตารางพี่เลย เชอะ !
ไปอาบน้ำเตรียมไปเรียนก็ได้]
ปลายสายมีน้ำเสียงติดจะงอนก่อนที่หูของซึงฮุนจะได้ยินเสียงคล้ายๆ ขวดพลาสติกหลายๆ
ใบร่วงตกลงบนพื้นกระเบื้อง
ซ้ำยังได้ยินเสียงก้องไปหมดราวกับซึงยุนได้พาตัวเองเข้ามาในห้องน้ำแล้ว [เออ ...
พี่ซึงฮุน]
"หืม ... ว่าไงครับ ?"
[ดูแลตัวเองด้วยนะ
โซลอันตรายกว่าปูซานเยอะ ผมกับแม่เป็นห่วงพี่นะครับ]
"รู้แล้วๆ
ฝากบอกแม่ด้วยนะว่าพี่คิดถึง"
[รับทราบครับ ไปทำงานก็ตั้งใจล่ะ
อย่าแอบอู้ให้เจ้านายเขาหักเงินเดือนเชียวนะ]
"เห็นพี่เป็นพวกขี้เกียจตัวเป็นขนหรือยังไงนะ
? พี่ไม่ทำหรอก นายเองก็ตั้งใจเรียนล่ะ
อย่าหลับในห้องเรียนเหมือนตอนเรียน ม.ปลาย ล่ะ"
[ไม่เคยเหอะ ! ไปอาบน้ำแล้ว
แค่นี้นะพี่บ้า !]
ปลายสายตัดการสนทนาโดยไม่รอให้ซึงฮุนตอบกลับ
ชายหนุ่มผิวขาวแย้มยิ้มหลังจากโดนต่อว่า
ตาเล็กนั่งมองโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งภาพหน้าจอเป็นรูปเขากับเด็กหน้ากลมที่เพิ่งคุยกันไป
แม้ซึงฮุนกับซึงยุนจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ
แต่สำหรับเขา ซึงยุนและ 'แม่' คือผู้มีพระคุณและดึงเขาขึ้นมาจากเหวนรกนั้น
นรกภูมิซึ่งสร้างโดยพ่อแม่แท้ๆ ของเขา ...
ซึงฮุนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผู้ให้กำเนิดเขา
ให้ชีวิต
ให้ลืมตาขึ้นมาในโลกกว้างใหญ่นี้จะคอยขุดหลุมฝังเขาให้ตายทั้งเป็นมาโดยตลอดช่วงวัยเด็ก
มันก็ตลกดีเหมือนกันที่คนกำเนิดกับคนจ้องจะฆ่าเขานั้นคือคนคนเดียวกัน
จนทำให้เขาต้องคอยเข้าพบจิตแพทย์เสมอหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น
!
ผลการวิเคราะห์และรักษาทำให้รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่คือภาวะ
PTSD
ซึ่งมันสั่งสมมาตั้งแต่โดนกระทำครั้งแรก
มันรุนแรงขึ้นทุกวันจนเขาแทบจะเป็นบ้า เหตุการณ์ต่างๆ
ที่เหล่าพ่อและแม่พร้อมใจกันทำกับเขามีมากมายจนทำให้เขาจมกับความเจ็บป่วยทางจิตใจ
ซึงฮุนกลัวความมืด กลัวกลางคืน
เพราะพ่อแม่ชอบกักขังเขาไว้ในห้องปิดตายชั้นใต้ดินของบ้านหลังใหญ่ทุกครั้งเมื่อซึงฮุนทำอะไรไม่ถูกใจท่าน
ไม่มีหน้าต่างสำหรับหลบหนี ไร้หลอดไฟเปิดปิดให้เห็นแสงสว่าง ทางเข้าออกก็มีเพียงทางเดียวคือประตูที่พวกท่านส่งเขาเข้าไปเหมือนส่งเข้าสู่เงื้อมือของมัจจุราช
ทุกครั้งที่โดนจับเข้าไปขังนั้น ความรู้สึกเหมือนคนกำลังจะตายมักคืบคลานเข้าหาเสมอ
ออกซิเจนในอากาศเหลือน้อยลงทุกทีถ้าเขาหายใจเข้าออกแรงๆ จนท้ายที่สุด
ประตูนรกเกือบเปิดต้อนรับให้เขาเข้าไปเดินเล่นในดินแดนของคนตาย
ถ้าวันนั้น
ซึงยุนไม่เข้าไปตามหาเขาเพื่อไปเล่นอย่างทุกๆ วัน
พี่ชายคนนี้อาจจะไม่ได้อยู่เล่นกับน้องชายแถวบ้านคนนั้นก็ได้
สุดท้ายซึงฮุนก็ถูกรับเลี้ยงโดยคุณแม่ของซึงยุน
ส่วนพ่อแม่แท้ๆ ก็กลัวผลของความผิดเกรงว่าจะถูกจับเข้าคุกคิดตาราง
จึงพร้อมใจกันเก็บกระเป๋าหนีไปอยู่ต่างประเทศ
ไร้การติดต่อและไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนกันอีกเลย
การแบกรับความโหดร้ายของชีวิตด้วยแผ่นหลังเพียงลำพังมันยากลำบาก
แต่เพราะซึงยุนและแม่เลี้ยงทำให้ซึงฮุนได้พบความสุขแท้จริงแม้แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดไม่สามารถให้ได้
แต่โรคร้ายในกายซึงฮุนมันหนักหนาและรักษาลำบากเหลือเกิน
'พี่ซึงฮุน
อาหมอนัดวันไหนก็ไปตามนัดด้วยนะ แม่กับผมเป็นห่วงพี่
พี่อยู่คนเดียวต้องคอยเตือนตัวเองนะครับ'
ข้อความผ่านแอปพลิเคชันแชทถูกส่งมาหลังจากเจ้าของกายสูงเลิกผ้าห่มออกจากร่างพร้อมก้าวออกไปใช้ชีวิตในยามอรุณรุ่ง
ชีวิตของเขายึดติดกับแสงสว่าง อย่างที่บอก
เพราะซึงฮุนกลัวความมืดมาโดยตลอดทำให้เขาไม่กล้าออกจากบ้านในช่วงเวลาหลังตะวันลาคล้อยเส้นขอบฟ้า
มีแสงไฟทุกดวงในห้องเป็นเพื่อนในเวลากลางคืน มีเสียงเพลงขับกล่อมให้นอนหลับสนิท
ซึงฮุนไม่ใช่คนขี้เหงาหากแต่การอยู่คนเดียวก็ทำให้คิดฟุ้งซ่าน
ถ้าสายตาของเขามองเห็นภาพความมืดแม้แต่นิดเดียว ใจของเขาอาจแกว่งเอาได้
เลยเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่ซึงฮุนจะมีเพื่อนน้อย
แม้แต่ในออฟฟิศ เขาเองนั้นก็แทบไม่มีเพื่อนสนิทกันเลย
เนื่องจากเขาไม่เคยออกไปปาร์ตี้หลังเลิกงานกับทีมเลยสักครั้ง ไอ้โรคร้ายคอยตามติดเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่คอยทำให้ประสบการณ์ชีวิตของเขานั้นน้อยลง
ทั้งๆ ที่ชีวิตวัยรุ่นทั่วๆ
ไปนั้นจะมีการสังสรรค์บ้าง แต่ซึงฮุนกลับไม่เคยมีโมเมนต์นั้น ...
ไม่แปลกใจเลยที่งานของเขานั้นมักจะเป็นงานกลางวัน
ทุกคนในออฟฟิศต่างเข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มร่างสูงแต่กลับบอบบางคนนี้เป็นอยู่
การเข้ามาใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวในเมืองหลวงของประเทศนั้นมันลำบากกับหนุ่มหน้าตี๋คนนี้เหลือเกิน
แต่เพราะปูซานหางานทำกลางวันยากนัก จึงจำเป็นต้องอพยพเข้ามาอยู่ในโซล
ซึ่งหางานง่ายและจิตแพทย์เก่งๆ ก็มีให้เลือกรักษาด้วยเยอะแยะ
แต่ซึงฮุนกลับเลือกเป็นคนไข้ประจำของคุณหมอ
'อึนจีวอน' จิตแพทย์คนเก่งวัยสี่สิบปีซึ่งดูแลเขาดีกว่าหมอไหนๆ
ที่เคยรักษามา
ซ้ำยังนับถือเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งในครอบครัว
จึงทำให้ซึงฮุนรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่กลัวเกรงเหมือนหมอคนอื่นๆ ที่ผ่านมา
แม้จะรักษามานานหลายปี
แต่อาการของซึงฮุนกลับไม่ดีขึ้นมาบ้างเลย แต่แค่โลกไม่ใจร้ายกับซึงฮุน
มันก็ไม่มีอะไรทำให้เขาวิตกกังวล ตรงกันข้าม
เขากลับยิ้มเก่งและอยู่กับความเป็นจริงได้อย่างเช่นคนปกติทั่วไป
# โรคกลัวความรัก (Philophobia)
ผู้ป่วยโรคนี้จะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความรัก
พยายามที่จะไม่ให้ตัวเองรู้สึกว่ารักใครหรือรู้สึกพิเศษกับใคร
ต่อให้ในบางครั้งจะรู้สึกดีกับใครขึ้นมาบ้าง
แต่สุดท้ายก็จะไม่ยอมเปิดใจและถอยห่างออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
# PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder)
คือโรคที่มีอาการเครียดและเจ็บป่วยหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง
# SPIRYTUS
สุราที่มีปริมาณของแอลกอฮอล์มากถึง 96%
หากได้ลองดื่มจะมีความรู้สึกคล้ายกับโดนต่อยท้องเลยค่ะ
เอาแล้วค่ะ
พระเอกก็ป่วย นายเอกก็ป่วย แล้วแบบนี้เรื่องราวจะเป็นยังไง ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
จุ๊บๆ
แท็กฟิคเรื่องนี้นะคะ
#DAYNIGHTSTORY
ถ้าไม่กล้าเมนชั่นมาคุยกับไซเรนท์ก็สามารถสกรีมได้เลย
เดี๋ยวไซเรนท์ไล่อ่านนะคะ ^^
ความคิดเห็น