*+*::...OnE...::*+* - *+*::...OnE...::*+* นิยาย *+*::...OnE...::*+* : Dek-D.com - Writer

    *+*::...OnE...::*+*

    โดย ^^CoCoA^^

    ความรักของผมเกิดขึ้นกับคนๆ เดียว และผมจะรักเค้าตลอดไป

    ผู้เข้าชมรวม

    478

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    478

    ความคิดเห็น


    12

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 เม.ย. 50 / 14:44 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

      แสงไฟในฮอล์ใหญ่ค่อยๆ สว่างขึ้น ผ้าม่านสีแดงบนเวทีค่อยๆ เลื่อนออกเผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสูง...ผู้มีใบหน้าหล่อเหลา ไร้ที่ติ และเป็นที่หมายปองของทั้งหญิงและชาย...แต่ทว่า...ชายหนุ่มผู้นั้นกลับไม่เคยแม้แต่จะเหลียวมอง...ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับแฝงไปด้วยความโศกเศร้า อย่างที่ใครก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดชายหนุ่มจึงดูหมองเศร้าเช่นนั้น...

      .

      .

      .

      ผม...จุง ยุนโฮ ผู้มีทุกอย่างเพรียบพร้อม...วันนี้ผมจะได้สีไวโอลินที่ผมอุตส่าห์ซุ่มซ้อมมานานหลายปี...ผมตั้งใจจะบอกเล่าเรื่องราวความรักของผมผ่านบทเพลงอันหวานซึ้ง อีกแค่ไม่ถึง 5 นาที การแสดงครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว...

       

      " สวัสดีครับ แขกท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย...ผมขอขอบคุณอย่างยิ่งที่ทุกท่านมาร่วมงานในวันนี้...แต่ก่อนที่ผมจะเริ่มการแสดง...ผมมีเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของผม...ที่ผมอยากให้ทุกท่านได้ฟังกัน..." ผมเอ่ยกับแขกที่มาร่วมชมการแสดง ก่อนจะเอ่ยเล่าเรื่องราวของผมให้ทุกคนได้ฟัง...ในฮอลตอนนี้เงียบมาก ทุกคนที่มาร่วมงานต่างตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าอย่างมีมารยาท...

       

      " สมัยที่ผมยังเด็ก จำได้ว่าผมเพิ่งขึ้นม.ปลายใหม่ๆ...ผมขอเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งตอนนั้น...ในวันปฐมนิเทศน์..."

       

      *****************

       

      วันปฐมนิเทศ โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย DBSG

       

      วันนั้นผมจำได้ดีว่า...ผมโดดปฐมนิเทศ มานอนเล่นอยู่หลังโรงเรียนใต้ต้นไม้ริมทะเลสาบ...จู่ๆ ก็มีเสียงนึงดังขึ้น...

       

      " จ๊ะ...เอ๋!!! "

       

      " เฮ้ย!!!!!!!!!!!!! " ผมตกใจ เด้งตัวขึ้นนั่งทันที...เมื่อหันมองไปที่ต้นเสียง ผมก็ได้พบกับสาวน้อยน่ารักคนหนึ่ง...ไม่สิ...เธอสวยมาก ราวกับนางฟ้าก็ไม่ปาน...เธอยิ้มให้ผมอย่างน่ารัก...ใบหน้าของเธองดงามไร้ที่ติ...ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้าที่ได้รูป...จมูกเล็กน่ารักที่โด่งเป็นสันรับกับใบหน้า...ดวงตากลมโตสีนิลที่ชวนให้เพ้อฝัน...กลีบปากสีเชอร์รี่ที่ชวนให้ลิ้มลอง...ใบหน้าขาวผ่องบริสุทธิ์ที่ถูกแต่งแต้มด้วยปลายพู่กันจากสรวงสวรรค์ก่อให้เกิดสีชมพูระเรื่อตรงพวงแก้มใส...ยิ่งมองก็ยิ่งเพลิน...ยิ่งมองยิ่งหลงใหล...แต่เดี๋ยวก่อน!!!...นั่นเธอใส่ชุดนักเรียนชายนี่!!...

       

      " นี่!! นาย...จะจ้องชั้นอีกนานมั้ย จะมองให้ทะลุจนเห็นไส้เห็นพุงเลยรึไง " นางฟ้าคนสวยของผม...เฮ้ย!!..ไม่ใช่ ยังไม่ใช่ของผม...ตอนนี้เธอเริ่มอมลมจนแก้มป่องซะแล้ว...

       

      " คนบ้า...พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย...เอาแต่มองอยู่นั่นแหละ เห็นชั้นเป็นตัวประหลาดรึไง...ไม่พูดด้วยแล้ว..." อ๊ะ...เธอกำลังจะลุกไปแล้ว...

       

      " เดี๋ยวก่อนสิครับ..." ผมรีบดึงมือเธอไว้...และผมก็ได้รู้ว่าข้อมือของเธอเล็กกว่าผมมาก...และเธอก็หันมายิ้มให้ผมอย่างน่ารักอีกครั้ง...

       

      " นายโดดปฐมนิเทศน์เหมือนกันใช่มั้ย " เธอนั่งลงตรงหน้าผมและเอ่ยถามผมทันที...ผมตามอารมณ์เธอไม่ทันจริงๆ...

       

      " ใช่...แล้ว...นายล่ะ..." ผมถามออกไปอย่างไม่แน่ใจว่าผมควรจะใช้สรรพนามเรียกเธออย่างไรดี...

       

      " ก็มาสายอ่ะ...เลยขึ้นไม่ทัน...ไม่รู้จักใครเลยด้วย...เห็นนายนอนอยู่อ่ะ เลยมาทักทาย " เธอเอ่ยเจื้อยแจ้ว...เสียงหวานไพเราะน่าฟัง...ผมหลงเธอซะแล้ว....

       

      " ชั้นชื่อยุนโฮ...จุง ยุนโฮ " ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี เลยถือโอกาสแนะนำตัวซะเลย...

       

      " ชั้นชื่อแจจุง...คิม แจจุง...แค่กๆๆ..." เธอเอ่ย...และก็ไอออกมาเบาๆ มองยังไงก็ยังน่ารักอยู่ดีนั่นแหละ....

       

      " ไม่สบายเหรอ " ผมถามออกไปอย่างนึกเป็นห่วงคนตัวเล็กนี่จริงๆ

       

      " เปล่า...แต่ชั้นหนาว..." ดูเหมือนเธอจะหนาวจริงๆ เธอกระชับเสื้อที่สวมใส่ก่อนจะกอดตัวเองราวกับต้องการไออุ่น...ผมจึงถอดสูทตัวนอกสวมให้เธอ...เพราะผมน่ะ ร้อนจะแย่...

       

      เราคุยกันอย่างถูกคอ...และนับตั้งแต่นั้นมาเราก็เริ่มสนิทกัน...ถึงเราจะได้เรียนกันคนละห้อง แต่เราก็มักจะมานั่งทานข้าวกลางวันด้วยกันทุกวัน...แจจุงชอบมาเที่ยวที่บ้านผมบ่อยๆ บางวันก็มาค้าง...ครอบครัวของเราสองคนก็บังเอิญมาทำธุรกิจร่วมกัน...พ่อแม่ของเราทั้งสองคนจึงกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย...และด้วยความเป็นเพื่อน...พ่อแม่ของแจจุงจึงไว้ใจให้ผมคอยดูแลแจจุง...เวลาที่พวกท่านไปดูแลงานที่ต่างประเทศ พวกท่านก็จะฝากแจจุงไว้ที่บ้านผม...ส่วนพ่อแม่ผมก็มักไม่ค่อยอยู่บ้านกันเท่าไหร่...บ้างก็ไปดูงานที่ต่างประเทศหรือไม่ก็ไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวของแจจุง...จึงทำให้เราสองคนมีเวลาด้วยกันเพียงลำพังเป็นส่วนมาก...และเพราะเหตุนี้ผมจึงมีโอกาสได้บอกความในใจให้แจจุงได้รับรู้...

       

      ทีแรกแจจุงดูมีอาการตกใจไม่น้อย...ก่อนจะโผเข้ากอดผมแล้วร้องไห้เป็นการใหญ่...ผมงงจนทำอะไรไม่ถูก...แต่ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าแจจุงก็รักผมเช่นกัน...เรื่องราวของเราดำเนินต่อไปด้วยดี...พ่อแม่ของเราทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นดีเห็นงาม...ทั้งคอยให้กำลังใจในยามที่เราต่างงอนง้อ...และคอยสนับสนุนในยามที่เราต้องการกำลังใจ...

       

      ผมรู้สึกว่าตนเองโชคดีนักที่เกิดมาในตระกูลที่ความมั่งคั่ง...เพรียบพร้อม...แจจุงก็เช่นกัน...และที่โชคดีที่สุดก็คือ...ความรักของเราราบรื่นไร้วี่แววแตกหัก ไม่เคยทะเลาะกันจนถึงขั้นไม่มองหน้ากัน...หากจะมีก็แค่เพียง...หึงกันไป หึงกันมา...ก็แน่ล่ะ เราทั้งคู่ต่างเป็นที่หมายปองของใครๆ...แจจุงสวยออกอย่างนี้ผมก็ต้องหวงเป็นธรรมดา...พวกผู้หญิงก็เหลือเกินรู้ทั้งรู้ว่าผมรักแจจุงคนเดียวก็ยังจะมาเกาะแกะผมไม่เลิก...แต่ถึงแจจุงจะหึงหรือไม่พอใจผมแค่ไหน...แจจุงก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวผมเสมอมา....

       

      เราเรียนที่เดียวกันจนจบมหาวิทยาลัย...ผมทำงานนั่งแท่นเป็นผู้บริหารคนใหม่แทนตำแหน่งของคุณพ่อ...ฝ่ายแจจุงก็เปิดสถาบันดนตรีเป็นของตัวเองตามความชอบของเจ้าตัวและเป็นครูสอนไวโอลินให้เด็กๆ อีกด้วย...

       

      แจจุงเริ่มร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ ตั้งแต่โหมงานหนัก...ทั้งงานที่บริษัทของครอบครัวที่แจจุงได้นั่งแท่นเป็นรองประธานบริษัทต่อจากคุณแม่ของเค้า...เสาร์ อาทิตย์ มาสอนไวโอลิน...จนครั้งนึงที่ผมไปนั่งรอแจจุงสอนอยู่หน้าห้อง ก็ต้องรีบเปิดประตูเข้าไปรับตัวแจจุงเอาไว้...เพราะแจจุงจู่ๆ ก็ทำไวโอลินหลุดจากมือ...ร่างบางๆ ของคนรักของผมก็ร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วงของโลก...ใบหน้าที่เคยอมชมพูสดใสกลับซีดเซียวจนน่าตกใจ...ผมพาแจจุงไปโรงพยาบาลทันที โดยไม่สนใจว่าเด็กในคลาสเรียนจะตกอกตกใจแค่ไหนที่คุณครูคนสวยหมดสติคาห้องแบบนั้น....

       

      ผลการตรวจทำให้ชีวิตผมเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...หมอบอกว่าสุดที่รักของผมเลือดมีปัญหา...เดิมทีแจจุงก็ป่วยกระเสาะกระแสะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่เคยเป็นอะไรหนักหนา...ผมเองก็มั่นใจว่าผมดูแลแจจุงอย่างดีมาตลอด...แล้วแจจุงจะป่วยหนักได้ยังไง...

       

      " แล้วภรรยาผมจะเป็นอะไรมากมั้ยครับ " ผมถามอย่างกังวลที่สุดในชีวิต...

       

      "............" หมอไม่ตอบ...หรืออาจจะยังให้คำตอบผมตอนนี้ไม่ได้ก็ได้...แต่เท่าที่เห็น...สีหน้าของหมอมีแววลำบากใจที่จะตอบผม...

       

      " ก็แค่เลือดมีปัญหา แค่ถ่ายเลือดก็หายแล้วไม่เหรอครับ " ผมชักใจคอไม่ดี...ผมกลัวเหลือเกินว่าจะได้รับข่าวร้าย...

       

      " ถ้ามันง่ายขนาดนั้น หมอคงไม่ลำบากใจที่จะตอบหรอกนะคะ...หมอคงต้องขอตรวจเลือดคุณแจจุงให้ละเอียดอีกที อาทิตย์หน้าคุณค่อยมารับผลการตรวจก็แล้วกันค่ะ " หมอสาวคนนั้นเดินจากไปด้วยท่าทีเหนื่อยล้า...ผมไม่เข้าใจจริงๆ...มีลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับผม...ว่าผมกำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น...และผมก็เฝ้าภาวนาเหลือเกินว่าเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ผมรักสุดหัวใจอย่างแจจุง...

      .

      .

      .

      1 อาทิตย์ต่อมา

       

      " ไม่จริง!!!!!!!...เป็นไปไม่ได้ " ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเหลือเกิน...ผมเข้ามาพบคุณหมอเพียงลำพัง โดยฝากแจจุงเอาไว้กับจุนซูเพื่อนที่แจจุงสนิทด้วยและเป็นครูสอนเปียโนในสถาบันดนตรีของแจจุง...

       

      " หมอเสียใจจริงๆ ที่ต้องพูดตามตรง แต่อยากให้คุณทำใจ...ภรรยาของคุณโอกาสเหลือไม่มากแล้ว " คุณหมอยังคงพูดอย่างใจเย็น เพื่อให้ผมได้ตั้งสติ...

       

      " รักษาให้หายขาดได้มั้ยครับ " ผมถามทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความหวังช่างริบหลี่เหลือเกิน...

       

      " ภรรยาของคุณยังอยู่ในระยะที่รักษาได้...แต่จะหายขาดหรือไม่...หมอคงตอบไม่ได้หรอกค่ะ " คุณหมอยังคงพูดอย่างใจเย็น...แต่ใจของผมราวกับร่วงหล่นลงไปกองที่พื้นซะแล้ว...หมอไม่รับรองแบบนี้ ความหวังอันน้อยนิดของผมก็แทบจะดับวูบทันที...

       

      " ภรรยาของผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก...จะมีก็แต่คุณพ่อ คุณแม่ของเค้าเท่านั้น " ผมพูดอย่างพยายามที่จะควบคุมเสียงของตนเองให้อยู่ในระดับปกติ...ทั้งที่ในใจของผมกำลังร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง...

       

      " การปลูกถ่ายไขกระดูกอาจใช้ไขกระดูกของคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติได้...แต่โอกาสก็แค่ 1 ใน ล้านเท่านั้น...แต่นั่นก็ถือว่ายังมีความหวังอยู่นะคะ " คุณหมอพยายามพูดเพื่อให้ผมมีความหวังขึ้นมาบ้าง...แต่ 1 ในล้านเชียวนะ ทำไมมันช่างน้อยนิดเหลือเกิน...

      .

      .

      .

      ผมขับรถมารับแจจุงที่สถาบันดนตรี...ความจริงแล้วแจจุงมักจะชอบบังคับให้ผมเล่นไวโอลินให้ได้...แต่ผมก็ดื้อที่จะไม่เล่น เพราะผมเล่นไม่เป็น และอายเกินกว่าจะมานั่งหัดเอาตอนโตแล้วด้วย...แต่วันนี้ผมกลับอยากให้แจจุงสอนผมขึ้นมาดื้อๆ เพราะผมอยากให้เวลากับคนที่ผมรักให้ได้มากที่สุด...ก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาสได้ใช้ลมหายใจร่วมกับเค้าอีกแล้ว...

       

      " วันนี้เป็นอะไรรึเปล่ายุนโฮ...ทำไมดูซึมจังเลยล่ะ " แจจุงถามผมขณะที่ซ้อนอยู่ด้านหลังของผมเพื่อสอนให้ผมจับไวโอลินได้อย่างถูกต้อง...

       

      " เปล่านี่ครับ..." ผมโกหกออกไปเพราะยังไม่อยากพูดอะไรที่จะทำให้แจจุงไม่สบายใจ...

       

      " แล้วผลตรวจเลือดล่ะ หมอว่าไงบ้าง...แจจุงแค่เป็นโลหิตจางใช่ป่ะ " เค้าถามผลด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก กับใบหน้าที่สดใส ไม่มีแววหมองหม่นเลยสักนิด...

       

      "........................." ผมนึกอยากให้สิ่งที่ได้ยินจากปากของคุณหมอเป็นเพียงแค่สายลมที่บังเอิญพัดมาเข้าหู...แล้วผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น...แจจุงยังคงสบายดี...แจจุงไม่ได้ป่วยหนัก...ดูสิ..ยังยิ้มสวยอยู่เลย...จะป่วยได้ยังไงกัน...หมออาจจะตรวจผิดก็ได้...

       

      " ยุน...โฮ...ยุนโฮ " แจจุงเอามือน้อยๆ ปัดไปมาตรงหน้าผมเพื่อเรียกสติผมกลับมา...ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองเหม่อมองใบหน้างดงามนั้นนานเพียงใด...แจจุงแลดูเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อยเลย ที่ผมดูไม่สดใสอย่างนี้...

       

      " ยุนโฮไม่เป็นไรหรอกครับ ที่รัก...แจจุงแค่ไม่สบาย...รักษาเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะครับ " ผมพยายามพูดเพื่อให้แจจุงค่อยๆ ทำใจทีละน้อย...

       

      " แจจุงเนี่ยนะป่วย...ฮะๆๆๆๆ...ยุนโฮต่างหากล่ะที่ป่วย...ดูสิเนี่ยหน้าหมองเชียว..." แจจุงเก็บไวโอลินก่อนจะเดินมานั่งบนตักของผมอย่างออดอ้อน...สองแขนเรียวโอบรอบคอผมก่อนจะเอนซบใบหน้าลงบนไหล่กว้างของผม...

       

      " ไม่ขำเลยนะครับ " ผมนึกโมโหที่แจจุงยังขำไม่เลิก...แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ สองมือของผมก็โอบกอดเอวบางเอาไว้แนบแน่นเช่นกัน...

       

      " ขอโทษนะยุนโฮ...แจจุงนิสัยไม่ดี...แจจุงทิ้งยุนโฮ...อึก...แจจุงขอโทษ..." คนสวยของผมเริ่มฟูมฟายและพูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ...แจจุงบอกว่าทิ้งผม...ผมชักจะเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกซะแล้ว...

       

      " เป็นอะไรครับที่รัก...อยู่ดีๆ ร้องไห้ทำไมครับ " ผมพูดทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ในตอนนี้...และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมแจจุงต้องร้องไห้หนักขนาดนี้...

       

      " แจจุง...อึก...ปะ...เป็น...ลูคีเมีย..." แจจุงสะอื้นไห้บอกกับผม...ก่อนจะซบหน้าลงมาอีกครั้งโอบกอดผมแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม...ผมเองก็เช่นกัน...ทุกๆ คำที่ผมได้ยินจากริมฝีปากสีกุหลาบ...ราวกับมีเข็มเล็กๆ ทิ่มแทงลงมาที่ร่างกาย...เจ็บจี๊ดจนชาไปทั้งตัว...แจจุงรู้แล้ว...รู้ได้ยังไงในเมื่อผมไม่ได้บอก...รู้ได้ยังไงในเมื่อผมเป็นคนไปรับผลตรวจไม่ใช่แจจุง...

       

      " แจจุง...รู้ได้ยังไง " ผมตัดสินถามอย่างยากลำบาก...เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ...

       

      " เดือนที่แล้ว...ตอนที่ยุนโฮไปดูงานที่ต่างจังหวัด...คุณแม่พาแจจุงไปตรวจสุขภาพประจำปี...ก็เลยรู้...พ่อกับแม่ต่างพาคนโน้นคนนี้ไปตรวจเลือด...เผื่อว่าจะมีสักคนนึงที่สามารถปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้...แล้วก็ต้องคอยไปถ่ายเลือดอยู่บ่อยๆ เพื่อประทังชีวิตให้อยู่ต่อไปได้..." แจจุงหยุดร้องไห้ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมด...

       

      " แล้วทำไมผมไม่รู้เรื่อง..." ใช่...ทำไมไม่มีใครบอกผม...ช่วงเวลาที่ผมทำงาน...ผมปล่อยให้คนรักไปถ่ายเลือดโดยที่ผมไม่รู้ได้ยังไงกันเนี่ย...ทุกคนปิดบังผมทำไม...

       

      " แจจุง...ขอโทษ..." เพียงแค่คำขอโทษเท่านั้นที่คนรักผมเอื้อนเอ่ย...และนั่นก็ทำให้ผมไม่อยากถือโทษอะไรอีก...แจจุงคงไม่อยากให้ผมเป็นห่วง...แต่รู้บ้างมั้ย...หากวันนึงผมต้องเสียเค้าไปโดยที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย...ผมจะเจ็บปวดมากแค่ไหน...ทำไมไม่มีใครคิดบ้าง...

       

      " อย่าร้องเลยนะ...ยุนโฮจะอยู่กับแจจุงตลอดไป...แจจุงจะหายดี...ยุนโฮรักแจจุงนะ...รักเสมอเลย...รักที่สุดในโลกเลยด้วย..."

       

      " แจจุงก็รักยุนโฮ...แจจุงจะไม่ยอมตาย..."

       

      " ^^ แน่นอนครับคนสวย...ยุนโฮคนนี้จะจัดการกับพวกยมทูตให้เอง...ใครหน้าไหนกล้ามาพรากแจจุงไปจากยุนโฮล่ะก็...ได้เจออุ้งตีนหมีแน่ๆ..."

       

      " คิก คิก คิก ยุนโฮน่ารักที่สุดเลย "

      .

      .

      .

      3 เดือนต่อมา หลังจากพยายามอยู่นานในการขอร้องให้ใครหลายคนที่ไม่รู้จักไปตรวจเลือด...ในตอนนั้นแจจุงก็ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแทนที่บ้านซะแล้ว...อาการของแจจุงทรุดหนักลงเรื่อยๆ และสุดท้ายความหวังของผมก็ดับวูบลง...อาการของแจจุงเดินทางมาจนถึงระยะสุดท้ายแล้ว...ผมเห็นสีหน้าทรมานของแจจุงแล้วรู้สึกปวดใจนัก...หากเจ็บแทนกันได้ผมจะไม่มีวันยอมให้แจจุงต้องเจ็บปวดเป็นอันขาด...

       

      " ยุนโฮ...อย่าร้องไห้นะ..." แจจุงปาดน้ำตาที่นองหน้าของผมออกอย่างเบามือ...หรืออาจเป็นเพราะเรี่ยวแรงของแจจุงเหลือน้อยเต็มทีแล้วก็เป็นได้...

       

      ผมนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง...คอยกุมมือเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ...คอยปลอบโยนแม้รู้ดีว่า...แจจุงไม่อาจรักษาให้หายได้อีกแล้ว...สวรรค์ช่างเล่นตลกยิ่งนัก...ให้ผมมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีเงินทองที่เรียกได้ว่าชาติหน้าก็ใช้ไม่หมด...แต่เหตุใดกันจึงต้องกลั่นแกล้งกันเช่นนี้...ทำไมอยู่ดีๆ ถึงจะต้องมาพรากคนที่ผมรักไปด้วย...ชีวิตของแจจุงต่อให้มีเงินมากมานมหาศาลก็ไม่อาจซื้อไว้ได้...ผมทนไม่ได้ที่จะต้องรับรู้ว่าลมหายใจของแจจุงกำลังจะเลือนหาย...แต่ถึงกระนั้นแจจุงก็ยังคงยิ้มให้ผม...ยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่ขาวซีดราวกับกระดาษ...เส้นผมดกดำที่เคยงดงาม บัดนี้ค่อยๆ ร่วงโรยจนคนที่รักสวยรักงามอย่างแจจุงถึงกับร้องไห้ออกมาทุกครั้งที่ผมร่วงติดมือออกมาเป็นกระจุกจนน่าตกใจ...แต่แจจุงก็ยังเข้มแข็งและอดทน...ตามคำพูดที่เคยให้ไว้ ' แจุงจะไม่ยอมตาย '...

       

      " อยากไปเที่ยวที่ไหนมั้ย...ยุนโฮจะพาแจจุงไปทุกที่เลย..." ผมอยากสร้างความทรงจำที่ดีก่อนที่แจจุงจะจากผมไป...ผมอยากจดจำรอยยิ้มสุดท้ายของเค้าไปจนชั่วชีวิตของผม...และอยากให้เค้ามีความสุขที่สุด...เท่าที่ผมจะมอบให้เค้าได้...

       

      " แจจุงอยากดู พระอาทิตย์ตกดิน..." แจจุงพูดด้วยเสียงที่แหบแห้งจนน่าเป็นห่วง...น้ำเสียงก็ช่างแผ่วเบาเหลือเกิน...

       

      " ได้สิ...งั้นเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินริมทะเลสาบที่ที่เราเจอกันครั้งแรกดีมั้ย "

       

      " ไม่เอา...แจจุงอยากดูริมทะเล...ที่ๆ เราไปเดทกันครั้งแรกมากกว่า "

       

      " ได้สิครับ...ได้ทุกอย่างเลยครับนางฟ้าของผม ^^ " ผมส่งยิ้มไปให้อย่างอ่อนโยน...ก่อนจะจุมพิตลงบนมือนุ่ม...หลังจากนั้นผมก็ประทับจูบอันแสนหวานแก่คนที่ผมรักสุดหัวใจ...ไม่เนิ่นนานเหมือนเมื่อก่อน...เพราะผมกลัวว่าแจจุงจะหายใจไม่ทัน...

       

      ***********

       

      ผมอุ้มแจจุงเดินมาที่ริมหาดส่วนตัว...แจจุงดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด...แล้วจู่ๆ ผมก็ต้องวางแจจุงลงด้วยความตกใจ

       

      " แจจุง...เป็นอะไรมากมั้ย...แจจุง เป็นยังไงบ้าง...ที่รัก...ไม่เป็นไรใช่มั้ย " ผมถามอย่างร้อนรน...ก่อนจะค่อยๆ บรรจงเช็ดเลือดที่ไหลลงมาเป็นทางตรงจมูกของแจจุงอย่างเบามือที่สุด...แจจุงเพียงแค่ยิ้มให้ผมเท่านั้น...

       

      " แจจุงไม่เป็นไร " เสียงของแจจุงช่างแผ่วเบาเหลือเกิน...เบา...จนน่าใจหาย...แจจุงดูทรมานมาก...แต่ก็ยังอดทน...

       

      " ถ้าไม่ไหวจริงๆ...จะไปก็ได้นะ...ผมอยู่คนเดียวได้..." ผมพูดเพราะไม่อยากเห็นแจจุงต้องอดทนทรมานอยู่อย่างนี้...หากแจจุงจะไม่ทรมานอีก...ผมก็ยินดีที่จะไม่รั้งไว้...

       

      " ไม่...แจจุงจะอยู่กับยุนโฮ...เราจะดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน...แจจุงจะไม่ยอมตาย..." คนรักของผมยังยืนยันที่จะหอบหิ้วลมหายใจที่รวยระรินต่อไป...เพียงเพราะไม่อยากให้ผมต้องเสียใจ...

       

      " ยุนโฮไม่อยากให้แจจุงทรมาน " ผมพูดพร้อมๆ กับน้ำตาที่เอ่อล้น ก่อนจะโอบอุ้มแจจุงออกเดินไปอีกครั้ง...

       

      " คนที่จากไปแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอีก...แต่คนที่ยังอยู่จะเจ็บปวดทรมาน เสียใจยิ่งกว่า...แจจุงไม่อยากให้ยุนโฮเป็นแบบนั้น..." แจจุงเช็ดหยาดน้ำตาลูกผู้ชายให้ผมอย่างเบามือ...พร้อมถ้อยคำที่ทำให้ผมยิ่งน้ำตาไหล

       

      " เรานั่งดูกันตรงนี้นะ " ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องแล้ววางแจจุงลงบนตักของผม...ผมเกรงว่าพื้นทรายเหล่านี้จะหยาบกระด้างเกินกว่าที่แจจุงจะนั่งได้...

       

      " สวยจังเลย...ยุนโฮ..." บัดนี้ท้องฟ้าเบื้องหน้าช่างสวยงามเหลือเกิน...แต่คงสวยสู้คนสวยของผมไม่ได้หรอก...ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าคราม...ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีส้ม สีเหลือง สีชมพู และสีแดงอ่อนๆ ดางอาทิตย์ที่ไม่ชวนให้แสบตาเวลามอง ช่างน่าดูนัก...แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมหันเหความสนใจไปจากใบหน้าที่ซีดเซียวของคนรักได้แม้แต่น้อย...

       

      " แจจุงสวยกว่าเยอะเลย " ผมพูดจากใจจริง...

       

      " แจจุงจะเป็นสายลม คอยปัดเป่าทุกข์โศกให้ยุนโฮ...จะเป็นดวงดาว คอยส่องประกายแสงสว่างให้กับคนรักที่รักตลอดไป..." แจจุงหันมาพูดกับผม...พูดในสิ่งที่ผมเริ่มไม่เข้าใจและจ้องมองใบหน้าของผมราวกับต้องการเก็บทุกรายละเอียดยังไงยังงั้น...

       

      แจจุงรั้งใบหน้าของผมลงไปสัมผัสริมฝีปากของกันและกัน รับรู้ความรู้สึกของกันและผ่านปลายลิ้น...ก่อนที่จะละออกมามองหน้าผมอีกครั้ง...เราต่างคนต่างไม่พูดอะไร...แจจุงลูบไล้ใบหน้าของผมไปมาก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ผมอีกครั้ง...

       

      " แจจุงรักยุนโฮที่สุดเลย " แจจุงบอกรักผมอีกแล้ว...ตั้งแต่ป่วย...แจจุงบอกรักผมบ่อยขึ้น...จากที่ผมแทบจะไม่เคยได้ยินเค้าเป็นฝ่ายพบอกรักก่อน...ตอนนี้แจจุงดูเหมือนคนง่วงนอนมากเลย...สงสัยคงจะเพลียจัด...

       

      " ถ้าง่วงก็นอนหลับได้นะครับ ยุนโฮจะกอดแจจุงเอาไว้ ไม่ไปไหน...^^ "

       

      " ไม่เอา...แจจุงกลัวจะไม่ตื่น..."

       

      " ไม่หรอกครับ...ยุนโฮจะปลุกแจจุงเองนะ...เราจะนั่งดูดาวกันต่อ ดีมั้ยครับ..."

       

      " จริงๆ นะ "

       

      " จริงสิครับ...ยุนโฮสัญญา...ยุนโฮรักแจจุงมากนะครับ...รักที่สุดเลย..."

       

      ผมรู้ดีว่าแจจุงเริ่มไม่ไหวแล้ว...เมื่อแจจุงหลับตาได้สักพัก...มือน้อยๆ ที่โอบกอดรอบคอของผมไว้ก็ร่วงหล่นลงไปทันที...ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปพร้อมๆ กับลมหายใจของคนที่ผมรัก...

       

      " ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! " ผมร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง...กอดร่างของแจจุงไว้แน่นอย่างโหยหา...

       

      ผมปลุกแจจุงอีกครั้งเมื่อท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่สวยงาม...แต่แจจุงก็ไม่ตื่น...ดวงตาของผมก็พร่าเลือนไปด้วยหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างไม่ฝืนที่จะรั้งไว้...ผมนั่งมองใบหน้ายามใหลของคนรักจนถึงเช้า...จุมพิตอรุณสวัสดิ์ที่ริมฝีปากอิ่มเหมือนทุกๆ วันที่เคยทำ...แต่คนสวยก็ขี้เซาเกินกว่าจะตื่นขึ้นมาส่งลิ้นนุ่มหยอกล้อกับลิ้นอุ่นเหมือนเคย...

       

      แจจุงจากไปแล้ว...และนี่คือสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้...การจากไปของแจจุง...ไม่ต่างอะไรกับการพรากชีวิตอีกครึ่งนึงของผมไปด้วย...แจจุงไปสบายแล้ว...ผมไม่อยากให้เค้าต้องกังวล...ผมพยายามฝึกหัดเล่นไวโอลินที่เค้าเคยพยายามพร่ำสอนผม...แจจุงมีความฝันอย่างนึงที่ยังไม่ได้ทำ...นั่นก็คือการเปิดคอนเสิร์ตเดี่ยวไวโอลิน...และผมจะทำให้ความฝันนั้นของแจจุงเป็นจริงให้ได้...

       

       

      ***********

       

      " และในวันนี้ ความฝันของแจจุงก็เป็นจริง " ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดจบลง...ผมสังเกตเห็นหลายคนร้องไห้ออกมา...หลังจากนั้นผมก็เริ่มบรรเลงเพลงโปรดของแจจุง...ผมรู้สึกได้ว่าแจจุงกำลังยิ้มให้ผม...ทุกวันก่อนนอน...ผมจะมองหาดวงดาวที่คุ้นตาแล้วส่งยิ้มให้ก่อนเข้าสู่นิทรา...ในยามที่รู้สึกเหงาผมรู้สึกมีสายลมแผ่วเบาพัดผ่านเอาความรู้สึกนั้นไปด้วย...แจจุงยังคงอยู่กับผมเสมอ...เถ้ากระดูกของแจจุง ผมนำส่วนนึงมาใส่ในสร้อยล็อกเก็ตของตัวเอง...เพื่อให้มั่นใจว่า...ทุกที่ที่ผมไป...ผมจะมีแจจุงติดตามไปด้วยเสมอ...

      .

      .

      .

      บทเพลงจบลงแล้ว...แต่ความรักของผมยังไม่จบลงไป...ผมคิดถึงแจจุงมากเหลือเกิน...มากจนอยากจะตายตาม...อยากไปคอยดูแลแจจุงในโลกหน้า...แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่ต่อ...ถึงจะทรมานที่ไม่ได้เห็นหน้าคนที่รัก...ต้องนอนหนาวคนเดียวเมื่อไม่มีคนให้โอบกอด...แต่ผมก็ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่แจจุงอยากทำแต่ไม่ได้ทำอีกมากมาย...ผมรอที่จะได้พบกับแจจุงอีกครั้งในชาติหน้า...จนกว่าลมหายใจของผมจะสิ้นสุด ผมจะทำทุกอย่างที่เป็นกุศลให้แก่แจจุง...ไม่ว่าแจจุงจะอยู่ที่ไหน หัวใจของผมก็จะคอยติดตามไปด้วยทุกหนทุกแห่ง...

       

      ...ตราบชั่วนิรันดร์...

       

      END

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×