คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Expect. ความคาดหมาย
คำสั่งบอกให้ฆ่าเขาทันทีเมื่อเห็น แต่ว่าชไวร์เกอร์เป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานของดร.ไคลร์ ฉะนั้นในระหว่างนี้ผมต้องคุ้มกันเขาก่อน ฮะๆ ตลกดีว่ามั้ย?
Bert Karl
----------------------------------------------------------------
4 กันยายน ค.ศ.1944
ฮัมบูร์ก, เยอรมนี 20.34 PM
แสงดาวสีเงินประดับท้องฟ้าที่ดำสนิทในเวลากลางคืนให้มีแสงระยิบระยับดูสวยงาม ดวงจันทร์ที่เป็นเหมือนราชินีประจำท้องฟ้าในตอนกลางคืนคอยส่องแสงสว่างให้กับคนที่หลงทางในเวลานั้น ถึงแม้ว่าเยอรมนีกำลังโดนเผาในไฟสงคราม คนดีอาจไม่เหลือในประเทศนี้ นาซีที่มีแต่แผนลับค่อยๆดำเนินแผนการนั้นไปอย่างไม่กลัวความพ่ายแพ้ ชัยชนะอาจเกิดขึ้นในสงคราม...แต่ความสูญเสียอาจมีมากกว่าชัยชนะ ใครคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าต้องการอิสรภาพ จงเตรียมตัวทำสงคราม มันอาจจะเป็นจริง..
เมื่อชัยชนะเป็นที่ต้องการของคนหลายคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทำให้เกิดสงครามขึ้นมา และเมื่อมีสงคราม การเสียสละ ความแค้น..และการสูญเสียก็จะมีมากขึ้น..อาจมากกว่าค่าของชัยชนะ
หญิงสาวผมสีบลอนด์เดินขึ้นมาบนดาดฟ้าของตึกพร้อมกับเอกสารมากมาย หล่อนเคยทำตกพื้นไปหลายแผ่น แต่ก็ไม่ลืมที่จะเก็บมันขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าดูงดงามเมื่อได้มอง เมื่อหล่อนเดินขึ้นมาถึงดาดฟ้า กลิ่นบุหรี่กลิ่นเดิมๆก็ลอยมาแตะจมูก หล่อนยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดจมูกตัวเองเอาไว้ทันที และเมื่อเดินไปถึงที่ๆใจหมาย หญิงสาวก็พบกับชายในเครื่องแบบคนหนึ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ หญิงสาวเผอปากยิ้มนิดหน่อยก่อนจะเดินไปหาเขา
“ท่านคะ ดิฉันมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับงานที่ได้รับนิดหน่อย ท่านพอจะมีเวลาอธิบายงานพวกนี้ให้ดิฉันฟังอีกรอบได้ไหมคะ”หญิงสาวเดินไปหาพร้อมกับเอกสารในมือ
ชายคนนั้นหันมาหลังจากหล่อนพูดจบ ตาข้างขวาถูกผ้าพันแผลปิดไว้เพราะอาการบาดเจ็บในสนามรบเมื่อวันก่อน”ว่าไง อยู่ต่อหน้าเรียกชื่อก็ได้นะ”
“เกรงว่าจะไม่ได้ค่ะ ท่านอยากจะให้ดิฉันโดนจับผิดหรือไงคะ”หล่อนหัวเราะ”โอเค—ก็ได้ มัลเลอร์”
“ใช่ต้องอย่างนั้น..มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยเหรอแอปเปิ้ลพิษ”
“หยุดเรียกฉายาโง่ๆนั่นได้แล้ว”หล่อนพูดพร้อมกับหอบเอกสารในมือไปให้เขา
“ไม่ๆ ไม่ใช่เรื่องนั้น เอกสารพวกนี้ฉันเอามาเผาน่ะไม่มีอะไรหรอก”หล่อนปฏิเสธ
“เป็นเด็กหัดเล่นไฟ มันไม่ดีนะรู้มั้ย”
“เฮอะ...แต่อย่างน้อยฉันก็เคยฆ่าคนตอนอายุ18นะรู้ไว้ด้วย”ท่าทางของหล่อนดูงอนๆกับคำพูดของชายหนุ่ม
“อ้อ..เรื่องที่เธอเอาแอปเปิ้ลอาบยาพิษไปให้นายพลอิวานอฟกินน่ะเหรอ”
“ใช่-ต้นกำเนิดฉายาโง่ๆนั่นเลยรู้มั้ย”หล่อนวางเอกสารในมือลงบนพื้นก่อนจะจุดไฟเผามัน
“แล้ว..สรุปเธอมาที่นี่เพราะต้องการให้ฉันหยุดเรียกฉายานั่นใช่มั้ย? โอเค—ฉันไม่เรียกแบบนั้นแล้วก็ได้ เชิญกลับไปซะ”ท่าทางของเขาเหมือนกับกำลังไล่หญิงสาว
“นายนี่มันไม่มีมารยาทจริงๆเล้ย...หัดเอาอย่างคาร์ลบ้างก็ดีนะ”
สิ้นคำพูดของหญิงสาว ชายหนุ่มก็หันมาทันที”ฉันไม่เอาอย่างไอ้เลวนั่นหรอกจำไว้”
“เฮอะ---“
“จะไปไหนน่ะ อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนสิ”
“ให้ตาย เด็กนี่มันยังไงกันวะ”ชาสยหนุ่มกัดฟันเดินไปหาหล่อนพร้อมกับหยิบบุหรี่ยี่ห้อโปรดขึ้นมาจุด
“บุหรี่น่ะ หยุดสูบบ้างก็ได้นะ สงครามยังไม่จบจะรีบตายไปไหน”นาตาชาร์พูด คำพูดพวกนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่หล่อนเคยพูกับเพื่อนเลยซะด้วยซ้ำ
“อะไรวะ เป็นเด็กซะเปล่าปากจัดชะมัด ระวังไม่มีคนมารักนะจำไว้”
“...”
“เหอะ..อึ้งเลยล่ะสิ บอกแล้วว่าอย่าปากดีกับฉัน...”
“ทำไมเพื่อนฉันต้องโดนไล่ล่าด้วย”
เสียงของหล่อนฟังดูแตกต่างไปจากเมื่อครู่มาก ลมพัดมาอีกระลอกหนึ่งทำให้ควันไฟที่กำลังไหม้กระดาษโชยไปทางอื่น ชายหนุ่มค่อยหันไปหาหล่อนทันที
“เธอพูดว่าไงนะ”
ชายหนุ่มเงียบไปก่อนจะพูด”ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอก ถึงฉันจะรู้นะเพื่อนเธอไม่ได้ผิดแต่ว่า...”
และทันใดนั้นหญิงสาวก็โผกอดชายหนุ่มทันที หล่อนซุกเข้าไปที่อกของเขา เสียงหัวใจของเขาเต้นเร็วผิดปกติ มัลเลอร์มีใบหน้าเหวอสุดๆหลังจากที่วางมาดนาซียศสูงมานาน สิ่งที่ทำให้เขาแพ้ได้คือผู้หญิงผมบลอนด์เท่านั้น เรียกง่ายๆคือ..เขาแพ้ผู้หญิงผมบลอนด์
“โอเค—ฉันขอโทษที่ว่าเธอ..เป็นเด็กนะ แต่เธอไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยนี่ว่ามั้ย?”เสียงของเขาฟังดูสั่นๆเพราะเริ่มวางตัวไม่ถูกนั่นเอง
“ทำไม...”
“ผมขอโทษ...”ชายหนุ่มพูดเบาๆ
--------------------------------------------
ฉันรีบย่องเข้าไปตรงอาคารทันทีหลังจากที่ทหารราบหันหลังให้ มือของฉันเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อหัวใจเต้นแรงผิดปกติเพราะการวิ่งเมื่อครู่ มันอาจทำให้ฉันเหนื่อย...ใช่..บางทีอาจเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ฉันต้องเข้าไปในอาคารให้ได้ก่อน—และอย่าให้พวกนั้นเห็นด้วย...ถ้าไม่อยากงานเข้า โอเค---ใจเย็นๆแอดเลอร์ จบภารกิจนี่จะได้ไปจิบไวน์ซักที—ใจเย็นเข้าไว้—
หลังจากที่เข้ามาในอาคารได้ ฉันรีบหยิบทริบไมน์ขึ้นมาวางดักตรงทางเข้าอาคารทันที มันอาจใช้เซอร์ไพรซ์ไอ้พวกนั้นได้ตอนมันเข้ามา เมื่อเดินขึ้นถึงอีกชั้นหนึ่งของอาคาร ฉันรีบหยิบปืนซุ่มยิง Gewehr 43 ขึ้นมาทันทีก่อนจะจ้องดูสโคปปืนที่ส่องไปยังตึกฝั่งตรงข้าม และทันใดนั้นสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นสไนเปอร์คนหนึ่งที่อยู่ตึกฝั่งตรงข้าม มีสไนเปอร์ด้วยเหรอเนี่ย? ฉันรีบหยิบกล้องขึ้นมาทันที สไนเปอร์สอง ทหารราบสี่ รถถังอีกหนึ่ง...ให้ตายสิพวกนาซีนี่มันไปเกณฑ์คนมาจากไหนเยอะแยะเนี่ย
ตู้ม!!
นิ้วชี้ของฉันแตะที่ไกปืนและเตรียมพร้อมที่จะเหนี่ยวไก บางทีเสียงระเบิดอาจใช้กลบเสียงไรเฟิลของฉันได้...ฉันต้องรอจังหวะให้เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลานั้นแหละ..ไอ้พลซุ่มยิงนั่นมันก็จะได้ไปทักทายพวกเพื่อนของมันในนรก! เหอะ...เมื่อวานฉันแพ้หมากรุก แต่วันนี้ฉันไม่แพ้คุณเรื่องการซุ่มยิงหรอกคาร์ล! อย่าได้ใจไปนักเลย...
ตู้ม!
เสียงระเบิดมาแล้วสินะ...ดีละ ตอนนี้แหละ
ฉันหยิบปืนซุ่มยิงขึ้นมาอีกครั้ง สายตาจับจ้องไปที่สโคป นิ้วแตะที่ไกปืน...และเตรียมที่จะเหนี่ยวไก แต่ทว่า...มือของฉันมันสั่นมาก! มันทำให้สโคปอยู่ไม่นิ่ง ห็ตาย..แบบนี้ฉันก็ไม่มีสมาธินะสิ เสียงระเบิดเมื่อกี้ก็เงียบไปแล้วด้วย ค่อยหาจังหวะยิงอีกครั้งละกัน ตอนนี้พักก่อน...เฮ้อ...ทำไมไม่ได้เรื่องเลยนะเนี่ยฉัน..
ตู้ม!!
ตู้ม!!!
ฉันรีบก้มลงทันที สงสัยจะมีหนูเข้ามากินชีสแล้วละ ฉันรีบวิ่งออกจากจุดเดิมก่อนกระโดดลงจากอาคารให้เร็วที่สุด ในระหว่างนี้ฉันต้องหลีกเลี่ยงการปะทะซักหน่อยแล้ว ไม่ใช้ปืน...เมื่อไม่จำเป็น
เสียงรถดังเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น ฉันรีบพุ่งเข้าหาบังเกอร์ทันที รถฮัมวี่สองคันแล่นผ่านที่ๆฉันหลบไปอย่างรวดเร็ว ฉันค่อยๆชะเง้อหน้าออกไปดู เป้าหมายของเราอยู่ในรถคันที่สอง มีทหารคุมอยู่สี่คน คาร์ลนัดฉันไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ต้องรีบแล้วละ! ตอนนี้เขาคงไปถึงก่อนฉันแล้วละ ให้ตายสิ...ทำไมฉันต้องตามหลังเขาตลอดเลยนะ
ตึกๆๆๆ
ฉันรีบวิ่งไปที่จุดนัดพบทันที ลางสังหรณ์ฉันไม่ผิดจริงๆ คาร์ลมารอฉันอยู่ก่อนจริงๆด้วย เขากำลังใช้กล้องส่องไปยังรถคันหลังซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ พวกทหารที่คุมตัวชไวร์เกอร์อยู่ลากเขาลงมาจากรถก่อนจะให้คุกเข่าลง ถ้าไม่รีบ...เขาต้องตายแน่ๆ!
“คาร์ล..”
“ผมรู้แล้ว ท่าทางคุณเหนื่อยมากเลยนะผู้หมวด”ชายหนุ่มพูดก่อนจะลดกล้องในมือลง
แอดเลอร์ทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนยกมือขึ้นปัดผมสีน้ำตาลไปไว้ด้านหลัง หล่อนเดินมาข้างๆเขาก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมาส่องดูทหารข้างล่าง "เราต้องรีบ ไม่งั้น
ชไวร์เกอร์ตายแน่ๆ"
"ผมรู้แล้ว"เขาพูดคำเดิมก่อนจะหยิบปืนขึ้นมา นิ้วชี้แตะไปที่ไกปืน และกลั้นหายใจเพื่อให้ปืนนิ่งขึ้น
"...และผมกำลังจะจัดการเดี๋ยวนี้ล่ะ"
ปัง!!
คาร์ลลั่นไกปืนโดยไม่ต้องรอเสียงระเบิด กระสุนแล่นแหวกอากาศพุ่งเข้าไปยังนาซีคนหนึ่งที่กำลังจะเหนี่ยวไกปืนในมือเพื่อปลิดชีวิตนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม กระสุนปืนพุ่งเจาะกะโหลกทหารคนนั้นจนแตก เลือดสีแดงพุ่งออกมาจากศรีษะก่อนจะล้มลงไป ทหารราบ พลซุ่มยิง และรถถังที่อยู่บริเวณนั้นรีบเข้ามาหลังจากนั้น
"โฮ่..ผมกำลังจะงานเข้าในไม่ช้า.." ชายหนุ่มพูดก่อนจะดึงตัวหญิงผมสีน้ำตาลที่อยู่ด้วยลงมาหมอบข้างกำแพง กระสุนสาดเข้ามาจนกระทบแผ่นปูนที่พวกเขาหลบอยู่ แอดเลอร์หายใจเร็วและแรงมากขึ้น ก่อนจะหันไปพูดกับคู่หู
"ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย!? ไม่เห็นรึไงว่ารถถังมันอยู่ตรงนั้นน่ะ!!"
“คุณเงียบไปเถอะน่า...”เขาพูก่อนจะเอาระเบิดมือขึ้นมาถอดสลักออก”...ไม่ช้าก็เร็วยังไงตองปะทะกันอยู่ดีนั่นแหละ—“
คาร์ลลุกขึ้นขว้างระเบิดในมือลงไปด้านล่างเพื่อเปิดทางให้ชไวร์เกอร์หนี เสียงระเบิดดังไล่หลังนักวิทยาศาสตร์ขึ้นมาทำให้เขาตกใจและเสียท่าให้กับศัตรู เขาจึงโดนยิงบาดเจ็บก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองให้วิ่งขึ้นมาถึงจุดที่คาร์ลและแอดเลอร์หลบอยู่ เขาเดินกุมแผลมาหยุดที่แอดเลอร์
“ให้ตายสิ! คุณโดนยิงนี่ชไวร์เกอร์!”แอดเลอร์พูดก่อนจะหยิบผ้าพันแผลขึ้นมา
“ม..ไม่ต้องสนใจผม! ป้องกันตึกนี้ซะไม่อย่างนั้นเราจะตายกันหมด!!”
................
ตู้ม!!!
ฉันรีบลุกออกจากชไวร์เกอร์หลังจากที่ยื่นผ้าพันแผลให้เขา คาร์ลยืนพิงหลังกำแพงก่อนจะเปลี่ยนจุดซุ่มยิงไปเป็นที่อื่น ไม่ได้การแล้ว..เห็นที่ฉันต้องรีบทำอะไรซักอย่าง!
“ฉันจะลงไปด้านล่างนะ วางทริปไมน์เอาไว้ดักพวกนั้นหน่อย!”
“ได้สิ! รีบขึ้นมาละหน้าที่ของคุณยังไม่หมด!”คาร์ลพูดในระหว่างที่จัดการกับพวกนั้น
ตึกๆๆ
ฉันเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างด้วยท่าทางเร่งรีบสุดๆเพื่อที่จะเอาทริปไมน์ไปดักเอาไว้เหมือนครั้งก่อน ทหารคนหนึ่งเล็งปืนมาที่ฉันก่อนเตรียมตัวจะเหนี่ยวไก แต่ฉันที่เร็วกว่ายกปืนขึ้นมาเหนี่ยวไกซะก่อน
ปัง!!
ร่างของทหารคนนั้นนอนแน่นิ่งกับพื้น ฉันรีบวิ่งหลบกระสุนที่พวกนาซีสาดมาอย่างไม่หยุดหย่อนไปที่ด้านซ้ายของประตู ก่อนจะหยิบระเบิดมือที่มีเหลืออยู่ไม่มากขึ้นมาถอดสลัก ก่อนจะขว้างออไปนอกประตูเพื่อเคลียร์ทาง ฉันรีบเอาทริปไมน์อันสุดท้ายมาวางดักไว้ที่ประตูก่อนจะรีบขึ้นไปข้างบนอีกรอบ
ตู้ม!!!
เสียงระเบิดนั่นดังออกมาจากข้างนอก ฉันรีบก้มตัวงทันทีก่อนจะค่อยๆเดินขึ้นไปหาพวกนั้นที่อยู่ด้านบน เมื่อไปถึงก็พบว่าคาร์ลจัดการรถถังไปแล้ว เพราะเสียงระเบิดเมื่อกี้เป็นเสียงของรถถังระเบิดนั่นเองแต่ข่าวร้ายคือ...ชไวร์เกอร์..เขาเสียเลือดมาก
ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที! หวังว่าจะได้เบาะแสอะไรบ้างเกี่ยวกับการตายของพ่อ
“นี่! ได้ยินฉันมั้ย!?”ฉันร้องถามเขาก่อนจะกดแผลที่ท้องของชไวร์เกอร์ให้แน่นขึ้นเพื่อห้ามเลือด
“ค...คุณ...เป็น..ล..ลูกสาว..ของไคลร์..ใช่มั้ย?”
ฉันพยักหน้าตอบ ก่อนจะถามคำถามที่อยากจะถาม
“พ่อของฉัน...”ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ ชไวร์เกอร์ที่กำลังจะขาดใจตายก็ค่อยๆพูดด้วยสติที่มีอยู่
“บ..เบิร์ต...”
“ห๊ะ?”ฉันก้มลงไปใกล้เขามากขึ้น เมื่อกี้เขาพูดว่าเบิร์ตเหรอ
“เบิร์ต...เบิร์ต...คาร์ล..ป..”
“ป..เป็นอะไร? เขาเป็นอะไร?!”
ฉันแทบจะเขย่าชุดสูทเปื่อนเลือดของเขาเพื่อให้เขาคายความจริงออกมา คาร์ลเป็นอะไรวะ?! ทำไมเขาถึงพูดถึงคาร์ล!?
“อึก..เขา..เป็น..”
“เป็นอะไรวะ!!? ตอบฉันมาสิ!!”ฉันตะโกนใส่หน้าชไวร์เกอร์
“ข..เขา..ฆ่า..ไคลร์..”
ฉันมองหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยเลือด ก่อนเขาจะขาดใจตาย..
“เฮ้ย! ชไวร์เกอร์! ตอบฉันสิ—“
ฉันค่อยๆปล่อยร่างไร้วิญญาณของชไวร์เกอร์ลงบนพื้น ในหัวคิดทบทวนคำพูดสุดท้ายก่อนที่เขาจะขาดใจตาย...ไม่จริงหรอกน่า..คาร์ลไม่ทำแบบนั้น..หรอก
“เขาตายแล้วแอดเลอร์..”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองคาร์ลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ คาร์ลมองฉันก่อนจะยื่นมือมาพยุงฉันเดินกลับฐานทัพ...
...ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคาร์ลจะทำแบบนั้น...
ไม่มีวัน---
.....................................................................
“รุกฆาต”
เสียงของฉันดังขึ้นหลังจากเล่นหมากรุกเสร็จ คาร์ลยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะหัวเราะในลำคอ ในที่สุดฉันก็ชนะหมากรุกเขาจนได้ ฉันหยิบไวน์แดงขึ้นมาจิบก่อนจะวางแก้วไวน์ลง สีหน้าเต็มไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายปีมานี้
“ฉันบอกแล้วว่ายังไงก็ต้องชนะคุณให้ได้”
ฉันยิ้มก่อนจะหยิบไวน์ขึ้นมาจิบอีก แล้วฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้---ลืมเรื่องที่จะถามคาร์ลไปเลยแฮะ ยังไงฉันก็ต้องการคำตอบ เพราะฉะนั้น..ถามไปนั่นแหละดีแล้ว
“คุณฆ่าพ่อฉันเหรอ..”
เสียงของฉันฟังดูแน่นิ่งกว่าเมื่อกี้ คาร์ลเงยหน้าขึ้นมา
“คิดว่าผมทำแบบนั้นรึเปล่าล่ะ”
คำตอบของฉันคือคำถามเหรอ อีกแล้วสินะ...เวลาฉันถามอะไรๆที่สำคัญมากคาร์ลมักจะพูดแต่คำพูดเดิมๆคือ...คิดว่าผมทำแบบนั้นรึเปล่าล่ะ ฉันชินแล้วล่ะกับคำตอบนี้
“ไม่ใช่ฉันไม่ไว้ใจคุณนะ...”ฉันก่อนจะมองแก้วไวน์ในมือ”...แต่คุณน่ะมันไม่น่าไว้ใจ”
เมื่อฉันพูดจบ คาร์ลก็ยื่นมือมาแตะที่แก้วไวน์ในมือฉัน ก่อนจะยิ้มมุมปากนิดหน่อย
“ดร.ไคลร์บอกให้ผมดูแลคุณเอง—ผมจะฆ่าเขาเพื่ออะไรกัน คุณคิดดูสิ”
“...”
ลมตอนกลางคืนพัดเข้มากระมือของฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นมองคาร์ลก่อนจะวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ และที่ตามมาหลังจากนั้นคือ..รอยยิ้มเล็กๆของฉัน
“ก็ได้...คุณไม่ฆ่าพ่อฉันหรอก”
“ใช่—ต้องแบบนั้นสิ”
ฉันหัวเราะก่อนจะมองเข้าไปในตาของบุคคลตรงหน้าเพื่อหาความผิดปกติ แต่ในแววตานั้นมันไม่มีแม้แต่ความเสแสร้ง มันบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ฆ่าพ่อฉันจริงๆ---
“ฉันเชื่อคุณ..”ฉันยิ้มอีกครั้ง”..แล้วอย่าทำให้ฉันผิดหวังละ..พันตรีเบิร์ต คาร์ล”
-----------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น