คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : 3-6-2.. รหัส
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับผมอยู่ในนั้น...
ทุกๆคนที่ผมรู้จัก...รวมถึง”ผลงาน”ของผม...
ในนั้น...ในแฟ้มประวัติอีกเล่มของผม...
....
...
..
.
"อะไรนะ!?"
เสียงร้องก้องที่ดังออกมาพร้อมกับความแปลกใจลอยเข้ามาในหูของหญิงสาว หล่อนหันไปด้านหลังทันทีก่อนจะเริ่มเพ่งมองไปยังคู่หูของเธอกับพลทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งยืนคุยกันอยู่ เธอเห็นเขาทั้งสองคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก สักพักหนึ่งพลทหารคนนั้นก็พยักหน้าและรีบเดินไปทันที เธอทำท่าจะเดินกลับไปแต่ก็ต้องหยุดการกระทำนั้นเพราะมือของเบิร์ตที่ยื่นออกมาเป็นแนวว่าบอกให้เธอหยุด แล้วเขาก็เป็นฝ่ายเดินกลับมาหาเธอเอง...
นี่มันเกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่เขาทั้งสองอยู่ด้านนอก? มันคือคำถามที่เธอต้องการคำตอบมากที่สุดในตอนนี้...
"มีปัญหาอะไรเหรอคาร์ล"แอดเลอร์ถามออกไปตามความคิดของเธอ
"ไอ้คู่หมั้นตัวแสบของคุณหนีไปแล้ว"นั่นคือคำตอบ เมื่อเธอได้ฟังก็ถึงกับเบิกตาขึ้น"ผมต้องตามเขาไป"
"ด...เดี๋ยวสิ แล้วเรื่องของจ่าแฮนสันกับฟองชัวส์ล่ะ คุณจะปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ในค่ายกักกันเชลยศึกเละๆของพวกเยอรมันนั่นรึไง!?"
เบิร์ตยื่นมือไปหยิบหมวกของเขาที่อยู่บนศรีษะของหญิงสาวกลับมา ก่อนจะสวมมันแล้วกระตุกยิ้มให้เธอเล็กน้อย ราวกับบอกให้เธอรู้ว่า...ทุกอย่างมันจะดีขึ้น
"ผมจะพาเขากลับมา"
"ฉันจะไปกับคุณด้วย!"
คำพูดนั้นดังขึ้นหลังจากที่เขาหันหลังไปแล้วกำลังจะก้าวเดินไปด้านหน้า มันหยุดการกระทำของเขาโดยอัตโนมัติ สิ่งที่เขาพอจะทำได้ต่อจากนี้มีเพียงแค่หันกลับไปหาเธอ
"ไม่ได้ผู้หมวด คุณต้องคุยกับจ่าฮิลล์ ถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น"
"ต..แต่..."
เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง"ไม่มีแต่
แอดเลอร์ หาทางทำให้มันสำเร็จซะ"เขาหันหลังกลับไปอีกครั้ง"...อีกอย่าง ผมไม่ได้ขอร้องคุณ นี่เป็นคำสั่ง..คุณรู้ใช่มั้ยว่าหากคุณขัดคำสั่งผม มันจะเป็นยังไง"
"..."
เธอได้แต่เงียบและก้มหน้าลง ใช่...เธอไม่ควรขัดคำสั่งของคนที่มียศสูงกว่า สิ่งที่เขาขอมาคือคำสั่งที่เธอต้องทำและต้องทำให้มันสำเร็จ ในตอนนี้...ไม่มีคำว่า"คนรู้จัก"หรือ "คนที่เคยรู้จัก"อยู่ในหัวของเธอและเขา มีแต่คำว่า"หัวหน้า"และ"ลูกน้อง"อยู่เพียงเท่านั้น..
"รับทราบค่ะ"
แอดเลอร์เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เธอเห็นคู่หูของเธอเดินไปไกลแล้ว ส่วนเธอเองก็ยังคงไม่ขยับ...เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้เธอยืนแข็งเป็นหินไปชั่วขณะ เมื่อได้สติเธอก็รีบเดินไปห้องสอบปากคำทันที มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่เท่าไร มันคงใช้เวลาไปไม่เกินสิบนาทีหากจะเดินไปที่นั่น
ตึกๆๆ....
เสียงก้าวเท้าของเธอดังก้องไปทั่วทางเดิน เธอเห็นจ่าดัลตันกับพลทหารอีกสองสามคนยืนเฝ้าประตูหน้าห้องอยู่ ทั้งหมดทำความเคารพอดีตทหารในหน่วยเอสเอส.อย่างเธอก่อนจะเปิดประตูให้หญิงสาวเดินเข้าไปด้านใน
แอดเลอร์เดินเข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่เธอเห็นคือหญิงสาวเจ้าของผมสั้นสีแดงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอฮัมเพลงอย่างสบายใจเฉิบราวกับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนเองในเวลาต่อไปได้ แอดเลอร์ยังคงไม่เข้าใกล้เธอจนเกินไป เธอรู้ดีว่าหากเรน่ามีบางอย่างซ่อนเอาไว้ในขณะที่เธอเดินเข้าไปใกล้หล่อน ผลลัพธ์ที่ออกมาจะต้องเหมือนกับผลการเล่นหมากรุกระหว่างเธอกับเบิร์ต คาร์ลแน่นอน และ...เธอจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
ในขณะที่ยืนอยู่นั้น แอดเลอร์ได้ยินบางอย่างที่ดังขึ้นอย่างแผ่วบาง...
มีดอกกุหลาบสีแดงวางอยู่บนโต๊ะ
ฉันหยิบมันขึ้นมา แล้วชื่นชมมัน...
กลิ่นของมันเหมือนกับกลิ่นของน้ำหอม..
น้ำหอมของแม่ของฉัน...ที่จากไปแล้ว...
บทกวีนั่น...เธอเคยได้ยิน....
"คุ้นๆมั้ยล่ะกับบทกวีนี่น่ะ"
เสียงของเรน่าดังขึ้น เธอคลี่ยิ้มบางๆออกมาราวกับเธอกำลังจะชนะแอดเลอร์ในตอนนี้ หญิงสาวค่อยๆก้าวเดินไปยังเก้าอี้อีกตัวตรงหน้าของทหารหญิงยศจ่า ซึ่งบัดนี้...เธอคือคนที่ต้องเรียกว่า "ผู้ทรยศ" เนื่องจากสิ่งที่เธอกระทำไปนั้น...มันร้ายแรงเกินกว่าที่จะเรียกว่าความผิดพลาดเล็กน้อยนั่น
"ใช่ซี่...บทนี้ฉันเคยได้ยิน"เธอนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะยกขาขึ้นไขว่ห้าง"จากพวกเด็กสาวไร้บ้านแถวๆอีสต์เอนด์น่ะ"
แอดเลอร์ยิ้มอย่างมีชัยเมื่อเห็นสีหน้าของจ่าฮิลล์แปรเปลี่ยน เธอยิ้มอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคาง...ได้เวลาสอบปากคำแล้ว...
"อย่าได้ใจไปนักเลยค่ะผู้หมวด"
"ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ--คุณคิดไปเองต่างหากล่ะ"
ดูท่าทางว่าแอดเลอร์จะถือไพ่ที่เหนือกว่าในตอนนี้ หล่อนกำลังบีบสมองของเรน่าให้ปั่นป่วนด้วยอย่างสนุกสนาน นานแล้วเหมือนกันที่เธอไม่ได้ทำแบบนี้ ตั้งแต่อยู่ในหน่วย
เอสเอส...
"รู้รึเปล่าว่าทำอะไรลงไปน่ะ"แอดเลอร์เอียงคออย่างสงสัย
"รู้สิ..."เรน่าคลี่ยิ้มบางๆราวกับเธอไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้นกับคำพูดของอีกฝ่าย"...ยังไงฉันก็ต้องไปขึ้นศาลทหารแล้วก็โดนรวบยิงเป้าอย่างเดียวสินะคะ"
"รู้แล้วทำไมยังทำ สนุกนักเหรอที่เห็นฝ่ายตัวเองกำลังติดโคลนตมในหลุมที่เธอขุดไว้น่ะ"
อีกฝ่ายยังคงคลี่ยิ้มอยู่ทั้งๆที่กำลังโดนคู่สนทนาของตัวเองบีบคั้นต่างๆนานาให้พูดออกมา รอยยิ้มของจ่าฮิลล์บ่งบอกให้หญิงสาวรู้ได้เลยว่า...เธอคนนั้นกำลังลองดีกับอดีตทหารจากฝ่ายตรงข้ามของเหล่าอเมริกัน
"ฉลาดและอัจฉริยะ...เยี่ยมจริงๆเลยค่ะผู้หมวด"เธอแปรเปลี่ยนสีหน้าของตนเองทันทีเมื่อจบประโยค"นี่แหละคือคนที่สมควรตายในสนามรบ"
"ยกเว้นเบิร์ต คาร์ลเหรอ..."
หลังจากจบคำพูดของแอดเลอร์ที่มาพร้อมกับรอยยิ้ม เรน่าคึงกับปัดสายตาหลบเลยทีเดียวเมื่อได้ยินชื่อนั้น จากท่าทางนี้ทำให้แอดเลอร์รู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ
"อย่าปากแข็งเลยน่าสาวน้อย..."ผู้หมวดพูดพลางกระตุกยิ้ม
"..."
"เธอ...ชอบ...เบิร์ต คาร์ล...สินะ?"
หญิงสาวเริ่มหน้าถอดสี
"มันไม่เกี่ยวกับเธอ"
"เกี่ยวสิ เพราะคาร์ลเป็นคู่หูของฉันไง"แอดเลอร์หัวเราะพลางยิ้มให้เธอ"เขาก็เหมือนสมบัติชิ้นหนึ่งของฉันนั่นล่ะ"
"สมบัติเหรอ กล้าดียังไงถึงพูดแบบนั้นกัน"
เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ยิ่งหัวเราะมากขึ้นอีก สร้างความสงสัยให้เรน่ามากขึ้นจนเธอถึงกับขมวดคิ้วเหมือนกับจะผูกมันเป็นโบ
"เธอคงไม่อยากรู้คำตอบหรอก"ผู้หมวดพูดในระหว่างที่หัวเราะอย่างขบขัน"เอาละ มาเข้าเรื่องกันสักที"
แอดเลอร์ก้มหน้าลงนิดหน่อยก่อนจะส่งสายตาอันเฉียบคมมาที่จ่าฮิลล์ เธอสังเกตเห็นได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังเครียดเป็นอย่างมาก จะไม่ให้เรน่าเครียดขนาดนั้นได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายพยายามบีบสมองเธอเสียขนาดนี้
"เธอต้องการอะไร"
"เข้าใจอะไรได้เร็วดีนี่..."หญิงสาวลากเสียง"ฉันจะขอให้ทางการลดหย่อนเธอไปอีกสักขั้น ไม่แน่ว่าเธออาจจะไม่โดนถึงขนาดรวบยิงเป้าหรอกนะ"
"..."
อีกฝ่ายยังคงเงียบ คงจะกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว
"ฉันรู้มาว่า..เบิร์ต คาร์ลไม่ได้มีแฟ้มประวัติเพียงแค่หนึ่งเล่ม...ผลงานของเขาน่ะแค่เล่มเดียวก็ยังบันทึกไม่หมดหรอก"
"งั้นเหรอ"จ่าฮิลล์เชิ่ดหน้าขึ้นมองเธอ"เธอคงอยากจะอ่านแฟ้มประวัติของเขามากเลยสินะ"
"คงไม่ต้องบอก เป็นไงล่ะข้อเสนอนี้..น่าสนใช่มั้ย"
แอดเลอร์ถามคู่สนทนาของตัวเองราวกับกำลังลองใจเจ้าหล่อนอยู่ เธอรู้อยู่ในใจแล้วล่ะว่าจะอย่างไรเรน่าก็ต้องยอมรับข้อตกลงอยู่แล้วแน่นอน เพราะตอนนี้หล่อนแทบจะไม่มีทางเลือกอะไรเลย การที่เธอปล่อยนาซีหนุ่มคนนั้นไปเป็นเหมือนกับการสังหารทหารทั้งกองทัพโดยทางอ้อม และโทษมันก็ต้องหนักอยู่แล้ว
อดีตทหารจากหน่วยเอสเอส.ยังคงจ้องมองทหารชั้นผู้น้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอยกมือขึ้นกอดอกอย่างวางท่า ท่าทางตอนนี้ทำให้เธอนึกถึงเบิร์ต คาร์ลคู่หูของเธอ..เวลาเขาจะพูดสอบปากคำใครนั้น เขามักจะยกมือขึ้นกอดอกและจ้องมองตรงไปยังคู่สนทนาของตนเออย่างใจจดใจจ่อ บางครั้งถ้าหากอีกฝ่ายทำอะไรที่เขาไม่พึงประสงค์....เขาก็จะยกขาของเขาขึ้นมาวางบนโต๊ะ เธอเคยเห็นเขาทำแบบนี้ครั้งหนึ่ง มันทำให้เธออึ้งชั่วขณะไปเลย มันดูไร้มารยาท มากๆสำหรับเธอ
คิดอะไรเรื่ิยเปื่อยไปนาน เรน่าก็เริ่มปริปากขึ้นมา
"สามหกสอง..."
"อะไรนะ"
"รหัสที่ใช้หาแฟ้มประวัติฉบับของเขาไงล่ะ"
แอดเลอร์กระตุกยิ้มมุมปาก ท่ทางเธอจะติดนิสัยนี้มาจากคู่หูของเธอ"งั้นเหรอ..ตู้เซฟอยู่ไหนล่ะ"
"ไม่ใช่...มันไม่ใช่รหัสเซฟ"เรน่าส่ายหัวไปมา"...เลขชั้นหนังสือต่างหาก"
เป็นรหัสที่น่าสนใจดี...
"อธิบายมา"
"ตัวเลขตัวแรกคือชั้นหนังสือ ตัวที่สองคือช่องที่เก็บหนังสือ...และตัวเลขตัวสุดท้ายคือลำดับที่หนังสือ มันอยู่ในห้องเก็บเอกสารเก่าในห้องบัญชาการ โชคดีที่วันนี้เจสันไม่อยู่ เธอสามารถหากุญแจห้องนี้ได้แถวๆโต๊ะของเขา"
"โอเค อยากรู้จักใครคิดรหัสนี่ขึ้นมา น่าเอาไปใช้บ้างจัง"แอดเลอร์ยิ้มในขณะที่กำลังจดรายละเอียดลงในสมุดบันทึก
"เธอได้สิ่งที่เธอต้องการไปแล้วนะแอดเลอร์ อย่าลืมล่ะ"
หญิงสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลเขียนบางอย่างเสร็จก่อนจะปิดสมุด เธอยิ้มให้กับเรน่าเป็นนัยๆว่าเธอจะไม่ลืมสิ่งที่เธอพูดออกไปเมื่อครู่แน่นอน เธอลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูออกไปด้านนอก ทหารชั้นผู้น้อยพวกเดิมยังคงยืนเฝ้าเธออยู่ที่เดิม เธอส่ายหน้าให้ดัลตันแทนการพูดว่า"เราไม่ได้อะไรเลย" ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังห้องบัญชาการด้วยท่าทางเร่งรีบ เธอต้องรีบไปเอาแฟ้มนั่นออกมาก่อนที่เบิร์ตจะกลับมาจากทำภารกิจและกำลังจะเดินเข้ามาในห้องบัญชาการ ไม่อย่างนั้นเธอโดนดีแน่ๆ
เอี๊ยด....
เสียงบานพับประตูเสียดสีกันจนเกิดเสียดังก้องดูน่าวังเวง แอดเลอร์เดินเข้ามาโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องไว้ด้วย เธอตรงไปที่โต๊ะของเจสันตามที่เรน่าบอก ก่อนจะเริ่มค้นหากุญแจดอกนั้นให้เจอ
"อยู่ไหนนะ..."เสียงของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับเสียงรื้อค้นสิ่งของ และทันใดนั้น...
กริ๊ง...
เสียงบางอย่างกระทบกับแก้วถายในลิ้นชัก แอดเลอร์ล้วงมือเข้าไปด้านใน ก่อนจะดึงมันออกมา..มันคือกุญแจดอกนั้น เธอหยิบมันออกมาก่อนจะเดินไปที่ห้องเก็บเอกสารเก่าด้านหลัง เธอเสียบมันเข้าไปในช่องใส่กุญแจอย่างใจเย็นแล้วหมุนลูกกุญแจตามลำดับ ต่อมาเธอก็เปิดประตูเข้าไปด้านใน...
"อุ๊บ...ฝุ่นเยอะมากเลย สมกับเป็นห้องเก็บเอกสารเก่าจริงๆ"
แอดเลอร์ก้าวหลบกองกระดาษนั่นไปตรงชั้นหนังสือที่ตั้งอยู่ด้านหน้า เธอมองไปยังชั้นที่สามก่อนจะเดินไปที่นั่น สายตาของเธอเพ่งมองมาตรงช่องเก็บหนังสือช่องที่หก ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือเล่มที่สองของช่องเก็บออกมา...
ใช่จริงๆด้วย...มันคือประวัติของเบิร์ต คาร์ลฉบับที่สอง!
"คุณเข้ามาในนี้ทำไม"
เสียงนั้นดังขึ้น มันคุ้นหูมากเสียจนแอดเลอร์ต้องถึงกับแอบของที่เธอเจอ ในใจสั่งให้เธออย่าหันกลับไปหาเขาก่อน
"คาร์ล?"
"ใช่ผมเอง"เขาตอบ"เข้ามาทำไมในนี้"
แอดเลอร์เก็บแฟ้มประวัติเข้าในเสือคลุมหนังก่อนจะตัดสินใจหันไปด้านหลัง...และภาพที่เห็นคือ...
"คาร์ล...คุณ...บาดเจ็บขนาดนี้เลย
เหรอ..?"
ภาพที่เห็นตรงหน้าของเธอคือเบิร์ต คาร์ล...ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากพิษสงคราม ที่ศรีษะมีผ้าพันแผลพันรอบไปเกือบทั้งหน้า แถมที่แขนก็ยังมีผ้าพันแผลอีกอยู่ด้วย..เครื่องแบบของเปื้อนคราบเลือดเต็มไปหมด..ไม่รู้ว่าของเขาหรือของคนที่เขาฆ่ากันแน่...
"คุณไปทำอะไรมาเนี่ย...ทำไมโทรมอย่างนี้.."
หญิงสาวมองตรงไปยังใบหน้าของเขา และทันใดนั้น...ร่างของเขาก็ทรุดลง
"เบิร์ต!"
ไวกว่าความคิด แอดเลอร์รีบกระโจนเข้าไปหาเขาทันที เขาถูกยิง! ใช่เธอต้องคิดถูกแน่ๆ เลือดที่เปื้อนเครื่องแบบนี่เป็นของเขาเอง...ตอนนี้ท่าทางว่าเขาจะเสียเลือดมากด้วย...พระเจ้า...
เบิร์ต!!
...
..
.
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น...
"คุกเข่าลง"
เสียงที่ออกมาเป็นภาษาเยอรมันดังขึ้น ฉับพลันทหารคนนั้นก็ค่อยๆย่อตัวลงนั่นคุกเข่าตามคำบอก มือของเขานั้นถูกวางไว้บนศรีษะเชกเช่นเดียวกับบุคคลที่นั่งคุกเข่าข้างๆเขาด้วย
มันเป็นแค่เวลาเพียงสองวันที่เขาถูกรวบตัวมาที่นี่...ค่ายกักกันนรกที่เหล่าทหารลือกันว่าเข้าไปแล้ว...จะไม่มีวันได้กลับออกมาอีก
แฮนสันมองหน้าของบุคคลที่ตนต้องคุ้มกันสลับกับมองพื้นดินในขณะที่ก้มหน้าอยู่ เขาจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนนั้น เขากลับไปที่ฐานทัพได้ไม่นานแล้วก็ถูกเรียกกลับไปอีก ฟองชัวส์ก็ติดสอยห้อยตามเขามาด้วยเหมือนกับพวงกุญแจ แล้วพวกเขาทั้งหมดก็เสียท่าให้นาซีจนได้...ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มแค้นใจเป็นอย่างมาก...
"สงสัยมั้ยว่าทำไมฉันต้องฆ่าพวกแกทิ้ง..."เสียงนั่นยังคงดังอยู่"...ของที่ใช้แล้วก็ต้องทิ้งใช่มั้ย...เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์"
อันที่จริงเขานั่งฟังไอ้นาซีนี่พล่ามมาเกือบสี่ชั่วโมงแล้วตั้งแต่อยู่บนรถ เจาชำเลืองมองป้ายที่คอปกเสื้อของเขามันบ่งบอกได้เลยว่า..เขาเป็นแค่ไอ้ทหารยศน้อยก็เท่านั้นเอง ด้วยสีหน้าของเหล่านาซีคนอื่นที่เดินวนรอบตัวเขาก็เป็นตัวที่ใช้บอกเขาว่า...ไอ้ทหารนี่มันน่ารำคาญมากแค่ไหน...
"ให้ตายสิวะไอ้ชมิตท์ เมื่อไรจะหยุดพูดวะเนี่ย"นาซีที่ยืนอยู่หลังฟองชัวส์พูดขึ้นมาหลังจากที่หมดความอดทนไป
"โธ่--งั้นนายก็เอาน้ำมันมา เร็วๆเลยนะ"
"ตกลง รอไปก่อนละกัน"
แฮนสันไม่เข้าใจภาษาเยอรมันที่พวกนี้พูดมากเท่าไรนัก...แต่เมื่อกี้เขาได้ยินว่า"น้ำมัน" น้ำมันเหรอ...ไอ้พวกนี้จะเอามาทำอะไรกันนะ...ท่าทางจะไม่ดีซะแล้วสิ
"มาแล้ว--"นาซีคนเดิมเดินมาพร้อมกับแกลลอนน้ำมันในมือ เขาวางมันลงตรงหน้าของแฮนสันก่อนจะหันไปคุยกับนาซีคนเมื่อครู่ต่อ"แล้วจะเอาไงต่อดี"
"หัวหน้าบอกให้ราดแค่คนเดียว..."นั่นคือคำตอบ"...งั้นเอาไอ้นี่ละกัน"
ฟองชัวส์สะดุ้งโหยง ฉับพลันความกลัวก็คลานเข้ามาเกาะกุมจิตใจของเขาทันที นาซีผู้นั้นเทน้ำมันในแกลลอนใส่เขาจนชุ่มไปทั้งตัว เขาหันมองไปยังบุคคลข้างๆพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือ แฮนสันปัดตาลงราวกับกำลังปฏิเสธคำขอของเขาอย่างไร้ทางเลือก เพราะเขาเองก็โดนควบคุมตัวเหมือนกันไม่ต่างจากเขาเท่าไร
"พระเจ้าช่วยลูกด้วย.."เขากัดฟันกระซิบกับตัวเองเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
แฮนสันเงยหน้าขึ้นนิดหน่อย นาซีคนเดิมเตรียมหยิบไฟแช็กออกมาจากเครื่องแบบ เขาจุดมันเล่นสองสามครั้งก่อนจะมองมาที่เขาพลางแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรกับฟองชัวส์ในเวลาต่อจากนี้...
"มันคงไม่สั่งเสียอะไรแล้วล่ะ"
พรึ่บ!
เขาโยนไฟแช็กในมือลงที่กำลังเป็นประกายไฟลุกโชนไปยังฟองชัวส์ที่นั่งคุกเข่าอยู่ เขากำลังสวดอ้อนวอนพระเจ้าโดยไม่สนใจเจ้าสิ่งที่ถูกโยนมาหาเขาเลยซักนิด ทันใดนั้น...ไฟก็เริ่มลุกไหม้เขาอย่างรวดเร็วโดยที่น้ำมันบนตัวเขาคือเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟติดดีที่สุด
"อ๊าก!!"ฟองชัวส์ลุกขึ้นเดินไปมาท่าม
กลางเพลิงที่ลุกไหม้ตัวเขาอย่างรวดเร็ว นาซีคนหนึ่งหยิบปืนขึ้นมาก่อนจะเหนี่ยวไกใส่เขา
ปัง!
ร่างของฟองชัวส์ที่มีเพลิงลุกไหม้อยู่ทรุดลงตรงหน้าของแฮนสัน เขาเหลือบเห็นร่างของฟองชัวส์ที่ตาเบิกพล่านด้วยความกลัวสุดขีดกับรอยไหม้และกลิ่นควันไฟที่อยู่รอบๆร่างของเขา แฮนสันหลบหน้าหนี...เขาไม่อยากจะเห็นภาพแบบนี้ในหัวสมองเขาอีก...และก็คงอีกไม่นานกระมังที่เขาจะมีชีวิตอยู่
"ค่อยลากขยะนี่ไปทิ้ง รอให้ไฟหยุดไหม้ก่อน"นาซีคนนั้นหันไปพูดกับเพื่อนทหารของเขาก่อนจะหันมามองแฮนสัน"ส่วนไอ้นี่..."
เขายกปืนที่ใช้ยิงฟองชัวส์เมื่อครู่ขึ้นชี้มาที่ศรีษะของแฮนสันอย่างใจเย็นเพื่อเตรียมลั่นไก...นี่คงเป็นวาระสุดท้ายสำหรับเขาแล้วในตอนนี้...
...ยอมตายอย่างเดียวดายเพื่อชาติบนแผ่นดินของศัตรู...
ปัง!!
....
...
..
.
"เบิร์ต!"
หญิงสาวรีบเข้าไปหาชายผู้มาเยือนทันทีหลังจากที่เขากำลังทรุดลงไป เครื่องแบบของเขาเปื้อนไปด้วยคราบเลือดจากการที่เขาโดนยิง แอดเลอร์พยายามเรียกชื่อของเขาในขณะที่เขาทรุดอยู่แต่ไม่มีการตอบ
สนองใดๆจากเขาเลย เบิร์ตยังคงลืมตาอยู่แต่เขากลับหายใจถี่มาก เธอเห็นทีว่าหากปล่อยไว้แบบนี้..คู่หูของเธอต้องเสียเลือดตายแน่
"เบิร์ต! ให้ตายสิคุณอย่าหลับตานะ!"
"...ผ..ผม.."ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่หญิงสาวกลับไม่ใส่ใจเสียงเขาเลยสักนิดเพราะเอาแต่มองหาคนสักคนที่อยู่ด้านนอก
"เดี๋ยวฉันจะไปตามเจนมา คุณห้ามหลับนะเข้าใจมั้ย!? ห้ามเด็ดขาด!!"
ว่าแล้วแอดเลอร์ก็ลุกขึ้นก่อนจะวิ่งออกไปด้านนอก เบิร์ตถูกสั่งไม่ให้หลับตาเป็นอันขาด เขาเสียเลือดมากตั้งแต่เดินเข้ามาในฐานแล้ว เขาช่วยเหลือทหารยศจ่าคนนั้นได้แต่ในระหว่างที่วิ่งออกจากเขตพื้นที่ของพวกนาซี เขากลับโดนอีกฝ่ายตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรง จนเป็นต้นเหตุแผลถูกยิงของเขา
ฟึ่บ..
เขาพยุงตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเริ่มก้าวเดินไปยังชั้นหนังสือชั้นที่สาม แอดเลอร์หยิบแฟ้มประวัติฉบับที่สองของเขาออกมาเมื่อครู่แล้ววางเก็บไว้หลังจากที่เห็นเขาทรุดลง เบิร์ตค่อยๆเดินไปหยิบแฟ้มนั่นออกมาก่อนจะค่อยๆเปิดไปหน้าหลังสุด...มันแสดงถึงรายชื่อของคนที่เขาเก็บมาทั้วหมด โชคดีที่เขาสวมถุงมือเอาไว้ทำให้มือของเขาไม่เปื้อนเลือด เขาถอดถุงมืออกก่อนจะเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่ในมือนิดๆหน่อยๆของเขาออก เขาดึงกระดาษพวกนั้นออกจนมันขาดออกจากแฟ้มของเขา แล้วเก็บมันใส่กระเป๋าเครื่องแบบทหารของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ล้มลงอีกรอบ...
"วิ่งเร็วๆสิเจน!"
"ดิฉันก็วิ่งอยู่นะคะ!!"
ทั้งสองวิ่งเข้ามาในห้องเก็บเอกสารเก่า เบิร์ตนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิมในสายตาของแอดเลอร์ เธอและเจนช่วยกันพยุงเขาขึ้นเดินออกไปด้านนอก
"เขาเสียเลือดมากขนาดนี้คงต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ!!"
"จะยังไงก็ได้ช่างมันเถอะ!! ขอแค่ให้คาร์ลรอดก็พอ!"
"โอเคค่ะผู้หมวด!"
หญิงสาวทั้งสองพยุงชายหนุ่มไปยังห้องพยาบาลโดยเร็วที่สุด เขาหลับตาไปแล้วแต่ยังคงหายใจอยู่ แอดเลอร์นึกตำหนิพวกเสนารักษ์ทหารว่าปฐมพยาบาลเขาอย่างไรถึงไม่รู้ว่าเขาโดนยิง ให้ตายสิ!
"คาร์ล! คุณจะต้องไม่เป็นไร!"
--------------------------------
ความคิดเห็น