คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : War and Sacrifice. Episode 2: Agreement Memories Decision.
คุณจะใช้เวลาตัดสินใจนานแค่ไหนก็ได้ แต่ผมขอเพียงแค่...ให้คุณตอบตกลงก็พอ...
.....
...
..
.
ฉันไม่มีทางเป็นนาซีเด็ดขาด...ต่อให้คุณจะมีข้อแลกเปลี่ยนที่ฉันสนใจก็ตามคาร์ล...
...
.
..อย่าพยายามขอร้องฉันเลย
ฉันอยู่ที่ไหน..
นั่นคือคำถามแรกที่เกิดขึ้นมาในหัวของฉัน ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน เพราะมันมีแต่สีขาวเต็มไปหมด...ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่สีขาว มันทั้งเงียบ..ทั้งว่างเปล่า..ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่นี่เลยด้วยซ้ำ แล้วฉันจะเดินไปทางไหนล่ะเนี่ย ในเมื่อว่าฉันไม่รู้ว่าทิศเหนืออยู่ตรงไหน มันเหมือนกับว่าฉันสับสนมากที่สุดในชีวิต แล้วฉันก็ตัดสินใจก้าวเดินไปด้านหน้า...ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปไหน ยังไงก็ตาม...ถ้าฉันยิ่งเดิน ก็ยังไม่พ้นอาณาเขตสีขาวนี่ซักที หรือว่า..
ฉันอาจจะตายแล้ว...
ถ้าเป็นแบบนั้น ที่นี่คือสวรรค์เหรอ ไม่ใช่แน่ๆ นี่มันว่างเปล่ากว่าจะเรียกว่าสวรรค์ซะอีก..
ฉันเดินวนไปมา แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่วางทิ้งอยู่บนพื้น ฉันค่อยๆหยิบมันขึ้นมา กระดาษแผ่นนี้มันมีสองหน้า ใครๆก็รู้..แต่เมื่อฉันพลิกไปด้านหลัง มันกลับเป็นสีดำสนิทอีกด้านหนึ่ง และเมื่อฉันพลิกกลับมาหน้าเดิม หน้ากระดาษที่เคยว่างเปล่ากลับมีตัวอักษรโผล่ขึ้นมา
เหมือนกับว่ามันกำลังเชื้อเชิญฉันให้อ่านมัน...
Clarity
ความกระจ่าง?
Or
…
Murky
หรือมืดมน..อะไรนะ
“ครีนัส”
ฉันหันกลับไปหาเสียงเรียกนั่น กระดาษในมือถูกทิ้งลงพื้น เสียงเมื่อกี้คุ้นๆเหมือนกับได้ยินที่ไหนมาก่อนยังไงอย่างนั้น ฟังเหมือนกับเสียงที่ฉันได้ยินประจำ...
และเมื่อฉันหันกลับไปตามเสียงเรียก..
“เธอ...”
“ใช่..”
ฉันมองไปยังผู้หญิงผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีฟ้า และสวมเครื่องแบบ ฉันแทบจะไม่เชื่อเลยว่านั่น...
นั่น..หล่อนคือ..ตัวฉัน...?
“ฉันเป็นเธอ เธอเป็นฉัน”
หล่อนเดินมายังฉัน ทุกจังหวะก้าวเท้าของเธอมาพร้อมกับรอยคราบเลือดที่ติดมากับรองเท้าสีดำของเธอ ที่สายคาดสะเอวมีปืนที่เก็บใส่ซองเอาไว้อย่างดี หล่อน..ทำอะไรตรงกันข้ามกับฉันทุกประการ ทั้งลักษณะการเก้าเดิน ฉันมักจะก้าวเท้าซ้ายก่อนเสมอถ้าฉันเดิน แต่หล่อนกลับก้าวขวาก่อนจะก้าวเท้าซ้าย ดูถ้าทางของหล่อนจะต่างกับฉันในตอนนี้เป็นอย่างมาก หล่อนยื่นมือที่สวมถุงมือเข้ามายังฉันด้วยมือขวา ในขณะที่ฉันจะยื่นมือซ้ายไป..
“เธอคือฉันเหรอ”ฉันยังคงไม่แน่ใจ
“หรือเธอไม่เชื่อ บอกแล้วไง..ฉันคือเธอ..”
“เธอคือฉัน...”
ฉันพูดต่อจากหล่อน รอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าค่อยปรากฏขึ้นมา หล่อนหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา ก่อนจะขยำมันจนเป็นก้อนกลมๆ แล้วหล่อนก็คลายมือออก..จากกระดาษแผ่นที่ถูกขยำเมื่อครู่กลายเป็นขี้เถ้าสีดำที่ล่วงหลงมาจากมือของหล่อน
“มันไม่ใช่ขี้เถ้า”หล่อนพูดขึ้น
“...”
“ดินปืนต่างหาก”
"เธอต้องการอะไรจากฉัน"
ฉันถามหล่อนด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ เป็นไปไม่ได้หรอกที่ฉันจะได้คุยกับตัวเอง...เป็นไปไม่ได้เลยซะด้วยซ้ำ! ผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนกับฉันมาก แต่ถ้าทางว่าจะไม่ใช่อายุเท่ากับฉัน ลักษณะนิสัยของหล่อน...ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวหล่อนและฉัน...เหมือนกัน
"เข้าใจง่ายๆนะครีนัส ที่นี่คือความคิดของเธอ"
"ความคิด?"
"หรือที่เธอเรียกว่า..ความฝัน"
เธอเดินวนไปรอบตัวฉัน เสียงรอง เท้าของเธอกระทบกับพื้นสีขาวดังก้องไปทั่ว เธอต้องการอะไรจากฉัน นั่นคือคำถามที่ฉันอยากจะได้คำตอบมากที่สุด อยู่ดีๆฉันก็เข้ามาในความฝันของตัวเอง แล้วก็ได้เจอกับตัวเองในอนาคตที่พบว่าฉันในตอนนั้นกลายเป็นนาซีไปซะแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันในอนาคตกันนะ? นี่คืออีกคำถามที่ฉันต้องการคำตอบเหมือนกัน
แต่รู้สึกว่าคำถามข้อหลังนี่..ฉันต้อง
การคำตอบให้เร็วที่สุดเลย..
"เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมฉันถึง.."
"เป็นนาซี ใช่..นี่คือสิ่งที่เธอจะถามใช่มั้ย? แล้วทำไมเธอไม่ลองถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอล่ะ--ฉันหวังว่าเธอจะจำเขาได้นะ"
ฉันค่อยๆหันไปด้านหลังตัวเองตามคำพูดของฉันอีกคน และเมื่อฉันหันหลังกลับไปนั้น..บุคคลที่ฉันไม่น่าจะมีโอกาศได้เจออีก
ครั้ง ก็ปรากฏต่อหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ..ตรงนี้เนี่ยแหละที่ฉันรู้ว่าตัวเองฝันจริงๆ
"พ่อ?"
"ครีนัส...เจ้าหญิงของพ่อ"
ฉันแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง..นั่นพ่อเหรอ นี่ฉันได้เจอพ่ออีกครั้งเหรอเนี่ย..
ตึก...ตึก..ตึก...
"พ่อคะ..หนู.."
ฉันก้าวเดินไปหาเขา...ชายผมสีเข้มคนนั้นือพ่อฉันจริงๆ เขาอยู่ในชุดเดียวกับวันนั้นวันที่เขาตายต่อหน้าต่อตาฉัน..ฉันจำชุดสูทสีเทาดำนั่นได้..แว่นกรอบสีน้ำตาลเชกเช่น
เดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันแทบจะร้องไห้ออกมา...พ่อฉันเก็บแว่นนั่นไว้ให้ฉัน..
"ไม่ต้องร้องไห้หรอกครีนัส"เสียงของฉันอีกคนหนึ่งพูดดังมาจากด้านหลังในขณะที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปหาพ่อ
"พ่อคะ...หนูคิดถึงพ่อ.."
"อายุสิบแปดแล้วนะทำเหมือนเด็กอยู่ได้..."เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาที่อาบเต็มหน้าฉันด้วยความห่วงใย ความรู้สึกนี้ทันไม่น่าจะเกิดขึ้นมาในใจฉันเลยซะด้วยซ้ำ...
"พ่ออยู่ข้างหนูเสมอ.."
ฉันค่อยๆเผยอปากขึ้นยิ้ม น้ำตายังคงไหลรินออกมาล้นเบ้าตาเรื่อยๆอย่างไม่มีท่ท่าจะหยุดไหล พ่อยกมือขึ้นจับแตะแก้มของฉัน
"พ่อรักหนู..."
เดี๋ยวนะ...ความรู้สึกแปลกๆเมื่อกี้...
"...พ่อ?"
นี่มันไม่ใช่....
"...แอดเลอร์"
เขากระตุกยิ้มอีกครั้ง...ใช่จริงด้วย...!
"พอเถอะน่า.."
ฉันหันไปด้านหลัง โลกสีขาวที่ฉันเห็นอยู่เมื่อประมาณสิบนาทีเมื่อครู่กลับกลายเป็นสีขาวที่มีสีดำแซมเข้ามา ตัวฉันคนนั้นหายไปแล้ว..นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาในหัวฉันเนี่ย
"ไม่มีอะไรหรอก.."
"คุณ..."
ฉันค่อยๆหันกลับไปอีกครั้ง ลมที่อยู่ดีๆก็กรรโชกแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มันทำให้ฉันเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาคนนั้น ..เขาคนนั้นที่อยู่ตรงหน้าฉัน
"ค..."
"เวลาผมดูหน้าคุณใกล้เนี่ยๆ..รู้สึกว่าคุณจะมีเสน่ห์ขึ้นมามากกว่าเดิมนะ..สาวน้อย.."
ฉัน...
เขาโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของฉัน..
"นาซีเยอรมันอ้าแขนรอรับคุณอยู่เสมอ..แอดเลอร์"
พรึ่บ!
....
...
..
.
'นายคิดอะไรอยู่เนี่ย ฉันตามนายไม่ทันแล้วนะเว้ย!'
อะไรนี่...ทำไมเจ็บหัวอย่างนี้นะ..
'เงียบไปซะ'
เสียงวูล์ฟฟ์และคาร์ล ฉันอยู่ที่ไหนอีกล่ะ...เกิดอะไรขึ้นกับฉัน..
'ระหว่างเรื่องส่วนตัวกับงานที่ถ้าทำไม่สำเร็จนายอาจจะตายได้ นายเลือกอะไรล่ะ'
'เอมิลล์ไม่ได้บอกซักหน่อยว่าถ้าทำไมสำเร็จจะต้องตายน่ะ!'
'ฉันฆ่านายตายแน่วูล์ฟฟ์ถ้านายไม่ทำตามคำสั่งของฉัน'
ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น..แต่รู้สึกว่าหนังตามันจะหนักขึ้นมาทันที มันเหมือนกับมันกำลังบังคับไม่ให้ฉันลืมตา--ฉันยังรวบรวมสติได้ไม่ครบสินะ..
'ฉันยศสูงกว่านายนะเบิร์ต! อย่าบ้าอำนาจให้มาก!'
'ยศของนายก็แค่ใช้เงินซื้อมา'
อะไรอีกล่ะเนี่ย...นี่ฉันจะต้องฟังสองคนนี้ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ...ให้ตายสิ แต่ที่คาร์ลพูกเมื่อกี้...มันหมายความว่าอะไรกัน
'หยุดพูดแล้วขับรถต่อไปซะเบิร์ต'
'ถึงสุสานแล้ว คงไม่ต้องขับต่อแล้วล่ะ'
รถค่อยๆชะลอความเร็วลงแล้วหยุดกึก เสียงเครื่องยนต์ที่ดังเมื่อครู่กลับกลายเป็นความเงียบแทน ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถลืมตาได้แล้ว และค่อยๆลืมตาขึ้นมา—สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือกระจกรถที่สามารถมองออกไปด้านนอกได้ นี่ฉันสลบไปเหรอ? นั่นคือสิ่งที่สงสัย แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันยังรวบรวมสติตัวเองได้ไม่สมบูรณ์เท่าไร และทันใดนั้นประตูรถค่อยๆเปิดออก ชายในเครื่องแบบนาซีสีดำผมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่งค่อยๆพยุงฉันให้ยืนขึ้นก่อนจะพาเดินเข้าไปด้านในสถานที่นั้น...
“แอดเลอร์ผมขอโทษ..”
เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นในระหว่างที่เขาพยุงตัวฉันให้เดิน นั่นคือเสียงของวูล์ฟฟ์—ฉันจำได้..ว่าแต่เขาพาฉันมาที่ไหนกันนะ...สุสานเหรอ?
“เธอตื่นแล้วเหรอ”เสียงของคาร์ล
“แต่ยังไม่ค่อยมีสติ”
วูล์ฟฟ์ปล่อยตัวของฉันให้เป็นอิสระ—ตัวฉันที่แทบจะไม่มีแรงล้มลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ฉันมองเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก นี่ฉันไปโดนอะไรมานี่...?
....
..
.
สามชั่วโมงก่อนหน้านั้น
บาร์เทนเดอร์หนุ่มยืนมองหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลที่นั่งอยู่กับชายคนนั้นด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะหันมาหาบุคคลตรงหน้าแทน
“คุณควรไปบอกให้หล่อนนั่งห่างๆกับไอ้เวรนั้นนะ พันตรี”
“ช่างเถอะ บอกไปหล่อนก็ไม่ฟังผมหรอก”เขาพูดในระหว่างที่จ้องมองเธอคนนั้น ก่อนจะหันกลับมา”เรามาคุยเรื่องธุระของเราดีกว่านะครับ”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“บาร์เทนเดอร์! เบียร์อีก!”
แต่ไม่ทันไรที่พวกเขาจะได้พูดคุยเรื่องธุระ ชายที่นั่งกระดกเบียร์ตรงโต๊ะมุมห้องชูกระป๋องเบียร์เปล่าๆในมือขึ้นมา ทั้งแอดเลอร์และชายหนุ่มทั้งสองหันไมองเขาทันที มันเป็นสัญญาณให้สาวเสิร์ฟที่คิดว่าจะสามารถทำตัวว่างได้เพราะทำงานเสร็จแล้วเดินไปหยิบเบียร์กระป๋องราคาถูกๆที่ตั้งอยู่ใส่ถาดแล้วเดินมาเสิร์ฟเบียร์ให้กับเขาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะทำงานต่อเลย หล่อนวางกระเบียร์ลงบนโต๊ะเป็นปกติ ก่อนจะเดินไปหลังบาร์
“ขอโทษนะ ที่ผมจัดการกับไอ้ขี้เมานั่นไม่ได้ ปืนโดนยึดแล้วนี่”
“ช่างเถอะครับ ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะ...”
ชายหนุ่มลากเสียง สีหน้าเหมือนกับไม่อยากบอกเขาเท่าไร
“อะไรล่ะ”เขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย”เกี่ยวกับแม่สาวนั่นเรอะ?”
“ครับ ความจริงผมอยากให้ท่านช่วยบอกผมหน่อยว่า..จะทำยังไงกับหล่อนดี”
ชายหนุ่มหันไปมองแอดเลอร์อีกครั้ง เขาเห็นหล่อนหันไปยิ้มทักทายผู้ชายคนนั้น เขามองหล่อนด้วยสายตาที่ไม่เคยมีมาก่อน...ตอนนี้เขาต้องการให้หล่อนออกห่างจากไอ้เลวนั่นให้มากที่สุด..
“อ้อนี่จะมาขอคำปรึกษาจากผมเรอะ ไม่น่าเชื่อนะเนี่ยว่าคุณมีความคิดแบบนี้ด้วย แต่ทำไมต้องพาแม่นั่นมาด้วยล่ะ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกครับ แต่หล่อนเป็นคนที่นาซีต้องมี”
“คุณเกลี้ยกล่อมให้เธอมากับคุณสิ แค่นี้ง่ายจะตาย”เขาพูด เขาคงคิดว่ามันง่ายละมั้ง
“ผู้พันครับมันไม่ง่ายอย่างนั้นเลยนะครับ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น..”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นวางบนเคาเตอร์บาร์—รอฟังชายตรงหน้าพูดต่อจากเมื่อครู่อย่างใจจดใจจ่อ
“..ก็ต้องใช้ไม้แข็ง”
คำพูดนั้นทำให้เบิร์ตถึงกับขมวดคิ้วขึ้นเหมือนจะผูกเป็นปม ใช้ไม้แข็งเหรอ? รู้สึกว่าเขาชักจะอยากรู้แล้วล่ะสิว่า “ไม้แข็ง” ที่ว่านี่...มันหมายถึงอะไร
“ยังไงครับ?”
บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ้มอย่างยียวน “เอากระบอกปืนฟาดเลยซะสิ”
“ท่านครับ..ไม่ตลกเลยนะ”
เขาหัวเราะเบาๆกับสีหน้าของชายหนุ่ม สงสัยไอ้หมอนี่มันคงจะเป็นสุภาพบุรุษมากเลยนะ ถึงไม่ทำร้ายผู้หญิง เขาคิดในใจในระหว่างที่กลั้นหัวเราะเอาไว้
“ผมไม่ได้ให้คุณตลกนี่—เอาปืนฟาดหัวเธอให้สลบซะ แล้วพาไปสถานที่ที่หล่อนชอบไปมากที่สุด หล่อนจะเบลอๆและไม่ค่อยมีสติ และนั่นแหละ...เกลี้ยกล่อมเธอซะ”
“คือผม...”
“ไม่เอาน่าเบิร์ต—นายทำไม่ได้เหรอ”
เขาดูมีสีหน้าลังเลกับแผนนี้มาก มันอาจจะใช้ได้ผล...แต่มันต้องทำร้ายผู้หญิงนี่นะ? เขาคิด แต่ยังไงก็ตาม ถ้ามาที่นี่แล้วไม่มีอะไรกลับไป—ก็เสียเวลาไปอีกน่ะสิ..
“ผมตกลง”
ประโยคนั้นทำให้บาร์เทนเดอร์หนุ่มมีสีหน้าดีขึ้น เขาประทับในตัวของเบิร์ตมาก แต่ยังไงก็ตาม..เขายังอ่อนแอ และจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ แผนนี้อาจมีผลดีและผลเสียสำหรับเขา—แต่มันจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
“ไปซะ”
นั่นคือคำพูดของเขา
“ขอบคุณครับ ผู้พันมัลเลอร์”
...
“สรุป...ธุระมีแค่นี้ใช่มั้ย”
“ก็แค่นั้น”
ถนนยามเย็นที่ดูไร้ผู้คน มันเงียบเหงาผิดปกติ มันเป็นโอกาสดีที่จะใช้แผนนั้น...แอดเลอร์เดินออกห่างจากเขา ท่าทางของหล่อนดูเหมือนกับอารมณ์ไม่ดีมาก เพราะเขาพาเธอมาและเธอได้เสียเวลาไปฟรีๆอย่างไม่มีประโยชน์เลย หญิงสาวเดินกระทืบเท้าเสียงดังอย่างไม่พอใจ ชายหนุ่มในแจ๊คเก็ตสีดำที่ยืนอยู่ด้านหลังยังคงตีสีหน้านิ่ง เขาไม่คิดจะขวางเธออยู่แล้ว—ให้เธอไปเถอะ
“งั้นขอตัวก่อนละกันนะ ฉันไม่อยากอยู่ว่างๆแบบนี้หรอก”
หล่อนตัดสินใจเดินออกห่างจากเขา และทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้
“ลาก่อนแอดเลอร์”
เขาค่อยๆหยิบปืนพกออกมา—ก่อนจะเอามันแอบไว้ด้านหลัง ถนนเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คนมีโอกาศน้อยมากถ้าจะมีคนเห็นเขาถือปืนในที่แบบนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเตรียมใจให้พร้อม...ไม่เป็นไรหรอก แค่ทำให้เธอสลบเท่านั้น...ไม่ได้ฆ่าเธอซักหน่อย เขาคิดในใจ ความรู้สึกนี้..มันทำให้เขาตระหนักกับตัวเองว่า...เขาอ่อนแอ..
“ถ้ามีธุระกับฉันอีก...”
หล่อนพูดขึ้นมาทั้งๆหันหลังอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น และค่อยๆก้าวไปหาหล่อนอย่างเงียบเชียบ
“...”
“เอาไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะ”
ผลัก!
------------------------------------------
ความคิดเห็น