ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War and Sacrifice : Route to the War

    ลำดับตอนที่ #13 : War and Sacrifice. Episode 2:Cemetery Memories Roses.

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 58


          18 มิถุนายน ค.ศ.1934
               ฉันยืนอยู่ ณ จุดที่เคยยืนอยู่เมื่อห้าปีก่อน..

                ..ต่อหน้าหลุมฝังศพของพ่อ..
               ใช่..วันนี้เป็นวันที่ฉันเสียพ่อไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...
               ฟึ่บ...
               ฉันวางดอกกุหลาบสีขาวในมือไว้หน้าแผ่นหินที่ตั้งตะหงานอยู่ตรงหน้า มันสลักชื่อของพ่อเอาไว้...พร้อมกับวันเดือนปีที่พ่อของฉันจากไป พร้อมกับประโยคเล็กๆเอาไว้ มันเขียนว่า"บิดาผู้เป็นที่รักตลอดไป"ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ฉันสลักเอาไว้บนป้ายหลุมศพ
              วันนี้อาจไม่มีใครสังเกตเห็นชายในเครื่องแบบสีดำตามฉันเข้ามาในสุสาน ที่จริงฉันไม่เห็นคาร์ลตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนและก็ไม่สนใจด้วยว่า..เขาจะหายไปไหน เพราะฉันไม่อยากจะรู้อยู่แล้ว               ฉันวางดอกไม้ไว้หน้าหลุมศพของพ่อเสร็จแล้ว แต่เหลือบไปเห็นหลุมศพของแมี่ที่อยู่ข้างๆกัน ฉันหยิบดอกกุหลาบสีขาวที่เหลืออยู่แค่ดอกเดียวในมือวางไว้หน้าหลุมศพของแม่ อากาศหนาวจากสุสานค่อยๆคืบคลานเข้ามาหาฉันทีละน้อย ฉันได้ยินเสียงสะอื้นของคนที่อยู่ในสุสาน ฉันเห็นคนที่ทรุดลงนั่งหน้าหลุมศพของคนที่เป็นที่รักของตัวเองแล้วร้องไห้..ทุกสิ่งทุกอย่าง มันวนเวียนกันอยู่ในหัวของฉัน..ทั้งภาพ กลิ่น และเสียง            
                ฉันก้าวเท้าออกจากสุสานไปยังด้านนอกเพื่อหลบหลีกกลิ่นอายของความเศร้า ฟอร์ดปี 1932 คันสีดำที่เพิ่งออกมาได้ไม่นานกำลังจอดรอใครบางคนอยู่ที่หน้าทางเข้าสุสาน ฉันเดินไปยังรถคันนั้นทันที และดูเหมือนว่าคนขับกำลังรอฉันอยู่นะ
              "ไงเฮอร์แมน"ฉันยิ้มให้กับเขา สงสัยเขาคงรอฉันจนแทบจะหลับอยู่แล้วล่ะมั้ง
              "อ้อ..มาแล้วเหรอ ผมรอคุณมาเกือบชั่วโมงแล้วนะ"เขาพูดก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถให้ฉัน
              "อันที่จริงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย"
              เขายิ้ม"งั้นผมคงมั่วไปเอง"
              เฮอร์แมนเดินไปเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่ง ก่อนจะเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ฉันสงสัยจริงๆเลยว่าเขาไปเอารถมาจากไหน
             "คุณไปถอยรถมาจากไหนเนี่ย เมื่อวานฉันยังไม่เห็นคุณขับรถเลย"
             "รถพ่อผมเอง สวยใช่มั้ยล่ะ"เขาหันมายิ้มให้
             "ไม่ยักรู้ว่าคุณขับรถเป็นด้วยนะเฮอร์แมน"ฉันเสมองออกไปนอกกระจก
            "เรารู้จักกันมาพักนึงแล้วนะ เรียกชื่อผมก็ได้"
            "เฮอะๆ"
            ฉันหัวเราะเบาๆด้วยเสียงเนือยๆ สายตายังคงมองออกไปนอกกระจกรถ ฉันเห็นผู้คนมากมายเดินอยู่บนถนน ต่างคนต่างทำงานของตัวเองอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง ท่าทางพวกเขามีความสุขดีนะ แล้วฉันก็เห็นเด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในร้านอาหารสุดหรูกับครอบครัว
    ของเธอ หล่อนทำให้ฉันนึกถึงสมัยที่ฉันยังเด็ก...อยู่กับครอบครัว ทำอะไรๆมากมายกับพ่อแม่ แต่เดี๋ยวนี้ฉันแทบจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "ครอบครัว" อย่างแท้จริงแล้วล่ะ
            แต่เดี๋ยวสิ..ฉันมีอะไรต้องถามวูล์ฟฟ์
            "คุณเห็นคาร์ลรึเปล่า"
            เขายังคงมองไปยังทางข้างหน้าท่าทางจะมีสมาธิกับการขับรถมากเลยนะ
            "เบิร์ตน่ะเหรอ?"เขาตอบฉันโดยไม่หันมา"หมอนั้นชอบหายไปทุกๆวันที่สิบแปดของเดือนนี้ เอ่อ..วันที่ด็อกเตอร์แอดเลอร์ตายน่ะ เขาหายไปตลอด ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหายไปไหน"
            "งั้นเหรอ.."
            "บางทีเขาก็หายไปก่อนจะถึงวันนี้ซะอีก
    อย่างวันนี้ไง"
            เขาค่อยๆชะลอรถจอดอยู่หน้าบ้านของฉัน อันที่จริงเขายกให้ฉันมากกว่า..วูล์ฟฟ์น่ะ
            "ขอบคุณที่มาส่งนะ"ฉันเปิดประตูรถลงไปยืนอยู่บนทางเท้าก่อนจะหันมาปิดประตูรถ
             "ยินดีเสมอครับ.."เขายิ้มก่อนจะขยับหมวกนิดหน่อย
             ฉันยิ้มให้เขากลับแล้วหันหลังเดินไปยังประตูบ้าน พลางใช้มือคลำหากุญแจบ้านที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย ฉันหยิบลูกกุญแจขึ้นมาไขกลอน ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านในบ้านหลังใหญ่
              ฉันหันหลังกลับไปปิดประตูก่อนจะหันมาตั้งใจจะเดินไปเก็บเสื้อโค้ต แต่ทว่าสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็น...
               "คาร์ล?"ฉันพูดก่อนจะยกมือขึ้นกอดอก เขาเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือในมือก่อนจะกระตุกยิ้มให้ฉัน"ไงสาวน้อย"
               "คุณเข้ามาบ้านฉันได้ยังไง"ฉันถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ สายคายังคงจับจ้องไปยังเขา
              "ผมขอกุญแจมาจากวูล์ฟฟ์"เขาหยิบกุญแจขึ้นมาสั่นเสียงของมันดังก้องไปทั่วห้อง"คิดว่าผมจะปล่อยคุณง่ายๆเหรอ"
              "มัน..ไม่ดีเลยนะที่คุณเข้ามาในบ้านฉันแบบนี้น่ะ แล้วเครื่องแบบหายไปไหนแล้วล่ะ"
              ใช่...วันนี้เขาไม่ได้มาพร้อมกับชุดเครื่องแบบของเขา เสื้อเเจ๊คเก็ตสีดำและกางเกงขายาวสีดำคือสิ่งที่เขาใช้แทนเครื่องแบบของเขา ในมือถือกระป๋องเบียร์เอาไว้
               "ผมขอเป็นตัวของตัวเองบ้างก็ดีนะสาวน้อย"
               "โอเค! ตามสบายเลย!"ฉันเดินกระ แทกเท้าเสียงดังไปที่โต๊ะก่อนจะพลาดเสื้อโค้ตเอาไว้บนนั้น"แล้วทีหลังหยุดเรียกฉันว่าสาวน้อยได้แล้ว!"
               ฉันได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของใครบางคนดังออกมา ฉันมั่นใจได้เลยว่าคนที่ทำเสียงประหลาดๆแบบนี้มีแค่คนเดียวที่ฉันรู้จัก และไม่อยากจะเอ่ยชื่อซ้ำอีกด้วย เฮ้อ..เขาต้องการอะไรจากฉันกันนะ
                "คุณคงสงสัยว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่บ้านของคุณในวันนี้สินะ"
                ฉันเดินกลับไปอีกครั้ง"ก็แล้วแต่จะคิดเถอะ"
                 "มีอะไรรึเปล่า ท่าทางคุณรีบมากเลยนะ"
                ฉันเดินวนไปวนมาเหมือนกับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน คาร์ลคงสังเกตเห็นท่าทางของฉันอยู่นานละมั้งเขาถึงได้พูดขึ้นมาน่ะ
                "เฮอะ..ฉันดูเหมือนว่าเป็นคนเพี้ยนๆรึไง"ฉันเดินกลับไปตรงโต๊ะที่เขานั่งอยู่ ก่อนจะหยิบกระป๋องเบียร์เปล่าของเขาแล้วเดินไปทิ้ง
                "อะไรของคุณน่ะ กระป๋องนั้นผมยังไม่ดื่มเลยนะ"
                กึก..
                ฉันรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ทิ้งกระป๋องเบียร์นั่นลงถังไปแล้ว ใช่..มันยังไม่เปิดเลยด้วยซ้ำ สงสัยฉันคงเพี้ยนไปแล้วจริงๆ
                "อ้อเหรอ ฉันคงเพี้ยนไปจริงๆนั่นแหละ"
                คาร์ลหัวเราะฉันอีกครั้งก่อนจะปา
    กระป๋องเบียร์ในมือลงถัง เขายกขาขึ้นพาดไว้บนโต๊ะอย่างเสียมารยาทก่อนจะหยิบเบียร์อีกกระป๋องขึ้นมาเปิด ฉันมองเขาด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจที่สุด แบบนี้มันเสียมารยาทเกินไปแล้ว!
                 "นี่..กรุณามีมารยาทหน่อยได้มั้ย"
                 เขาวางเบียร์ลงบนโต๊ะตัวเดิมก่อนจะเอาขาของตัวเองลงจากโต๊ะ ให้มันได้อย่างนี้สิ! เขานี่มันชักจะวางอำนาจในบ้านคนอื่นมากเกินไปแล้ว
                 "คุณนี่..ไม่เหมือนกับพวกผู้หญิงคนอื่นที่ผมเคยเจอเลยนะ คุณฉลาดและกล้าพูดกับผมแบบนั้น..."เขากระตุกยิ้มให้ฉันอีก"..ผมชอบมันนะ"
                  "ขอบคุณ วันนี้ฉันต้องตามเก็บกระป๋องเบียร์ของคุณไปทิ้งอีกแล้วเหรอเนี่ย
    !? ให้ตายสิ! ทำไมฉันต้องไล่เก็บให้คุณด้วย"
                  "ผมไม่ได้ขอให้ช่วยนี่ เหอะทำเป็นบ่นไปได้"เขาหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่มก่อนจะวางมันลง ฉันคิดว่าเขาคงซื้อเบียร์มาเป็นโหลแน่
                  "นานๆทีจะเห็นคุณพูดถึงนิสัยของฉันบ้างนะ"
                  ฉันเดินไปหยิบหนังสือที่ชั้นมาก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ ฉันเปิดหนังสือหาหน้าที่อ่านค้างเอาไว้เมื่อวาน ก่อนจะตั้งใจอ่านมันให้จบ 
                  "เย็นนี้คุณว่างมั้ย"
                  อยู่ๆเขาก็ถามขึ้นมา ฉันมองเขาด้วยหางตาก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
                  "เฉพาะช่วงเย็น"
                  "ดีเลย!"ท่าทางนั่นจะเป็นคำตอบที่เขาต้องการ"ผมอยากจะพาคุณไปหาใครบางคน"
                 .....
                 ....
                 ...
                 .
                 -เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น-
               
    17 มิถุนายน ค.ศ.1934
                21.34 PM
                บรรยากาศในบาร์เหล้าดูครึกครื้นมีชีวิตชีวา เสียงเพลงสบายๆดังคลอไปในขณะที่ชายสามสี่คนเล่นสนุ๊กเกอร์อยู่มุมห้อง
    พวกเขาหัวเราะเฮฮาดังไปทั่วร้าน อีกคนหยิบขวดเหล้าขึ้นมากระดกก่อนจะทิ้งขวดเหล้าเปล่าลงพื้น ส่วนอีกคนหนึ่งก็เอาแต่ตามจับสาวเสิร์ฟแสนสวยที่คอยเสิร์ฟเหล้าให้กับพวกขี้เมาในร้านเป็นปกติ 
               มาอยู่อีกมุมหนึ่งที่เคาเตอร์บาร์  ชายคนหนึ่งนั่งคุยกับบาร์เทนเดอร์ถึงเรื่องที่น่าดีใจในครอบครัวของเขาอย่างสนุกสนาน ฝ่ายบาร์เทนเดอร์ก็ตั้งอกตั้งใจฟังชายหนุ่มอย่างมีสมาธิมากๆ พวกเขาสนทนากันด้วยภาษาถ้อยคำที่เป็นกันเอง และยังคงหยิบเหล้าขึ้นมาดื่มเป็นพักๆ
                ..ทุกอย่างในบาร์ดูมีสีสัน ยกเว้นชายในเครื่องแบบที่นั่งอยู่มุมห้อง..ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเป็นนาซี..
                "หนุ่มหล่อคนนั้นใครกันน่ะ"สาวเสิร์ฟคนหนึ่งที่ยืนตรงเคาเตอร์บาร์หันไปซุบซิบกับพวกเพื่อนของหล่อนด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
                "จะไปรู้เหรอ อยากรู้ก็ไปถามเองสิ!"
                "ใครจะกล้า! เดี๋ยวก็โดนเชือดหรอก!"
                 "พวกเธอนี่ไม่ไหวจริงๆเลยน้า..."
                 ทั้งสองหันกลับไปด้านหลัง สาวผมแดงคนหนึ่งที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้เชิ่ดหน้าขึ้น "กระจอกจริงๆเล้ยกะอีแค่นาซีคนเดียว"
                 "ก็เพราะว่าเขาเป็นนาซีน่ะสิ!"หล่อนพูดกับสาวผมแดงคนนั้น"ฉันไม่เดินไปเสิร์ฟเหล้าให้มันหรอก!!"
                 "ฉันด้วย! ยังไงฉันก็ไม่ไป"
                 แล้วสาวผมแดงก็เอื้อมมือขึ้นมาตีศรีษะของเพื่อนสาวเสิร์ฟทั้งสอง พวกหล่อนพากันยกมือขึ้นจับศรีษะของตัวเองที่ระบมไปด้วยความเจ็บปวด 
              "เดี๋ยวฉันจัดการเอง"สาวผมแดงหุ่นดีเซ็กซีค่อยๆลุกขึ้นเดินไปยังนาซีคนนั้น
              ตึก...ตึก..ตึก...
              หล่อนค่อยๆนั่งลงตรงหน้าเขา
              "จะรับอะไรดีคะ.."
              "เบียร์สอง"เขาตอบสั้นๆ ท่าทางจะไม่สนใจหล่อนซักเท่าไร
              หล่อนเริ่มจะไม่สบอารมณ์เมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทีว่าไม่ค่อยสนใจหล่อน สาวเสิร์ฟผมแดงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปที่เคาเตอร์บาร์เพื่อเอาเบียร์มาตามคำที่ชายคนนั้นสั่ง
              "ว่าไงซิลเวียร์"เพื่อนสาวเสิร์ฟของหล่อนถามอย่างสนใจ แต่หล่อนกับหลีกเลี่ยงที่จะคำถามนั่น
              "หน้าอย่างนี้..เขาคงไม่สนใจเธอสินะ..อุ๊บ!"
              สาวเสิร์ฟรีบเอามือปิดปากของตัวเองก่อนจะเผลอหลุดปากพูดคำนั้นออกมา แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทันการณ์ซะแล้ว สาวเสิร์ฟยกมือขึ้นตบกระบาลหล่อนอีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์
             "หุบปากเลยเธอถ้าไม่อยากโดนดี"
             "ขอโทษจ้า.."
             สาวเสิร์ฟผมแดงหันมามองไปยังนาซีคนนั้นก่อนจะเดินไปพร้อมกับเบียร์ราคาถูกสองกระป๋อง ทั้งๆที่มาคนเดียวแต่กลับสั่งมาสองกระป๋อง แถมสั่งเบียร์ที่ขายราคาถูกอีกต่างหาก มันต้องมีอะไรแน่ๆ เจ้าหล่อนคิด
            แต่ยังไงก็ตาม..ไม่มีชายใดที่ไม่พ่ายต่อสตรีหรอก ไม่ว่าจะใจแข็งแค่ไหน ยังไงก็ต้องมีจุดที่อ่อนไหวอยู่บ้างล่ะ!
             เขานั่งรออยู่ไม่นานนัก สาวเสิร์ฟผมแดงคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับเบียร์สองกระป๋องตามสั่ง เขาเสมองไปทางอื่นเช่นเคย
    มือก็หยิบเบียร์ที่เพิ่งเสิร์ฟมาเปิด ก่อนจะดื่มมันเข้าไป ดูเหมือนชายหนุ่มจะมองสาวเสิร์ฟสุดสวยคนนั้นเป็นแค่ฝุ่นไปซะแล้ว
               ทนไม่ไหวแล้วเว้ย!! 
               "เอ่อ..คุณ.."
               ในที่สุดหล่อนก็ตัดสินใจพูดกับเขาก่อนถึงแม้ว่าจะไม่อยากก็ตาม
                "ครับ?"
                เสียงนั่นฟังดูเหมือนกับเสียงของเทวดาขวัญใจของหล่อน สาวเสิร์ฟคนสวยเอาแต่ยิ้มเมื่อพบว่าการที่ทักไปเมื่อครู่มันไม่ใช่อากาศที่พัดผ่านชายหนุ่มไปเท่านั้น 
                อ๊าย...เสียงเพราะจังเลย!.. มีมารยาทด้วย.. นี่ล่ะอาหารใจของฉัน!
                "เอ่อ...จะรับอะไรเพิ่มอีกมั้ยคะ"
                "ไม่ครับ ขอบคุณ"เขาหันมายิ้มให้หล่อนอย่างอบอุ่นก่อนจะหันกลับไปจิบเบียร์ในมืออีกครั้ง สาวเสิร์ฟร่างระหงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนกับคนที่ไม่มีสติเมื่อสบกับรอยยิ้มนั่น แบบนี้ล่ะที่ซิลเวียร์ จอห์นสันคนนี้ต้องการ หล่อนคิด
                  "เอ่อ..ดิฉันชื่อซิลเวียร์ค่ะ..ซิลเวียร์ จอห์นสัน"หล่อนยื่นมือเข้าไปขอทำความรู้จัก
                  "ชไนเดอร์ครับ"
                  ใช่..นั่นไม่ใช่ชื่อจริงของเขา แต่ถ้าสาวเสิร์ฟนี่รู้ชื่อจริงของเขา เขาอาจจะมีปัญหาตามมาก็ได้
                  "คุณเป็นอเมริกันนี่นา แต่ทำไมคุณถึงใช้ชื่อเหมือนกับคนเยอรมันล่ะคะ?"หล่อนตั้งข้อสังเกต ถึงแม้ว่าหล่อนจะมีเสน่ห์แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ 'ฉลาด' เอาซะเลย
             แต่ก็ดีแล้วล่ะที่หล่อนไม่เป็นแบบนั้น
             "..."แต่คำตอบที่ตอบกลับมาเป็นเพียงแค่รอยยิ้มนิดหน่อยเท่านั้น
             หญิงสาวเริ่มจะทนไม่ไหว การที่เขาเอาแต่เงียบแล้วก็ตอบคำถามหล่อนด้วยถ้อยคำสั้นๆ มันเป็นเหมือนกับว่าเขาไม่สนใจหล่อนซะด้วยซ้ำ สงสัยวันนี้สาวเจ้าคงต้องอดไป..
               หล่อนตัดสินใจเดินออกมาจากโต๊ะตัวนั้น เดินผ่านพวกเพื่อนๆตัวแสบแล้วกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง  เพื่อนๆพากันมองตามหล่อนไป
              "คิดดีแล้วที่ไม่ยุ่งกับนาซีนั่น ซิลเวียร์คงจะเสียหน้ามากเลยมั้ง"
              "เฮอะๆว่างั้นเถอะ แต่ว่านาซีคนนั้นหายไปแล้วนะ"หล่อนชี้ไปที่โต๊ะตัวนั้นที่บัดนี้กลับว่างเปล่า
               "คนรึอะไรเนี่ย หายตัวเร็วชะมัด"
               ชายหนุ่มเดินออกมาจากบาร์นั่น จุดมุ่งหมายต่อไปของเขาคือจุดนัดพบที่นาซีอีกคนนัดเขาไว้คุยเรื่องเด็กสาวคนนั้น เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้หล่อนยอมมากับเขา แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล วันนี้เขากับเพื่อนจะต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้ซักที
                คาร์ลเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งในสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เขาวางเบียร์ที่เหลืออยู่เอาไว้บนโต๊ะตัวนั้น ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางใกล้กับโต๊ะ แล้วเขาก็หยิบสมุดจดเล่มเดิมขึ้นมาเปิดไปหน้าสุดท้าย ก่อนจะหยิบปากกาหมึกซึมในกระเป๋าออกมา
                  เรายังไม่ได้แซลมอนเลย
                 เขาวางมันไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป ดูหมือนกับว่าเพื่อนเขาจะไม่มาตามนัดหรือว่ามาช้ากว่าที่นัดเอาไว้ สำหรับเขาคือถ้ามาช้าไปหนึ่งนาทีก็เท่ากับว่าเสียเวลาไปหนึ่งชั่วโมงสำหรับการหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง จริงๆแล้วเขาไม่ค่อยชอบคนที่ไม่ตรงต่อเวลาเท่าไร การเขียนรหัสที่เพื่อนของเขาคนนั้นไว้ให้..ดูเหมือนว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
                แต่ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังเข้ามาใกล้โต๊ะตัวที่เขานั่งอยู่ เขาไม่หันไปก็รู้ว่าผู้มาเยือนนั่นเป็นใคร
                "นายมาสายวูล์ฟฟ์"
                "อะไร! มาช้าไปแค่สิบห้านาทีเอง"ชายในเครื่องแบบนาซีอีกคนพูดก่อนจะนั่งลงตรงหน้าชายหนุ่ม เขามองเห็นกระดาษจดที่ชายหนุ่มฉีกเอาไว้เมื่อครู่ มันมีข้อความเขียนเอาไว้ ซึ่งนั่นก็คือรหัสโง่ๆที่เขาคิดขึ้นมานั่นเอง
               "นี่นายจะใช้รหัสของฉันเหรอเบิร์ต"
               "ใช้แน่ๆถ้านายมาช้ากว่านี้"เขาพูดก่อนจะถอดหมวกออก"เรากำลังจะเสียผลประโยชน์"
               "เรื่องแอดเลอร์เหรอ"เขาถามด้วยสีหน้าเครียด"ฉันว่านายน่าจะหาคนอื่นที่อัจฉริยะเท่าๆกับแอดเลอร์นะ นายก็เห็นว่าหล่อนไม่อยากไปกับเรา"
                คาร์ลยกมือขึ้นมากอดอก"ดร.ไคลร์บอกให้ฉันทำให้แอดเลอร์มาเป็นนาซีให้ได้ แล้วนายจะให้ทำไงล่ะ ในโลกนี้จะมีซักกี้คนกันที่อัจฉริยะเหมือนแอดเลอร์"
                "นายทำให้หล่อนเสียใจหลายครั้งเลยนะ ตั้งแต่นายบอกกับหล่อนว่าเป็นคนฆ่าไอรีน แอดเลอร์ก็เปลี่ยนไป"
                "นายแคร์แอดเลอร์เหรอ"
                คำพูดนั้นทำให้วูล์ฟฟ์ปิดปากเงียบ เขาคงลืมไปว่าตัวเองพูดอยู่กับใคร บุคคลตรงหน้าคือเบิร์ต คาร์ล ไม่ใช่ครีนัส แอด
    เลอร์ เขาคงจะเป็นเหมือนกับที่เพื่อนของเขาพูดจริงๆ
                "นี่ฉันคุยอยู่กับหมอโรคจิตอยู่นี่ เหอะ.."
                "นายมันอ่านง่าย"เขาพูดด้วยสีหน้านิ่ง"ถ้านายรักแอดเลอร์จริงก็จงทำให้แอดเลอร์ทำตามคำสั่งนายให้ได้ เข้าใจมั้ย"
                "ก็ได้! ฉันยกหน้าที่นี้ให้นาย ทำยังไงก็ได้ให้แอดเลอร์มากับนาย"
                "พูดง่ายเนอะ แต่ยังไงฉันก็มีแผนอยู่แล้ว"
                คำพูดนั้นดูเหมือนว่าจะทำให้วูล์ฟฟ์สนใจมากขึ้น เขากลับมาตั้งสมาธิและตั้งใจฟังเพื่อนร่วมงานของเขาอีกครั้ง
                 "แผนของนายเป็นไง"
                 "เดี๋ยวก็รู้เอง"เขาพูดก่อนจะชะเง้อมองไปด้านหลังคู่สนทนา"มีคนมาหานายแล้ว"
                 วูล์ฟฟ์หันไปด้านหลังทันที สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาคือาวสวยผมบลอนด์ในชุดทำงาน หล่อนเดินตรงมายังเขาทันทีด้วยรอยยิ้ม คาร์ลเริ่มจะก้าวออกไปจากตรงนั้น ดูก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
                  "ขอตัวก่อนนะ" 
                เขาเดินออกมาไกลจากสวนสาธาร ณะแล้ว และดูเหมือนว่าเขาสังเกตเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าร้านเครื่องประดับเมื่อเขาดูก็รู้เลยว่า 'เธอ' เป็นใคร ไวเท่าความคิด เขารีบสาวเท้าเดินไปยังร้านเครื่องประดับร้านนั้นทันที
                    “เรน่า”

    คำเรียกของเขาได้ผล ผู้หญิงผมสั้นสีน้ำตาลแดงหันมาทันทีพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ “ไงเบิร์ต”

    “คุณคงอยากได้เพชรพวกนี้มากเลยสินะ”ชายหนุ่มพูดพลางกวาดสายตามองเพชรนิลจินดาที่ส่องแสงประกายอยู่หลังกระจกอย่างสนใจ

    “ไม่หรอก..คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อของพวกนี้น่ะ”

    “ท่าทางคุณสบายดีนี่”เขายิ้ม แต่คำตอบที่ตอบออกมาเป็นเพียงแค่เสียงถอนหายใจที่เต็มไปด้วยความหดหู่ 

                "ฉันสอบคัดตัวไม่ผ่าน สงสัยการเป็นนักแสดงนี่คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีละมั้ง"
                "ผมเคยเห็นคุณวาดรูปนี่"เขาทำท่าคิด"คุณน่าจะไปเป็นจิตรกร"
                หญิงสาวอมยิ้มอย่างเขินอายเมื่อได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของชายหนุ่ม
                "จริงสิ ฉันรู้จักคนๆนึงที่เป็นจิตรกรมีฝีมือดีมาก เขาวาดรูปขายอยู่แถวๆบ้านฉันน่ะ"
                "ไปขอเขาเรียนวาดรูปซะ ว่าแต่อเล็กซิสเป็นยังไงบ้าง..เธอสบายดีรึเปล่า"
                "ไม่หรอก เจ้าหล่อนงอแงอยากจะเจอคุณอยู่เรื่อยเลย คุณนี่เป็นขวัญใจของเด็กด้วยนะเนี่ย"หล่อนหัวเราะ สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นเมื่อมองไปยังเขา
               "ผมต้องไปแล้วเรน่า.."
               "โชคดีค่ะ"หล่อนยิ้มแทนการกล่าว่า "ลาก่อน" ให้ชายหนุ่มคนนั้น เขายิ้มกลับมาก่อนจะเดินไปตามทางที่ใจสั่ง
               หญิงสาวยังคงยืนอยู่หน้าร้านเครื่องประดับ หล่อนคิดถึงช่วงเวลาที่ได้คุยกับเขาเมื่อครู่ มันเป็นเหมือนความฝัน...แต่ก็เป็นฝันที่มีความสุขที่สุดเมื่อได้คุยกับคนที่ชอบ.. หล่อนอยากจะบอกไปตรงๆ ไม่ใช่ไม่มีความกล้าพอหรืออะไรก็แล้วแต่ เหตุผลที่ต้องปิดบังเป็นเพราะงานที่เขาทำอยู่ต่างหาก
              ใช่...ทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีความสุขก็พอ ดีกว่าที่จะมาเสียใจภายหลัง
               ...
               เวลาปัจจุบัน
               ฉันยืนรออยู่หน้าสุสานที่ฝังศพของพ่อ คาร์ลบอกว่าจะให้รู้จักกับใครบางคน แล้วก็นัดไว้ที่นี่ ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกันแน่ วันนี้ฉันควรจะได้อยู่บ้านและอ่านคัมภีร์ไบเบิลให้กับรูปถ่ายของพ่อ แต่ดันต้องเสียเวลามารอเขาซะได้! แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเลยชัดๆ 
               ในที่สุด...ฉันก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในสุสานเพราะการรอในสุสานมันดีกว่าที่จะยืนรออยู่ด้านนอกนะ ฉันกลับเข้ามาในนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกเมื่อครู่ถูกสลัดทิ้งไปทันทีเมื่อได้เข้ามาสุสาน ฉันได้ยินเสียงร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง ความจริงฉันก็ไม่ได้อยากมารอเขาในนี้หรอกนะ ไม่ใช่กลัวสิ่งที่สูญเสียไปแล้วหรืออะไรก็ตาม เพราะสุสานกับฉันมันอยู่กันมาห้าปีแล้ว...ฉันคงจะชินกับมันแล้วมั้ง
                ฉันเดินเข้ามาเรื่อยๆ สายตากวาดมองป้ายหลุมศพเหมือนเป็นงานอดิเรก ใช่..ฉันชอบอ่านชื่อคนในป้ายหลุมศพ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แล้วฉันก็สังเกตเห็นครอบครัวๆหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพ..เด็กผู้หญิงตัวเล็กถือตุ๊กตาตัวหนึ่งเอาไว้ในมือ เมื่อฉันเพ่งมองไปยังเด็กคนนั้นแล้ว..นี่เป็นที่ิอยู่ในร้านอาหารร้านนั้นนี่ วันนั้นหล่อนนั่งอยู่กับพ่อและแม่ แต่วันนี้กลับไม่มีพ่อ..พ่อของหล่อนหายไป..ใช่ ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นเหมือนที่ฉันคิดก็ได้..บางทีพ่อของหล่อนอาจไม่อยู่แล้ว
              เด็กคนนั้นกับแม่ของเธอเดินกลับไปแล้ว ฉันค่อยๆก้าวเข้าไปยังหลุมศพที่พวกเขายืนดูอยู่เมื่อครู่ ก่อนจะกวาดสายตาอ่านข้อความในป้ายนั่น
               "    แอล.เจ.โธมัส 
                     ผู้เป็นสามีและพ่อที่สมบูรณ์แบบ
                    1870-1916.
     "
                     เดี๋ยวนะ....
               ฉันเพ่งมองไปยังตัวเลขพวกนั้นมากขึ้น ปี1870ถึงปี1916 นี่มันนานมาแล้วนี่..งั้นก็แสดงว่าชายคนนี้เขาเสียชีวิตตั้งแต่สง ครามครั้งแรก..งั้นผู้ชายที่ฉันเห็นนั่งอยู่กับเด็กคนนั้นเมื่อเช้าล่ะ..เป็นไปไม่ได้แน่ๆที่คนที่ตายแล้วจะ..พระเจ้าฉันไม่น่ามองลอดออกไปนอกกระจกเลยซะด้วยซ้ำ
                หมับ..
                 "อ๊ะ"
                 ฉันหันหลังกลับไปทันที คนที่จับไหล่ฉันเมื่อครูู่เหมือนว่าจะเป็นคนที่นัดฉันมาในวันนี้ คาร์ล..
                  "เป็นอะไรของคุณ"นี่สิ่งแรกที่เขาถามขึ้นหลังจากที่เจอหน้าฉัน
                  "ม..ไม่มีอะไร"
                   "ก็ดีแล้ว"เขาก้าวเดินไปยังด้านหน้า"ตามผมมา"
               ฉันตัดสินใจเดินตามชายในแจ๊คเก็ตสีดำตรงหน้าไป เพราะดูเหมือนว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ จะว่าไปก็รู้สึกไม่ชินเหมือนกันนะที่ฉันต้องเดินตามคาร์ลแทน ที่เขาจะเดินตามฉันเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งตอนที่เขาไม่ใส่ชุดเครื่องแบบ มันเหมือนกับว่าเขาแทบจะไม่ใช่เขา อาจเป็นเพราะฉันไม่เคยเห็นคาร์ลเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง
             เขาพาฉันออกมาจากหลุมฝังศพเมื่อกี้ เขาอาจจะรู้ว่าฉันรู้สึกประหม่าไปนิดหน่อย หรืออาจจะไม่ ฉันหันกลับไปมองแผ่นหินที่ตั้งอยู่ตรงหลุมฝังศพนั่นอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นอะไรแปลกๆ ฉันไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ บางทีเมื่อเช้าฉันอาจจะมึนงงไปหน่อยแล้วเห็นภาพหลอนอะไรทำนองนี้ แต่การเลิกคิดถึงมัน จะเป็นสิ่งที่ฉันควรทำที่สุดแล้วล่ะในตอนนี้
           "เฮ้.."เสียงของคาร์ลดังขึ้น มันทำให้ฉันสะดุ้งขึ้นตื่นอีกครั้ง แบบนี้มันไม่ดีเลย
           "อ..อะไร"
           "แอดเลอร์ ท่าทางคุณจะไม่สบายดีนะ"
           "ป..เปล่า ฉันสบายดี แค่สับสนนิดหน่อย"
           เขามองฉันอย่างจับผิดเมื่อฉันพูดเสร็จ ใช่..ถ้าเกิดฉันสบายดีจริงๆ ฉันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก
           "เรามาถึงแล้ว"
           ฉันค่อยๆเงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือบาร์เหล้าที่ตั้งอยู่ตรงหน้า คาร์ลเดินเข้าไปด้านในก่อนฉันซะอีก นี่เขาพาฉันมาบาร์เนี่ยนะ และทำไมถึงนัดไว้ที่สุสานล่ะ? เหอะ..เขาคงมีเหตุผลของเขาล่ะมั้ง
           ฉันเดินเข้าไปด้านในของตัวบาร์ ดูเหมือนว่าสถานที่นี้มันจะเงียบเหงามากเลยนะ มันไม่เหมือนบาร์เลยซะด้วยซ้ำ ฉันกวาดสายตาไปรอบๆห้องสี่เหลี่ยม คาร์ลเดินเข้าไปนั่งที่เคาเตอร์บาร์ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์ ส่วนฉันก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวเองไว้ตรงไหนดี ฉันมองไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงเคาเตอร์บาร์ ข้างๆเก้าอี้ตัวนั้นมีชายผมเข้มคนหนึ่งนั่งจิบเบียร์อยู่คนเดียว ถ้าทางว่าจะเป็นที่ๆดีที่สุดในบาร์เลยนะเนี่ยสำหรับฉัน
             ตึก..ตึก..
             ฉันเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นตามความคิด ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะหันมามองฉันนิดหน่อยนะ
              "ไงคะ"ฉันหันไปทักทายเขา
              "ครับ"
              สำเนียงของเขาฟังเหมือนกับภาษารัสเซียปนเข้ามานิดหน่อย เขาคงเป็นคนรัสเซียสินะ 
              "บาร์เทนเดอร์! เบียร์อีก"
              ฉันหันไปตรงมุมห้อง ชายอีกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นตะโกนเสียงดังพร้อมกับชูกระป๋องเบียร์เปล่าในมือขึ้นมา และต่อมาสาวเสิร์ฟคนหนึ่งก็เดินไปพร้อมกับถาดที่มีเบียร์ตั้งอยู่ ใบหน้าของหล่อนดูเหมือนกับไม่อยากไปเสิร์ฟเบียร์ให้ชายคนนั้นเลย ท่าทางชายขี้เมาคนนั้นคงจะน่ารำคาญมากเลยสินะ
            ฉันหันไปมองคาร์ล เขาคุยอยู่กับบาร์
    เทนเดอร์คนนั้นอยู่ หรือคนที่เขาจะแนะนำให้ฉันรู้จักคือบาร์เทนเดอร์คนนี้...? แล้วทำไมเข้าถึงไม่เรียกฉันไปล่ะ บางที..ฉันอาจเป็นแค่คนที่ติดตามเขามา อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ 
           "เอ่อ..คุณ"
           "คะ?"
           ฉันไปยังชายที่นั่งจิบเบียร์อยู่ข้างๆ เขาเรียกฉันเหรอ
            "มีอะไรเหรอคะ"
           "ผมอัลเบิร์ตครับ"เขายิ้มให้ฉันนิดหน่อย"คุณคงเป็นคนอังกฤษสินะ ดูหน้าก็รู้แล้ว"
           "เอ่อค่ะ"ฉันตอบไป ถึงแม้ว่าจะยังงอยู่ก็ตามว่าเขาเป็นใคร
           "คุณชื่ออะไรเหรอครับ"
           อะไรกันเนี่ย บทสนทนาแบบนี้
           "แอด.."
           ฉันยังไม่ทันจะพูดจบ คาร์ลก็ดึงแขนฉันออกมาจากเขา ซึ่งดูเหมือนว่าชายคนนั้นทำหน้างงไปเลยประมาณว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
           "อะไรของคุณนี่.."ฉันแกะมือของคาร์ล ออกหลังจากที่เขาพาฉันออกมานอกบาร์
           "อย่าคุยกับผู้ชายคนนั้น"
           "ทำไมล่ะ"
           "อัลเบิร์ต สวาซกี้เพิ่งออกมาจากคุกเมื่อวาน หมอนี่เคยเป็นฆาตกรฆ่าตำรวจ ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นพวกที่เกลียดคนอย่างคุณอีก"
           "เกลียดคนอย่างฉัน ทำไมล่ะ"ฉันยังไม่หายสงสัย
           "โอเค..ฟังผมนะ มันเกลียดผู้หญิงที่มีเชื้อสายเยอรมัน เข้าใจมั้ย"
           อะไร ทำไมไม่เหตุผลแบบนี้ล่ะ มันแปลกๆนะ ไอ้ที่เขาเป็นฆาตกรน่ะเข้าใจอยู่ แต่ทำไมต้องเกลียดผู้หญิงที่ทีเชื้อสายเยอรมันอย่างฉันด้วยล่ะ มันฟังดูไม่มีเหตุผลเลยนะ
          "แล้วไงล่ะ ฉันจะคุยกับใครมันก็เรื่องของฉันนี่ คุณไม่ใช่พ่อฉันซักหน่อย"ฉันพูด นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันพูดกับคาร์ลแบบนี้
          "ถึงผมจะไม่ใช่พ่อของคุณ แต่ยังไงผมก็รู้จักด็อกเตอร์ไคลร์ อาจรู้จักมากกว่าคุณซะด้วยซ้ำ"
          “ฮะๆ คุณพูดแบบนี้เป็นด้วยเหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณรู้จักพ่อดีกว่าฉันน่ะ”ฉันพูดไปตามความคิด ทั้งๆที่บางทีมันอาจเป็นไปได้ว่าฉันยังไม่รู้จักพ่อฉันดี แต่คาร์ลอาจไม่เป็นแบบนั้น

    “ผมรู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่”

    ฉันตัดสินใจเดินออกห่างจากเขา บางทีการฟังเขานานๆอาจจะกลายเป็นบ้าก็ได้นะ

    “สรุป...ธุระมีแค่นี้ใช่มั้ย”

    “ก็แค่นั้น”นั่นคือคำตอบของเขา

    เสียเวลาชะมัด ฉันแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยซะด้วยซ้ำที่มากับเขาในวันนี้  นี่ฉันมานี่เพื่ออะไรกันเนี่ย บางทีถ้าฉันบอกเขาว่าฉันไม่ว่างไปก็น่าจะดีกว่านะ ทำไมเขาไม่เหมือนกับวูล์ฟฟ์..เฮ้อให้ตายสิ

    “งั้นขอตัวก่อนละกันนะ ฉันไม่อยากอยู่ว่างๆแบบนี้หรอก”

    ฉันพูดกับเขาเป็นประโยคสุดท้ายโดยไม่สนใจว่าเขาจะให้ฉันไปจริงๆหรือเปล่า แต่ยังไงเขาก็ขัดขวางฉันไม่ได้หรอก

    “ลาก่อนแอดเลอร์”

    กึก..

    ฉันหยุดเดิน คิดว่าเขาจะเป็นเหมือน วูล์ฟฟ์ซะอีกนะ เวลาฉันจะไปไหนวูล์ฟฟ์มักจะถามฉันด้วยความเป็นห่วงหรือว่าขวางฉันไว้ แต่สำหรับคาร์ลเขาคงเข้าใจล่ะมั้งว่าฉันเกลียดอย่างนั้น หรือว่าฉันอาจจะกีดกั้นตัวเองมากเกินไป ใช่—ฉันอาจกีดกั้นไม่ให้ตัวเองรู้จักเขาจริงๆ แต่ยังไงก็เถอะ..

    “ถ้าคุณมีธุระกับฉันอีก..”

    “...”

    “เอาไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะ”

    ----------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×