ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War and Sacrifice : Route to the War

    ลำดับตอนที่ #12 : War and Sacrifice. Episode 2: Tears Memories Blood.

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 58


        11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1934

    กรุงลอนดอน,ประเทศอังกฤษ

    กริ๊ง!!...

    เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้นในระหว่างที่อาจารย์กำลังสอนนักเรียนอยู่ในห้อง พวกเด็กๆมีสีหน้าดีใจไม่น้อยเมื่อได้ยิน ฉันเห็นบางคนรีบเก็บของในโต๊ะก่อนที่กริ่งจะดังขึ้นซะด้วยซ้ำ ส่วนอาจารย์ก็เดินไปที่โต๊ะของตัวเองแล้วเก็บของ เด็กนักเรียนเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงคุยดังลั่นห้องเรียนโดยไม่ลืมทำความเคารพครู

    ฉันนั่งอยู่หลังห้อง...คอยดูพวกนั้นเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าระรื่น...ในขณะที่ฉันนั่งจมอยู่กับความทุกข์มาตลอดห้าปี...หลังจากที่สูญเสียสมาชิกคนสุดท้ายในครอบครัวไป..ฉันก็ไม่เหมือนเดิม

    ...ไม่ยิ้ม..ไม่หัวเราะ..เหมือนกับว่าฉันในตอนนี้กลายเป็นน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่รอวันที่จะละลายหายไปเท่านั้น...

    "แอดเลอร์..ขอโทษนะ แต่เธอควรกลับไปได้แล้ว.."

    ฉันสะดุ้งตื่น กลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงอีกครั้ง ฉันเงยหน้าขึ้นเห็นใบ

    หน้าของอาจารย์ไอรีนที่ชะโงกเข้ามา มีคนว่ากันว่าหล่อนเป็นอาจารย์คนเดียวที่

    กล้าตักเตือนนักเรียนโดยไม่กลัวว่าจะโดนพวกผู้ปกครองของนักเรียนฟ้องร้องและอีกอย่าง..หล่อนเป็นคนเดียวที่ฉันสนิทที่สุดในโรงเรียน..

    "ขอโทษค่ะ..หนูกำลังจะกลับแล้ว"

    ฉันหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมา

    "พรุ่งนี้น่ะ..เธอรู้ใช่มั้ยว่าเป็นวันที่เธอต้องเลิกทำตัวแบบนี้หนึ่งวัน"

    "หนูทราบแล้วค่ะ"ฉันก้าวเท้าเดินออกจากโต๊ะ"พวกนาซีสินะคะ"

    "ครูขอโทษนะ..แต่พวกนั้นขู่ว่าจะฆ่าครูใหญถ้าไม่ทำแบบนั้น.."

    "..."

    ฉันเดินเบียดไอรีนออกมา ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียน หล่อนเป็นคนที่ฉันนับถือก็จริง แต่ฉันไม่ชอบที่หล่อนต้องเตือนเรื่องนี้ให้ฉันอยู่บ่อยๆ...

    ...มันน่ารำคาญ...

    ไอรีนเป็นอาจารย์สัญชาติอเมริกันกับรัสเซียผสมกัน หล่อนเคยไปสมัครเป็นทหารของอเมริกาแต่เนื่องจากเป็นโรคประจำตัวทำให้ไม่ผ่านคัดเลือก...ในที่สุดหล่อนก็กลายมาเป็นครูสอนนักเรียน...

    ฉันใช้เวลาเดินกลับมาห้องพักไม่นานเท่าไร ฉันหยิบกุญแจห้องออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วกำลังจะไขเข้าห้อง แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องจดหมายเก่าๆที่ติดอยู่ข้างๆประตู ในนั้นมีซองจดหมาอยู่..นานวันจะมีจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงฉัน..ไม่เรื่องเงิน ก็เรื่องที่พวกวัยรุ่นชายพากันเขียนจดหมายมาแกล้งฉัน..

    ฉันหยิบซองจดหมายซองนั้นมาก่อนเดินเข้าห้อง ฉันวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ น่าแปลกที่ซองจดหมายนี่มีสวัสติกะนาซีกาอยู่ด้านหลังมุมบนขวาของซอง นี่พวกนั้นเขียนจดหมายหาฉันเหรอเนี่ย..ตลกมากเลย

    ฉันหยิบกระดาษออกมาจากซองก่อนจะคลี่ออก ตัวอักษรภาษาอังกฤษมากมายถูกเขียนออกมาเป็นลายมือหวัดๆแต่ก็ดูดีไปอีกแบบ ตัวอักษรเรียงกันตรงเนี้ยบ ดูเหมือนว่าคนที่เขียนจดหมายนี่จะเรียบร้อยน่าดูเลยล่ะ...

    ' Guten Tag, Fraulein Adler

    นาซีมีโครงการใหม่ที่ต้องการคนที่ฉลาดและเก่งไปร่วมงาน จุดประสงค์คือเพื่อพัฒนาให้เด็กชายหญิงเป็นยุวชนนาซีที่มีคุณภาพ มันดูเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหน่อย...แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันเป็น

    เรื่องไร้สาระที่สุด แต่อย่างนั้น..การที่ผมเขียนจดหมายมาหาคุณ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง...ครีนัส แอดเลอร์'

    ฉันมีแฟนคลับด้วยรึไงเนี่ย เฮอะๆ

    'โครงการนี้ จะแบ่งทหารยศต่างๆไปจับตาดูนักเรียนในแต่ละห้อง โชคดีหน่อยที่ผมได้ประจำห้องคุณ ฉะนั้น..พรุ่งนี้ เราสองคนอาจได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ไม่แน่ว่าคุณอาจได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของนาซีก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ

    คุณแล้วล่ะ..'

    'ผมเขียนมาเพื่อบอกคุณแค่นี้ คุณไม่รู้จักผมหรอก...แต่พรุ่งนี้..ทุกอย่างจะกระจ่าง

    -B.K.-'

    นาซีนี่..คิดได้ทุกอย่างเลยนะ..

    เอาละ...พรุ่งนี้จะได้รู้กันว่าคุณเป็นใคร และต้องการอะไรจากฉัน...

    ...บี.เค.

     

    -วันต่อมา-

    ฉันเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นสาม ทุกคนพากันบ่นเหนื่อยทันทีเมื่อถึงหน้าห้องเรียน บางคนถึงกับหอบเลยทีเดียว ฉันหันไปดูกลุ่มของโดโรธีซึ่งยืนคุยกัน อยู่หน้าห้องเรียน เจ้าหล่อนหันมาทำหน้าหยิ่งใส่ฉันหลังจากที่ฉันหันไปไม่นาน

    โดโรธีเป็นคนที่น่าเกลียดที่สุดในห้อง มันเหมือนกับปิศาจในร่างนางฟ้า ฉันเห็นเธอทีไรแทบอยากจะฆ่าตัวตายเลยล่ะ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน..

    กริ๊ง!!...

    เสียงกริ่งดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าเวลาคาบเรียนมาถึง นักเรียนเดินเข้าห้องด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเครียดอย่างชัดเจน ใช่สิ..วันนี้เป็นวันที่นาซีมาตรวจดูนักเรียนในห้อง คงเป็นตามที่อยู่ในจดหมาย

    ละมั้ง อยากเห็นหน้าไอ้พวกนักเรียนตอนเห็นนาซีชะมัดเลย เหอะ...คงกลัวขวัญหนีแน่นอน

    ไอรีนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชายในเครื่องแบบสีดำเต็มยศ เขามีรอยผ้าพันแผลนิดหน่อยตรงใบหน้า มือที่คลุมด้วยถุงมือหนังสีดำค้ำลงที่โต๊ะครู หมวกที่ปิดหน้าเขาอยู่นิดหน่อยแถบทำให้ฉันมอง

    ไม่เห็นหน้าของเขา แต่ไม่นานเขาก็ถอดหมวกออก ดูเหมือนว่าจะแก่กว่าฉันไม่กี่ปี นัยน์ตาสีครามเหลือบเทาคมกริบกวาดมองนักเรียนในห้องแทบทุกคน..และดูเหมือนว่าเขากวาดตามองฉันด้วย เขารู้จักฉันนี่..แต่ทำไมฉันไม่รู้จักเขากันนะ

    "นี่..เอ่อ..เป็นคนที่มาจับตาดูนักเรียนห้องเรานะ.."ไอรีนอธิบายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก"เอ่อ..คุณช่วยแนะนำตัวหน่อย..ได้ไหมคะ?"

    ดูเหมือนว่าเขาจะเหลือบมาเห็นฉันที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง...และเขาก็กระตุกยิ้ม

    "ขอโทษนะครับ..แต่ผมไม่ถนัดเรื่องแนะนำตัวเท่าไหร่"เขาพูดก่อนจะหยิบหมวกขึ้นมาสวมต่อ"อย่างที่พวกคุณรู้กันว่า..ผมเป็นนาซี และใช่..วันนี้ผมมาเพื่อตรวจสอบ และประเมินเรื่องความสามารถของพวกคุณ ทุกคนในห้องนี้มีสิทธิ์ที่จะมากับผม..แต่ขึ้นอยู่กับความสามรถที่คุณมีในห้องเรียน.."

    เขาอธิบายต่อไปเรื่อยๆ แต่ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าเขาต้องการอะไร หรือเขาจะเอาใครไปเป็นนาซี นั่นไม่ใช่ธุระของฉันอยู่แล้ว ฉันเอื้อมมือไปหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย ก่อนจะเปิดไปหน้าของบทเรียนล่าสุดแล้วลงมือทำโจทย์ในหน้านั้น หูก็ยังคงฟังนาซีคนนั้นอธิบายต่อไป

    "นาซีแต่ละคนมีรสนิยมไม่เหมือนกัน"เขายังคงอธิบาย"และเราจะใช้รสนิยมของเราคัดเลือกพวกคุณออกมาทีละคน..เพื่อนของผมที่ทำหน้าที่อยู่ห้องข้างๆมีรสนิยมไม่เหมือนกับผม เขาชอบคนที่มีจิตใจแข็งแรงและกล้าหาญ อย่างผมก็มีรสนิยมชอบพวกที่ฉลาด..ขยัน..เด็ดเดี่ยว...และที่สำคัญ ชอบจดอะไรก็ตามในเวลาที่ฟังคนอื่นพูด"

    ....เหอะ

    "..อย่างคนนั้น"

    ฉันเหลือบตามองทุกคนในห้อง....ดูเหมือนว่าพวกนั้นหันมามองฉันกันหมดและอีกอย่าง ฉันได้ยินฝีเท้าที่ตรงมายังฉันอีกด้วย ตอนนี้พยายามบอกตัวเองว่าอย่าเงยหน้าขึ้นไปมองเด็ดขาด...

    "อย่างที่บอก..ผมชอบคนขยัน..."เสียงทุ้มนั่นดังขึ้นใกล้หูฉัน มือขวาที่จับปากกาเริ่มล้า ใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ...

    อย่าบอกนะว่า..

    ฟึบ!

    ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ทุกคนในห้องพากันเงียบหมด แล้วหันมาที่ฉันไอรีนก็เหมือนกัน..

    "แต่ผมลืมบอกอะไรรึเปล่า.."เสียงนั่นยังคงดังอยู่ข้างๆหู"ว่าผมเกลียดคนที่ไม่มีสมาธิน่ะ"

    "..."

    "เฟราไลน์.."

    เสียงของเขาเริ่มเงียบลง เขาเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะเรียนของฉัน พร้อมกับชี้ลงไปในหนังสือเรียน ฉันมองหน้าเขาตาไม่กระพริบ

    "จะมีซักกี่คนกันที่ฉลาดถึงกับขนาดทำโจทย์คณิตศาสตร์จบไปยี่สิบข้อในเวลาไม่ถึงเจ็ดนาที...ใช่ผมเห็นคุณก้มหน้าทำตั้งแต่เจ็ดนาทีที่แล้ว และ..คุณก็ทำมันเสร็จไปยี่สิบข้อ..นอกจากคุณจะฉลาดแล้ว..คุณยังมีไหวพริบดีอีกนะ.."

    เขายกมือขึ้นกอดอกก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินไปที่โต๊ะ..เมื่อกี้มันเหมือนกับว่าเขามองฉันด้วยสายตาแปลกๆ

    นี่มันวันอะไรเนี่ย..

    "เอาละ..สุดท้ายนี้ผมอยากขอความร่วมมือจากพวกคุณทุกคน..โครงการนี้จะสำเร็จได้ก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณด้วยเช่นกัน ต่อไปนี้..ผมจะนั่งอยู่ด้านหลังสุดคอยสังเกตว่าใครมีคุณสมบัติตามที่ผมต้องการบ้าง"

    ในที่สุดเขาก็หยุดอธิบายหลังที่พูดมาตลอดสิบกว่านาที เท่าทีฉันฟังมานะ..ดูเหมือนกับคนพวกนี้ต้องการเด็กในโรงเรียนไปร่วมกับนาซี สงสัยว่าพวกเขาอาจต้องการทำสงครามกันอีกครั้งก็ได้..คิดแล้วก็กลัวอยู่เหมือนกันนะเนี่ย..แต่ว่ายังไงก็ตามฉันไม่มีวันไปเข้าร่วมนาซีแน่ ไม่มีวันเด็ดขาด..

    นาซีคนนั้นเดินผ่านฉันไปก่อนจะไปนั่งตรงโต๊ะที่ตั้งหลังห้องเขาหยิบสมุดจดเล่มเล็กสีดำขึ้นมาพร้อมกับปากกา ฉันเห็นว่าเขากำลังจดอะไรบางอย่างลงในสมุดนั่น...ซักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นเหลือบมองฉัน เขาคงรู้ว่าฉันมองเขาอยู่มั้ง...'ดูจากบุคลิกแล้ว นาซีคนนั้นท่าทางว่าจะไม่เหมือนกับคนอื่น...เขาดูเป็นคนที่มีความผู้นำสูง มั่นใจในตัวเอง และไม่ใช่เป็นทหารยศต่ำแน่..'ฉันคิด'เอาละ..ฉันชักจะอยากรู้จักนาซีคนนี้ซะแล้วสิ..'

    ...

    ..

    .

    "โอเค...วันนี้เรามาศึกษาเรื่องเกี่ยวกับฝรั่งเศษละกัน"

    อาจารย์แอนโทนิโอหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดก่อนจะจดบางอย่างลงกระดาน

    "พอนึกถึงฝรั่งเศษ..พวกคุณนึกถึงอะไรกันบ้างล่ะ? ลองตอบมาหน่อยซิ"

    ฟึ่บ!

    โดโรธียกมือขึ้นด้วยความมั่นอกมั่นใจ ฉันแอบเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านหลังฉันมีสีหน้าพอใจขึ้นมาไม่น้อย..เฮอะๆ คงเข้าทางตัวเองสิท่า

    "น้ำหอมชื่อดังค่ะ!"

    "เยี่ยมยอด! ไหนลองบอกมาอีกซิว่า...สถานที่สำคัญในฝรั่งศษคืออะไร"แอนโทนิโอถามต่อ โดโรธีทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งแต่ก็คงคิดไม่ออก จากสีหน้าพอใจเมื่อกี้ของนาซีคนนั้นกลับกลายเป็นตรงกันข้ามทันที

     

    เอาเถอะ...ยังไงก็ช่วยเขาซักหน่อยละกัน

    ฉันยกมือขึ้น

    "ว่าไงแอดเลอร์"

    "หอไอเฟลค่ะ"ฉันตอบ

    แปะๆๆ...

    ทุกคนปรบมือให้ ฉันค่อยๆหันไปดูปฏิกิริยาของนาซีคนนั้น แต่ทว่า..เขากลับไม่สนใจฉันเลยซะด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาทำอยู่คือการจดอะไรบางอย่างลงในสมุด บางทีเขาอาจไม่สนใจเกี่ยวกับงานจริงๆของตัวเอแล้วละมั้ง อะไรเนี่ย แปลกคน

    "ไหนลองอธิบายหน่อยว่า ทำไมสถานที่นี้ถึงชื่อว่า ไอเฟล"

    "ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบกุสตาฟ ไอเฟล ค่ะ"ฉันอธิบายคร่าวๆ

    'แอดเลอร์รู้เยอะว่ะ'

    'ใช่ๆ'

    ฉันค่อยๆหันไปมองรอบห้องพวกเด็กนักเรียนหลังห้องพากันเงียบทันทีอันที่จริงฉันไม่ใช่หัวหน้านักเรียนหรอกนะ แต่ไอ้พวกนั้นรู้ดีว่าฉันเป็นคนยังไง

    "งั้น..หอไอเฟลมีความสูงเท่าไหร่ล่ะ"เขายังคงยิงคำถามใส่ฉันชุด แต่ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ฉันรู้ดี...หอไอเฟลมีความสูง 986 ฟุต ก่อสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1889 แค่นี้มันยังง่ายไปด้วยซ้ำ

    "หอไอเฟลมีความสูง..."

    ฟึ่บ!

    ความรู้สึกของฉันเมื่อครู่...เหมือนกับได้ยินเสียงใครยกมือยังไงยังนั้นเลย ฉันหันไปด้านหลัง.สายตาจับจ้องไปที่โต๊ะตัวท้ายสุดของแถวกลาง...

    "หอไอเฟลมีความสูงประมาณ300 เมตร หรือมีความสูง 986 ฟุต ก่อสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1889 ใช้เป็นหอสังเกตการณ์หรือหอกระจายคลื่นวิทยุ ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส"

    เขาอธิบายทั้งๆที่ตากำลังจับจ้องอยู่กับสมุดบันทึก ทุกคนพากันเงียบหมดทั้งห้อง ใช่..คนที่ตอบคำถามของแอนโทนิโอแทนฉันคือนาซีที่นั่งอยู่หลังห้อง ทั้งๆที่กำลังจดบันทึกแท้ๆ...แต่ก็สามารถตอบคำถามได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก...นาซีคนนี้สมาธิดีเยี่ยมจริงๆ

    ...แล้วเขาก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยใบหน้าที่เปื่อนรอยยิ้ม....ดูเหมือนว่า..ฉันจะเจอกับคน

    ที่ฉลาดที่สุดแล้วก็ได้...

    -คาบพักเที่ยง-

    แอดเลอร์เดินไปยังโต๊ะหินที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะในมือไม่ได้ถือจานอาหารเหมือนกับนักเรียนคนอื่น..แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในมือนั่นคือหนังสือสองถึงสามเล่มและสมุดจดอีกหนึ่ง หล่อนวางสิ่งของพวกนั้นไว้บนโต๊ะเชกเช่นเดียวกับกระเป๋าสะพายหนังสีดำ ต่อมาหญิงสาวค่อยๆยาอตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วหยิบหนังสือกับปากกาขึ้นมานี่เป็นอีกวันที่หล่อนไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเพราะกำลังมีปัญหาด้านการเงินนั่นเอง

    "ไอรีนสั่งไว้หน้าไหนกันนะ.."

    หล่อนพูดพลางเปิดหนังสือต่อไปเรื่อยๆเหมือนกับไม่มีอะไรทำ

    ตึก..ตึก..

    เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้หล่อนหยุดทุกอย่าง ฉับพลันจานสเต็กเนื้อก็วางอยู่ตรงหน้า และผู้มาเยือนในชุดเครื่องแบบสีดำที่ยืนอยู่พร้อมกับกระเป๋าหนังแบบแข็งราคาแพง เขากระตุกยิ้มให้กับแอดเลอร์ก่อนจะนังลงตรงหน้าหญิงสาว

    "..."หล่อนยังคงเงียบและกลับไปเปิดหนังสือต่อไป

    "คุณกำลังมีปัญหาเรื่องเงินอยู่สินะ?"เขาถามพลางเลื่อนจานสเต็กไปตรงหน้าแอดเลอร์"นี่ของคุณ"

    "ขอบคุณ แต่ฉันไม่ต้องการมันหรอก ตอนนี้เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาของฉัน

    แล้ว"

    "คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมไม่ชอบให้ใครปฏิเสธ"

    "ฉันไม่รู้ โอเค? อีกอย่างคุณควรไปได้แล้วเพราะฉันต้องการสมาธิ"ฟังเหมือนกับหล่อนพยายามจะไล่เขา

    เขายื่นมือขวามาตรงหน้าหล่อน แอดเลอร์เหลือบตาขึ้นมอบนิดหน่อย

    "พันตรีเบิร์ต คาร์ล คุณชื่อแอดเลอร์สินะ"

    หล่อนเงยหน้าขึ้น"ครีนัส แอดเลอร์"

    เขาพยักหน้านิดหน่อยก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าหนังใบนั้น"ชื่อแปลกแต่ฟังดูแข็งแกร่ง ผมชอบมันนะ"

    "ขอบคุณอีกครั้ง"หล่อนพูด"แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ พันตรี"

    "เรียกผมว่าคาร์ลก็ได้"

    หล่อนพยักหน้าก่อนจะหยิบหนับสือขึ้นมาอ่าน ส่วนเขาก็หยิบสมุดจดเล่มเดิมมาเขียนเอาไว้ แอดเลอร์เหลือบมองสมุดจดเล่มนั้นนิดหน่อย

    "คุณจดอะไรของคุณ"
         "ข้อมูล"เขาตอบสั้นๆ

    แอดเลอร์ก้มหน้าดูหนังสืออีกครั้ง หล่อนไม่ได้สนใจสมุดจดนั่นเท่าไรเพียงแค่คำตอบที่นาซีคนนั้นให้มา ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับหล่อน สิ่งที่หล่อนสนใจอยู่ตอนนี้คือการอ่านหนังสือเท่านั้น

    ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่ง...

    กิ๊ง...

    ฉันหยิบนาฬิกาเรือนสีทองขึ้นมาดูก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า มันได้เวลาเข้าเรียนแล้วนี่ ต้องรีบแล้วล่ะ!

            ฉันลุกขึ้นยืนพร้อมกับเก็บของที่วางกองอยู่ไปด้วย นาซีคนนั้นยังคงจดข้อมูลอะไรบางอย่างลงในสมุดนั้นเหมือนเดิม ส่วนจานสเต็กก็ยังคงวางอยู่ ฉันไม่คิดที่จะกินมันเลยซะด้วยซ้ำ ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าพวกนาซีมันไว้ใจไม่ได้ เอาละ ฉันรีบเก็บของแล้วไปกันดีกว่า

    "จะไปไหน"

    "มันถึงเวลาเรียนแล้วนี่"ฉันหันกลับไปหาเขา นาซีคนนั้นยังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งเดิม ฉันพอจะรู้แล้วละว่าทำไมเขาถึงชอบพวกขยัน เพราะเขาก็เป็นคนจำพวกนั้นด้วยไง

    ในที่สุดฉันตัดสินใจเดินออกมาจากโต๊ะตัวนั้นโดยหวังว่าเขาจะไม่เรียกฉันอีก เวลาตอนนี้มีค่า ถ้าสายเดี๋ยวก็ไม่ทันเข้าเรียนพอดี

    "เดี๋ยวสิ ปีนี้คุณอายุกี่ปีแล้วเฟราไลน์"

    เฮ้อ...ให้ตายสิ

    "18 ปี มีอะไรมิทราบ"ฉันตอบออกไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่

    "โอเค"เขาปิดสมุดจดเล่มนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้น"เจอกันตอนเย็นนะสาวน้อย ถ้าผมว่างเดี๋ยวจะเขียนจดหมายไปอีก"

    "เขียนมาเร็วๆล่ะ"ฉันประชด"แล้วก็เลิกใช้อักษรย่อลงท้ายได้แล้ว"

    เขายิ้มมุมปากก่อนจะหยิบกระเป๋าหนังใบนั้นขึ้นมาแล้วเดินออกไป ฉันสังเกตเห็นบางอย่างที่เขาวางลืมเอาไว้บนโต๊ะ..ในไม่ช้า ฉันรีบสาวเท้าเข้าไปทันทีมันเป็นรูปถ่ายขาวดำใบหนึ่ง..รูปของใครกันนะ...?

    ฟึ่บ..

    ฉันหยิบรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมาดูแล้วปรากฏว่าคนในรูปถ่ายใบนั้นเป็น..

    ".."

    มันคือรูปถ่ายของฉัน..คนในรูปถ่ายเป็นฉันตอนเด็ก...ที่หอนาฬิกาบิ๊กเบน เมื่อตอนเป็นเด็กฉันไปที่นั่น...งั้นแสดงว่า..นาซีคนนี้..คาร์ลรู้จักฉันมาก่อนหน้านั้นสินะ ฉันสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมเขาถึงรู้จักฉัน ทั้งๆที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อน แถมเขายังรู้ที่อยู่ของฉันด้วยอีกต่างหาก เขาต้องรู้จักกับใครซักคนที่ฉันรู้จักแน่...

    ฉันพลิกไปดูด้านหลังรูปถ่ายมีประโยคหนึ่งที่ถูกเขียนไว้ด้วยปากกาหมึกสีดำ แต่มันจางมากจนมองไม่ค่อยเห็น ฉะนั้น..ฉันหยิบแว่นขึ้นมาสวม ก่อนจะอ่านข้อความหลังรูปถ่ายนั่น..

    ....

    ..

    .

    "Protect her"

    ปกป้องเธอ..อะไรนะ?

    ฉันเก็บรูปถ่ายใบนั้นเข้ากระเป๋าในใจก็ยังคงสงสัยอยู่..ข้อความนั้น..มันถูกเขียนด้วยลายมือของพ่อฉันแน่ๆ งั้นก็พ่ออาจรู้จักกับนาซีคนนั้นมาก่อนสินะ...อะไรเนี่ย? แล้วทำไมฉันไม่รู้เลยล่ะฉันคงต้องหาคำตอบด้วยตัวเองแล้วล่ะ..จากนาซีคนนั้น..จากคาร์ล...

    14 มีนาคม ค.ศ.1928

    -หนึ่งปีก่อนที่ ดร.ไคลร์ แอดเลอร์โดนลอบสังหาร-

    เบอร์ลิน,เยอรมนี

    "ก็ได้ๆ ผมยอมแพ้"

    "โธ่...อะไรวะ แกยอมแพ้ง่ายเกินไปแล้วเบิร์ต"

    "ด็อกเตอร์เก่งหมากรุกมากเลยนะ ผมนี่ไล่ตามไม่ทันเลย"

    เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เอามือขึ้นมากุมขมับแสดงให้เห็นว่าเขามีความเครียด ไคลร์แอบหัวเราะเขานิดหน่อย ก่อนจะวางหมากตัวสุดท้ายไว้บนโต๊ะ เบิร์ตเงยหน้าขึ้นมองกระดานหมากรุก เขาเกือบจะกินขาดหมากตัวสุดท้ายของด็อกเตอร์ได้แต่กลับโดนกินซะเอง แบบนี้มันไม่แฟร์เลย เขาคิด ทำยังไงถึงจะชนะด็อกเตอร์ได้นะ?

    "เอ่อ.."ไคลร์หยิบนาฬิกาพกเรื่อนเก่าๆขึ้นมาดูก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า"ได้เวลาแกไปฝึกต่อแล้วนี่เบิร์ต พรุ่งนี้ค่อยมาแก้แค้นฉันละกันนะ ฮ่าๆๆ"

    "วันนี้ผมไม่อยากไปฝึกเลย ต้องเจอกับเอมิลล์ด้วย ผมล่ะเบื่อ"เขาทำหน้ากลุ้มใจ"ถ้าฝึกกับเขาทุกวันผมต้องตายคาสนามฝึกแน่ๆ"

    ไคลร์หัวเราะในคำบ่นของเบิร์ต

    "แกคงไม่ตายในสนามรบหรอกไอเด็นยังรอดจากการปีนเขาสูงๆได้เลยนี่ฮ่าๆ"

    เบิร์ตมีสีหน้าเปลี่ยนไป"แต่ตอนนี้พ่อผมตายอยู่ในรถไฟแล้วนี่"

    ไคลร์หัวเราะอีกครั้งก่อนจะยื่นมือปลูบหัวเบิร์ตอย่างเอ็นดู เด็กหนุ่มรีบเอา

    มือของเขาออกทันที

    "ไม่เป็นไรหรอก แกฉลาดนี่ ทำให้ไอ้เอมิลล์เห็นความสามรถของแกสิ"

    เขาพยักหน้าก่อนจะเล็งเห็นใครคนหนึ่งที่วิ่งเล่นอยู่ด้านหลังไคลร์

    "เด็กที่ไหนมาวิ่งเล่นในสนามฝึกเนี่ย"เขาชี้ไปที่เด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลคนนั้น

    ด็อกเตอร์หันไปดู"อ้อ..ลูกสาวฉันเอง ครีนัสน่ะ ว่าไงเห็นลูกสาวฉันแล้วแกจะทำอะไร ฉันรู้นะเว้ยว่าแกคิดอะไรอยู่..อย่าแม้แต่จะคิดนะเว้ย"

    "เหอะ..ผมไม่คิดแบบนั้นหรอก"

    "ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะ"ไคลร์หยิบบางอย่างออกมา มันคือภาพถ่ายของเด็กคนนั้น"ถ้าแกโตขึ้น...หมายถึงมียศสูงขึ้นน่ะ ฉันอยากให้แกช่วยป้องป้องครีนัส ถ้าตอนนั้นฉันเกิดมีปัญหาขึ้นมา"

    เบิร์ตทำหน้าสงสัย"ทำไมครับ?"

    "เธอเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ฉันเหลืออยู่ในตอนนี้.."เขาหันไปดูเด็กหญิงคนนั้น

    "ก็ได้ครับ..ถ้าด็อกเตอร์ต้องการแบบนั้น"เขาก้มหน้าลง"เด็กคนนั้นจะต้องปลอดภัย..."
          ....
          ...
          ..
          .
         2 วันต่อมา
          ครืน...ครืน...
          ฉันก้าวเท้ากลับเข้ามาในโรงเรียนซึ่งบัดนี้
    มีแต่ความเงียบปกคลุม ฟ้าร้องก้องไปทั่วแทบทำให้ฉันใจสั่น ซักพักฝนก็คงจะตกลงมา...ฉันรู้ว่าทำไมต้องมาที่นี่.. ฉันลืมของสำคัญเอาไว้ในห้องเรียน นาฬิกาพกที่พ่อให้
    มาก่อนที่เขาจะไป ถึงมันจะไม่เดินแล้วแต่มัน
    ก็สำคัญมากเพราะฉันมีความหลังร่วมกับนาฬิกานั่นมามาก ปกติฉันไม่เคยลืมมันไว้เลยนะ วันนี้อาจจะรีบมากจนลืมก็ได้
           ซ่า...ซ่า..
           "บ้าเอ๊ย...ตกทำไมตอนนี้นะ"
           ฉันรีบเดินเข้าไปหลบในอาคารเรียนที่ฉันอยู่ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม ฝนตกลงมาหนักมากถ้าฟังจากเสียง แถมฉันไม่มีร่มซะด้วยสิ...ซวยชะมัด รีบไปเอานาฬิกานั่นแล้วรีบกลับดีกว่า เฮ้อ...
           ตึก..ตึก..ตึก...
            ฉันเดินขึ้นมายังชั้นสาม ก่อนจะเข้าไปในห้องเพื่อเอานาฬิกา..ฉันยืนอยู่ที่ระเบียง มองดูฟ้ายามรัตติกาลที่มืดครึ้มด้วยเมฆฝน
    ฉันรู้สึกได้ว่าตัวฉันเริ่มหนาวสะท้านขึ้นมา เมื่อรรู้สึกแบบนั้นฉันก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมก่อนที่จะหนาวตายซะก่อน...ลอนดอนฝนไม่ตกมานานเท่าไหร่แล้วนะ?
          ฉันเดินถอยหลังเข้าห้องเรียนไป นาฬิกาส่องแสงแวววาวเหมือนกับเรียกให้ฉันไปหา ฉันรีบเดินเข้าไปที่โต๊ะตัวหลังสุดด้วยความรีบทันที ถ้ายามมาเห็นเข้าแล้วจะไม่ดีสำหรับฉันแน่นอน
          กึก...
          ฉันก้มลงมองด้านล่างที่เต็มไปด้วยความมืดทันทีหลังจากที่รู้สึกว่าสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง....และเมื่อฉันก้มหน้าลงไปดู...
         มีด?
         ฉันก้มลงเก็บมีดด้ามนั้นขึ้นมา  และเมื่อฉันหยิบมันขึ้นมาสะท้อนแสงจันทร์ฉันก็ทิ้งมันลงทันที!
          เกร๊ง!..
          "ล..เลือด..."
          ฉันค่อยๆถ่อยห่างจากมีดด้ามนั้น....ก่อนจะชูมือขึ้นดู มือของฉันเต็มไปด้วยเลือดที่มาจากด้ามมีดเมื่อกี้ เลือดยังไม่แห้งเลยซะด้วยซ้ำ..
           ตึก..ตึก..
           ฉันเดินล่องลอยไปตามทางเดินของห้องเรียน ฉับพลันสายตาก็เล็งเห็นใครคนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่หลังเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่ประจำ ...
           พระเจ้าช่วย....
           "กรี๊...."ฉันรีบเอามือปิดปากก่อนที่เสียงกรี๊ดจะดังขึ้น ฉันก้มลงมองของเหลวสีแดงที่สาดเต็มแผ่นกระเบื้องสีขาวขุ่น มันคือเลือด..!
            แต่สิ่งที่ทำให้ฉันแทบจะช็อกตายตรงนั้นคือร่างที่นอนอยู่ที่พื้นต่างหาก...
            "อ..ไอ.."
            "นั่นใครน่ะ!?"
            เสียงแหบพล่าของชายคนหนึ่งดัมาจากด้านนอกห้องเรียน ต่อจากนั้นแสงไฟฉ่ายก็สาดส่องมาที่ผนังห้องเรียนที่ฉันยืนอยู่ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นยาม...
            "เธอ...ทำอะไรน่ะ!?"เขาร้องก่อนจะเปลี่ยนทิศทางการส่องไฟฉ่ายไปที่บนพื้นแทน ร่างแน่นิ่งของไอรีนน่าจะทำให้เขาตกใจแทบบ้า
               ฉันค่อยๆหันหลังกลับไปเผชิญกับยามคนนั้นด้วยสายตาที่พยายามปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนทำ...แต่เขากลับเดินเข้ามาล็อกตัวฉันทันที
                "เธอต้องไปหาตำรวจแล้วล่ะ"
                ....
               ...
              ..  
             .
                "นี่เธอปฏิเสธว่าไม่ได้ทำเหรอแอดเลอร์"
                หญิงสาวผมสีน้ำตาลนั่งสงบนิ่งในห้องสอบปากคำ หล่อนไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากพบเจอเหตุการณ์นั้นมา ดวงตาเบิกพล่านด้วยความตกใจมาตลอด จนตำรวจหนุ่มเริ่มจะรำคาญหล่อน เพราะเขาพยายามบีบให้หล่อนพูดมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว แต่มันกลับไม่ได้ผลสักนิด 
              "ฉ..ฉัน.."
              แอดเลอร์พยายามพูดคำนี้มาตั้งนาน แต่เหมือนกับเสียงมันหายไป..
              และทันใดนั้นบุรุษในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มก็หยิบถุงเก็บหลักฐานขึ้นมา..ในนั้นมีมีดเปื้อนเลือดอยู่
               "คุณจับมีดนี่ใช่มั้ย"เขาถามด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง แต่มันก็ไม่ได้ผล
               ปัง!
               "ให้ตายสิวะ! เป็นอะไรเนี่ย!?"
               เขาเดินวนไปมาอย่างอยู่ไม่สุข การที่แอดเลอร์เงียบมาตลอดทำให้ชายหนุ่มเดือด ดาลไม่สบอารมณ์ เขาเดินกระแทกเท้าเสียงดังลั่นห้องทำให้หญิงสาวสะดุ้งขึ้นมาเป็นระยะๆ ในที่สุดเขาก็กลับมานั่งที่้เดิม แล้วก็ยกมือขึ้นบีบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
             "บอกมา...คุณ-ไป-ทำ-อะไร-ที่นั่น!?"
             "ฉันแค่ไปเอานาฬิกาเท่านั้นเอง!! ฉันบอกไปแล้วไงว่าฉันไม่ได้ฆ่าไอรีน! คุณเห็นมีดตกอยู่ตรงประตูแต่ยามบอกว่าฉันยืนอยู่ที่ศพ คิดดูสิ! ฉันจะทิ้งมีดไว้หน้าประตูแล้ว
    กลับไปดูศพนั่นทำไม!! คิดสิ!!"
             "โกหก!! คุณ.."
             ก็อกๆๆ
             "เจมส์ มีคนอยากพบนาย"
             เสียงเรียกที่ดังมานอกห้องทำให้ตำรวจหนุ่มขี้โมโหถึงกับชะงัก เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เขาหันกลับมาทางหญิงสาวก่อนจะยกนิ้วขึ้นชี้หน้าหล่อน
             "แล้วฉันจะกลับมา"
             เอี๊ยด...
             เขาเปิดประตูออกไปตามคำเรียก
    ตำรวที่เรียกเขาเมื่อครู่ยืนอยู่กับชายในเครื่องแบบสีดำ เขาหันหน้ามาในมือของเขาถือกระเป๋าใบใหญ่เอาไว้ ตำรวจหนุ่มชะเง้อมองมันอย่างสนใจก่อนจะหันมาสบตากับชายในเครื่องแบบคนนั้น
             "มีธุระอะไรไม่ทราบ"เขายกมือเท้าสะเอว
              "ผมเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนั้น"เขาพูดก่อนจะยื่นมือเข้าไปทางตำรวจคนนั้น"พันตรีเบิร์ต คาร์ล"
              "บอกธุระมาแล้วไปซะ"
              "ผมต้องการประกันตัวเด็กคนนั้น"
              เขาหยิบยื่นกระเป๋าในมือให้ตำรวจหนุ่ม"สองล้านปอนด์"
              "ส...สองล้าน?"
              "ใช่ ฉะนั้นแค่กระเป๋าใบเดียวมันไม่พอ"เขาโยนกุญแจให้ตำรวจคนนั้น"ไปเอาในรถเอง"
               เขาทำหน้าไม่ไว้ใจใส่ชายในเครื่องแบบ อังกฤษปล่อยให้ไอ้คนแบบนี้มาเพ่นพ่านได้ยังไงกัน ถ้าไม่ติดที่ว่าเขามาพร้อมกับเงินสองล้าน...รับรองเขาอาจได้ตายคาโรงพักเลยก็ได้
                "รอสักครู่"
                ตำรวจหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เขาเจรจากับผู้หญิงเมื่อกี้ ก่อนจะชะโงกเข้าไปหาบุคคลที่ถูกเรียกว่า "ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง" หล่อนยังคงนั่งก้มหน้าอยู่และไม่มีปฏิกิริยาอะไรตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว
                 "เฮ้ยเธอน่ะ!"เขาร้องเรียกหล่อน แอดเลอร์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความเศร้าแต่กลับไม่มีน้ำตา
                 "..."
                 "ออกไปได้แล้ว..."
                 ....
                 ...
                 ..
                 .
                "คุณแน่ใจนะว่าไม่ให้.."
                "ไม่ต้อง..ฉัน..ไปเองได้"
                ฉันเดินออกจากโรงพักด้วยท่าทางอิดโรยเหน็ดเหนื่อย หลังจากที่ฉันพบศพของไอรีนและกลายมาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง มันทำให้ฉันเครียดมากกว่าเดิม ถ้าโรงเรียนรู้เรื่องนี้เข้า ฉันต้องโดนไล่ออกแน่ๆ
    เพราะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าอังกฤษมันเป็นยังไง ถึงจะไม่โดนไล่ออก แต่จะมีใครทนอยู่กับสายตาที่มองเราเหมือนกับตัวประหลาดของคนในโรงเรียนได้ล่ะ..คิดดูสิ
                ฉันไม่รู้ว่านาซีคนนั้นเอาเงินสองล้านปอนด์มาจากไหน แต่เขาคงจะหมดเงินไปกับการประกันตัวเด็กอายุสิบแปดคนเดียว ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่...รูปถ่ายนั่นมันคืออะไรฉันก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ..ตอนนี้ฉันตัดสินใจที่จะ 'ออก' จากสิ่งที่เป็นอยู่แล้วล่ะ...
                 ฉันพยุงร่างที่แทบจะไม่มีสติหลงเหลืออยู่มาที่ห้องเช่าเล็กๆของตนเอง และก่อนที่จะเปิดประตูนั้น...สายตาก็เหลือบไปเห็นซองจดหมายซองหนึ่งที่อยู่ในกล่อง ฉันยื่นมือไปหยิบมันมาก่อนจะเดินเข้าห้องไป
                  "จากใครกัน?ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมก่อนจะพลิกดูด้านหลังซองจดหมาย ไม่มีสวัสติกะนาซี..ไม่ใช่ของเขา
                  ฉันเปิดซองจดหมายขึ้นมาอ่าน มีประโยคสั้นๆเขียนไว้กลางหน้ากระดาษ 
                  "เก็บของแล้วรีบย้ายจากห้องนี้ซะ!"
                 What...
                  อะไรนะ..นี่เขา..ไล่ฉันออกจากห้องนี้เหรอเนี่ย...
                  ฉันทิ้งกระดาษใบเล็กลงพื้น ก่อนจะเอามือขึ้นกุมขมับด้วยความเครียด...
                  "บ้าเอ๊ย...."
                  22.28 P.M.
                  ตึก..ตึก..
                  หญิงสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลในชุดเสื้อกั๊กสีดำ กระโปรงสั้นสีดำ และผ้าพันคอสีขาวเดินมาหยุดต่อหน้าบาร์แห่งหนึ่ง หลังจากที่หล่อนกลาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม และเพิ่งโดนไล่ออกมาจากห้องพักหมาดๆ หล่อนมีเงินอยู่ไม่มากในตอนนี้ และกำลังจะตัดสินใจว่าเข้าไปในบาร์นั่นหรือไม่
    แต่ในเมื่อหล่อนไม่มีทางเลือก และแทบจะกลายเป็นคนไร้บ้านไปแล้วในเวลานี้ หล่อนเลือกที่จะเข้ามาในบาร์แทนการออกไปหางานทำแล้วเก็บเงินเอาไว้ แต่มันไม่ง่ายเลยที่กว่าจะได้เงินมานั้น การเข้ามาในบาร์เหมือนที่พวกผู้ใหญ่เขาทำกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้...
             แอดเลอร์หยิบกระเป๋าที่มีเงินอยู่ไม่มากออกมาก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในบาร์แห่งนั้น สิ่งแรกที่หล่อนเห็นคือชายสามคนที่เล่นสนุ๊กเกอร์อยู่มุมห้อง และชายที่นั่งจิบเบียร์อยู่ที่โต๊ะ ชายคนนั้นหันมาทำแววตาน่ากลัวใส่หล่อน แต่จิตใจของแอดเลอร์แข็ง แกร่งพอที่จะไม่กลัวของแบบนั้น
             หญิงสาวเดินไปนั่งบนเก้าอี้หมุนหน้าเคาเตอร์บาร์ หล่อนก้มหน้าคุบกับเคาเตอร์
    มองไปบนพื้นไม้กระดานเก่าๆ นั่นเป็นจังหวะที่บาร์เทนเดอร์หันมาพร้อมกับแก้วไวน์พอดี
             "พ่อแม่รู้รึเปล่าเนี่ยว่ามาที่นี่ บาร์เราไม่ขายเหล้าให้เด็กหรอกนะ"บาร์เทนเดอร์ถามก่อนจะวางแก้วไวน์ใบนั้นลงบนชั้นเก็บแก้วด้านหลัง
             "ไม่ต้องห่วงหรอก"หล่อนพูดด้วยเสียงเบา"ฉันไม่มีคนในครอบครัว"
             เขามองหญิงสาวในชุดนักเรียนด้วยสีหน้าเหมือนกับเห็นตัวประหลาด เขาคงคิดว่าหล่อนเป็นเด็กช่างเที่ยวและมีปัญหากับครอบครัว ซึ่งความจริงแล้ว..เขาไม่ควรขายเครื่องแอลกอฮอลล์ให้กับหญิงสาวตรงหน้าเลย แต่การขายเหล้าก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเขา ฉะนั้น...ในเมื่อหล่อนขอมา ก็ช่วยเจ้าหล่อนหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรมาก
              "จะเอาอะไรล่ะ ช็อกโกแลตร้อนมั้ย"ถึงแม้ว่าเขาอยากจะขายเหล้าให้หล่อนแต่ยังไงหล่อนก็ยังเป็นเด็กอยู่นี่..
              "ฉันเกลียด..ช็อกโกแลต.."หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
              "โอเค...เอาอะไรล่ะ? เบียร์สินะ"
    เขาหันไปหยิบขวดเบียร์สีน้ำตาลเข้มขึ้นมาเตรียมเปิดฝา
               "ไวน์แดง"
               นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ แต่ยังไงก็ตามถ้าตอนนี้ได้ปลดปล่อยแล้วบ้างคงจะดีขึ้น
               "ได้แล้ว..."บาเทนเดอร์คนนั้นหันมาพร้อมกับรินไวน์สีแดงใส่ในแก้ว แอดเลอร์ยื่นมือไปรับแก้วมา
               หล่อนมองลงไปยังก้นแก้วไวน์ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดื่ม ไวน์แดงมีสีแดงเหมือนกับเลือด...มันเป็นเสมือนชีวิตของหญิงสาวที่ต้องเสียคนในครอบครัวไป...ชีวิตที่แหลกเหลวเหมือนกับเลือด...และเมามัวเหมือนกับไวน์
             หล่อนไม่รอช้า..รีบหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มทันที 
             บาเทนเดอร์มองหล่อนตอนดื่มไวน์เหมือนกับเห็นเด็กที่เพิ่งหัดสูบบุหรี่ใหม่ๆ เพราะมีแค่เสียกับเสีย ทั้งเงินและสุขภาพ...
             แล้วเขาจะคิดทำไมเนี่แล้วเขาจะคิดทำไมเนี่ย? ในเมื่อเขาก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
             แก้วที่หนึ่งหมดไปแล้ว แต่มันคงไมสาแก่ใจหล่อน แอดเลอร์เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เคยมีมาก่อน..มันคือสายตาที่หมายความว่า "รีบรินไวน์มาซะ.."
            แอดเลอร์หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มอีกครั้ง แกวที่สองไม่ทำให้หล่อนเกือบจะสำลักเหมือนแก้วแรก อาจเป็นเพราะหล่อนเริ่มจะชาชินกับรสชาติอันหน้าหลงใหลของไวน์แล้วก็เป็นได้ บาเทนเดอร์เริ่มมองหล่อนด้วยท่าทางที่แฝงไปด้วยความกลัวเมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้นมาขอให้รินไวน์อีก จนบางครั้งเขาก็รินให้มากกว่าเดิม
              15 นาทีผ่านไป..
               แอดเลอร์เริ่มจะไม่เหมือนเดิม..ไม่นานนักหล่อนก็เปลี่ยนท่านั่ง จากการนั่งที่แสดงถึงความเรียบร้อยเมื่อครู่นั้น หล่อนก็เริ่มยกขาเรียวยาวขึ้นมาไขว่ห้าง ทำให้ชายที่นั่งจิบเบียร์อยู่ที่โต๊ะเหลือบมองหล่อน หญิงสาวดื่มไวน์ไปแล้วสี่แก้วเมื่อสิบห้านาทีที่ผ่านมา หล่อนเริ่มจะมองไม่ชัดและดูเหมือนว่ามันมัวๆอย่างบอกไม่ถูก บาร์เทนเดอร์มองขวดไวน์ที่หมดไปหนึ่งขวดที่ตั้งอยู่บนเคาเตอร์ สลับกับมองสีหน้าของแอดเลอร์ 
             "เอามาอีก"หล่อนพูดก่อนจะยื่นแก้วไวน์ที่มีคราบไวน์เหลืออยู่ไปให้บาร์เทนเดอร์
    ซึ่งเขาก็ยังคงรินให้อยู่
            "นี่แก้วที่ห้าแล้วนะ เธอน่าจะกลับบ้านได้..."
            "หุบปากแล้วก็รินไวน์มาซะ!"
            ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มมีสีแดงเรื่อๆขึ้นมา อันเป็นเหตุมากฤทธิ์ของไวน์นั่นเอง หล่อนคิดไว้ตอนแรกแค่จะดื่มซักสองสามแก้วเพื่อให้ลืมเรื่องทุกอย่าง แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะประชดชีวิตมากไปหน่อย ตอนนี้แอดเลอร์เริ่มจะทำให้บาร์เทนเดอร์กลัว เขาอาจไม่กลัวพวกขี้เมาในร้าน แต่เขาอาจแพ้เด็กอายุสิบแปดที่เมาไวน์ก็เป็นได้ ตอนนี้เขาแค่อยากให้หล่อนออกจากบาร์ไปซะ แต่ใครจะกล้าไล่หล่อนล่ะ ผู้ชายสามคนที่เล่นสนุ๊กเกอร์เฮฮากันอยู่มุมห้องเริ่มทยอยออกไป ต่อมาก็เป็นชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ จนบัดนี้..ในบาร์มีแค่แอดเลอร์กับเขาเท่านั้น
             แต่ดูเหมือนว่าจะมีตัวละครมาเพิ่มอีก..
             ชายในชุดเครื่องแบบสีดำแห่งจักรวรรดิที่สามก้าวเท้าเข้ามาในบาร์ก่อนจะมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น เขาถอนหายใจนิดหน่อยก่อนจะเดินเข้าไปหาหล่อน
            "แอดเลอร์..กลับบ้านได้แล้ว"ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามเกลี้ยกล่อมหญิงสาว
           "ฉันเพิ่งโดนไล่ออกจากห้องเช่าเมื่อกี้เองนะ"หล่อนพูด ถึงแท้ว่าหล่อนจะติดฤทธิ์ของไวน์ แต่ก็ยังคงรวบรวมสติได้อยู่
           "งั้นคุณก็มากับผม"
           "รินไวน์มาอีก..."หล่อนยื่นแก้วให้กับบาร์เทนเดอร์อีกครั้ง นี่อาจจะเป็นครั้งที่หกแล้วก็ได้
           "ให้ตายสิ คุณทำตัวเหลวไหลแล้วนะแอดเลอร์"
            "แล้วไงวะ! แกไม่ใช่พ่อฉันนี่!!"
            หล่อนหันมาตะคอกใส่หน้านาซีหนุ่ม ตอนนี้แอดเลอร์เริ่มจะไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว
            "ฉันมันเสียเปรียบมาตลอด...ในโรงเรียนมีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่มีพ่อแม่ มีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่มีเพื่อน! ฉันมันไม่มีอะไรดีเลยซะด้วยซ้ำ!!"
            "..."
            บาร์เทนเดอร์รินไวข์ให้หล่อนอีกแต่หล่อนก็ดื่มทันทีเมื่อเขารินเสร็จ แล้วยื่นแก้วขออีกเป็นครั้งที่เจ็ด จากท่าทางดูก็รู้ว่าหล่อนเมาแค่ไหน
            "แอดเลอร์..มากับผม แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น"
            ดูเหมือนว่าจากที่เกลี้ยกล่อมหญิงสาวเมื่อครู่นั้น กลายเป็นการชักชวนทันที เมื่อเวลาเมา..คนเรามักจะไม่มีสติ..และนาซีต้องการคนที่มีความสามารถอย่างแอดเลอร์
    การที่หล่อนไมมีสติตอนนี้อาจเป็นโอกาศที่ดีหากจะชักชวนเข้ามาร่วมกับนาซี
            "อยากให้ฉันเป็นนาซีใช่มั้ย"หล่อนถาม เหมือนกับอ่านใจของเขาออก
            "ถ้าคุณสมัครใจ...ก็แล้วแต่คุณ"
            "ก็ได้! พอแล้ว!"หล่อนทิ้งกระเป๋าเงินไว้บนเคาเตอร์บาร์ ก่อนจะลุกขึ้นเดิน 
           นาซีหนุ่มแสยะยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำพูดคำนั้นอออกจากปากแอดเลอร์..ในที่สุด ความพยายามของเขาก็ไม่เสียเปล่า..เขาหันไปหาบาร์เทนเดอร์คนนั้น ดุเหมือนว่าเขาจะโล่งอกมากเมื่อกล่อนออกไป ้หมือนกับแอดเลอร์เป็นฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดในบาร์ของเขา
            นาซีหนุ่มเดินออกมาจากบาร์ แต่กลับไม่เห็แอดเลอร์ หล่อนคงเดินไปซอยร้างข้างๆบาร์ ชายหนุ่มรีบเดินไปยังซอยร้างนั่นทันที
    เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังหายเข้าไปในซอยร้างนั่น เขาเดินเข้าไปในซอยนั้น แล้วสังเกตเห็นแอดเลอร์ที่ยืนหันหลังให้กับเขา ซอย มืดๆแทบทำให้เขามองไม่เห็นตัวของหล่อนเลย
            "แอดเลอร์..นี่คุณเมามากแล้วนะ"
    เขาพูดขึ้นมาเบาๆ หญิงสาวหันมาเหลือบตา มองนิดหน่อย
           "กลับไปซะ..."หล่อนยกมือขึ้นลูบเส้นผมของตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงไป"ชีวิตฉันมันึบแล้ว.."
           "มันยังไม่จบหรอกน่า"
           "...คุณต้องการอะไรจากฉันคาร์ล"
           เขาเดินเข้าไปหาหล่อนก่อนจะยกมือขึ้นจับไหล่ของหญิงสาว"มากับเรา...แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น"
           "อย่าหวังเลย...ยังไงฉันก็ไม่.."หล่อนยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังจะล้นออกมาจากเบ้าตา
            "คุณไม่มีทางเลือก ไม่มีใครรู้จักคุณแล้ว"เขายังคงพูดเกลี้ยกล่อมเธอต่อไป"...มีแค่ผม"
            ควับ!
            หล่อนหันมาก่อนจะผลักเขาชนกับผนังตึกเก่าๆที่มีคราบสกปรกเปื้อนอยู่เต็ม หล่อนใช้สายตาสะกดเขาจนนิ่ง ก่อนจะที่จะโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ
             "จะว่าไป..คุณลืมนี่เอาไว้สินะ"หล่อนหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพาย มันคือรูปถ่ายใบนั้น
             "...คุณเก็บมันไว้สินะ"
             "นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการจะตอบหรอกนะ...แต่คุณมีรูปฉันได้ยังไง"
             "คุณเริ่มจะเสียสติแล้วนะเฟราไลน์"
             "ตอบคำถามฉันมา"หล่อนยื่นรูปเข้าไปใกล้หน้าเขา"คุณเอารูปนี้มาจากไหน"
             "ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร"
             "คนที่มีรูปฉันตอนเด็กมีคนเดียวคือพ่อฉัน! คุณเอามันมาจากพ่อฉันใช่มั้ย!?"
             "..."
             "แค่นี้มันยังไม่พอที่จะมัดตัวคุณใช่มั้ย"แอดเลอร์พลิกไปด้านหลังรูป"แล้วนี่ล่ะ 'ปกป้องเธอ' มันหมายความว่าอะไร!?"
            "คุณบังคับให้ผมคายความลับออกมาไม่ได้หรอกแอดเลอร์"เขายังคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามเธอ"ผมถูกฝึกให้รักษาความลับ"
            "ก็ได้!"หล่อนเก็บรูปใส่กระเป๋า"งั้นฉันไม่ถามแล้ว"
            แอดเลอร์แสยะยิ้มอย่างน่ากลัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองบนศรีษะของบุคคลตรงหน้า
            "หมวกคุณดูเกะกะจังเลย..."
            หล่อนยื่นมือขึ้นไปหยิบหมวกของชายหนุ่มออกมา ก่อนจะโยนมันลงบนพื้นที่มีแต่ขยะล่วงหล่นอยู่เต็ม เขาดูท่าทางจะไม่เหมือนเดิมเมื่อเห็นเด็กสาวอายุสิบแปดตรงหน้ากล้าทำกลับเขาแบบนี้ แอดเลอร์เห็นบางอย่างที่อยู่ในตาของเขาที่เปลี่ยนไป มันเป็นสิ่งที่หล่อนคิดเอาไว้อยู่แล้ว...
             ไม่มีชายใดที่จะไม่หวั่นไหวต่ออิสตรี...
             "ทำไมเงียบไปเหรอ..."
             "คุณต้องการอะไรจากผม"
             "ต้องการอะไรนั่นน่ะเหรอ?"หล่อนหัวเราะ"ตอนนี้ฉันอยากให้คุณบอกมาว่า..ได้รูปนั่นมาจากไหน...รูปของฉันน่ะ"
             หญิงสาวพยายามบีบให้เขาบอกความจริง
    แต่สิ่งตอบกลับมาจากเขามีแค่รอยยิ้มกรุ่มกริ่มบนใบหน้าของเขาเท่านั้น
             "คุณแค่ยั่วผม...สาวน้อย"
             หญิงสาวหรี่ตาลง"อะไร"
              แล้วเขาก็เบี่ยงหน้าไปข้างหูของหล่อน
             "อา...น้ำหอมกลิ่นกุหลาบ...เป็นกลิ่นเดียวกับที่ไอรีนใช้..."
             "...คุณ.."
             "ใช่..."
             เขายื่นหน้าออกมาจากหล่อน ก่อนจะเอื่มมือไปแตะริมฝีปากสีชมพูเรื่อของแอดเลอร์
            "...ผมฆ่ามิสไอรีน"
            -------------------------------------------------------


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×