ตำนานความรัก อีรอสและไซคี - ตำนานความรัก อีรอสและไซคี นิยาย ตำนานความรัก อีรอสและไซคี : Dek-D.com - Writer

    ตำนานความรัก อีรอสและไซคี

    ความรักระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เริ่มจากทั้ง 2 แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดีและยังคงดำเนินต่อไปตราบนาน..........

    ผู้เข้าชมรวม

    1,005

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    1K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ก.ย. 51 / 01:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

      ในครั้งโบราณกาล  ยังมีพระชากรีกองค์หนึ่งซึ่งมีพระธิดาผู้งดงามสามองค์  โดยเฉพาะ”ไซคี”  พระธิดาองค์เล็กนั้นงดงามที่สุด  จนกล่าวได้ว่าความงามของไซคีนั้นแม้แต่บรรดาเทพธิดาและนางพรายที่ว่างามนักหนายังมิอาจเทียบได้  ดวงจันทร์และดวงตะวันที่เปล่งแสงบนฟากฟ้าก็ยังงามสู้ใบหน้าของเจ้าหญิงน้อยผู้นี้ไม่ได้  ผู้คนต่างเทิดทูนบูชาความงามของเธอราวกับเธอเป็นเทพธิดา  ซึ่งชื่อ”ไซคี”นี้หมายความว่าจิตวิญญาณ  ดั่งที่นางเป็นจิตวิญญาณและหัวใจของทุกคนในอาณาจักร

                  แต่ทว่าความงามกลับเป็นภัยแก่เธอ  เมื่อเทพีอะโฟรไดทีนั้นริษยาความงามของเธอ  เทพีแห่งความงามได้บัญชาอีรอสผู้เป็นบุตรชายคนโปรดให้ใช้ลูกศรทองคำทำให้เจ้าหญิงผู้เลอโฉมหลงรักสิ่งที่ชั่วร้ายน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด       

      อีรอสรับคำบัญชาจากมารดาก็รีบคว้าอาวุธแล้วกระพือปีกสีมุกบินผ่านปุยเมฆสีขาวรอบเขาโอลิมปัสลงไปยังพระราชวังอันเป็นที่อยู่ของไซคีทันที 

                  เมื่อมาถึงพระราชวัง  อีรอสก็บินเข้าไปในห้องของไซคีทางหน้าต่าง  เทพเจ้าแห่งความรักก็มองเห็นไซคีนอนหลับอยู่บนเตียง  จึงกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาลูกศรแทงแล้วค่อยเนรมิตรสิ่งแสนทุเรศให้เธอลืมตาขึ้นมาเห็นทันทีนี่แหล่ะ  ว่าแล้วอีรอสก็ค่อยย่องเข้าไปใกล้ร่างไซคีพร้อมกับหยิบลูกศรออกมาเตรียมพร้อม 

      เมื่ออีรอสเงื้อมือขึ้นหมายจะแทงไซคี  เธอก็ขยับใบหน้าและพลิกตัว  อีรอสถึงกับตะลึงในความงามของเจ้าหญิงมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าจึงเผลอทำลูกศรหลุดมือแทง

      ถูกตัวเอง

                  ผลก็เป็นดังที่มันเคยทำให้เป็นมานักต่อนัก  หัวใจของอีรอสเต้นแรงขึ้นและหลงรักไซคีหมดหัวใจ  เขาไม่มีทางที่จะทำร้ายไซคีตามที่มารดาบัญชาได้เลย  อีรอสได้แต่มองดูไซคีอย่างหลงใหลและบินกลับโอลิมปัสก่อนที่เธอจะตื่

                  เทพีอะโฟรไดทีสังเกตเห็นว่าบุตรชายคนโปรดที่เคยซุกซนได้เปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากโลกมนุษย์  จากที่เคยซุกซนก็เอาแต่เหม่อลอย  ดูรวมๆแล้วเป็นอาการที่นางแทบไม่อยากจะคิด  !!อีรอสกำลังตกหลุมรัก!

                  กล่าวถึงฝ่ายไซคี  แม้ว่าเธอจะมีรูปโฉมงดงามเพียงใด  ก็กลับไม่มีชายใดมาสู่ขอนางสักที  จนพวกพี่ๆของเธอแต่งงานไปหมดแล้ว  ทำให้พระราชาผู้เป็นบิดากลัดกลุ้มมาก  จึงไปขอคำแนะนำจากวิหารของอะพอลโล  ซึ่งก็ได้คำพยากรณ์มาว่า

      “จงแต่งกายนางให้สง่า  แล้วนำพาไปพงไพรสุดไกลห่าง  อันสิ้นไร้ซึ่งผู้คนจะเดินทาง  ณ.ใจกลางป่าไม้แห่งภูตพราย  ปีกแห่งอสูรกายจักโบกบินมารับบุตรีเจ้า  พาไปยังยอดสูงสุดของภูผาชัน  เพื่อเป็นคู่ชีวันแห่งจอมนาคาผู้ยิ่งใหญ่  อำนาจนั้นไซร้เทียมโอลิมเปียนจอมเทวา”

      พระราชาจึงต้องส่งไซคีไปยังเชิงเขาอันเป็นที่อยู่ของผู้อมตะเพื่อปกป้องอาณาจักร  เจ้าหญิงน้อยก็ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวในตัวอสุรกายที่ต้องไปเผชิญ  แต่แล้วเซฟีรุสเทพเจ้าแห่งลมตะวันตกก็หอบเอาร่างของเธอขึ้นไปยังยอดเขา

      ไซคีต้องประหลาดใจที่สถานที่แห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย  มันสวยงามยิ่งกว่าพระราชวังแห่งกษัตริย์ใดๆเสียอีก  ราวกับว่ามันเป็นดั่งที่อยู่แห่งเทพก็ไม่ปาน  มีสวนอันร่มรื่นปลูกพันธุ์ไม้ที่แปลกตาสีสันระยิบระยับเหมือนเพชรพลอย  น้ำพุบ่อใหญ่ก็พวยพุ่งสะท้อนแสงแดดอ่อนๆเป็นสีรุ้ง  และมีทางเดินเป็นแผ่นหินอ่อนสีขาวทอดยาวไปสู่ตัวคฤหาสน์หลังใหญ่  และเธอก็ได้ยินเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น  เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้และเป็นสามีเธอ  เขาบอกให้เธอไปไหนมาไหนในบ้านนี้ตามสบาย  ซึ่งก็มีคนรับใช้ที่มองไม่เห็นคอยรับใช้  เสิร์ฟอาหารรสเลิศ   และบรรเลงเพลงขับกล่อมยามที่เธอเข้านอน

      ไซคีอยู่ที่คฤหาสน์แสนวิเศษอย่างมีความสุข  ซึ่งเธอก็ไม่เคยเห็นเจ้าของคฤหาสน์ผู้เป็นสามีของเธอเลย  เพราะเขาจะมาหาเธอในเฉพาะยามกลางคืนเท่านั้นและไม่ยอมให้เธอจุดตะเกียง  แต่เขาก็ดีกับเธอมากจนเธอคลายความหวาดกลัวและคิดว่าเขาไม่ใช่อสูรกายที่โหดร้ายโดยแน่แท้ 

      แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ไซคีก็คิดถึงครอบครัวจึงขออนุญาตอีรอสให้พาพี่สาวมาเยี่ยมเธอ  ซึ่งพี่สาวของเธอต่างแปลกใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่  พวกเธอคิดว่าไซคีคงจะถูกสัตว์ร้ายบนเขากินไปแล้ว  เจ้าหญิงทั้งสองก็ตื่นตะลึงในความงามและความใหญ่โตอันเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่าของสถานที่ที่น้องสาวอาศัยอยู่ก็เกิดความริษยาขึ้นมา  พวกเธอก็ซักไซ้เกี่ยวกับเจ้าของคฤหาสน์โดยไม่มีความเกรงใจ  และ

      เมื่อทราบว่าไซคีไม่เคยเห็นหน้าเขา  พวกเธอก็พูดไปต่างๆนาๆว่า

      “เขาอาจจะอัปลักษณ์อย่างสุดแสน  หากมาตรแม้นต้องซ่อนกายถึงเพียงนั้น”

      “หรือว่าเขาเป็นอสูรกายที่น่าสะพรึงกลัวกัน  คอยขย้ำเมื่อเจ้ามิทันระวังตัว”

      แม้ไซคีจะแก้ต่างว่าเขามีความอ่อนโยนและดีกับเธอมาก  แต่พี่สาวอีกคนก็ยังต่ออีกว่า

      “โธ่เอ๋ย!แม่น้องพี่  ก็เจ้าไร้เดียงสาเสียเพียงนี้  จะทันทีเล่ห์ปีศาจอย่างไรได้  ทุกคำหวานที่มันพร่ำพูดไป  อาจกระหยิ่มในใจใช่พูดจริง”

      เมื่อถูกพี่สาวทั้งสองพูดกรอกหูมากเช่นนี้  และเธอก็ยังไม่เคยเห็นหน้าอีรอสเลย  ก็ทำให้ใจเธอก็ยิ่งหวั่นไหว   

      และพี่สาวทั้งสองกลับไป  เจ้าหญิงน้อยก็รีบเอาตะเกียงและมีดไปซ่อนไว้ใต้เตียง 

      อีรอสก็มาหาเธอในตอนกลางคืนเช่นเคย 

                     เมื่ออีรอสหลับ  ไซคีก็หยิบตะเกียงขึ้นมาจุด  แสงไฟที่ส่องไปยังร่างที่หลับใหลนั้นทำให้ไซคีตกตะลึง  เพราะเธอกำลังเห็นชายที่รูปงามที่สุดที่เธอเคยเห็น  เขาดูเป็นคนอ่อนโยนเฉกเช่นน้ำเสียงของเขาเวลาที่พูดคุยกับเธอ  ใบหน้าของเขางามราวภาพวาดจากหัตถ์แห่งเทพ  กลางหลังมีปีกสีขาวมุกส่องประกายเรื่อเรือง  และผิวกายของเขาเปล่งประกายคล้ายเป็นรัศมีอ่อนๆแห่งราชรถอพอลโล

                     ไซคีมองอีรอสและหลงรักเขาเต็มหัวใจทันที  ความหวาดระแวงทั้งปวงได้หายไป  แล้วเธอก็ค่อยๆขยับตัวจะเก็บตะเกียง  แต่น้ำมันร้อนหยดหนึ่งก็หยดลงบนแขนของอีรอส  เขาก็ลืมตาสีไพลินขึ้นทันที  ใบหน้างดงามดูเจ็บปวดใจ

                  “เจ้าฝ่าฝืนคำข้า”  อีรอสพูดและกางปีกสีมุกบินออกไปทางหน้าต่างทันที  เสียงกังวาลดังมาตามสายลม  “เราไม่อาจอยู่ร่วมชายคาต่อไปได้  หากสิ้นไร้ความเชื่อใจและไว้ใจ  ข้าก็ขอจากไปไม่รอรี”

                     ไซคีวิ่งตามและกระโดดออกจากหน้าต่าง  แต่เซฟีรุสก็รับตัวเธอเอาไว้ได้ก่อนที่ร่างของเธอจะหล่นลงกระแทกกับพื้นจนร่างแหลกเหลว  ซึ่งไซคีก็หมดสติไป

                    เจ้าหญิงน้อยตื่นขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดหัวใจในยามเช้า  เธอรักอีรอสจนถอนตัวไม่ขึ้น  ใจหนึ่งเธออยากตายไปเสียหากไม่มีเขา  แต่เธอก็คิดได้ว่าจะมีประโยชน์อะไรเล่าหากเธอตายไป  น่าละอายเสียเปล่า  และเธอจะทำให้อีกหลายคนเสียใจกับการกระทำของเธอด้วย  สู้ตามหาอีรอสและขอให้เขายกโทษให้กับความโง่เขลาของเธอจะไม่ดีกว่าหรือ

                    ว่าแล้วเธอก็เดินหน้าต่อไปอย่างไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง  โดยหวังว่าไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องได้พบสามีของเธอแน่นอน

                     จนตกเย็น  เธอก็มาถึงวิหารของเทพีเดมีเตอร์  ซึ่งเธอก็อ่อนล้าจากการเดินทางตากแดดตากลมมาทั้งวันเหลือเกิน  จึงจะขอเข้าไปอาศัยร่มเงาของวิหานอนพักให้คลายเหนื่อย 

                   แต่เมื่อเข้าไปในวิหารก็พบว่ามีกองพืชพันธุ์ธัญญาหารวางระเกะระกะไปหมด  เห็นได้ชัดว่าพวกชาวไร่ชาวนานั้นเก็บเกี่ยวมาทั้งวันจึงอ่อนแรงเกินกว่าจะจัดวางให้เป็นระเบียบได้  ไซคีจึงจึงจัดการเก็บกวาดและเรียงผลผลิตเหล่านั้นให้สะอาดเรียบร้อย

                     ซึ่งเทพีเดมีเตอร์นั้นพอใจมากที่ไซคีช่วยเก็บกวาดวิหารให้ตน  และทราบเรื่องราวของเธอและอีรอสดี  จึงปรากฏกายให้เธอเห็นและแนะนำ

                  “ไซคีเอ๋ย…เจ้าช่างเป็นสาวน้อยที่มีจิตใจดีมากคนหนึ่ง…ข้ารู้ซึ่งสิ่งเจ้าต้องการ….เจ้าเดินทางยาวนานตามหาใคร”

                “….ฟังเถิดเจ้าหญิงผู้เป็นมิ่งแห่งวิญญา…จงมุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งอะโฟรไดที  และเอ่ยวจีสวดอ้อนวอน  เจ้าอาจได้พรแห่งรักสมอุรา”

                   ไซคีก็ได้ออกเดินทางตั้งแต่รุ่งสางด้วยหัวใจเบ่งบาน  เมื่อมาถึงวิหารแห่งอะโฟรไดที  เธอก็ได้คุกเข่าลงและอ้อนวอนภาวนาให้อะโฟรไดทีช่วยให้เธอได้พบกับสามีอีกครั้ง

                     อะโฟรไดทีไม่เพียงจะไม่ปฏิเสธคำขอร้องของเธอ  แต่ยังรับปากอีกด้วยว่าจะช่วย

                     อ๊ะ!อ๊ะ!  อย่าคิดว่าเจ้าแม่แห่งความรักผู้นี้จะหายเกลียดชังเจ้าหญิงน้อยผู้งามกว่านางแล้วนะครับ

                    อะโฟรไดทีรับปากก็จริง  แต่มีเงื่อนไขมหาหินมหาโหด  3  ข้อด้วยกัน  ถ้าทำไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว  ต้องเลิกพูดกันทันที

                    ประการแรก  หลังจากที่ไซคีได้พักผ่อนแล้วหนึ่งคืน  อะโฟรไดทีก็พาเธอมาที่ห้องแห่งหนึ่ง  ซึ่งในห้องนั้นมีเมล็ดพันธุ์พืชหลายชนิดปะปนกับเต็มพื้นไปหมด

                “ดูเถิด…บนพื้นมีเมล็ดมากมายหลายชนิด  จงคัดแยกออกจากกันอย่าให้ผิด  ก่อนอพอลโลผู้ศักดิ์สิทธิ์จะจากจร”  อะโฟรไดทีกล่าว  “แล้วข้าจะกลับมาในยามนั้น  หากไม่ทันก็ไร้คำใดๆ  เจ้าต้องไปให้ไกลก่อนราตรี”

                    ไซคีเห็นกองภูเขาย่อมๆของเมล็ดพืชหลากหลายนี้  ก็แทบอยากจะร้องไห้  แต่เธอก็ปลอบใจตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง  ถ้าเธอทำได้ทั้งหมด  เธอก็จะได้พบอีรอส

                    ทางฝ่ายอีรอส  ซึ่งยังคงรักเธอไม่เสื่อมคลายและแอบเฝ้าดูแลคุ้มครองเธอเสมอ  ก็ได้ส่งกองทัพมดไปช่วยเธอ  ซึ่งไซคีทั้งประหลาดใจและดีใจ  ที่อยู่ๆก็มีมดมากมายเดินเข้ามาและช่วยคัดแยกเมล็ดพันธุ์  แรงงานแสนขยันนี้ก็คัดแยกเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดอย่างเรียบร้อยก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน

       

                   ไซคีกล่าวขอบคุณพวกมด  ซึ่งมันก็รีบแยกย้ายกันกลับรังเพราะมันได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว

                     เมื่อตะวันคล้อยต่ำดั่งจะจุมพิตห้วงธรณี  เทพธิดาอะโฟรไดทีก็เยื้องย่างมายังมหาวิหารด้วยอารมณ์แสนสดใส  ด้วยคิดว่าเจ้าหญิงน้อยนั้นทำงานที่ตนสั่งไม่ได้แน่  ยิ่งเห็นไซคีก้มหน้างุดเมื่อเห็นตนก็ยิ่งนึกว่าตนเป็นฝ่ายชนะ

                 แต่พอเข้าไปในห้องเก็บเมล็ดพืชแล้ว  เจ้าแม่แห่งความรักและความงามก็ต้องเก็บอารมณ์โมโหแทบไม่ทัน  เมื่อเห็นว่าทั้งห้องนั้นสะอาดเรียบร้อย  เมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดถูกแยกตามชนิดใส่ในแต่ละกระสอบที่วางเรียงรายอยู่ข้างฝา 

                       อะโฟรไดทีเชิดใบหน้าขึ้นและมองไซคีที่ยิ้มอย่างอ่อนหวานจริงใจให้นาง  แต่สายตาของอะโฟรไดทีนั้นเย็นชาและเกลียดชัง  นางกล่าวกับเจ้าหญิง

                 “จงยิ้มไปก่อนเถิดไซคี  แต่อย่านึกจะมีทางชนะอีกต่อไป”

                    เทพีแห่งความงามก็ส่งขนมปังอันหยาบกระด้างให้ไซคี  และนางก็จากไป

                   เมื่อดวงจันทราจากลาสุริยาเคลื่อนมาแทน  อะโฟรไดทีก็มาหาไซคีอีก  นาสั่งให้เจ้าหญิงน้อยข้ามแม่น้ำไปเก็บขนแกะจากฝูงแกะที่มีขนเป็นทองคำมาทุกตัว ซึ่งแกะพวกนี้มันดุร้ายมาก  เทพีแห่งความงามก็ถามไซคีกลั้วด้วยเสียงหัวเราะเยาะ

                 “แกะทองคำพวกนี้  ช่างมีฤทธีมากมาย  หากว่าตัวนั้นเจ้ากลัวตาย  จะกลับกายกลับใจก็ใคร่ทัน

                     แต่ไซคีก็ตอบด้วยความกล้า

                “โอ้  ท่านเทวีผู้สูงศักดิ์  ข้ารู้สึกซึ้งใจนักที่ท่านห่วง  หากยามนี้ข้าไร้ซึ่งสิ่งทั้งปวง  จะแตกดับหรือโชติช่วงไม่ต่างกัน”

                     แล้วไซคีก็มุ่งหน้าออกจากวิหารไปยังสายธาร  เธอก็เห็นฝูงแกะขนทองคำกำลังเล็มกินยอดหญ้าสีเขียวขจีอยู่ฝั่งตรงข้าม  เจ้าหญิงน้อยจึงถลกชายกระโปรงขึ้นเหนือเข่าเพื่อเตรียมจะลุยน้ำ  แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงที่ฟังเป็นมิตรดังขึ้นมา

                   “เจ้าหญิง…เจ้าหญิง…หยุดก่อนเจ้าหญิง  หากไปในยามนี้  ก็เห็นทีวายชีวา  เนื่องด้วยตอนนี้เชษฐาดวงจันทรา  สถิตย์ฟ้าแสงส่องแสนเจิดจ้า  แกะเลอค่ายิ่งแสนร้ายเหนือคณา  จงรอก่อน..รอจนตะวันผ่อนอ่อนแสงล้า  เมื่อนั้นมันจะหยุดนิ่งทอดกายา  เข้าสู่ห้วงนิทราทุกตัวตน  แล้วเจ้าจึงค่อยข้ามพ้นสายธารา  เก็บเส้นทองคำที่ติดตามหนามพฤกษา  นำไปถวายเทพธิดาผู้ต้องการ

                    ไซคีก็ทำตามคำแนะนำ  เธอเฝ้าคอยจนบ่ายคล้อย  ซึ่งดวงอาทิตย์ลดแสงอันร้อนแรงลง  พวกแกะขนทองคำก็พากันล้มตัวลงนอนตามเงาไม้ 

                     เจ้าหญิงน้อยก็ข้ามลำธารและไปเก็บขนแกะที่ติดอยู่ตามไม้หนามจนได้เต็มกระสอบ  แล้วจึงกลับไปหาอะโฟรไดที

                   เทพธิดาก็ยิ่งฉุนไปใหญ่  ที่ไซคีไม่ถูกฝูงแกะที่ดุร้ายรุมทำร้ายจนตายที่ไปเอาขนของมันมาอย่างนี้  นางก็ยื่นเปลือกขนมปังแข็งๆหนึ่งชิ้นให้ไซคีให้รับประทานเป็นอาหาร  แล้วนางก็จากไปเช่นเดิม

                     ไซคีก็กัดขนมปังแสนอนาถานั้นด้วยความหิว  แต่ในใจของเธอกลับมีแต่ความสุข  เพราะเหลืองานเพียงชิ้นเดียวก็จะได้พบกับสามีผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอแล้ว  เขาเป็นสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งหัวใจของเธอไว้ไม่ให้ยอมแพ้กับสิ่งยากลำบากต่างๆที่เผชิญมาแล้ว  รวมถึงสิ่งต้องเผชิญต่อไปในภายภาคหน้า  เธอล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนล้า  และคิดว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรรอเธออยู่

                       รุ่งเช้าอะโฟรไดทีก็มาบอกไซคีถึงภารกิจอย่างสุดท้าย

                  “สิ่งที่สามซึ่งข้าให้ทำนั้นแสนสบาย  เพียงบ่ายหน้าไปยังเฮดีสที่มืดมิด  มอบหีบทองปิดสนิทให้เปอร์เซฟโฟนี  บอกว่าตัวข้านี้เทพธิดาอะโฟรไดที  ขอแบ่งปันความโสภีจากจอมนาง” 

                  เจ้าหญิงน้อยฟังก็ถึงกับอึ้ง  งานชิ้นนี้เธอคงทำไม่ได้แน่  ฟังดูเหมือนจะง่ายก็จริง  แต่ว่าไม่มีใครเข้าไปในเฮดีสทั้งที่เป็นๆนี่นา 

                   เธอเดินไปก็ร้องไห้ไป  แต่ว่าน้ำเสียงอ่อนโยนที่เคยช่วยเธอไว้ก็ดังแว่วมาตามสายลม

                “จะร้องไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า  มาเถิด…ข้าจะเล่าบอกเส้นทางข้างล่างให้  เช็ดน้ำตาแล้วนิ่งเถิดแม่ยาใจ  ไม่มีสิ่งใดไซร้ไกลเกินจริง”

                    เสียงนั้นแนะนำเส้นทางที่ปลอดภัยโดยให้เธอลงเรือแจวข้ามแม่น้ำแอคเคอรอน  ซึ่งจะมีชายแก่ชื่อแครอนเป็นคงพาย  และเธอต้องจ่ายเงินให้เขา

                   จากนั้นก็ต้องผ่านเซอร์บิรัสสุนัขสามหัวซึ่งมีหางเป็นอสรพิษ  เธอต้องอย่ากลัวและร้องเพลงให้มันฟัง  แล้วมันก็จะสงบ  ซึ่งเธอก็จะผ่านเข้าไปได้และให้ออกมาด้วยวิธีเดิม

                     แล้วเสียงนั้นยังย้ำอีก  ว่าเธอจะต้องไม่กินอาหารของโลกบาดาลเป็นเด็ดขาด  เพราะถ้าเธอกินเข้าไปเธอก็ต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดกาล  ซึ่งมันเป็นกฎที่ไม่มีใครฝืนได้  แม้แต่ผู้เป็น  เทพอย่างเปอร์เซพโฟนีก็ยังต้องอยู่ที่นั่นตามจำนวนเมล็ดทับทิมที่กินเข้าไป 

                    อีกทั้งเธอจะต้องไม่เปิดหีบเป็นอันขาด  ไม่ว่าจะอยากรู้เพียงไรก็ตามว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน

                    ไซคีรับปากเสียงผู้ปรารถนาดีอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ  แล้วเธอก็ลงไปตามทางที่เขาบอก  เธอจ่ายเงินให้แครอน  ชายแก่ก็พาเธอข้ามไปเฮดีส  พบกับเซอร์บิรัสก็กล่าววาจาอันอ่อนโยนและร้องเพลงให้มันฟัง  มันก็กลายเป็นสุนัขเชื่องๆธรรมดาๆตัวหนึ่งเท่านั้น(ยกเว้นหัวสามหัว  หางเป็นงู  และตัวใหญ่อย่างกับยักษ์)

                      และเธอก็เข้าเฝ้าราชินีแห่งโลกบาดาล  และบอกจุดประสงค์ที่มา

                      ซึ่งเปอร์เซฟโฟนีรับหีบแล้วก็ให้เธอนั่งรอ  นางก็เข้าไปข้างใน  ชั่วครู่เทวีแห่งเฮดีสก็ออกมาแล้วมอบหีบคืนให้ไซคี

                       เมื่อไซคีออกมาจากเฮดีสแล้ว  เธอก็ใคร่รู้ว่าความงามที่อะโฟรไดทีให้มาขอจากเปอร์เซฟโฟนีมันมีหน้าตาอย่าไร  และอีกนัยหนึ่ง  เธอก็อยากได้ความงามสักนิดมาเติมให้ตนเอง  เพราะหลังจากอีรอสจากไป  เธอก็ทั้งรอนแรมมาไกลรวมถึงต้องตรากตรำทำงานอีก  เธอคงจะดูโทรมลงกว่าเดิมลงไปถนัดตา เธออยากดูสวยให้มากที่สุดเมื่อได้เจออีรอส

                     เจ้าหญิงน้อยจึงเปิดหีบออก  ซึ่งก็มีควันขาวดั่งหมอกพวยพุ่งออกมา  แล้วสติเธอก็เลือนลงเข้าสู่ห้วงนิทรา

                      ฝ่ายอีรอส  เทพหนุ่มไม่เห็นไซคีกลับมาเสียทีก็เป็นห่วง  จึงกางปีกสีมุกแล้วบินไปดู  ก็พบร่างอันไร้สติของไซคีทอดกายอยู่บนผืนหญ้า  ข้างๆนั้นมีหีบทองคำซึ่งเปิดแง้มอยู่  อีรอสจึงรีบปิดหีบและช่วยให้ไซคีตื่นจากนิทรา

                     ไซคีค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยความง่วงงันมิทันจาง  แต่เมื่อเห็นใบหน้างามสง่าที่เธอไม่เคยลืม  มนต์สะกดแห่งนิทรารมย์ก็หายไปสิ้น  เธอยิ้มด้วยความดีใจเป็นสุดแสน  ดูละม้ายดั่งมวลบุพผาจะเบ่งบานทั้งโลกด้วยรอยยิ้มของเธอ

                      อีรอสก็ชี้ให้ไซคีเห็นถึงความยุ่งยากที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของเธอ  “ตระหนักมั่นไว้ในใจเถิด…แม่ยอดรัก  ที่เราสองต้องพรากไกลจักเหตุใด  ถ้ามิใช่ความอยากรู้แห่งนงคราญ”

                    ไซคีก็สวมกอดอีรอสด้วยความคิดถึงและกล่าวให้เขายกโทษให้เธอ  “ข้าขออภัยในเรื่องเก่าก่อน  ที่ผ่านมามันได้สอน  ยามดวงใจจากจรเป็นเช่นไร  ในยามนี้และต่อไปจะมีไม่  สิ่งที่ข้ายึดมั่นคือเชื่อใจ  มิสงสัยให้ท่านหลีกไกลดั่งแล้วมา”

                     อีรอสจึงพาไซคีไปยังโอลิมปัสและขอซีอุสให้มอบความเป็นอมตะให้กับเธอ  ซึ่งซี-    อุสก็มอบแอมโบรเซียในถ้วยทองคำมาให้  เมื่อไซคีดื่มเข้าไปก็รู้สึกถึงพลังแห่งความเป็นอมตะไหลเวียนไปทั่วร่าง  ผิวขาวนวลของเธอเปล่งประกายเช่นชาวเทพ  และความงามของเธอก็มากขึ้นกว่าเดิม 

                     เทพทั้งปวงก็ปรากฏกายให้เธอเห็นและกล่าวต้อนรับเธอเข้าสู่ครอบครัว  อะโฟรไดทีก็สิ้นซึ่งความเกลียดชังทั้งปวงต่อไซคี  นางเข้าสวมกอดไซคีอย่างอบอุ่น

                               อีรอสและเจ้าหญิงไซคีก็ครองคู่กันอย่างมีความสุขตราบจนชั่วนิจนิรันดร์


      ที่มาจาก  http://www.jj-book.com/jjstory1/view.php?qs_qno=630

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×