คืนเห็นผี - คืนเห็นผี นิยาย คืนเห็นผี : Dek-D.com - Writer

    คืนเห็นผี

    พี่เชื่อเรื่องผีมั้ย?

    ผู้เข้าชมรวม

    67

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    67

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ม.ค. 61 / 15:26 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน หากได้อ่านเรื่องราวของเราแล้ว
    **ได้โปรด OR please ** 
    คอมเม้น สักนิดเพื่อให้เรื่องราวต่อๆไปเกิดการพัฒนามากขึ้น
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    คืนเห็นผี

    ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก...... เข็มนาฬิกาที่เดินไปพร้อมกับเวลาที่ไม่หยุดอยู่กับที่ นี่ก็ดึกมากแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะ  กึ๊กกก กึ๊กกกก  กึ๊กกกกก!! เสียงดังมาจากข้างนอกห้องของน้องภัทร  เสียงเหมือนมีใครเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ น้องภัทรค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา หลังจากที่ฟุบนอนอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขา แสงอาทิตย์ที่เคยสาดส่องลอดบานหน้าต่างผ่านกลีบม่านที่สยายอยู่ กลับกลายเป็นแสงไฟนีออนจากเสาไฟฟ้านอกบ้านที่ส่องเข้ามาแทน เสียงคนเดินเงียบหายไป.................... 


    ด้วยความงัวเงียทำให้น้องภัทร ลืมเรื่องเสียงคนเดินไปเสียสนิท ความสนใจกลับมาอยู่ที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ใต้แขนของเด็กน้อย กระดาษที่เลอะคราบน้ำลาย ทั้งยังปะปนไปกับรอยยับและรอยสีที่ถูกระบายไปบนกระดาษ   บนกระดาษแผ่นนี้ถูกวาดเรื่องราวอะไรบาง  และถูกวาดมานานมากแล้ว  “  นี่คือครอบครัวของน้องภัทรเองครับ มีคุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็น้องภัทร คุณแม่ชอบพาน้องภัทรไปกินไอติมที่ร้านคุณป้าอยู่บ่อยๆ ส่วนคุณพ่อก็ชอบซื้อของเล่นให้  ไม่ก็พาน้องภัทรไปเที่ยว น้องภัทรมีความสุขที่สุดเลย หละ”


    มันเป็นความทรงจำที่ดีและมีความสุข ทุกๆชีวิตล้วนหาช่วงเวลาเช่นนี้ การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาการทำกิจกรรมร่วมกับคนที่เรารัก ความสุขแบบนี้ไม่ใช่จะมีให้เราได้ทุกวัน ภาพคุณพ่อจับมือน้องภัทรและคุณแม่หยิกแก้มอันอ่อนนุ่มของเด็กตัวเล็กๆด้วยความเอ็นดู เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดที่ไม่มีใครอยากสูญเสียมันไปเลยจริงๆ

                

              มืออันอ่อนประสบการณ์ลูบไปมาที่ภาพๆนั้น ราวกับว่าคิดถึงวันเก่าๆที่เคยมีมา แต่สายตาที่มองภาพนั้นกลับไม่ได้แสดงถึงความเศร้าที่มาจากความคิดถึงเลยแม้แต่น้อย เด็กน้อยมองไปที่กระจกหน้าต่างที่อยู่ด้านหน้า  สายตาที่เห็นจากเงาสะท้อนนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความไร้เดียงสาในวัยเยาว์เลย”พี่เชื่อเรื่องผีมั้ย”เด็กน้องพูดขึ้นมา


                บรรยากาศที่เงียบสงบกับไฟห้องสลัวๆ ในยามค่ำคืน นั่นก็มากพอที่จะทำให้คำพูดธรรมดาๆแปรเปลี่ยนเป็นคำพูดที่ชวนขนลุกได้....      


              “ คุณพ่อเคยบอกกับน้องภัทรไว้ว่า ผีหน่ะไม่มีอยู่จริง เราเป็นคนต้องไม่กลัวผี!! . คุณพ่อเป็นคนเข้มแข็ง คุณพ่อสอนน้องภัทรทุกอย่างเลยนะ ทั้งเรื่องผูกเชือกรองเท้า เรื่องการไหว้และก็ความกล้าหาญ แต่ก็มีหลายครั้งนะที่น้องภัทรดื้อกับคุณพ่อ คุณพ่อเนี่ยเวลาโมโหแล้วน่ากลัวสุดๆเลยหละ!!! คุณพ่อจะชอบเอาไม้มาตีน้องภัทรด้วย แต่ทุกครั้งคุณแม่ก็จะเข้ามาช่วยห้ามไว้ แล้วทั้งคู่ก็จะทะเลาะกัน น้องภัทรไม่ชอบให้คุณพ่อและคุณแม่ทะเลาะกันเลย ” 


              ติ๊งงงต่องง!!!!!!!! เสียงนาฬิกาดังขึ้นจากข้างล่าง น้องภัทรหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เสียงบอกเวลาจากนาฬิกาดังอยู่อย่างนั้น3-4 ครั้งได้ ยามดึกแบบนี้ เป็นใครได้ยินก็คงจะผวากันไม่ใช่น้อย.ไม่แม้กระทั้งเด็กชายที่หน้าเริ่มเปลี่ยนไปจากไร้ความรู้สึกกลับกลายเป็นซีดขาวราวกับกลัวบางอย่างที่มาพร้อมกับเสียงของนาฬิกา. สายตาที่จ้องเขม็งไปยังช่องว่างของประตูห้องที่แง้มอยู่เล็กน้อยแข็งกร้าวราวกับถูกบังคับให้มองอย่างไม่ละสายตา มือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อและขาที่สั้นระริกระริกบอกเป็นนัยๆว่าเด็กชายไม่ต้องการที่จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีกต่อไป. เสียงนาฬิกาเงียบหายไปได้สักพัก ความเงียบปกคลุมบรรยากาศวังเวงของตัวบ้านได้ไม่ถึงนาทีก็มีเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากด้านล่าง “นั่นคือพ่อกับแม่ของน้องภัทรเองครับ ทั่งคู่ทะเลาะกันอย่างนี้อยู่บ่อยเลย.


              เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่น้องภัทรก็จำไม่ได้หรอก แต่ตอนนั้นน้องภัทรจำได้ว่าคุณพ่อจะหงุดหงิดง่ายและชอบตีคุณแม่บ่อยๆ คุณแม่ไม่ได้มาเล่าให้น้องภัทรฟังหรอกนะ แต่น้องภัทร หน่ะ ไปแอบดูด้วยตัวเองเพราะทั้งคู่เวลาทะเลาะกันจะเสียงดังมาก คุณพ่อและคุณแม่ทะเลาะกันหนักขึ้นเรื่อยๆ มีวันหนึ่งน้องภัทรเอาขนมไปให้คุณพ่อ แต่ก็ถูกคุณพ่อว่าและปัดจานขนมของน้องภัทรทิ้งไป ตอนนั้นน้องภัทรทั้งเสียใจและโกรธคุณพ่อสุดๆเลยแหละ น้องภัทรไม่เข้าใจว่าทำไมคุณพ่อถึงทำกับน้องภัทรแบบนั้น น้องภัทรร้องไห้ แต่ยิ่งน้องภัทรร้องไห้เสียงดัง คุณพ่อก็ยิ่งว่าน้องภัทรมากขึ้นกว่าเดิม คุณแม่วิ่งมาพาน้องภัทรออกไปจากตรงนั้น คุณพ่อก็วิ่งตามมาและทะเลาะกับคุณแม่ต่อหน้าน้องภัทรอีก น้องภัทรไม่รู้จะทำยังไง เลยวิ่งขึ้นห้องนอน แล้วไปร้องไห้ต่อบนเตียง....


               หลังจากวันนั้น คุณแม่ก็พาผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาในบ้าน เขาสวมชุดสีขาวและสวมสร้อยอะไรก็ไม่รู้เต็มคอไปหมด มีผู้ชายอีก3คนเดินตามมา คนนึง ถือขันอะไรมาด้วยก็ไม่รู้ พวกเขาวิ่งเข้าไปที่คุณพ่อและจับคุณพ่อล็อคไว้ “ไอ้หนุ่มคนนี้โดนของหนักเลยนะ คนเอาของมาใส่คงแค้นมันมากๆ ” น้าผู้ชายชุดขาวพูดขึ้นมา หลังจากนั้น เขาก็เอาน้ำในขันเทใส่คุณพ่อ คุณพ่อร้องดังลั่นเลยแหละ ทำไมก็ไม่รู้เสียงที่น้องภัทรได้ยินกลับไม่ใช่เสียงของคุณพ่อ  แต่มันเป็นเสียงของใครก็ไม่รู้?? คุณแม่หันมาเห็นน้องภัทรเลยบอกให้น้องภัทรขึ้นไปอยู่บนห้อง!! ก็น้องภัทรสงสัยนี่หน่า?? ว่าทุกคนทำอะไรกันเลยเดินไปดู ” 


              เอี๊ยดด!!!!!! เสียงประตูในห้องดังขึ้นพร้อมกับค่อยๆเปิดออกมาเล็กน้อย แสงไฟสลัวๆจากในห้องทำให้บรรยากาศหลังประตูบานนั้นดูมืดไปในทันที เสียงคนทะเลาะกันยังคงดังอยู่และดังขึ้นเรื่อยๆ “น้องภัทรมองไปที่คุณพ่อ เสื้อและกางเกงตัวนั้นเป็นของคุณพ่อแน่นอน น้องภัทรจำได้ แต่ใบหน้านั้นเป็นใครก็ไม่รู้ ดวงตาที่กลมโต ผมเพลาที่รกรุงรัง หน้าตาที่เหี่ยวย่นและผิวที่ดำคล้ำ ใบหน้าอาบไปด้วยเลือด สายตาที่แข็งกร้าวคู่นั้นมองมาที่น้องภัทร และหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างบ้าคลั่ง สลับกับเสียงกรีดร้องที่โหยหวน น้องภัทรยังจำเสียงนั้นได้อยู่เลย มันดัง ดังเหมือนที่ดังอยู่ตอนนี้” ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นมาจากด้านล่าง ปะปนไปกับสียงหัวเราะและเสียงคนทะเลาะกัน ฟังดูชวนขนลุกชอบกล “คุณแม่ รีบเอามือมาปิดตาน้องภัทรและอุ้มน้องภัทรมาอยู่บนห้องและบอกว่า ห้ามออกไปไหน!!!

              คุณแม่พูดเสร็จก็วิ่งออกไปนอกห้องและปิดประตูไว้ เสียงจากข้างล่างดังอยู่อย่างนั้นสักพัก ก็เงียบไป น้องภัทรไม่ได้ออกไปไหนตามที่คุณแม่บอก รออยู่ในห้องจนมืด . ในที่สุดคุณแม่ก็มาหาน้องภัทร คุณแม่เข้ามากอดน้องภัทรแล้วบอกว่า คุณพ่อไม่สบายต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสักพัก แล้วแม่ก็ร้องไห้ขึ้นมา แม่บอกว่า น้องภัทรไม่ต้องคิดถึงพ่อนะ เดี๋ยวพ่อก็กลับมาแล้ว น้องภัทรก็บอกกับแม่ว่า น้องภัทรไม่คิดถึงคุณพ่อหรอกฮะ ก็คุณพ่อยืนอยู่ข้างหลังคุณแม่นั่นไงฮะ!!!!!! 


              คุณแม่หน้าถอดสีและรีบหันไปด้านหลัง คุณพ่อเข้ามาจิกหัวคุณแม่และเหมือนจะหยิบอะไรออกมาจากข้างหลัง  คุณแม่กัดเข้าที่มือคุณพ่อและผลักคุณพ่อเข้าทางมุมห้องและรีบพาน้องภัทรออกมาจากห้อง เรา 2 คนวิ่งไปถึงชั้นล่าง คุณแม่บอกให้น้องภัทรรีบไปหาคุณป้าข้างบ้าน แต่ยังไม่ทันถึงประตู จู่ๆ ไฟก็ดับลง เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงคนเดินที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงทุกอย่างเงียบลง ทันใดนั้นเสียงนาฬิกาก็ดังขึ้น    ติ๊งต๊องงง!!!!!!แล้วจู่ๆ ไฟก็กลับมาเป็นปกติ แต่คุณพ่ออยู่ข้างหลังพวกเราพร้อมกับปืนที่จ่อหัวคุณแม่อยู่ คุณแม่ร้องไห้และบอกกับคุณพ่อว่า อย่าให้มันบังคับคุณ อย่าให้มันสิงคุณเสียงของคุณแม่สั่นและฟังดูน่าสงสาร  ตอนนั้นน้องภัทรร้องไห้เพราะกลัวว่าคุณพ่อจะยิงคุณแม่จริงๆ คุณพ่อหันไปกระซิบกับคุณแม่ ตอนนั้นเองจู่ๆคุณแม่ก็หน้าซีด และหันมามองที่น้องภัทร แต่ทันใดนั้น!!! 


              ปัง!!! คุณพ่อยิงไปที่หัวของคุณแม่ทันที.  น้องภัทรตกใจกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ได้แต่ร้องและวิ่งออกไป หวังว่าจะไปหาคุณป้าข้างบ้าน แต่พอน้องภัทรเปิดประตูออกไป กลับพบกับฉากภายในบ้านและภาพที่คุณแม่ถูกคุณพ่อยิงปืนใส่หัวอีกครั้ง  ปัง!!! น้องภัทรกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว กลัวอย่างสุดขีด ทำได้แต่วิ่งตรงไปที่บันได หวังจะขึ้นไป ซ่อนตัวใต้ผ้าห่มบนห้อง พอขึ้นบันไดไปสักพัก ก็มีเสียงเรียก น้องภัทร น้องภัทรจำเสียงนี้ได้ มันเป็นเสียงของคุณพ่อที่น้องภัทรรักมากที่สุด น้องภัทรหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน ภาพที่เห็นคือ คุณพ่อยืนยิ้มและโบกมือเรียกน้องภัทร มันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวมากที่สุดเท่าที่น้องภัททรเคยเห็นมา เสียงที่เรียก ถึงจะฟังดูโหยหวนและน่ากลัวเพียงใด แต่ก็เป็นเสียงของคุณพ่อไม่ผิดแน่ ส่วนมืออีกข้างก็เอาปืนมาจ่อหัวตัวเองไว้ น้องภัทรร้องไห้ และได้แต่พูดออกไปว่า คุณพ่ออย่ายิง คุณพ่ออย่ายิง คุณพ่ออย่ายิง คุณพ่ออย่ายิง คุณพ่ออย่ายิง...... 


              เป็นเสียงที่พูดปนกับน้ำตาที่ไหลออกมา น้องภัทรบอกกับคุณพ่อทั้งน้ำตาว่าอย่ายิงนะ….. ปัง!!!!! สิ้นเสียงไปร่างไร้วิญญาณนั้นก็กองลงไปอยู่กับพื้นโดยอ้อมล้อมไปด้วยกองเลือดสีแดงฉาน น้องภัทรกรีดร้องออกมาอีกครั้งด้วยความกลัวและตกใจ ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียคุณพ่อคุณแม่ไปมันเป็นอย่างไรน้องภัทรมาได้สัมผัสก็คืนนี้ น้องภัทรทำได้แต่เพียงวิ่งขึ้นห้องและร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่เสียดายน้ำตา.....”

                

              มือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเริ่มสั้นระริกเมื่อเสียงจากด้านล่างเงียบหายไป ความเงียบกลับมาทวงตำแหน่งของมันในที่มืดอีกครั้ง  ลมหนาวที่พัดผ่านต้นคอ ทำให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่รายล้อมรอบๆตัว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เปิดหน้าต่างเลยสักบานเดียว กึ๊กกก     กึ๊กกกก  กึ๊กกกกก!! เสียงคนเดินกลับมาอีกครั้งคราวนี้มันดังชัดเจนกว่าทุกที น้องภัทรได้แต่เอามืออุดหู ด้วยหวังว่า การไม่ได้ยินเสียงอะไรคงจะทำให้ความกลัวภายในจิตใจของตนผ่อนลงได้บ้าง . เสียงฝีเท้าค่อยๆใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ .......

     

              เสียงเงียบหายไป!! น้องภัทรค่อยๆถอนหายใจ ราวกับยกภูเขาที่อยู่ในอกออกไปและค่อยๆเอามือออกจากหู หลังจากนั้นก็หันไปมองรอบๆห้องใจหนึ่งก็อยากเดินออกไป แต่อีกใจก็ยังกลัวๆ  “ในทุกๆคืนเวลา หลังจากที่ เสียงของนาฬิกาดัง คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะทะเลาะกันอย่างนี้ทุกคืน และเสียงคนเดินก็จะเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ น้องภัทรไม่กล้าออกไปจากห้องนี้ เพราะน้องภัทรกลัว กลัวที่จะออกไปเจอกับ......    ”



    “คุณพ่อมักบอกกับน้องภัทรเสมอว่าผีไม่มีอยู่จริง อย่ากลัวผี ถ้าจะกลัวให้กลัวคน เพราะคนน่ากลัวกว่าผีซะอีก อย่าเป็นเหมือนคุณพ่อที่โดนคนนู้นคนนี้เขารังเกลียด หาว่าไปไล่เขาออกจากงาน แค่ความเข้าใจผิดก็ทำให้เขาโกรธและแค้นกันเป็นฟืนเป็นไฟ โดนตามขู่จะทำร้ายอยู่ทุกวัน น้องภัทรก็ฟังแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร” น้ำตาที่พร้อมจะเอ่อไหลออกมาตลอดเวลากับเสียงที่สะอื้นทุกๆช่วงคำพูดที่เอ่ยออกมาจากปาก ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารเสียจริงๆ ใครจะคิดว่าเด็กตัวน้อยๆเช่นนี้ต้องมาเจอกับอะไรที่น่ากลัวเช่นนี้ . เป็นเหมือนกับทุกคืน หลังจากเสียงเงียบไปน้องภัทรก็กำลังจะฟุบลงบนโต๊ะอีกครั้ง เพื่อไปยังเช้าวันใหม่ ที่เขาเฝ้ารอมาตลอดทั้งคืน เมื่อหันกลับไป สายตาที่สบกับกระจกของหน้าต่างเข้าพอดี กลับสะท้อนเงาของประตูจากด้านหลัง พร้อมกับมือที่โผล่ออกมาจากความมืด มันค่อยๆกวักมือเรียกน้องภัทรอย่างช้าๆ น้องภัทรหน้าซีดและกลัวอย่างสุดขีด!! ทำอะไรไม่ถูก ทั้งตัวเกร็งไปหมด ขยับไม่ได้ราวกับถูกสะกดให้อยู่นิ่งๆ เหงื่อที่แห้ง กลับมาแตกพรากอีกครั้งเสียงโหนหวนดังขึ้น คราวนี้มันดังราวกับว่า มันอยู่ใกล้ๆกับหูของเด็กน้อย 


    เสียงร้องกึกก้องเข้าไปในแก้วหูและก้องสะท้อนอยู่ภายในจิตใจของเขาอย่างไม่มีวันลบเลือน มือข้างขวาค่อยๆยกขึ้นและไปหยิบดินสอขึ้นมา น้องภัทรพยายามฝืนแรงแขนตัวเองด้วยกำลังกายทั้งหมดที่มี แต่ก็ไม่สำเร็จ ราวกับว่ามีแรงที่เยอะกว่า มาจับมือเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น เมื่อหยิบดินสอสำเร็จ ก็กำเอาไว้และตั้งไว้บนโต๊ะ เด็กชายก้มลงไปมองปลายดินสออันแหลมคมราวกับรู้อนาคตว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไร  น้องภัทรหันกลับขึ้นมามองที่เงาประตูอีกรอบ แต่สิ่งที่ เด็กชายพบก็คือ ร่างอันผอมโซ พร้อมกับเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย ผิวหนังที่แห้งกรัง ยืนอยู่ข้างหลังเขา.  มือข้างหนึ่งของมันจับหัวของเด็กชายไว้  เด็กชายได้แต่ร้องไห้ และอ้อนวอนขอชีวิตกับมันผู้ซึ่งกำชีวิตของเขาไว้ ใบหน้าอันสยดสยองค่อยไปก้มลงไปที่หูของเด็กน้อยและพูดเบาๆว่า “ถึงตาแกแล้ว” สวบ!!!!!.....


    แสงแดดยามเช้าสาดส่องขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อต้อนรับกับรุ่งอรุณของวันใหม่ เช้านี้อากาศสดใส ไม่เหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา  ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหน้าทึบ เหมาะแก่การเริ่มต้นการทำอะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิตของตน . แสงแดด ส่องเข้ามายังช่องเล็กๆของหน้าต่างที่ถูกม่านปิดบังอยู่ .    ไรแดดส่องมายังโต๊ะตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ชิดติดกับขอบหน้าต่างพอดิบพอดี แสงสีเหลืองอร่ามส่องกระทบกับ เลือด!! สีแดงข้นที่ไหลนองอยู่เต็มโต๊ะ ไล่ย้อนกลับไปตามทางของเลือด ก็พบกับเด็กชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้น เด็กน้อยนั่งหยุดอยู่นิ่งไม่ขยับไปไหน มือข้างขวาตั้งอยู่บนโต๊ะ เหมือนกำอะไรบางอย่างไว้แน่น หน้าของเด็กชายติดอยู่กับมือที่วางอยู่บนโต๊ะในตำแหน่งของตาขวาพอดิบพอดี.......

     โปรดคอมเม้นและติดตามตอนต่อไป....

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×