คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : [#24] Choice
สิ่งที่ทำให้ลอเรนซ์แปลกใจหลังจากที่มาอยู่ที่คาโนวาลได้เพียงสองอาทิตย์คือ...
เวลาว่างของคิงแห่งคาโนวาล
ทั้งๆ ที่เคยได้ยินมาว่างานในวังนั้นยุ่งจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ทำไมคิงน้ำแข็งที่ว่านั่นยังสามารถมานั่งเหม่อที่วิหารได้แทบทุกวัน
"คิงที่นี่ท่าทางจะสบายนะ" ลอเรนซ์เปรยขึ้นในวันหนึ่งหลังจากที่เก็บความสงสัยเอาไว้นาน คาโลเพียงแต่หันมามองคนพูดเพียงเล็กน้อยไม่ตอบอะไรซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เพราะทั้งเขาทั้งคาโลต่างก็เป็นพวกที่ไม่ชอบพูดมาก เรียกว่าเป็นแบบเดียวกันก็คงจะได้ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่บทสนทนาของพวกเขาจึงมักจะเป็นความเงียบ
ลอเรนซ์ที่ทำงานดูแลวิหาร คาโลที่นั่งนิ่งเหมือนจะคิดอะไรตลอดเวลา กับเสียงเพลงจากกล่องดนตรีใบเล็กในมือและมันจะหยุดลงเมื่อมีแขกคนที่สามก้าวเข้ามา
"ได้ข่าวว่า จะเลิกค้นหาเฟริน" ลอเรนซ์เริ่มบทสนทนาขึ้นอีกครั้งขณะที่มือก็ยังไม่หยุดขัดเชิงเทียงในมือที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ เขาสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากจำนวนทหารยามที่กลับมาประจำการมากขึ้น และความวุ่นวายในการค้นหาภายในเมืองก็ลดลง รวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้าต่างถิ่นที่เข้ามาค้าขายมากขึ้น
"ไม่ได้เลิก แต่ลดกำลังลง" ตาสีอเมธิสต์เหลือบมองคนพูดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
"นั่นสินะ"
ถ้าคนมากแล้วยังหาไม่เจอ คนน้อยลงคงจะหาเจอ...อยู่หรอกนะ
นักบวชหนุ่มแห่งแอเรียสไม่เข้าใจว่าคิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ นับตั้งแต่การลดกำลังทหารในการค้นหาราชินีของตัวเอง เรียกเก็บภาษีนอกฤดูเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการใช้เวลาว่างหมดไปกับการมานั่งเฉยๆ ในวิหาร
เหมือนกับจะมาขอพร
แต่จะขอให้พบเฟริน หรือขอให้ลูกที่กำลังจะคลอดออกมาเป็นผู้ชายอันนี้เขาก็ไม่อาจแน่ใจได้
จะอย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวกับนักบวชต่างถิ่นอย่างเขานี่นะ
มันคงไม่เกี่ยว...ถ้าเขาไม่ใช่รุ่นพี่ของไอ้สองคนนั่น
ลอเรนซ์เผลอสบถให้กับความคิดของตัวเอง
"ทำไม..." เสียงของคาโลดังขึ้น "ทำไมพี่ลอเรนซ์ถึงมาเป็นนักบวช?"
คำถามที่จู่ๆ ก็โพล่งถามออกมาทำให้งานในมือหยุดชะงัก ตาสีม่วงประกายหันมาสบกับตาสีฟ้าที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
"ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย" ลอเรนซ์ตอบแทบจะทันทีให้คนถามรู้สึกว่าตัวเองโง่เล็กน้อยที่ถามออกไป
เพราะถ้ามีคนถามเขาบ้าง คำตอบก็คงไม่ต่างจากนี้ซักเท่าไหร่
ต่างฝ่ายต่างเงียบไปพักใหญ่ ยังดีที่มีเสียงเพลงอ่อนโยนลอยอ้อยอิ่งอยู่ภายในห้อง ไม่เช่นนั้นบรรยากาศคงมาคุจากบทสนทนาเมื่อครู่
"คนเรามีทางเลือกเสมอ" จู่ๆ ลอเรนซ์ก็โพล่งขึ้นมาเบาๆ ให้คาโลหันไปมองแปลกใจ แต่อีกฝ่ายยังคงนั่งเช็คความเรียบร้อยงานตรงหน้าเหมือนกับพูดขึ้นมาลอยๆ
"แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน" คาโลเบนสายตากลับมามองรูปปั้นสีขาวตรงหน้าอีกครั้ง "ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลือกได้"
"เพราะชาติกำเนิดเป็นตัวกำหนด?" คิงหนุ่มเงียบเป็นคำตอบ เมื่อลอเรนซ์เห็นว่าเครื่องทองทุกชิ้นสะอาดดีแล้วก็จัดการลุกขึ้นหยิบมันไปวางบนแท่นบูชาเช่นเดิม
"นั่นเพราะนายไม่ได้เลือกไม่ใช่รึไง"
ไม่ได้เลือก?
เสียงพูดภายในใจที่ดังขึ้นหลังจากที่ประโยคของนักบวชรุ่นพี่เสียดแทงเข้ากลางใจ และเร็วเท่าใจคิดริมฝีปากของคาโลก็เอ่ยถาม
"ผมมีทางเลือกด้วยเหรอ?"
"ขนาดขอทานยังมีทางเลือก" ริมฝีปากเหยียดยิ้มเมื่อนึกถึง 'ขอทาน' ที่เลือกจะเป็น 'คิง'
"แต่ก็ไม่ใช่คิง" ตาสีอเมธิสต์เหลือบมองรุ่นน้องอย่างหงุดหงิดปนสมเพช
เจ้าชายคาโลที่หยิ่งทะนงหายไปไหนเสียแล้ว
คนตรงหน้าตอนนี้ไม่ต่างอะไรไปกับคนที่สูญเสียจิตใจในการดำรงชีวิต
คิดแต่เรื่องงี่เง่าบ้าบอ
"งั้นก็ไปตายซะ" ลอเรนซ์เสนอทางเลือกที่เขากำลังคิดไว้ในใจ ซึ่งถ้าไปพูดกับคิงประเทศอื่นหัวอาจจะหลุด...ยกเว้นเจมิไนไว้ซักประเทศ
"ฉันเพิ่งรู้ว่าคิงคาโนวาลไม่ต่างไปจากเด็กที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด"
"ผมไม่ใช่เด็ก" น้ำเสียงทุ้มกระด้างขึ้นมาเล็กน้อย มือที่กระตุกทำให้ฝากล่องดนตรีปิดลง ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบพร้อมความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น
"แล้วตอนนี้นายโทษใครอยู่ ชะตา? หน้าที่? คิงบาโร?" ตาสีฟ้ากร้าวขึ้น ใบหน้าขาวเริ่มแดงเรื่อจากโทสะ หากตาสีม่วงนั่นยังคงเรียบเฉย ปล่อยให้คำพูดของเขาสร้างพายุน้ำแข็งให้พัดแรงขึ้น
"ผมไม่เชื่อเรื่องชะตา หน้าที่คือสิ่งที่ต้องทำ และทั้งหมดก็ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านพ่อ" คาโลตอบช้าชัด แผ่วเบาเยียบเย็นจนหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
แต่ไม่ใช่กับคนอย่างลอเรนซ์ ดอว์น
"นายไม่เชื่อเรื่องชะตาแต่ฝังใจว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย ยึดมั่นในหน้าที่แต่ก็เอามันมาเป็นข้ออ้าง ไม่เกี่ยวกับคิงบาโรแต่ก็ตอกย้ำว่าตัวเองเป็นลูกคิง" แต่ละประโยคเหมือนหนามนับพันที่แทงเข้าร่างกายจนเจ็บปวด
"ไม่ใช่ไม่มีทางเลือก แต่นายน่ะกลัวที่จะเลือกต่างหาก กลัวที่จะต้องสูญเสีย กลัวที่จะต้องเดินในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เพราะฉะนั้นสิ่งที่นายทำก็แค่เดินตามที่คนอื่นขีดไว้เท่านั้นเอง"
ลอเรนซ์ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้มองคาโลด้วยความสมเพช
ไม่มีอะไรเลย...นอกจากความนิ่งเฉย
หากมันทิ่มแทงเสียยิ่งกว่าคำพูดหรือรอยยิ้มเย้ยหยันใดๆ ที่เคยพบเจอ
----------------------------------------------
เสียงเคาะประตูดังขึ้นและเปิดออกในเวลาต่อมาโดยไม่ต้องรอคำอนุญาต คนที่ยืนอยู่ภายในห้องหันมามองผู้บุกรุกที่เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวานเช่นทุกคืน
"ถึงจะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่คืนนี้ก็ยังหนาวอยู่นะเพคะ" มีเดียเปรยขึ้น ขณะที่คาโลตอบรับคำเปรยนั้นด้วยการพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ร่างบอบบางที่เริ่มอุ้ยอ้ายกับท้องที่โตจนเห็นได้ชัดค่อยๆ บรรจงวางถาดมื้อดึกลงบนโต๊ะใกล้ตัว
กิจวัตรที่แทบจะกลายเป็นนิสัย
"ขนาดหน้าหนาวงานยังเยอะขนาดนี้ พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวฝ่าบาทไม่ทรงแย่หรือเพคะ" ถ้อยคำอ่อนหวานพร้อมความห่วงใยค่อยๆ สลักเข้าไปในน้ำแข็งในจิตใจ คาโลมองกิริยาที่อีกฝ่ายกำลังเปิดสำรับตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
"เสวยตอนที่ยังร้อนๆ จะดีกว่านะเพคะ" คิงหนุ่มมองใบหน้าขาวนั่นครู่หนึ่งก่อนจะเดินมาตักซุปร้อนๆ ขึ้นทานให้คนมองยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ไม่นานนักซุปในถ้วยก็หมดลง
"ฝ่าบาทอย่าหักโหมมากนะเพคะ" นั่นคือประโยคที่เอ่ยขึ้นทุกครั้งก่อนที่มีเดียจะขอตัว ยกสำรับที่ว่างเปล่ากลับออกไปด้วย
สิ้นเสียงประตูปิด ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมห้องทำงาน คาโลยืนขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างรับลมเย็นปลายฤดูหนาว
รัศมีนวลของจันทร์เต็มดวงกระจายไปทั่วฟ้า กลบรัศมีดาวนับร้อยที่เคยกระพริบพรายจนหมด แม้จะไม่ระยิบระยับงดงามดั่งคืนเดือนมืด แต่สายลมเย็นกับแสงสว่างอ่อนโยนนั้นก็ดูจะจับใจคนที่เหมือนจะเพิ่งรู้สึกถึงความงดงามของมัน
เป็นคืนที่สงบ
จริงๆ แล้วกลางคืนสงบเสมอ เพียงแต่มนุษย์ชอบที่จะทำลายความสงบนั้นด้วยความต้องการของตัวเอง
ตาสีฟ้าเย็นชามองออกไปเบื้องนอกหน้าต่าง มันไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากความมืด เงาร่างและเสียงของกิ่งไม้ที่ไหวไปมา
บางทีคงเป็นความมืดที่เขาให้ความสนใจ
คาโลผ่อนลมหายใจช้า หลายวันมานี้เหมือนเขาจะว่างและไม่ว่างในเวลาเดียวกัน ถ้าจะให้อธิบายก็คือ ความรู้สึกในระหว่างวันถูกแบ่งเป็นช่วงๆ เช่นตื่นเช้าขึ้นมา รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่หน้ากองงาน อีกพักใหญ่ก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ในวิหารพร้อมกับเสียงเพลงอ่อนโยนจากกล่องดนตรีที่ตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่ติดตัวเขาไปไหนมาไหนเสมอ และสุดท้ายก็มาอยู่ที่ห้องทำงานในเวลาที่แสงอาทิตย์ได้ลับหายไปจากท้องฟ้าเสียแล้ว
แต่ก็ไม่ถึงกับจำอะไรไม่ได้เลย
เหมือนภาพวาดในหนังสือที่ผ่านมาให้เห็นแต่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมัน
เพียงแต่มองเห็นและรับรู้
เงาดำไหววูบเบื้องหน้าทำให้คาโลดึงสติกลับมา เพราะมันไม่ใช่เงาของใบไม้แต่เป็นร่างมนุษย์ และทันทีที่เขารู้ตัว ดวงตาสีม่วงวาววามก็ปรากฏขึ้นในความมืดนั่น
"มีความสุขดีนี่" เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างของนักฆ่า หากคำตอบกลับเป็นไอหิมะที่พัดราวกับพายุ
"เฟรินอยู่ที่ไหน" คาโลถามเสียงต่ำ พยายามควบคุมอารมณ์อย่างยิ่งที่จะไม่เผลอลงมือฆาตรกรรมเพื่อนเก่าเสียก่อน คิลฉีกยิ้มกว้างแล้วก็ต้องนิ่วหน้า ยกมือประคองปาก แสงเพียงน้อยนิดไม่เพียงพอที่จะทำให้คาโลมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน้าของเขาได้
อย่าให้เห็นน่ะดีแล้ว
ปากที่แตกเพราะหมัดของเฟรินนั่น...
โดนเข้าหลังจากที่เขาคิดจะ 'แสดงความรัก' เล่นเอาลงไปนอนนับดาวอยู่ร่วมสิบนาทีภายใต้สายลมเย็นด้านนอกบ้าน เพราะมันโยนเขาออกมาโดยที่ไม่คิดจะสงสารกันเลย
ถ้าหมดสติหนาวตายขึ้นมาจะทำยังไง!
"สนใจด้วยเหรอว่ามันอยู่ไหนน่ะ ฉันคิดว่าแกกำลังมีความสุขเสียอีกที่ได้อยู่กับสนมคนสวยนั่น" คิลตอบเสียงสดใส หากโทสะคนฟังยิ่งกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ
"วีสกาย่า!!" พายุน้ำแข็งขนาดใหญ่พักเอาต้นไม้ลอยสูงตกลงมากระแทกพื้นดินที่อีกฝ่ายเคยยืนอยู่จนดินกระจายออก เสียงโวยวายเริ่มดังขึ้นจากทหารยามที่ได้ยินเสียงระเบิด คิลที่กระโดดหลบไปยืนบนต้นไม้จุ๊ปากเบาๆ
"ฉันแค่มาส่งข่าวบอกว่ามันสบายดี สบายกายและสบายใจที่ไม่ต้องทนอยู่ในวังกับแก" คิลยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง หิมะเริ่มโปรยปรายจนตาสีม่วงเป็นประกายวาววับ กลิ่นเวทของคิงแห่งคาโนวาลโชยฟุ้งไปทั่ว
เขาไม่เคยสู้กับคาโล แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่คิดจะสู้
เพราะรู้ว่าถ้าเริ่มมันจะไม่จบแค่บาดเจ็บ เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีความหยิ่งทะนงในตัวเอง
ยิ่งถ้าสู้กันตอนนี้รับประกันได้เลยว่า...
ไม่เขาก็คาโลที่จะต้องตาย!!
"แต่จะโกหกกับเพื่อนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็คงบาปหนา" เหตุผลกวนตีนถูกยกขึ้นมาอ้างอย่างที่คนฟังรู้ดีว่ามันไม่ได้หมายความตามที่พูด แต่แค่อยากเห็นเขาสับสนหงุดหงิดเท่านั้น
"แกรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้เฟรินมันกินอะไรเป็นอาหารเช้า?" คำถามฟังดูงี่เง่า ไม่เข้ากับประโยคก่อนหน้านี้ทำให้คาโลต้องเผลอขมวดคิ้ว คนพูดกระโดดลงมายืนข้างล่าง รอยยิ้มกวนเลือนหาย กระแสเสียงร่าเริงเปลี่ยนเป็นเย็นชาจริงจังจนน่ากลัว
"น้ำเปล่าไง มื้อเที่ยงก็ขนมปังก้อน ส่วนมื้อเย็นก็เป็นซุปผักชืดๆ น่าแปลกไหม? ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่มันจะอายุสิบห้าปีต้องเป็นขโมยอดมื้อกินมื้อมาตลอด กับแค่ลดปริมาณอาหารลงเดือนสองเดือนกลับซูบเสียจนน่ากลัว" ตาสีฟ้ากระตุกวูบ ความรู้สึกผิด กังวล ห่วงหาเอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจ และทั้งหมด...ก็ฉายออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
"บอกตรงๆ นะ ว่าที่จริงแล้วฉันคิดว่าแกคงยุ่งกับงานอย่างหนักจนไม่ได้พักผ่อน หรืออย่างน้อยก็มีความกังวลถึงเฟรินมันบ้าง แต่เท่าที่เห็น..." คิลหยุดไปเล็กน้อย ตาสีม่วงมองผ่านไหล่อีกฝ่ายไปยังประตูที่สนมคนโปรดเพิ่งจะเดินออกไป
"ดูท่าทางนายจะได้ราชินีที่เพียบพร้อมอย่างที่ต้องการแล้วสินะ"
คาโลเงียบกริบ ทุกอย่างทุกคำพูดเหมือนเป็นชนักติดหลัง คำพูดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมองหากลำคอแห้งผากจนแสบไปหมด
'นายน่ะกลัวที่จะเลือกต่างหาก'
เสียงของทหารหลายสิบนายกำลังวิ่งตรงมาทางที่เขายืนอยู่
คิลมองคาโลเงียบๆ ก่อนจะหันหลังกลับและเลือนหายไปในความมืด
คงจะดีกว่านี้ถ้ามันไม่ใช่เพื่อนรักของเขา
และคงจะดีกว่านี้....ถ้าเฟรินไม่เลือกมัน
***********************************TBC...
ความคิดเห็น