ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -FanFic บารามอส- เวลากับสายลม

    ลำดับตอนที่ #6 : [#6] Love

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 50



               
    ไอแดดร้อนแรงจนต้องเอื้อมขึ้นดึงฮูดที่บดบังใบหน้าให้ต่ำลงมาอีก ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้ใครรู้ แต่...มันร้อน!!!


               
    ตาสีน้ำตาลฉายแววไม่พอใจซักเท่าไหร่นัก เริ่มนึกสงสัยความบ้าอะไรในตัวเธอถึงทำให้อยากเดินตลาดตอนใกล้เที่ยงแบบนี้ คิดแล้วก็เหลือบมองนึกสงสารทหารรักษาพระองค์ที่ต้องออกมาตากแดดกับเธอ และถึงทหารทั้งสองคนจะสลัดชุดราชการออกเพื่อไม่ให้สะดุดตา แต่ไอ้การใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ใต้แดดใกล้เที่ยงนี่ก็ออกจะสะดุดตาอยู่บ้าง ในขณะที่ตัวเธอเองก็รื้อเอาชุดเก่าๆ ขึ้นมาใส่ ผลก็คือผีพี่สาวสวดยับเล่นเอาหูชาไปหลายนาทีเหมือนกัน นี่ถ้าไม่อ้างความกลมกลืนคงต้องฟังกันนานกว่านั้น


               
    หากความคิดหงุดหงิดก็ต้องหยุดเมื่อเท้าทั้งสองได้พาเธอมาหยุดลงตรงกลางตลาดนัด ตาสีน้ำตาลพราวระยับอย่างตื่นตากับบรรดาร้านค้าเร่มากมายที่มาชุมนุม มีทั้งของแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไหนจะพวกอาวุธ เสื้อผ้า เครื่องประดับ แต่เห็นที่จะถูกใจที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นร้านขายอาหาร


               
    "ใกล้จะเที่ยงแล้ว เอาเป็นว่าหาอะไรทานก่อนก็แล้วกัน จะได้มีแรงเดินดูของ" เฟรินเอ่ยเสียงใสแล้วเดินนำเข้าร้านอาหารไป


               
    เสียงกระดิ่งที่แขวนติดกับขอบประตูดังขึ้น เจ้าของร้านชราก้าวเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มบริการเต็มที่


               
    "กี่ท่านครับ" เฟรินตั้งท่าจะยกนิ้วสามนิ้วแต่แล้วต้องชะงักไปแปปนึงก่อนจะยิ้ม "สามที่จ้ะลุง แต่ขอแบ่งเป็นสองโต๊ะจะได้ไหม พอดีว่าฉันไม่ทานเนื้อ จะสั่งอะไรก็ลำบากคนที่มาด้วยกันน่ะ"


               
    "ได้สิครับ งั้นเชิญทางนี้เลย" เจ้าของร้านยิ้มรับพลางเดินนำเข้าไปด้านใน ที่นั่งจัดอยู่ค่อนข้างจะกลางร้าน ยังดีที่โต๊ะตัวหนึ่งติดริมหน้าต่างทำให้มองสภาพขวักไขว่ของผู้คนได้อย่างชัดเจน เฟรินพาตัวเองนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง ขณะที่ทหารทั้งสองคนนั่งโต๊ะข้างๆ กัน


               
    "ขอโทษนะที่มาแบ่งแยกกันอย่างนี้ แต่จะให้พวกเธอมาทานกับฉันที่ค่อนข้างจะทานอะไรได้ยากก็เห็นจะเป็นการรบกวน" ถ้อยคำนุ่มนวลตามแบบฉบับของผู้ที่รับการฝึกสอนอีกทั้งความเป็นกันเองในระดับหนึ่งสร้างความตื้นตันและนับถือให้กับทหารทั้งสองนาย พวกเขาก้มหน้าเล็กน้อย


               
    "เป็นพระ...เป็นความกรุณาแล้วครับ" ทหารคนหนึ่งตอบชะงักด้วยสายตาจ้องจับผิดของผู้มีศักดิ์สูงกว่า ที่ตกลงกันก่อนออกจากวังว่าให้เลิกใช้คำราชาศัพท์ชั่วคราว ได้เต็มที่แค่คำสุภาพปกติเท่านั้น เฟรินยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่ 'ควร' จะได้ยิน เป็นเวลาเดียวกับที่บริกรหนุ่มก้าวเข้ามารับรายการอาหาร มีเพียงประโยคแนะนำอาหารขึ้นชื่อสองสามอย่างแต่เมื่อได้รับการปฏิเสธจากลูกค้าจึงได้รับรายการอาหารออกไปเงียบๆ


               
    ตาสีน้ำตาลมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ดึงฮูดลง คงไม่อยากมีใครคนไหนอยากเห็นราชินีที่ดีและเพียบพร้อมแห่งคาโนวาลอยู่ในชุดซอมซ่อแบบนี้นักหรอก


               
    เด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกกลุ่มหนึ่งเดินหยอกเล่นตบหัวเพื่อนกันอย่างสนุกสนานก่อนจะให้ความสนใจกับร้านขายอาวุธจากเมืองอื่น นัยน์ตาใสหม่นแสงลง อย่างน้อย...เธอก็เคยเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้...เธอเป็นแค่ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่หันไปมองอดีตที่เคยลืมเลือน


               
    เธอเคยคิด...หากคาโลไม่ใช่เจ้าชาย มีอาชีพธรรมดาทั่วไปอย่างหัวขโมย ขอทาน หรือนักฆ่า ไม่ต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบใดก็คงดี


               
    แต่...นั่นก็คงไม่ใช่คาโลที่เธอรัก


               
    รอยยิ้มเหยียดยกขึ้นมุมปากราวเยาะตัวเอง


               
    รักแรก...มักเป็นอะไรที่สวยงาม


               
    มองอะไรก็สวยงาม มองอะไรก็เป็นทางราบไม่มีหินหรือฝุ่นมาให้สะดุด ถ้าจะมีก็มั่นใจว่าจะปัดมันหรือข้ามมันไปได้อย่างแน่นอน เธอก็เป็นเช่นนั้น แรกเริ่มเธอมั่นใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเธอที่เป็นขโมยที่ดีแต่หาเรื่องกลายเป็นเจ้าหญิงสองดินแดน ต้องเจอกับเหตุการณ์มากมาย ทั้งสนุกสนาน เฮฮาตามประสา รวมไปถึงการเฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วน เธอคนนี้ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ต้องสามารถผ่านพ้นไปได้


               
    แต่วันนี้เธอกลับต้องคิดหนัก หนักอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิต มือบางทั้งสองข้างบีบเบาๆ ราวกับให้รู้ว่าตัวเองยังมีความรู้สึกอยู่ ริมฝีปากบางเม้มแน่น


               
    เธอรักคาโล เธอมั่นใจ...แต่คาโลล่ะ??


               
    รู้ว่าตำแหน่งคิงที่ยิ่งใหญ่ต้องและกับความเสียสละที่ใหญ่หลวงพอกัน ค่าแลกเปลี่ยนที่หลายคนยากจะทำใจรับแต่ก็หอมหวลเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น


               
    คนเหนือคน...คิงที่อยู่เหนือประชาชน


               
    คาโลที่สืบทอดนิสัยความคิดทุกอย่างจากคิงบาโร คิงเหนือคิงที่ได้รับการยอมรับทั้งเอเดนย่อมไม่มีทางปัดหน้าที่นี่ทิ้งเพียงเพราะสิ่งที่เรียกว่าความรัก


               
    หน้าที่เพื่อประชาชน


               
    หน้าที่เพื่อคาโนวาล


               
    หน้าที่...ที่ทำให้เธอต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่จนบัดนี้


               
    เธอรักคาโล...แต่ก็รักตัวเธอเองเช่นกัน


               
    เธออยากอยู่เคียงข้างคาโล...แต่ก็โหยหาอิสระเช่นกัน


               
    เธออยากเป็นที่ยอมรับ...แต่ก็อยากทำตามใจตัวเองเช่นกัน


               
    เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อคาโล...แต่ดูสิ่งที่มันตอบแทน!!


               
    นึกแล้วยิ่งหงุดหงิดไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงยอมอยู่ในสภาพน่าอึดอัดนี่มานานถึงสามปี แต่ก็นั่นล่ะพอคิดว่าจะเลิกก็อดห่วงไม่ได้ทุกทีว่าคาโลมันจะอยู่ยังไง


               
    เฟรินถอนหายใจหนัก ความคิดนี้ดูท่าทาคงไม่มีทางละทิ้งไปจากสมอง และถึงจะคิดให้ตายก็คงหาข้อสรุปไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลแต่จะกลายเป็นโทสะให้ทะเลาะกันใหญ่โต คนที่เจ็บก็ไม่พ้นเธออีกอยู่ดี


               
    "อาหารที่สั่งได้แล้วครับ" เสียงบริกรเรียกสติให้เฟรินหันกลับมาเอ่ยขอบคุณหลังจากที่อาหารทั้งหมดจัดวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย ควันสีขาวลอยฉุยจากจานหลายจานชวนน้ำลายสอ ตาสีน้ำตาลจ้องมองอาหารตรงหน้าเงียบๆ กับข้าวง่ายๆ ที่หากินได้ตามร้านอาหารทั่วไป ส่วนประกอบก็หาได้จากตลาดที่มีทุกเช้า ไม่ถึงกับดีเลิศแต่ก็ไม่ใช่ของเสียหรือของค้างคืน น่าแปลก...ที่มันดูน่ากินกว่าอาหารเลิศรสในราชวังใหญ่นั่น


               
    เฟรินยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ก่อนจับช้อนเตรียมจัดการกับอาหารตรงหน้า หากหางตาที่เหลือบมองเห็นร่างสูงโปร่ง แม้ไม่คุ้นตาแต่ให้ความคุ้นเคยอย่างประหลาด ร่างบางลุกพรวดจนคนคอยระวังระไวที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ต้องลุกพรวดตามด้วยคิดว่านายเหนือหัวตนเห็นบุคคลที่อาจจะเป็นอันตราย ตาคมสองคู่สอดส่ายไปทั่วขณะที่ลูกค้าที่นั่งทานอาหารเฮฮาหยุดเงียบและหันมามองพฤติกรรมแปลกๆ นี่กันทั้งร้าน


               
    "พระรา..." น้ำเสียงขาดหายเมื่อหันกลับมายังโต๊ะเบื้องหน้าก็ไร้ร่างของบุคคลที่พวกเขาต้องเฝ้าถวายอารักขาด้วยชีวิตเสียแล้ว


    ---------------------------
     

                ไม่ใช่...ไม่น่าเป็นไปได้


               
    แต่...


               
    สองขาที่พาตัวเองวิ่งออกมาจากร้านอาหารไม่ยอมหยุดง่ายๆ สายตาทั้งคู่ยังคงจ้องไปเบื้องหน้าควานหาแผ่นหลังคุ้นตาเมื่อครู่อย่างไม่ลดละ ฮูดที่บดบังใบหน้านั้นหล่นลงมาตั้งแต่เธอเริ่มออกวิ่ง แต่เพราะความวุ่นวายของผู้คนทำให้ไม่มีใครนึกอยากจะสนใจเพ่งหน้าว่าใครเป็นคิงใครเป็นควีนของประเทศไหน


               
    พลั่ก!!


               
    "จะรีบไปไหนกันน่ะ!! ดูทางซะบ้างสิ" เสียงโวยวายตามทางที่เธอวิ่งผ่าน ความรีบร้อนทำให้เฟรินลืมที่จะกล่าวขอโทษหรือแม้แต่จะหันไปมอง ในสมองตอนนี้มีเพียงคำว่า


               
    ทำไม


               
    ทำไมหมอนั่นมาอยู่ที่นี่ได้!


               
    ตาสีน้ำตาลวูบไหวไปมา แม้จะไม่แน่ใจแต่ก็หวัง หวังอย่างที่เคยบอกตัวเองว่าความหวังเป็นเพียงการให้กำลังใจตัวเองและไม่มีทางเป็นจริงมาตลอดสองปี


               
    ปึก!


               
    โครม!!!


               
    ด้วยความที่สายตาเอาแต่มองภาพเบื้องหน้า สองขาที่ลัดเลาะไปตามพื้นที่จึงสะดุดเข้ากับตะกร้าเปล่าที่คนขายลืมเก็บเข้าไปในร้านส่งให้ร่างบางๆ นั้นล้มโครมลงกับพื้น เฟรินหยัดตัวเองขึ้นมาลูกหัวตัวเองด้วยความมึนงง ยังดีที่ไม่ได้เอาคางลง ไม่งั้นคงได้เห็นดาว


               
    "ตายแล้ว!! เป็นยังไงบ้างแม่หนู ป้าขอโทษๆ" ป้าเจ้าของร้านรีบเดินออกมาขอโทษขอโพยให้คนที่ยังนั่งมึนอยู่บนพื้นยิ้มแห้งๆ ปฏิเสธ "ไม่เป็นไรจ้ะป้า ฉันเองก็วิ่งไม่ดูทาง ขอโทษนะจ้.."


               
    เฟรินรู้สึกวูบพร้อมกับแรงกระชากที่แขนให้ลุกขึ้นยืน เธอตวัดสายตาหันกลับไปมองเพื่อที่จะขอบคุณแต่แล้วก็ต้องชะงักค้าง


               
    นานเหลือเกินแล้ว...ที่เธอดูจะลืมเลือนคำว่า


               
    ...สมตามความหวัง...


               
    "นั่งแหมะอยู่นั่นจะขวางทางคนขายของเขารึไง แกนี่ยังขยันหาเรื่องไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ" คนช่วยฉุดตกใจเมื่อเห็นหยาดน้ำใสแล้วเริ่มลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่คุ้นเคย อีกทั้งเป็นน้ำตาจากคนตรงหน้าด้วยแล้วยิ่งทำอะไรไม่ถูก มือใหญ่ล้วงเอาผ้าสะอาดที่มักพกติดตัวขึ้นมาปาดน้ำออกจากแก้มใสนั้นแรงๆ เหล่าคนที่เดินสวนไปสวนมาเริ่มเห็นเหตุการณ์ผิดสังเกตจึงหยุดมอง


               
    "แกจะร้องไห้อะไรตรงนี้" ผ้าสะอาดนั้นยังคงป้ายเช็ดน้ำตาที่ยังคงไหลลงมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยไม่หยุด


               
    ความเหนื่อยล้าจากการวิ่งหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่เธอไม่รู้ รู้เพียงแต่ภาพตรงหน้านั้นพร่าเลือนด้วยม่านใสที่เอ่อจนล้นขอบตาไหลอาบแก้มขาวที่แดงเพราะความเหนื่อยหอบ ทำนบความรู้สึกที่กักขังทุกสิ่งค่อยๆ ปริร้าวให้กระแสความเจ็บปวดที่ทนเก็บมาไหลซึมซับไปทั้งร่าง ลำคอตีบตันทั้งที่คิดว่าหากได้เจอคงมีเรื่องที่จะคุยกันมากมายแต่ตอนนี้กลับมีเพียงลมอากาศหลุดออกมา


               
    "...."


               
    "อะไร"


               
    "...."


               
    "อยากพูดอะไรเฟริน"


               
    น้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจของคนพูดทำให้เส้นความอดกลั้นและอิฐก้อนสุดท้ายของใจถูกดึงออกมา


               
    กำแพง...พังทลาย


               
    ร่างบางโผกระโดดเข้ากอดร่างสูงอย่างไม่อายสายตานับสิบที่จ้องมองพร้อมกับเสียงสั่นเครือที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางอย่างยินดีที่สุด


               
    "...คิล..."

    *****************************TBC...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×