ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -FanFic บารามอส- เวลากับสายลม

    ลำดับตอนที่ #27 : [#27] Hesitation

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.23K
      4
      16 ต.ค. 50


               
    "
    แกแน่ใจแล้วเหรอว่าจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้"  คำถามจากเพื่อนซี้ที่พยายามจะอัพเกรดฐานะตัวเองมาตลอดถามขึ้น คิลโยนท่อนฟืนใส่กองไฟกองใหญ่ตรงหน้า เหนือไฟนั้นคือกิ่งไม้สามสี่กิ่งที่เสียบเนื้อกระต่ายเอาไว้ ขณะที่เฟรินยกถ้วยชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย


               
    เพราะอากาศที่อุ่นขึ้นทำให้พวกเธอตัดสินใจออกมานั่งผิงไฟอยู่นอกบ้าน กองไฟกองเล็กจึงถูกจุดขึ้นหลังจากที่ท้องฟ้าเริ่มกลายเปลี่ยนสี บรรยากาศจึงราวกับพักแรมอยู่กลางป่าไม่ผิดเพี้ยน


               
    "
    ไม่ให้อยู่อย่างนี้แล้วแกจะให้ฉันอยู่ยังไง" เธอถามกลั้วหัวเราะ "แล้วอย่าบอกล่ะว่าให้ไปอยู่บ้านแก"


               
    กะจะพูดอยู่เชียว...


               
    คิลส่ายหน้าช้าๆ อย่างนึกเสียดาย


               
    "
    แกก็รู้ว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร" ชายหนุ่มหยุดพูด นัยน์ตาสีม่วงประกายจ้องมองคนฟังอย่างพยายามจับผิด


               
    "
    พรุ่งนี้เขาคงมีคำสั่งถอดถอน" เฟรินเอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร "ส่วนสาเหตุก็คงเป็นเรื่องของความไม่เหมาะสมนั่นนี่ เชื่อเถอะว่าพวกสภาอำมาตย์น่ะสามารถหาความไม่เหมาะสมของฉันเจอได้เป็นร้อยแปด"


               
    "
    แต่ฉันไม่คิดว่าคาโลมันจะเห็นด้วยกับไอ้เรื่องงานแต่งตั้งราชินีอะไรนั่น"


               
    "
    ก็คงถูกสภาอำมาตย์กดดันล่ะมั้ง" เธอตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ "หรือไม่ก็คาโลมันคงรักมีเดียจริงๆ ก็แค่นั้น"


               
    รอยยิ้มสดใสระบายขึ้นบนใบหน้าที่ต้องแสงไฟ ผิดกับแววตาสีน้ำตาลที่ไม่ได้ยิ้มตามปาก


               
    คิลจ้องมองอาการนั้นเงียบๆ


               
    "
    แต่แกก็ยังรักคาโล" เฟรินชะงักไปกับคำพูดที่โพล่งออกมา พร้อมกับหันมาสบตาสีม่วงของเพื่อนนักฆ่า


               
    "
    แล้วมันช่วยอะไรได้ล่ะ"


               
    ...........................


               
    ทั้งๆ ที่เป็นคำถามง่ายๆ แต่เขากลับนึกคำตอบไม่ออก


               
    รอยยิ้มบางเบาระบายขึ้นบนใบหน้าที่ต้องแสงไฟนั้น เอ่ยต่อ


               
    "
    แค่ความรักอย่างเดียวมันไม่ช่วยให้เรื่องมันดีขึ้นหรอก ถึงฉันรักคาโลแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ปาฏิหารย์มีจริง"


               
    "
    ก็ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมนายถึงไม่พูดออกไป" เสียงคุ้นหูของบุคคลที่สามดังถามขึ้น หากสองคนที่นั่งอยู่กลับไม่แม้แต่จะหันไปมองแขกที่มาใหม่


               
    "
    เคยพูด...จนเลิกคิดที่จะพูดแล้ว" เฟรินตอบยิ้มๆ ขยับตัวหยิบแก้วที่เหลืออยู่อีกใบขึ้นมารินน้ำชาให้แขกอย่างรู้หน้าที่ โรทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับรับแก้วนั้นมาไว้ในมือ


               
    "
    แต่ถ้านายพูดไป บางทีอะไรๆ อาจจะเปลี่ยน" คนถูกต้อนเงียบลง มองประกายไฟที่ปะทุขึ้นตรงหน้า


               
    บางที...ที่เป็นไปไม่ได้


               
    "
    ทั้งฉันทั้งมันต่างก็ลืมวิธีการที่จะพูดคุยกันไปนานแล้ว"


               
    ...
    สิ่งที่เรียกว่าคำพูด...


               
    "
    ก็แค่หันหน้าเข้าหากัน แล้วพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดก็แค่นั้น"


               
    ถ้าทำได้...ก็คงจะดี


               
    ในเมื่อแค่มองหน้ากันก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดกับสายตาที่เย็นชานั้น


               
    ความเย็นชาที่เธอเคยเผชิญเมื่อครั้งที่เห็นหน้าคาโลเป็นครั้งแรก


               
    ปวดร้าวกับความอ่อนโยนที่ว่างเปล่า


               
    ทิ่มแทงกับการกระทำอันหลอกลวง


               
    ความหลอกลวงที่ให้ความหวังเธอมาหลายปี


               
    เฟรินยิ้มเหยียดเมื่อพบว่าความคิดของเธอสุดท้ายก็จบลงที่เดิม


               
    "
    ที่มาวันนี้นี่มีข่าวอะไรอีกรึไง โร"


               
    คนถูกถามขยับยิ้มน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องกันเสียง่ายๆ แบบนี้ ขอทานแห่งทริสทอร์ยกแก้วชาขึ้นจิบเล็กน้อย


               
    "
    ไม่มีนี่ ฉันก็แค่มาทำหน้าที่ตามอาชีพ" คำบอกเล่าเรียกรอยยิ้มกวนๆ จากเฟริน ร่องรอยความอึดอัดเมื่อครู่จางหายไปอย่างรวดเร็ว


               
    "
    อาชีพที่ว่าน่ะ มันอาชีพคิงหรือขอทาน ถ้าเป็นคิงก็คงต้องทูลให้เสด็จกลับเพราะที่นี่มันไม่เหมาะที่ฝ่าบาทจะประทับ แต่ถ้ามาในฐานะขอทานก็คงต้องเฉดหัวแกกลับเพราะไม่มีอะไรจะให้เหมือนกัน"


               
    โรหัวเราะ


               
    "
    ก็แค่เดินขอทานมาเรื่อยๆ นึกได้ว่าไม่ได้โผล่หน้ามานาน กลัวใครบางคนจะลืมกันไปก่อน" ตาสีเขียวสะท้อนแสงไฟระยิบระยับ รอยยิ้มกว้างถูกส่งให้เจ้าบ้านสาว แต่สำหรับนักฆ่าหนุ่มที่ไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรืออะไร ถึงได้รู้สึกว่าแวบหนึ่งไอ้สายตาวาวๆ น่าหมั่นไส้นั่นมันเหลือบมาทางเขาด้วย


               
    "
    คราวนี้หนีออกมาอีกหรือไง" ไม่มีคำตอบจากขอทานเจ้าเล่ห์นอกจากรอยยิ้มที่เหมือนจะตอบว่าใช่และไม่ในเวลาเดียวกัน


               
    "
    ฉันว่านายควรโละทหารที่ประจำอยู่ในทริสทอร์ออกให้หมดแล้วคัดเลือกใหม่ดีกว่านะ" เฟรินเปรยขึ้นอารมณ์ดี  มือก็สาละวนพลิกเนื้อกระต่ายย่างตรงหน้า ถึงแม้ตนจะกินไม่ได้ก็ตาม"มีอย่างที่ไหนปล่อยให้คิงของตัวเองออกมาเพ่นพ่าน งานการไม่ทำแบบนี้"


               
    ตาสีเขียวกับตาสีม่วงหันมาสบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก


               
    ถ้าเฟรินมันรู้ว่าทหารคาโนวาลก็ห่วยพอกันมันจะทำหน้ายังไงนะ


               
    แต่เอาเถอะ...ถามไปตอนนี้ก็รังแต่จะทำให้บรรยากาศแย่ลงเปล่าๆ


               
    คิลไหวไหล่ให้โร หันไปสนใจเนื้อย่างตรงหน้าแทน ขณะที่เสียงเจื้อยแจ้วของเฟรินก็ยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีใครพูดถึงคาโลหรือคาโนวาลอีกเลย

     


    ------------------------------------

     

                ....นายน่ะกลัวที่จะเลือกต่างหาก...


               
    ถ้อยประโยคของรุ่นพี่นักบวชแห่งแอเรียสเมื่อหลายวันก่อนยังคงดังก้องอยู่ในหู


               
    คาโลทิ้งปากกาลงบนโต๊ะแล้วพิงพนักเก้าอี้ใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าหลับลงเพื่อผ่อนคลาย หลังจากที่ต้องเพ่งดูงานบนโต๊ะนี่มาเกือบสี่ชั่วโมงแล้ว แม้ว่าตลอดสี่ชั่วโมงนั้น สมาธิของเขาดูจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ก็ตาม


               
    ส่วนหนึ่งของเอกสารเป็นจดหมายร้องทุกข์จากประชาชนเรื่องของการขึ้นภาษีที่เขาแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ออกถึงความจำเป็นของมัน จะบอกว่าเป็นเพราะค่าใช้จ่ายในการดูแลมีเดียก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้


               
    นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก


               
    เหมือนมีอะไรบางอย่างพยายามจะปิดบังความคิด และเหตุผลของการตัดสินใจไว้


               
    หรือบางทีเขาจะแก่เกินไปแล้ว?


               
    คาโลถอนหายใจหนัก เหยียดยิ้มกับความคิดที่ไม่เข้าท่าของตัวเอง ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มคิดเรื่อยเปื่อยแบบที่ตัวเองไม่เคยคิดที่จะทำ


               
    แต่หมอนั่นชอบทำ


               
    ความนึกคิดทั้งหมดกลับมาหยุดลงที่เรื่องราวของบุคคลที่ตัดสินใจออกจากวังแห่งนี้อีกครั้ง ใช่...เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เขาเริ่มคิด แม้ว่าจะก่อนหน้านั้นจะคิดเรื่องอะไรมากมายสุดท้ายก็จะจบลงที่คนๆ นั้น


               
    คนที่ปากไม่ตรงกับใจ แต่จริงใจกับเขาตลอดเวลา


               
    คนที่คำพูดมักไปก่อนความคิด แต่ไม่เคยทำให้เขาลำบากใจ


               
    คนที่เขาคิดว่าจะอยู่เคียงข้างเสมอ


               
    คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องเสียไป


               
    "
    ท่านอำมาตย์เรเชอร์ขอเข้าพบพระเจ้าค่ะ" เสียงของมหาดเล็กหน้าห้องดังขึ้นขัดความคิดของคาโล คิ้วเข้มเผลอขมวดเข้าหากัน นึกแปลกใจว่าทำไมหัวหน้าสภาอำมาตย์ถึงมาขอพบเขาในเวลาแบบนี้ แต่ก็เอ่ยอนุญาตให้เข้ามา


               
    ร่างของชายชราผู้มีนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มก้มตัวต่ำทำความเคารพ ขณะที่ดวงตาคมกริบของผู้เป็นเจ้าของห้องจับจ้องอยู่ตั้งแต่ที่บานประตูเปิดออก


               
    "
    กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลถาม" คำเริ่มบทสนทนาของคนตรงหน้าสร้างความแปลกใจให้กับคาโล "เรื่องของพิธีแต่งตั้งพระสนมมีเดีย"


               
    "
    ท่านจะถามเรื่องอะไร" คิงหนุ่มถามกลับเสียงเรียบปนสงสัย เพราะปกติแล้วหากเรื่องที่เขาได้ตัดสินใจหรือ 'สภาอำมาตย์ตัดสินใจ' ไปเรียบร้อยแล้วก็ไม่เคยมีคำถามอีกในเวลาต่อมา


               
    "
    ฝ่าบาท...แน่พระทัยแล้วหรือพระเจ้าค่ะ"


               
    คาโลเงียบเป็นคำตอบ ตาสีฟ้าจ้องมองร่างชราของผู้ที่ทำงานในวังนี้มาตั้งแต่สมัยของคิงบาโรอย่างใช้ความคิด


               
    "
    กระหม่อมคิดว่าน่าจะเลื่อนวันออกไป"


               
    "
    เมื่อเช้าท่านเป็นคนเสนอเรื่องเวลาเองนะท่านอำมาตย์" คนฟังสวนกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแทบจะทันทีที่อำมาตย์เฒ่าพูดจบ "หรือจู่ๆ ท่านคิดว่ามีเดียมีข้อบกพร่องมากมายเหมือนเมื่อคราวของเฟริน"


               
    เรเชอร์ก้มตัวต่ำรับคำพูดยอกย้อนนั้น แม้ว่าอันที่จริงแล้วไพซิสต่างหากที่เป็นคนตระเตรียม หากเมื่อสภาเห็นชอบเขาเองก็ไม่สามารถขัดอะไรได้


               
    "
    กระหม่อมเพียงแค่คิดว่า ถ้าจะจัดงานแต่งตั้งหลังจากที่มีการประกาศปลดราชินีเฟลิโอน่าออกทันทีเลยนั้นดูจะไม่ค่อยเป็นการดีนัก"


               
    "
    แล้วทำไมถึงยังเสนอมาถ้าท่านคิดว่ามันไม่เหมาะ" นัยน์ตาเย็นเยียบเพ่งตรงมาที่คนพูด พร้อมกับน้ำเสียงราบเรียบหากเต็มไปด้วยร่องรอยของโทสะ


               
    "
    เสียงของกระหม่อมเพียงเสียงเดียวจะทำอะไรกับเสียงทั้งหมดของสภาอำมาตย์ได้ฝ่าบาท" เรเชอร์ตอบช้าอย่างพยายามควบคุมไม่ให้ตนหมดสติจากแรงกดดันของคิงหนุ่มตรงหน้านี้เสียก่อน


               
    ใครว่าตำแหน่งยิ่งสูงจะยิ่งสบาย


               
    มีแต่จะทำให้อายุตัวเองสั้นลงเรื่อยๆ เสียมากกว่า


               
    "
    จริงอยู่ที่สภาอำมาตย์ตัดสินใจเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว แต่คนที่จะทำให้มันเกิดขึ้นก็คือฝ่าบาท"


               
    "
    ท่านจะบอกว่าเราอยากให้มันเป็นอย่างนี้งั้นรึ" คาโลถามกลับ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขามักจะไม่ชอบพูดขัดคนอื่น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาพยายามจะย้อนทุกคำพูดที่ได้ยิน


               
    "
    พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมแค่อยากจะทูลว่าหากฝ่าบาทไม่ต้องการก็แค่ปฏิเสธ"


               
    "
    แล้วสภาของท่านจะยอมฟังคำปฏิเสธของเรางั้นหรือท่านอำมาตย์"


               
    ความเงียบคือคำตอบ


               
    "
    เรื่องบางเรื่อง..." เรเชอร์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง "ก็ต้องฝืนใจทำแม้จะต้องทรมานก็ตามพระเจ้าค่ะ"


               
    "..........."


               
    "
    เหตุผลสำคัญที่ทำให้กระหม่อมต้องรบกวนฝ่าบาทในเวลาเช่นนี้ก็เพื่ออยากทูลถามให้แน่ชัดว่านี่เป็นพระประสงค์ที่แท้จริงของฝ่าบาท"


               
    "
    ท่านต้องการจะพูดอะไร" คาโลถามขึ้นหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ "สิ่งที่เราต้องการมันจะสำคัญเท่า 'สภาอำมาตย์และประชาชน' ต้องการได้อย่างไรกัน"


               
    "
    คนที่ตัดสินใจเรื่องนั้นคือฝ่าบาทพระเจ้าค่ะ" คิงหนุ่มชะงักกับคำตอบ "สภาอำมาตย์จัดตั้งเพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับกษัตริย์ เพื่อแบ่งเบาภาระมากมายที่กษัตริย์ต้องรับผิดชอบ งานของสภาอำมาตย์คือให้คำแนะนำและข้อเสนอที่ดีต่อประชาชน แต่คนที่จะตัดสินใจว่านั่นคือสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ก็คือตัวของกษัตริย์เองพระเจ้าค่ะ"


               
    ร่างสูงหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่นิ่งเงียบ เดาไม่ออกว่าภายใต้ใบหน้าสลักเรียบเฉยนั้นกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นใด


               
    "
    คำพูดของท่านดูจะขัดกับการกระทำเมื่อสามปีก่อนนะ" ในที่สุดคาโลก็ยอมพูดขึ้น หากเป็นหัวข้อใหม่ที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังพูด


               
    "
    เราที่ยืนกรานหนักแน่นเรื่องที่จะรับเฟรินเข้าคาโนวาล โดยไม่สนใจคำคัดค้านของสภาอำมาตย์ ท่านก็ใช้ 'มติของสภา' มาบีบเราไม่ใช่หรือไง" คาโลถามเสียงเย็น


               
    "
    นั่นเพราะสถานการณ์ตอนนั้นอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดความวุ่นวายพระเจ้าค่ะ" อำมาตย์เฒ่าตอบ


               
    "
    ทั่วทั้งเอเดนรู้ดีว่าราชินีเฟลิโอน่าคือใคร และการที่คาโนวาลซึ่งเป็นผู้นำในศึกมหาสงครามเมื่อหลายปีก่อนจะรับธิดาแห่งความมืดมาเป็นราชินี ย่อมเกิดข้อสงสัยและความไม่พอใจทั้งต่อประชาชนคาโนวาลเองรวมไปถึงประเทศอื่นๆ  อีกทั้งความหวาดกลัวต่อชาวเดมอสที่ยังคงเกาะกินหัวใจตลอดเวลาก็ยิ่งเหมือนไม้ที่แห้งสนิท รอเพียงประกายไฟเล็กๆ ก็พร้อมจะลุกไหม้กลายเป็นสงครามใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งโดยมีคาโนวาลเป็นศูนย์กลาง ในตอนนั้นฝ่าบาทแน่ใจหรือไม่ว่าเรื่องที่กระหม่อมพูดมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น"


               
    คาโลเงียบ ความหงุดหงิดและโทสะที่เริ่มกรุ่นมาตั้งแต่เริ่มบทสนทนาค่อยๆ มอดดับลงช้าๆ ด้วยเหตุผลที่เขาเพิ่งจะได้ยิน


               
    "
    แล้วท่านจะให้เราทำยังไง" เรเชอร์เกือบจะถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คลายความแข็งกร้าวลงจนกลายเป็นปกติ


               
    "
    กระหม่อมไม่บังอาจถึงขนาดจะชี้นำฝ่าบาท เพียงแต่...หากฝ่าบาทปรารถนาสิ่งใดก็ตรัสสั่งตามที่ใจปรารถนาเพียงเท่านั้นพระเจ้าค่ะ"


               
    "
    ท่านแน่ใจ?" เรเชอร์รับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หากนัยน์ตาสีฟ้าคมกริบนั้นก็จับจ้องมองใบหน้าชราของอำมาตย์เฒ่าด้วยพยายามจะอ่านความต้องการแท้จริงที่อาจจะท่าทีผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยจากคนตรงหน้า แต่สิ่งที่คาโลเห็นกลับมีแค่ข้าราชการชั้นสูงที่อุทิศตัวทำงานมาหลายสิบปีเพียงเท่านั้น


               
    "
    ถ้าอย่างนั้นก็ดี"


    ***************************************TBC...

    Talk > ในที่สุดก็เอามาลงจนครบ ใครที่ไม่ได้อ่านใน IE ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะที่ทำให้รอนานขนาดนี้ ส่วนที่ถามว่าใน IE ยังไม่ได้อัพนั่นก็เพราะตอนใหม่ยังแก้ไม่เสร็จเลยค่ะ T[]T (นึกอยากกรีดร้องกับความไร้ความสามารถของตัวเองจริงๆ) เอาเป็นว่า...จะพยายามแก้ให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ค่ะ T_T

    ขออภัยจริงๆ m(_ _)m

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×