ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -FanFic บารามอส- เวลากับสายลม

    ลำดับตอนที่ #17 : [#17] Release

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 50


    คุมฟอนส์ยากจริงๆ ค่ะ = ="

    ************************************

                         แดดร้อนแรงยามบ่ายที่แม้จะเป็นช่วงย่างเข้าฤดูหนาวได้สาดความร้อนลงมาแทบจะทำให้คนที่ยืนอยู่แทบเป็นบ้า ร่างโปร่งเอื้อมมือขยับฮู้ดลงมาเพื่อลดไอแดดที่กระทบกับผิวโดยตรง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นความสนใจในสิ่งรอบตัวก็มีมากกว่าความหงุดหงิดนั้น

                         นัยน์ตากลมโตมองไปโดยรอบอย่างโหยหา ทั้งๆ ที่ภาพรอบตัวก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือแปลกใหม่อะไร ภาพของเด็กที่วิ่งไล่จับกัน ภาพของพ่อค้าแม่ค้าที่ตะโกนด่าเมื่อเด็กเหล่านั้นวิ่งไปชนแผง แม้กระทั่งภาพของต้นไม้ที่ไหวลู่เอนไปกับสายลมยามบ่ายที่พัดมาก็ดูน่ามองกว่าที่เคยเป็น

                         "เอ้า!" แอปเปิ้ลสีแดงสดถูกโยนมาให้คนที่ยืนมองสะดุ้งยกมือขึ้นรับ แต่เพราะกิริยาดังกล่าวได้ห่างหายไปจากชีวิตไปเสียนาน แอปเปิ้ลสีแดงลูกนั้นจึงตกลงสู่พื้นดินเสียแทน

                         "อะไรกัน เสียดายของชะมัด" ชายหนุ่มร่างสูงกว่าอีกคนเดินบ่นพลางก้มลงหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมาปัดๆ แล้วกัดกร้วมอย่างไม่กลัวว่าจะกลืนพยาธิลงไปด้วย

                         "ไม่ใช่ความผิดฉันนะคิล" เสียงทุ้มติดหวานดังในเชิงขำขันมากกว่านึกโกรธเคือง คิลไม่ว่าอะไรต่อเพียงแต่ยื่นแอปเปิ้ลอีกลูกให้แทน เสียงย่ำเท้าถี่จำนวนมากดังเข้ามาใกล้ คิลวางถุงกระดาษลง ดึงแขนคนข้างๆ หลบอยู่ข้างหลังเข้าไปซอกร้านใกล้ๆ เสียงสั่งการโวยวายอะไรบางอย่างดังพร้อมกับที่ทหารจำนวนหนึ่งได้กระจายออกไปรอบๆ คิลจึงตัดสินใจถอยหลังออกไปช้าๆ แต่ก็นั่นล่ะ เขาไม่มีตาหลังเพราะฉะนั้น...

                         เคร้ง....

                         ไอ้ถังเหล็กเฮงซวย

                         แน่นอนว่ามันได้ผล สายตานับสิบคู่เบนมาที่พวกเขาทันที คิลยกมือปิดหน้าเครียดกับตัวเองที่ดันมาซุ่มซ่ามเอาเวลานี้

                         "นายทั้งสองคนน่ะ มานี่ทีสิ" คำสั่งเรียกให้คนฟังเริ่มเหงื่อแตก ถ้าออกไปก็ต้องโดนจับเท่ากับงานไม่เสร็จ สำคัญที่สุดก็คือหมอนี่มันต้องไปอยู่ในสภาพน่าอึดอัดนั่นอีกรอบ เจอกันคราวหน้าอาจจะได้เห็นแค่ชื่อมันบนป้ายหิน

                         "เร็วเข้าสิ!" สายตาคมของทหารเริ่มวิบวับจับหาจุดผิดสังเกต คิลหลับตาลงอย่างตัดสินใจได้พร้อมกับชักมีดขึ้นมา

                         เมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเผชิญ

                         แต่ไม่ทันที่จะได้พุ่งเข้าหาเหล่าทหารที่ยังคงมองมาทางพวกเขา มือขาวก็เอื้อมจับแขนของคิลแล้วกระชากให้หมุนตัวกลับพิงกับลังไม้ด้านหลังแล้วร่างในเสื้อคลุมก็โน้มตัวลงไปทันทีท่ามกลางความตกตะลึงทั้งเจ้าตัวเองและทหารที่กำลังมอง

                         "เงียบๆ นะ" เสียงทุ้มหวานกระซิบแผ่วเบา ลมหายใจอุ่นกระทบแก้มทำให้รู้สึกแปลกๆ ตาสีน้ำตาลเหลือบมองพวกทหารอย่างชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นหัวเราะร่า ดึงฮู้ดลงให้เห็นใบหน้าคมของบุรุษผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลสีเดียวกับเส้นผมสั้นระต้นคอนั่น

                         "อะไรกันพี่ชาย อยากร่วมด้วยงั้นเหรอ" นายทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดถอยกรูดไปเกาะผู้บังคับบัญชาของตนแทบจะทันที ตาสีน้ำตาลทอประกายวิบวับพลางเลียริมฝีปากให้ทหารที่มองขนลุกกันเป็นแถบก่อนจะเอ่ยต่อ

                         "ไอ้ฉันน่ะกี่คนก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ เข้ามาพร้อมกันเลยก็ได้" ไม่พูดเปล่ายังก้าวเข้าไปหาช้าๆ พร้อมๆ กับที่เหล่าทหารหาญถอยหลังไปตามจำนวนอีกเขาก้าวเข้ามา

                         "ไม่ต้อง! จะไปทำ...อะไร.......ก็เรื่องของพวกแก เฮ้ย! ตรวจดูเสร็จไปตรวจที่อื่นต่อได้แล้วไป!" คำสั่งรวบรัดพรั่งพรูออกมาราวกับคำประกาศิต เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาพื้นที่ดังกล่าวก็ไม่เหลือทหารไว้แม้แต่คนเดียว ร่างโปร่งหัวเราะคิกคักขณะที่ไอ้คนถูกกระทำกลับทำหน้าปุเลี่ยน เพราะไอ้ที่พูดไปเมื่อกี้มันไม่ใช่แค่ทหารได้ยินฝ่ายเดียวน่ะสิ

                         สายตานับสิบคู่ของชาวบ้านกำลังจับจ้องมาทางพวกเขาพร้อมเสียงซุบซิบนินทากันอย่างหนัก พร้อมชี้ไม้ชี้มือมาเป็นการยืนยันว่าหัวข้อที่กำลังซุบซิบนั่นไม่พ้นเรื่องที่ไอ้ตัวดีที่กำลังยืนหัวเราะพูดไปเมื่อครู่

                         "ทีหลังจะทำอะไรบอกกันก่อนได้ไหม" คิลบ่นพึมพำ เฟรินหันมาฉีกยิ้ม "เอ้า! ก็มันฉุกละหุก หรือแกมีวิธีที่ดีกว่านี้" คำย้อนเรียกเสียงถอนหายใจให้กับคนฟัง

                         พอออกจากวังมันก็กวนตีนขึ้นมาทันตา

                         "แล้วจะไปไหน ฉันจะได้ทำงานให้เสร็จๆ ไปซะที ให้ตายสิ...ค่าจ้างก็ไม่ได้" ประโยคหลังงึมงำบ่นกับตัวเองอย่างรู้ดีว่าสมควรจะโทษตัวเองที่แส่หาเรื่องรับงานนอกอาชีพ แถมไม่ใช่ลักพาตัวธรรมดา

                         ราชินีแห่งคาโนวาลเลยนะโว้ย!

                         ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็งตัวเอง แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็พามันออกมาแล้ว คิลสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านที่เหลือ ตาสีม่วงมองคนถูกลักพาตัวที่กำลังโบกมือยิ้มให้ชาวบ้านราวกับประกวดนางสาวไทยก็ไม่ปาน เสียแต่ชาวบ้านพวกนั้นไม่ได้วิ่งกันแห่เข้ามาขอลายเซ็นต์มีแต่วิ่งหนีหลบเข้าบ้านพร้อมปิดประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนา

                         "แค่แกพาฉันออกมางานนายก็เสร็จแล้วคิล" เฟรินพูดหันมายิ้มบาง ดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมศีรษะตามเดิมพร้อมกับถอดแหวนที่นิ้วกลางออก ใบหน้าคมของบุรุษเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเเป็นความอ่อนหวานของสตรีแทน

                         "ฉันไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ปล่อยนายไว้แบบนี้ไม่นานคาโลก็ต้องหาตัวเจอ ไม่เท่ากับฉันเสียแรงเปล่ารึไง" เฟรินหัวเราะเบาๆ กอดอกมองเพื่อนนักฆ่าที่ตอนนี้เปลี่ยนอาชีพเป็นผู้ร้ายลักพาตัวชั่วคราวตามคำขอร้องของหล่อน

                         "แล้วแกจะเอายังไง จะให้ฉันไปนอนบ้านแกเรอะ" คิลสะดุ้งเล็กๆ คงไม่ดีแน่ๆ ถ้าเกิดจู่ๆ ครอบครัวเขาก็พบว่าลูกชายคนเล็กพาไอ้คนชอบหาเรื่องเข้าบ้าน

                         สำคัญตรงที่ไอ้คนที่ว่ามันมีตำแหน่งราชินีค้ำคอมันน่ะสิ

                         เฟรินหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดของนักฆ่าหนุ่ม แต่คนถูกหัวเราะน่ะไม่ขำด้วยเลยซักนิด

                         "ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ แกอยากจะหนีออกมาก็แค่เขียนจดหมายไปบอกจ้าวเอวิเดสก็ได้ รับรองแทบจะหายตัวมาหา" คนฟังหยุดหัวเราะพร้อมกับยิ้มพยักหน้า "ก็ถูกของแก เพียงแต่มันจะไม่จบแค่นั้นน่ะสิ"

                         แน่นอนเธอรู้ดี แค่เธอเอ่ยปากเพียงคำเดียว พ่อปีศาจของเธอต้องแล่นมาจากเดมอสภายในไม่กี่ชั่วโมง

                         ปัญหาคือ...คงไม่ได้มาเพียงคนเดียว

                         ซ้ายขวาคงขนาบด้วยราชินีจันทรากับราชายักษ์ผู้เป็นน้าอาของเธอเป็นของแถม ยังไม่พออาจจะมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมเป็นทัพปีศาจอีกสองสามกองพันที่เดลิเวอรี่ส่งตรงประชิดชายแดนคาโนวาล

                         แค่คิด...ก็ปวดหัว

                         "แล้วแกจะไปไหน หรือให้ฉันพาไปส่งทริสทอร์" คำถามเรียกสติให้เฟรินต้องยิ้มอีกรอบพลางส่ายหน้าช้า "ไม่ได้หรอกคิล ถ้าทำอย่างนั้นคาโนวาลจะเดือดร้อน ที่สำคัญฉันไม่อยากให้โรมันมาเดือดร้อนเรื่องของฉัน"

                         แล้วไอ้ที่แกหนีออกมาแบบนี้ไม่ทำให้ทั้งฉันทั้งคาโนวาลเดือดร้อนเรอะ!

                         คิลเผลอสบถอุบอิบกับสถานะอันน่าอึดอัด ซับซ้อนที่เพื่อนสาวต้องเผชิญมาตลอด บอกตรงๆ ว่าเขาไม่คิดว่ามันจะทนได้นานขนาดนี้

                         คงเพราะ...รัก

                         ตาสีม่วงเป็นประกายเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุผลที่ทำให้เพื่อนตัวแสบคนนี้ยอมอดทนในสภาพกดดันได้นานถึงสามปี

                         "ทางเหนือ..." เสียงหวานเปรยขึ้นให้คิลเงยหน้าขึ้นมามอง ตาสีน้ำตาลมองไปยังทิศที่พูดขึ้นเมื่อครู่ "ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว...พ่อมาดัสเคยสร้างบ้านอยู่ทางเหนือของคาโนวาลน่ะ เอาไว้พักผ่อนเวลามาที่นี่ ไม่รู้ป่านนี้จะโดนรื้อทิ้งไปรึยัง"

                         คิลนิ่งเงียบไปนาน

                         "ไกลไหมล่ะ" เฟรินส่ายหน้าเป็นคำตอบ คนถามถอนหายใจเฮือกใหญ่เดินไปหยิบถุงกระดาษที่วางแหมะไว้บนลังไม้

                         "งั้นก็เดินไปก็แล้วกัน"

                         บ้าน...ไม่สิ ควรจะเรียกว่ากระท่อมมากกว่า สภาพผนังไม้ทรุดโทรมดีแค่ไหนที่แผ่นไม้ไม่หลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ท่ามกลางป่าทึบโอบล้อมไว้รอบด้าน ทางเข้า(ที่พอจะเดาได้ว่า)เป็นถนนเส้นเล็กๆ ที่หญ้าขึ้นรกยาวถึงหัวเข่า ภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์มีเพียงแค่เตียงเก่าๆ แข็งๆ ผ้าห่มสีขุ่นมอซอขาดเป็นรูใหญ่จนเกือบกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว โต๊ะไม้ที่พอเอาของวางลงมันก็เอียงโย้เย้จนน่ากลัว เก้าอี้ไม้สองตัวที่สภาพไม่ต่างจากโต๊ะเท่าไหร่นัก เตาผิงเหล็กตัวเล็กเต็มไปด้วยสนิมวางอยู่ติดผนังกลางห้อง

                         จากวังหรูหรา...กลายเป็นเพิงพักซอมซ่อ

                         "แก...อยู่ได้เหรอเฟริน" คิลลังเลที่จะถามเล็กน้อย หากเฟรินยิ้มพยักหน้าพลางเปิดหน้าต่างรับแดดให้ทอเข้ามาภายในบ้านไม้หลังเล็กนี่ เธอหยิบผ้าปูที่นอนมาสะบัดให้ฝุ่นคลุ้งไปทั่ว

                         "แค่กๆ ฝุ่นเยอะสมกับที่ไม่มีคนอยู่หลายปี" ปากก็ว่าอย่างนั้นแต่ใบหน้าหวานกลับยิ้มละไมตลอดเวลา คิลถอนใจส่ายหน้าระอาด้วยไม่รู้จะพูดยังไงกับอีกฝ่ายดี "ไหนๆ แกก็อุตส่าห์เดินมาถึงนี่แล้ว ช่วยฉันจัดการทำความสะอาดบ้านทีดิ" คำร้องขอพร้อมยิ้มชั่วร้ายทำให้คิลอึ้งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา

                         "ก็ได้ๆ" ว่าแล้วก็คว้าถังน้ำบุบๆ ริมห้องออกไปตักน้ำในบ่อที่อยู่ข้างบ้าน เฟรินฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วหันไปสะบัดผ้าห่มต่อพร้อมฮัมเพลงหงุงหงิงตามประสา แต่เพราะเป็นบ้านที่ไม่มีคนอยู่มานาน ไม้กวาดที่วางพิงผนังจึงเหลือเพียงตัวด้าม เดือดร้อนให้คิลต้องเดินกลับไปซื้อที่หมู่บ้านอีกรอบท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาเช่นเดิม และเมื่อกลับมาถึง...

                         "เอ้อ ขอบใจนะ ว่าแต่แกช่วยไปหาฟืนให้หน่อยสิ ดูเหมือนจะไม่มีฟืนเก็บไว้เลย คืนนี้คงจะหนาวด้วย" คิลสบถเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

                         ว่าแต่หาฟืนตอนหน้าหนาวเนี่ยนะ!!

                         นักฆ่าหนุ่มบ่นอุบอิบกับตัวเองขณะก้มลงเก็บกิ่งไม้แห้งบนพื้น ไอ้ตอนที่ได้รับจดหมายขอให้ลักพาตัวก็ตกใจอยู่หรอก เพราะข้อความในกระดาษมันเบลอเป็นดวงๆ ไม่บอกก็รู้ว่าคงเป็นเพราะน้ำตาของคนเขียนที่หยดแหมะลงระหว่างที่เขียน ไอ้เราที่นั่งนอนอยู่กับบ้านถึงกับยอมเร่งเดินทางมาคาโนวาล

                         แต่แล้วไง!!

                         พอเข้าไปถึงห้อง ก็เห็นมันนั่งฉีกยิ้มแป้นแล้นหน้าเป็น

                         แถมยังมีหน้ามาพูดอีกว่า

                         "ฉันนึกแล้วว่าแกต้องมา"

                         กร๊อบ

                         กิ่งไม้เล็กในมือหักเป็นสองท่อนด้วยแรงบีบของคนเก็บ

                         รู้งี้น่าโยนจดหมายนั่นใส่เตาผิง แล้วทำตัวเหมือนไม่รู้ไม่เห็นก็ดี

                         คิลพ่นลมหายใจหนัก เพราะรู้ดีว่าตนไม่มีทางทำอย่างนั้นได้แน่ๆ นึกสงสัยไปถึงขอทานกิตติมศักดิ์ที่น่าจะเป็นคนแรกที่ออกมายื่นมือช่วยเฟรินแต่กลับเงียบหาย

                         หรือจะจมกองงานตายไปแล้ว?

                         ไม่หรอก มันออกจะถึก ขนาดสมัยที่โดนมัดส่งเป็นเหยื่อล่อเสือนับสิบตัวมันยังรอดมาได้เลย มันคงไม่มาแพ้กองกระดาษไม่กี่สิบกองหรอก...มั้ง

                         คิลโยนกิ่งไม้ที่เพิ่งเก็บขึ้นมาทิ้งไปเนื่องด้วยมันยังสดเกินไป ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองจมกับความคิดต่อ

                         หรือเพราะข่าวสารถูกปิด?

                         ไม่น่า...มีอะไรในโลกนี้ที่ขอทานนั่นอยากรู้แล้วไม่ได้รู้

                         ลองเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ แค่ส่งคนลอบเข้าวังคาโนวาลก็น่าจะรู้เรื่องราว

                         คิดมาถึงตรงนี้คิลก็หยุดเดิน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

                         จะว่าไป...เฟรินมันยังไม่ได้บอกเขาซักคำว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้อยากหนีออกมา

                         กว่าที่คิลจะกลับไปที่บ้านไม้นั่น พระอาทิตย์ก็ลอยต่ำจนท้องฟ้าเป็นสีแดงส้ม เสียงนกร้องเริ่มดังระงมไปทั่ว คิลก้าวขายาวขึ้นถี่ขึ้น เพราะมัวแต่เก็บฟืนไปพลางคิดไปพลางก็เลยกลายเป็นว่าเดินเสียไกลโดยไม่รู้ตัว

                         คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้นเมื่อเห็นควันสีเทาลอยออกจากปล่องควันโย้เย้เหนือหลังคา

                         ประตูเก่าคร่ำคร่าเปิดออกช้าด้วยคนเปิดกลัวว่ามันจะหลุดติดมือออกมาหากเขาใช้แรงมากเกินไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบชาที่เขาเพิ่งซื้อมาโชยแตะจมูก หญิงสาวที่กำลังง่วนกับเตาไฟที่ไม่เคยใช้มาก่อน เสื้อผ้าชุดเก่าสมัยที่เรียนจบใหม่ๆ ถูกขุดขึ้นมาใส่ตอนที่หนีออกจากวังตอนนี้เต็มไปด้วยรอยเขม่าสีดำเป็นปื้นไปทั่ว หากใบหน้าจริงจังกับการจัดการอะไรบางอย่างของหญิงสาวดึงดูดนัยน์ตาสีม่วงไม่ให้ละไปไหน

                         "ไปเก็บถึงเวนอลเลยรึไงนั่น" คิลสะดุ้งเล็กน้อย เบิกตากว้างแล้วหัวเราะก๊าก เพราะแก้มซีกขวาของเฟรินเปื้อนเขม่าเป็นทางยาว แต่เจ้าตัวที่มองไม่เห็นเลยแต่ขมวดคิ้วมุ่นหงุดหงิด คิลส่งเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ จัดการวางฟืนไว้ใกล้เตาผิงก่อนเดินเข้าไปใกล้ เฟรินขยับหนีแต่โดนคว้าแขนเอาไว้ได้เสียก่อน

                         "หน้าตาดูไม่ได้เลยนะแก" ว่าพลางก็ยกเสื้อตัวเองขึ้นเช็ดแก้มใสนั่นโดยที่รอยยิ้มยังคงระบายอยู่บนใบหน้า เฟรินขืนตัวเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์จึงยอมอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายเช็ดหน้าให้แต่โดยดี

                         "ขอบใจ" อดีตหัวขโมยเอ่ยพึมพำเบาๆ ให้คนฟังยขยับยิ้มขึ้นมาอีกนิด

                         "ไหนว่าไม่มีฟืนไง" คิลถามขึ้นหลังจากที่เช็ดหน้าเฟรินจนรอยเปื้อนนั้นหายไปหมดแล้ว ตาสีม่วงหันไปมองกาน้ำเหล็กบุบ กับถ้วยกระเบื้องบิ่นๆ สองใบ ซึ่งคาดว่าอายุของพวกมันน่าจะพอๆ กับบ้านหลังนี้ เฟรินเดินไปคุ้ยเอาขนมปังในถุงกระดาษออกมาจัดใส่จานเหล็กบูดเบี้ยววางลงบนโต๊ะ แล้วเดินไปจุดเตาผิง

                         "ขืนฉันรอแกกลับมา เย็นนี้คงไม่ได้กินอะไรน่ะสิ" เธอว่าพลางหยิบขนมปังอีกก้อนขึ้นมากัดเต็มคำ นั่งลงบนเก้าอี้เก่าๆ นั่น "เอ้า แล้วจะยืนอยู่อีกนานไหม มานั่งสิ" คิลเดินไปนั่งอย่างว่าง่ายรับขนมปังที่อีกฝ่ายยื่นให้มากินบ้าง

                         "แล้วหลังจากนี้จะทำยังไง ฉันคงอยู่ช่วยแกได้ไม่ตลอดหรอกนะ" คำพูดฟังดูเห็นแก่ตัวอย่างโหดร้ายแต่คือความจริง เฟรินยิ้มบาง แน่นอนว่าเธอรู้ รู้ดีเสียด้วย

                         "ก็อยู่ไปเรื่อยๆ อยู่ไม่ไหวก็ตาย" ขนมปังชิ้นเล็กที่กำลังถูกส่งเข้าปากชะงักกึก ก่อนเสียงหัวเราะจะดังตามมา "ฉันล้อเล่นน่ะ" หากคิลกลับรู้สึกไม่ขำตามไปด้วยแม้แต่น้อย

                         "ฉันไม่ใช่พวกที่คิดสั้นอะไรแบบนั้น แกก็น่าจะรู้"

                         เออ เขารู้แต่ก็อดห่วงไม่ได้นี่หว่า

                         "แล้วจะกลับเลยรึเปล่า" เฟรินเปรยถามมองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอกที่ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีดำ ภายในบ้านจึงมีเพียงแสงไฟจากเตาผิงให้แสงสว่างเท่านั้น

                         "ขอบใจที่ถามนะ ทำไมไม่ถามเอาตอนเช้าซะเลย" คิลตอบประชด แต่ถึงแม้จะให้เขากลับตอนเที่ยงคืนเขาก็หาทางกลับถูก เพียงแต่...ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะปล่อยให้คนๆ นี้อยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ก็เท่านั้นเอง

                         "เขาเรียกถามตามมารยาท" ตาสีน้ำตาลมองควันสีขาวเหนือถ้วยบิ่นในมือพร้อมยิ้ม

                         เพราะเป็นหน้าหนาวจึงไม่มีเสียงแมลงร้องดังเช่นที่เคยได้ยิน มีแต่เสียงฟืนดังปะทุเปรี๊ยะๆ เป็นระยะ ภายใต้ความเงียบของคนทั้งสองที่นั่งจิบชาโดยไม่คิดที่จะหาคำพูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศนี้ลง แต่ในที่สุดคนถูกลักพาตัวก็ยอมที่จะเอ่ยขึ้นมาก่อน

                         "แก...ไม่คิดจะถามอะไรหน่อยเหรอ" ตาสีม่วงเหลือบมองหน้าคนพูดเล็กน้อย เอนตัวพิงพนักที่จวนจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ "ไม่นี่ ถ้าแกไม่คิดจะเล่าฉันก็ขี้เกียจถาม"

                         "แกนี่น้า ยังเอาใจผู้หญิงไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม" เฟรินว่าพลางหัวเราะหึๆ ในลำคอ เธอยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนจะรินน้ำชาให้ตัวเองอีกถ้วย

                         "คิล...แกว่าความรักนี่คืออะไร" คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้นเมื่อผู้ที่เคยปวารณาตัวเองเป็นอาจารย์สอนความรักคนอื่นเขาไปทั่วในอดีตกำลังถามเขาถึงนิยามของความรัก

                         "แล้วแกมาถามคนที่ยังไม่มีแฟนแบบฉันนี่นะ ไม่ไปถามคาโลมันล่ะ" เฟรินหัวเราะอีกครั้ง "มันคงตอบว่าคือหน้าที่" คนฟังหัวเราะตามพยักหน้าเห็นด้วย

                         "ฉัน..คิดมาตลอดนะว่า ที่คาโลมันยอม..แต่งงานกับฉันเพราะความรัก แต่ตอนนี้...." เฟรินกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก "ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่านั่นน่ะ เพราะความรักจริงๆ หรือเพราะหน้าที่ที่มันต้องทำในฐานะที่ฉันเป็นคู่หมั้นของมันกันแน่"

                         เสียงไฟปะทุดังขึ้นอีกครั้ง

                         "แต่แกก็เชื่อมั่นว่าเป็นอย่างนั้นมาตลอดไม่ใช่เหรอ" คิลย้อนถามหลังจากที่เงียบไปนาน เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน การสรรหาคำพูดจึงยากกว่าปกติหลายเท่า หลังจากที่พวกเขาขึ้นปีห้า คาโลกับเฟรินก็หมั้นกันท่ามกลางความยินดีของผู้คนรอบข้าง

                         คิลหลับตาลงช้าๆ

                         แน่นอน...เขาจำได้ดี

                         รอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขนั่น

                         เฟรินพยักหน้ายอมรับ หมุนถ้วยในมือเล่นให้ก้นถ้วยหยาบขูดกับโต๊ะส่งเสียงครืดคราดเล็กน้อย

                         "ก็อาจจะเพราะฉัน 'เชื่อ' มาตลอด ถึงทำให้ไม่เห็นอะไรบางอย่างที่เรียกว่าความจริง"

                         หรือบางทีแล้ว...เธอกลัวที่จะเห็นมัน

                         "แค่คาโลเลือกสนมก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้รักแกนี่" เฟรินยิ้มอีกรอบ "ใช่...ฉันก็คิดอย่างนั้น ตำแหน่งคิงจำเป็นต้องมีทายาทไม่ว่าทายาทคนนั้นจะได้เป็นคิงคนต่อไปรึไม่ก็ตาม...เป็นกฏที่บ้าดีนะ"

                         เสียงหัวเราะแห้งๆ ไม่ได้ลดความตึงเครียดของบทสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่นี่ได้เลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาสีม่วงยังคงจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของผู้พูด

                         "แล้วทำไมไม่เปลี่ยนมันล่ะ"

                         "ฉันพยายามแล้ว คิล" เฟรินตอบแทบจะทันที "ฉันพยายามที่จะแก้กฏนั่นดูแล้ว แต่ว่าเพราะมันเป็นกฏตั้งแต่สมัยโบราณตั้งแต่คาโนวาลเพิ่งตั้งเป็นประเทศขึ้นมา หากใคร...คิดจะเปลี่ยนก็ต้องสู้กับแม่ทัพใหญ่ทั้งสาม ชนะให้ได้สองในสาม"

                         เงื่อนไขโหดหินสร้างความกระจ่างให้กับคิลที่สงสัยมานานว่าคนที่ชอบแหกกฏอย่างเฟรินทำไมถึงได้ยอมรับอะไรง่ายๆ

                         "และเพราะเป็นกฏที่เกี่ยวกับคิง จึงไม่สามารถให้คิงลงสู้ได้ด้วยตัวเอง และหากแพ้จะไม่มีสิทธิ์ขอแก้มือ" เฟรินเงียบไปเล็กน้อย "รอบแรกฉันแพ้ แต่ว่านะ ฉันก็ยังเอาชนะได้ในรอบที่สอง"

                         คนพูดเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง แต่คิลรู้ดี ภายใต้รอยยิ้มนั้นหัวใจกำลังร่ำไห้หนักขนาดไหน

                         "หลังจากที่แพ้ ถึงจะไม่มีบทลงโทษ แต่สายตาเย็นชาของพวกขุนนางกับข้ารับใช้น่ะ ทำเอาฉันอึ้งไปเลยล่ะ ทำให้รู้สัจธรรมของคาโนวาล ชนะคือวีรบุรุษ พ่ายแพ้คือคนบาป อะไร...ประมาณนั้นน่ะนะ" แล้วเธอก็หัวเราะอีกครั้ง

                         "และเพราะฉันแพ้ คาโลที่เลือกฉันแต่งงานจึงเหมือนถูกฉีกหน้า นายไม่รู้หรอกว่าบรรยากาศมาคุในห้องประชุมช่วงนั้นมันน่าอึดอัดแค่ไหน ฉันก็เลยหันมาทำให้ตัวเองดูสมกับตำแหน่ง และก็ดูจะได้ผล พวกขุนนางกับข้ารับใช้ยอมรับมากขึ้น คาโลเองก็เครียดน้อยลง ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าฉันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ยอมทำตามสภาอำมาตย์อย่างว่าง่าย ทำตัวเป็นราชินีที่ดีพร้อม"

                         เฟรินหยุดพูดจิบชาที่เย็นชืด ตาสีม่วงเลื่อนลงมองมือที่ประคองถ้วยนั้นมีแรงสั่นไหวเล็กน้อย

                         "ตอนแรกที่คาโลบอกเรื่องสนมก็ตกใจ แต่ฉันทำใจไว้นานแล้วล่ะ" รอยยิ้มบางระบายขึ้นบนใบหน้าหวานนั่นอีกครั้ง "เรื่องทายาทเองก็ทำใจไว้แล้วเหมือนกัน"

                         "อะไรที่ทำให้นายอยากหนีออกมา...เฟริน" เสียงทุ้มต่ำที่เงียบอยู่นานดังขึ้นให้ร่างบางตรงข้ามสะดุ้งเฮือกราวกับถูกเหล็กเผาไฟจนร้อนจี้เข้ากลางใจ เฟรินยิ้มฝืด

                         "คาโลเขาจะให้มีเดียเป็นราชินีน่ะ ก็สมควรอยู่หรอกนะ เพราะเขาเป็นคนให้กำเนิดทายาท" ปากบางยังคงเจื้อยแจ้วราวกับเรื่องที่พูดไม่ใช่เรื่องของตน คิลลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปหยุดอยู่ด้านหลังของเฟรินโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว "...หน้าตาก็ดี กิริยาก็งาม คุณหญิงของแท้เลยล่ะแก ที่สำคัญนะหุ่นงี้..."

                         ตึก...

                         ฝ่ามือใหญ่อบอุ่นวางลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลยาวอย่างอ่อนโยน หัวใจของเฟรินกระตุกวูบ บางอย่างไล่ตีตื้นขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ยิ่งเมื่อมือนั้นขยับลูบหัวเธออย่างแผ่วเบา ช้า...หากนุ่มนวล ไม่เหมือนกับมือของพ่อปีศาจ เป็นอะไรที่อบอุ่นกว่า อ่อนโยนกว่า อะไรบางอย่างที่มากกว่าความสงสาร

                         ...ความเข้าใจ...

                         ความรู้สึกนั้นก็ทวีความรุนแรงกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำใสไหลออกมาที่ริมขอบตา

                         "แกออกมาแล้วเฟริน ไม่มีประโยชน์ที่แกจะต้องแกล้งยิ้มอีกแล้ว" ดวงหน้างามเงยหน้ามองผู้พูดเชื่องช้า น้ำตาไหลปริ่มออกมามากขึ้นจนภาพตรงหน้าพร่ามัว

                         สัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับเพียงแค่นั้นทำนบน้ำตาก็พังครืนลงทันที เฟรินโผเข้ากอดคิลพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอีกครั้งเหมือนกับที่เธอเคยทำก่อนหน้านี้ หากครั้งนั้นสิ่งที่เธอรู้สึกคือความอัดอั้น ทรมาน แต่ตอนนี้....

                         ความยินดี...ที่อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนเคียงข้างเธอ

                         เพียงหนึ่งคน...ที่เข้าใจเธอ

     

     *************************TBC....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×