สมรภูมิสุดท้าย{รามเกียรติ์}
นิยายเรื่องนี้ปรับแต่งมาจากวรรณคดีรามเกียรติ์ที่ไม่มีเนื้อหาความเป็นจริง เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเจ้าค่ะ
ผู้เข้าชมรวม
229
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ผู้ใดจักรับรู้ว่าวาระสุดท้ายจะมาเมื่อใด ผู้ใดจะรับรู้ว่าครั้งสุดท้ายที่พบเจอจะเป็นความทรงจำที่แย่ที่สุด
ความรักเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีในสงครามโดยเฉพาะกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอริราชศัตรู แต่แล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น เจ้านางที่ได้ชื่อว่าเก่งทั้งด้านการแพทย์และด้านการใช้วิชามนต์ต่างๆ
กลับต้องพ่ายให้กับศัตรูที่นางมอบใจให้ทั้งดวง แต่กลับโดนทำลายอย่างไม่ใยดี
“คราก่อนเกือบเสียน้องชาย แต่ครานี้ท่านเสียบุตรชายของท่านไป เพราะสงครามที่ท่านเป็นคนก่อขึ้น สาแก่ใจท่านรึยัง!!”
“คนที่ฆ่าลูกของข้า คือพวกมนุษย์นั่น!”
“แต่สาเหตุมันก็มาจากท่านมิใช่รือ หากท่านยอมยุติสงคราม การสูญเสียเช่นนี้จักไม่มีวันเกิดขึ้น”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดเช่นนี้กับข้า อย่าลืมเสียว่าเจ้าเป็นเพียง…”
“เชลยศึก”
“…”
“หม่อมฉันรู้ตัวดีเสมอ และไม่เคยลืม ว่าตอนนี้หม่อมฉันอยู่ในฐานะอันใด ต่อให้ท่านมอบอำนาจฝ่ายใน หรือตำแหน่งอะไรให้หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เคยยินดีที่จะรับมัน”
“…”
“กลับกันมันยิ่งสร้างความอัปยศให้หม่อมฉัน ว่าต้องถูกนำมาเป็นเชลยและยังได้ความดีความชอบจากอริราชศัตรูทรยศเผ่าพันธุ์”
“…”
“แต่…ทุกครั้งที่หม่อมฉันอยู่ที่นี่ กลับคิดว่าทุกตนคือครอบครัว แต่ท่าน! กลับส่งสหายเพียงหนึ่งที่นี่ของข้าไปตายตำแหน่งลาภยศเช่นนี้ ข้าไม่ต้องการ!”
ปิ่นปักผมทองคำได้ล่วงหล่นลงกับพื้นด้วยแรงอารมณ์ของผู้กระทำ ดวงหน้างดงามเงยขึ้นมองพญายักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่นึกเกรงกลัวต่ออาญาหรือโทษทัณฑ์ที่จะตามมาในภายภาคหน้า
ดวงตาสวยคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจและความผิดหวัง
การสูญเสียคนสำคัญมันสร้างความเสียใจอย่างยิ่งใหญ่ให้กับนาง ซึ่งพญายักษ์ตรงหน้าเองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่นางเลือกที่จะมองข้ามสายตาของพญายักษ์ที่ทอดมองมายังตัวนางด้วยความรู้สึกผิดไป
“ข้าไม่คิดโทษท่านอีกแล้ว หากจะผิด คงผิดที่ข้าเอง…”
“…เจ้า…”
“ผิดที่หม่อมฉัน เลือกที่จะเชื่อในพระทัยของพระองค์”
“…”
“องค์เหนือหัวทศกัณฐ์”
และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้พูดคุยและพบเจอกัน ก่อนพญายักษ์เจ้าเมืองกรุงลงกาจักนำทัพยักษ์ทั้งหมดลงมาทำศึกกับทัพของพระราม
พญายักษ์ทอดสายตามองไปยังพระที่นั่งของปราสาทชั้นในที่เป็นที่พักพิงของเจ้านางน้อย ที่ตนได้จับมาเป็นองค์ประกัน แต่กลับให้การดูแลอย่างดีเยี่ยงเจ้านางนางอื่น อาจจักดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ดีกว่าการเป็นเชลยตามที่ปากว่า
ด้านในปราสาท ร่างงดงามของเจ้านางผู้ได้ชื่อว่าเป็นเชลย ทอดสายตามองไปขบวนทัพเบื้องล่างด้วยสายตาว่างเปล่าไม่ยินดียินร้ายใดๆ
“พระนางเพคะ”
“ข้าจักพักผ่อนแล้ว พวกเจ้ามีอะไรไปทำก็ไปเถิด”
“ข้าเป็นห่วงเจ้านาง เรนุมาศ”
“ข้าก็เช่นกัน”
นางกำนัลทั้งสองได้แต่มองประตูห้องของเจ้านางน้อยที่ตนดูแลมาตั้งแต่ถูกจับมาจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระนางเจ้าหลวงของกรุงลงกา
ยักษ์ทุกตนต่างรักและเอ็นดูเจ้านางน้อยผู้นี้ ทั้งที่รู้ดีว่าสักวัน เจ้านางผู้นี้จะต้องจากพวกตนไป เพียงแต่ไม่คิดว่าจะในสถานการณเช่นนี้
ตั้งแต่เริ่มสงครามมา มีการสูญเสียมากมายแต่ครานี้ความสูญเสียที่ได้รับมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะทำใจยอมรับได้
ราชบุตรสืบทอดบัลลังก์ได้สิ้นชีพลงในสนามรบด้วยน้ำมือของพระลักษณ์ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้องค์เหนือหัวแห่งกรุงลงกา และเจ้านางน้อยแห่งเมืองมุนิลได้ผิดใจกัน
“วายุเล่า นางอยู่ที่ใด”
“เจ้านางสัมณขา พระนางอยู่ในห้องบรรทมเพคะ”
สัมณขาเปิดประตูเข้าไปในห้องโดยไม่ขออนุญาตตามปกติของนางที่มาคุยเล่นกับเจ้าของห้อง แต่บัดนี้ ในห้องที่ควรจะมีร่างงดงามของเจ้านางน้อย แต่กลับไม่มีร่างของผู้ใดอยู่ในห้องนี้เลยแม้แต่เงา
สัมณขาเดินหาร่างเจ้านางน้อยอยู่พักใหญจนทั่วห้องก็ไม่เจอนาง
“ตามหาพระนางเจ้าบัดเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง”
“แต่เจ้านางเพคะ”
“ปล่อยนางไปเถิด นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของนางแล้ว”
ข้าเชื่อในการตัดสินใจของเจ้า และเชื่อว่าสิ่งที่เจ้าเลือกคือทางสว่างของเจ้าแล้ว ลาก่อน วายุน้อยเอ๋ย
มือเรียวของเจ้านางยักษ์หยิบกำไลหยกเขียวสลักลวดลายเขี้ยวยักษ์สีทองขึ้นมาลูบเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
นางกำนัลทั้งสองก้มลงกราบลาต่อกำไลคู่นั้นด้วยน้ำตาที่ไหลรินมาไม่ขาดสาย การจากลาครานี้ ไม่มีคำเอ่ยลาใดๆพวกนางรู้ดีว่าเจ้านายของตนนั้นได้เลือกทางเดินสุดท้ายของตัวเองแล้วจริงๆ
สมรภูมิรบตอนนี้เป็นไปด้วยความตึงเครียด เหล่าทหารยักษ์และวานรต่างฟาดฟันกันอย่างดุเดือด แม้กระทั่งแม้ทัพทั้งสองฝ่ายเองก็เช่นกัน พระรามและทศกัณฐ์ต่างร่ายคาถาศาตราวุธที่มีออกสู้รบกัน ก็ยังไม่มีผลสรุป
ทางฝั่งทหารเองก็เสียกำลังไปมากโข แม่ทัพสุครีพมองแม่ทัพกุมภกรรณด้วยความเจ็บปวดใจที่ต้องมาสู้กันอีกครา
ครั้งก่อนที่สู้กันกุมภกรรณยอมให้เขาชนะจนเกือบสิ้นใจ และเมื่อไม่กี่วันก่อน หลานชายของตนได้สูญเสียคนรักไปด้วยฝีมือของพระลักษณ์ ดูเหมือนว่าครานี้ก็เหมือนกัน ไม่เขาก็กุมภกรรมที่จะต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย
“อย่าได้ลังเล เจ้าทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว วานรสีชาติเอ๋ย”
“ข้า…ไม่อยากเสียท่านไป”
“ข้าก็เช่นกัน”
สิ้นคำพูดของพญายักษ์ทั้งสองฝ่ายต่างนำกำลังพลพุ่งเข้าหากัน แต่แล้วการต่อสู้ก็ต้องชะงักลง เมื่อปรากฎพายุลูกใหญ่อยู่ท่ามกลางสนามรบระหว่างทัพยักษ์และวานร
ร่างงดงามปรากฎสู่สายตาของทุกตนเมื่อพายุได้มลายหายไป ร่างงดงามของเจ้านางเมืองมุนิลได้มองไปรอบข้างร่างไร้วิญญาณและร่างผู้บาดเจ็บมากมายอยู่ในสายตา
มือบางพนมมือปากขยับเป็นมนต์เรียกศาตรวุธคู่กายที่ไม่เคยได้เรียกมาใช้เลยสักครั้งออกมา
หอกสีทองยาวปรากฎอยู่ในมือบางก่อนที่นางจะกระแทกปลายด้ามหอกลงกับพื้นให้เกิดรอยแยกตรงกลางระหว่างทัพทั้งสอง
“ผู้ใดข้ามเขตแดนมา ตาย!” คำพูดและสายตาเด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยมีของร่างงดงามทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่กล้าขยับเข้ากัน
“วายุ…”
“เจ้านางวายุ…”
“ทุกอย่างจักจบลงวันนี้ พวกเจ้าไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกแล้ว” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งให้กับทุกตนอย่างสุดซึ้ง จนมือที่จับอาวุธอยู่ต้องปล่อยออกอย่างช่วยไม่ได้
ดวงหน้างดงามหันมองผู้นำทัพทั้งสองกำลังฟาดฟันกันไม่หยุด ก่อนจะวิ่งเข้าไปท่ามกลางการต่อสู้ เพื่อหยุดยั้งทุกอย่าง
ข้ารู้ดีว่าข้าไม่อาจห้ามท่านทั้งสองได้ แต่อย่างน้อยขอให้ร่างกายของข้าผู้นี้ช่วยหยุดการเข่นฆ่าของพวกท่านเพียงสักวินาทีก็ยังดี
ฉึก!
ร่างงดงามของเจ้านางน้อยต้องธนูของพระรามจนตัวหันไปหาฝั่งของทศกัณฐ์ แต่สิ่งที่ควรได้พบกลับไม่ใช่ร่างของพญายักษ์อย่างที่คิด แต่กลับเป็น ร่างของบุรุษรูปงามร่างกายต้องคมดาบของพญายักษ์อย่างแรงจนต้องหันมาหานาง
“ท่านพี่…”
“น้องหญิง…”
พี่ชายฝาแฝดผู้เติบโตมาด้วยกัน ฝ่าเข้ามาปกป้องผู้เป็นน้องจากคมดาบของพญายักษ์ ผู้เป็นที่รักของนางเอง เขารู้ดีว่าน้องสาวของตนจักต้องเข้ามารับลูกธนูแทนทศกัณฐ์เป็นแน่ และรู้ดีว่าทศกัณฐ์จักต้องยั้งดาบไว้ไม่ทันจนลงดาบกับร่างน้องสาวตน
“วายุ!!”
“อทิตา!!”
เสียงตะโกนของแม่ทัพทั้งสองดังขึ้นทันทีที่ร่างทั้งสองร่างล่วงหล่นลงกับพื้นดิน เลือดจำนวนมากมายไหลออกมาจนน่ากลัว
ทศกัณฐ์วิ่งเข้ามากอดร่างงดงามที่ตนเฝ้าคำนึงหามาตลอดหลายวันตั้งแต่ที่มีปากเสียงกัน จนกระทั่งออกรบนางก็มิออกมาส่ง
“เจ้ามาได้เยี่ยงไร!”
“หม่อมฉันทราบดี…ว่านี่จักเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบพระพักตร์ของพระองค์”
“ไม่ เจ้าต้องไม่ตาย ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย”
“ความตาย ผู้ใดจักห้ามได้เพคะ อึก”
“ไม่…”
“ข้ารักท่าน”
“วายุ…”
“และเพราะว่ารัก ถึงได้ทำเช่นนี้ อึก ตะ แต่ว่า…”
“…”
“ชาตินี้มิอาจอยู่เคียงข้างได้”
“เจ้า…”
“ชาติหน้า…ไม่ขอพบเจอ”
ดวงตาคมของพญายักษ์เบิกกว้างกับคำสาบานของเจ้านางในอ้อมกอด เขารู้ดีว่าวายุโกรธแต่ไม่คิดว่านางจะโกรธถึงเพียงนี้
“ชาติต่อไป ไม่ขอรัก”
“อึก”
“ชาติแล้วชาติเล่า ไม่ขอเคียงคู่ … จนกว่า ท่านจะรู้จักกับคำว่ารักอย่างแท้จริง”
“วายุ…เจ้าจักทรมานข้าขนาดนี้เชียวรือ”
“ข้าเพียงต้องการ…ให้ท่านได้เรียนรู้เพคะ” นางเพียงยิ้ม คำสาบานนี้หาได้มีความโกรธแค้นใดๆ ไม่
“ข้าจักทำให้ได้ สาบานกับเจ้า ข้าจะรักเจ้าไปทุกชาติ จดจำเจ้าไปทุกชาติ มิขอลืม แม้ไม่อาจเคียงคู่ ไม่อาจรักเพียงแค่เห็นเจ้ามีความสุขก็เพียงพอ”
“ฮึก”
“ข้าจักรอวันที่เจ้ากลับมารักข้า ชาติใดสักชาติ วายุน้อยของข้า” รอยยิ้มอ่อนโยนแลอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับจากพญายักษ์ตรงหน้าทำให้ร่างงดงาม คลี่ยิ้มออกด้วยความสุขที่สุด ในช่วงชีวิต
“ลาก่อน…ทศกัณฐ์”
เมื่อเจ้านางวายุสิ้นใจ เจ้าอทิตาผู้เป็นแฝดพี่จึงสิ้นใจตาม สงครามระหว่างยักษ์และมนุษย์ได้จบลง พลทหารต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิต ความสูญเสียที่ได้รับไม่อาจนำกลับมาได้ ได้แต่ยอมรับ
ทศกัณฐ์สละราชบัลลังก์ให้แก่พญายักษ์กุมภกรรณ ส่วนตัวเองก็ได้มาอยู่ที่ตำหนักกุหลาบที่เป็นตำหนักของเจ้านางวายุเคยอยู่ เพื่อระลึกถึงนาง จนสุดท้าย…… พญายักษ์ผู้เก่งกาจก็ได้สิ้นใจไปหลังจากสงครามสงบเพียงห้าปี
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ฮูหยินเดียวดาย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ฮูหยินเดียวดาย
ความคิดเห็น