Together ยามหลับตามีเพียงเรา
. In first side
ภาพความฝันเรียงร้อยรอบกาย
และทุกหนแห่งที่ตามองเห็น
ทั้งที่เป็นจริงและลวงตา
สำหรับเธอ
สำหรับคนที่มองเห็นความฝัน
ฝันของเธอ ของตัวฉัน ความฝันของตัวเอง
คงไม่ลืมใช่ไหม สำหรับความฝันในวัยเด็ก
ความรู้สึกของเราที่กำหนดให้ทำในสิ่งที่อยากเป็น
ทำเถอะ ทำในสิ่งที่เธอเชื่อว่าดีที่สุด
ไม่จำเป็นต้องใส่ใจในถ้อยคำของใครๆ
ไปตามรอยฝัน
นั่นคือทุกสิ่งที่เราทำได้
ทำเถอะ ทำในสิ่งที่เธอเชื่อว่าดีที่สุด
จำเอาไว้ว่าชีวิตนี้เป็นทางที่เธอเลือก
ไปตามรอยฝัน
นั่นคือทุกสิ่งที่เราทำได้
ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ
มีบางแห่งที่ที่เราจะนึกถึง
บางเวลาที่เราอยากให้มันคืนกลับมา
บางใบหน้าอยู่ในความทรงจำที่ทำให้หัวใจมีความหวัง
นำทางเราไปจนได้เห็น
ว่าเราเป็นคนกำหนดในสิ่งที่เราอยากเป็น
ทำเถอะ ทำในสิ่งที่เธอเชื่อว่าดีที่สุด
ไม่จำเป็นต้องใส่ใจในถ้อยคำของใครๆ
ไปตามรอยฝัน
นั่นคือทุกสิ่งที่เราทำได้
จำเอาไว้ว่าชีวิตนี้เป็นทางที่เธอเลือก
ไปตามรอยฝัน
จงทำในสิ่งที่เราอยากทำ
เนื้อเพลงที่ดัดแปลงนิดหน่อยแต่น่าจะตรงกับที่คนประพันธ์ต้นฉบับมากกว่าของ Follow your dream ของ poco legacy วงดนตรีสมัย ‘60-70 ไม่ใช่วงที่ดัง ก็เลยหาฟังยาก ผมเองก็ไม่มีเทปซะด้วย เผอิญเจอเนื้อเพลงส่วนภาษาไทย แล้วผมว่าไม่ค่อยจะให้ความรู้สึกของเพลงยังไม่เต็มที่เท่าไหร่นัก
เลยแก้ซะ
เพลงนี้ค่อนข้างแทงใจดำผมเล็กน้อย มันทำให้ผมคิดถึงเธอ กับความรู้สึกของตนเอง
ในช่วงเวลาที่เรียกว่า เลวร้ายที่สุดของชีวิตผม กลับทำให้ผมได้พบสิ่งที่ใครต่อใครตามหามานาน
..ความรัก ไม่สิ การยอมรับจากใครสักคนมากกว่า คนที่เราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่องปรึกษาได้และเข้าใจเราถ้าให้พูดจริงๆก็คือเพื่อนที่สามารถตายแทนได้ และพร้อมจะยืนอยู่ข้างๆแม้ว่าคนทั้งโลกจะเป็นศัตรูของเขา
ครั้งแรกที่เจอกับอิชยานั้น มันเป็นความรู้สึกที่เรียกว่า อย่างน้อยในตอนนี้ ผมก็มีเธอยืนอยู่ข้างๆ
อืม
เรียกว่าขอบคุณดีกว่า ที่ไม่ต้องเดินต่อไปเพียงลำพัง ในที่ๆมืดมิด อ้างว้างไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นอยู่ที่ไหน ที่ๆมีสายลมแห่งความเศร้าและความทรมานของคนที่คิดว่าตนเองไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของใครสักคนล่ะมั้ง
“ที่นี่คือใจกลางแห่งความสิ้นหวัง สุดเขตของแดนฝัน ไปซะ ไปในที่ๆนายควรอยู่ ที่นี่มีแค่เราก็ พอแล้ว” เสียงเล็กๆแว่วเข้ามา
“ใคร” ผมหันมองรอบๆตัว และผมก็พบร่างของคนๆหนึ่ง ร่างที่ถูกพันธนาการ
“ไป!! เราจะอยู่ที่นี่คนเดียว” เมื่อเข้ามาใกล้อีกนิดผมถึงได้รู้ เจ้าของร่างนั้นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุไล่เลี่ยกันกับผม แววตาที่ทำเป็นแข็งกร้าวที่ฉายความเศร้า ความเจ็บปวดได้อย่างชัดเจน ดวงตาของคนที่ไม่สามารถที่จะยอมรับหรือเชื่อใจใครได้อีก ดวงตาที่ทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังมองตัวเองอยู่ในกระจก
“ไม่ไป
ผมไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหนนี่ และการที่ผมมาอยู่ที่นี่ก็ต้องมีสาเหตุแน่นอน ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณก็ไม่มีสิทธิที่จะห้ามผมให้ไปหรือไม่ไป”ผมตอบ ก่อนที่จะเดินอ้อมไปข้างหลังเธอแล้วก็นั่งลงในระยะที่ห่างจากเธอ10เมตรกว่าๆโดยที่ไม่หันมองว่าเธอจะทำอะไร แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้มองผมด้วย
“ผมจะอยู่ตรงนี้แหละ ไม่มองหรอกว่าคุณเป็นใครหรือจะทำอะไร อาจจะเสียงดังบ้างคงไม่รบกวนเท่าไรนักหรอกนะ จนกว่าผมจะหาทางออกจากที่นี่ไปได้”
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีความเงียบสงัดและความคิดที่จะลืมความทุกข์และก็หาทางทำให้ลืมแต่ว่าเหตุการเลวร้ายนั่นทำให้ผมสลัดความแค้นและเจ็บปวดที่พวกเขาทำไม่ออก โลกแห่งความจริงก็คือนรกดีๆนั่นเอง
“นี่”เสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะการที่ผมคิดถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวังในการเชื่อถือผู้คนนั้นทำให้บรรยากาศแปรปรวนจนเธอรับรู้หรือเปล่า เท่าที่รู้ก็คือเสียงนั้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเหล่านั้นชั่วขณะและหันมองดูเธอ รวมทั้งรับรู้ถึงความกดดันต่างๆของบรรยากาศที่เพิ่มมากขึ้น
“เราไม่รู้หรอกนะว่านายมีเรื่องอะไรในใจ แต่เราว่านาย
”
“เรียกผมว่า พฤต เถอะ”
“ได้ เราคือ อิชยา นายฟังเราพูดก่อน เราว่านายเองก็คงไม่อยากทำอะไรเพื่อใครๆอีกต่อไปล่ะก็ ความเจ็บปวดพานายมาที่นี่ มาเพื่อที่นายจะเลือกว่าจะทำยังไงต่อไป และปล่อยสิ่งที่นายเจอ ออกไปกับที่นี่ที่ๆเรียกว่าความสิ้นหวังหากนายทำได้ทั้งหมด ทุกอย่างจะดีขึ้น”
“ผมน่ะไม่รู้หรอกว่าไปทำอะไรให้พวกเขาสิ่งที่ผมรู้ก็คือ ความเกลียดชังที่พวกเขาแสดงออกมา มองว่าผมเป็นคนไร้ค่า
อิชยาคุณรู้ไหม
.พวกเขาทำท่าขยะแขยงทุกครั้งที่แตะของชิ้นเดียวต่อจากผม เหมือนตัวเชื้อโรค ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่เคยทำอะไรให้พวกเขา เวลาทำงานผมกล้าพูดเลยว่าผมทำได้ดีไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย ดีกว่าเพื่อนบางคนของเขาที่พวกเขาให้เกรด เอ ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ผมได้คือเกรด ซี ไม่ก็ ดีจากพวกเขาทุกครั้งที่เป็นงานพรีเซนต์ ครั้งล่าสุดนั่นพวกเขาไล่ผมออกจากห้อง ล้อเล่นเหรอ แค่ผมตัดแว่นเลยมาสายพูดออกมาได้ว่าไม่รู้จัก ไม่รู้จักคนๆนี้ แค่ก้าวเข้าห้องมาขาหนึ่งก็เดินมาผลักออกไป โห่ไล่ ออกไปๆ มันคือล้อเล่นรึไง ผมพยายามถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ไม่มีใครสักคนบอกผม มีแต่รอยยิ้มที่เรียกว่าสะใจ พวกเขาทำก่อนที่ผมจะมีเรื่องกับพวกเขาซะอีก เรื่องไม่เป็นเรื่องที่จริงๆไม่เกี่ยวกับพวกเขาด้วยซ้ำ เรื่องของผมกับคนที่เรียกว่านิสัยน่ารังเกียจที่สุด แต่เขาเหล่านั้นคงเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แม้ว่าผมพยายามพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าพวกเขาก็ตาม ผมไม่อยากเชื่อใจใครอีกแล้ว ไม่มีใครที่จะทำให้รู้สึกดีๆได้เลย”ผมพูดออกไปแล้ว ในใจที่หนักอึ้งผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อรู้สึกตัวผมไม่รู้ว่าตนเองไปยืนอยู่ตรงหน้าอิชยาเมื่อไหร่
“ขอโทษ”ผมจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมของผม แต่ก็ชะงักเมื่อได้ยินคำพูดคำหนึ่ง
“เราเองก็ไม่ต่างจากนายนักหรอก
พฤต
เราก็แค่ตุ๊กตาไขลานที่พังแล้วเท่านั้น”
“หา”ผมหันกลับไปข้างหน้าผมมีเพียงความมืดเท่านั้น
.ลมพัดมาฝุ่นละอองปะทะหน้า ทำให้ต้องหรี่ตาตนเองลง และเมื่อผมค่อยๆลืมตาขึ้น
“แค่ฝันหรอกเหรอ”
ตอนนั้นคงเสียดายมั้ง คิดว่าถ้าเป็นความจริงก็ดีจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาเพื่อเจอกับความเจ็บปวดอีก
Fin a part. By พฤต นภฑีร์
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น