Prologue
ฉันต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป จนกว่าจะได้พบคนคนนั้นอีกครั้ง
แม้ว่าจะต้องเฝ้ารอไปแบบนี้อย่างไม่มีจุดหมายก็ตาม.....
กาลเวลาที่เปลี่ยนผันไป ทำให้ฉันได้เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงไปของยุคสมัย การปกครอง สงคราม และการสูญเสีย รวมทั้งคนรอบข้างที่ฉันรู้จัก ค่อยๆ หายไปจากชีวิตของฉัน จนเวลานี้แทบไม่เหลือใครที่รู้จักตัวตนของฉันอีกแล้ว ฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อและหาที่อยู่ที่ปลอดภัย และพ้นจากสายตาของคนทั่วไป
แต่แล้ววันนึง คนคนนั้นที่ฉันเฝ้ารอก็ปรากฎตัวขึ้น......
.
.
.
.
80-90 ปีก่อน ในยุคที่เกาหลีอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น
เหล่าเด็กกําพร้าไร้ที่ไปเพราะภัยสงคราม อีกทั้งบางส่วนที่ยังมีชีวิตรอดจากการถูกทารุณจากพวกทหารของจักรวรรดิญี่ปุ่น ถูกส่งมารวมตัวที่บ้านเด็กกําพร้าแห่งหนึ่งทางตอนเหนือที่หนาวเหน็บที่สุดของเกาหลีบนภูเขาใกล้เขตชายแดน ที่ไม่มีผู้ใดย่างกรายไปถึง
เด็กกําพร้ากลุ่มนี้ได้รับการดูแลอย่างดี และได้รับการศึกษาโดยที่ทุกๆ ปี เด็กที่อายุครบ 16ปีและมีผลการเรียนดีจะได้รับ "ทุน" และถูกส่งไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
ทําให้เด็กๆ ที่ได้ฟังผู้อํานวยการใหญ่ท่าทางใจดี กล่าวถึงสถานที่แห่งนี้ ว่าไม่ใช่สถานที่ที่เด็กๆกําลังกังวลกัน
ไฟแห่งความหวังที่เกือบจะมอดดับไประหว่างที่ถูกนําตัวมา ก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
เด็กน้อยที่แทบไม่มีความหวังทั้งหลายต่างร้องไห้โฮออกมาด้วยความตื้นตัน ที่พวกตนจะไม่ต้องพบเจอเรื่องร้ายๆ และจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้
แม้ว่าจะมีทหารจากจักวรรดิมาคอยตรวจสอบทุกๆ สัปดาห์ แต่เด็กๆ ก็ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ และวางใจว่าพวกเขาจะไม่ทําอะไรพวกเธอ
เด็กแต่ละคนจะได้รับการศึกษา และได้รับการตั้งชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น แม้กระทั่งเด็กที่มีชื่ออยู่แล้ว
ดังนั้นเวลาที่ลับตาจากพวกผู้ใหญ่ พวกเธอจะเรียกชื่อจริงๆ ของกันและกัน เฉพาะแค่ตอนที่อยู่ด้วยกันเท่านั้น
“เธอว่า ที่นี่มันแปลกไหม”
“แปลกยังไง” เพื่อนคนนึงในกลุ่มเอ่ยขึ้น
“สงบสุข เลี้ยงพวกเราอย่างดี แถมยังปลอดภัยจนน่าขนลุก”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ เธออยากกลับไปอยู่ข้างถนนอีกรึไง”
“เธอไม่คิดหรอว่า พวกนี้เลี้ยงดูแลเรา ในสถานที่ห่างไกลจากสายตาผู้คน ด้วยอาหารอย่างดี เตียงนุ่มๆ และให้การศึกษา ฉันว่า...ที่นี่มันแปลก..”
“อะไรของเธอเนี่ย ไปนอนได้แล้วไป”
ที่นี่มันเหมือนโรงปศุสัตว์
พ่อแม่ของฉันอพยพหนีสงครามมาอยู่ที่เกาหลีได้ไม่นาน ฉันก็ต้องสูญเสียพวกท่านและญาติคนอื่นๆ ไปในสงคราม โดยพวกทหารของจักรวรรดิญี่ปุ่น ตัวฉันที่ยังเด็กจึงถูกจับต้อนมาอยู่รวมกับเด็กกำพร้าคนเกาหลีอื่นๆ
อันที่จริงแล้วเพราะฉันเป็นคนเดียวที่ไม่มีชื่อภาษาเกาหลี เพราะชื่อจริงๆ ของฉันออกเสียงยาก
พวกเพื่อนๆ เลยเรียกฉันด้วยชื่อญี่ปุ่นบ้าง หรือ ชื่ออื่นๆ ตามแต่จะเรียกกัน...
ฉันคลางแคลงใจกับสถานที่แห่งนี้ในช่วงแรกๆ กระทั่งทุกอย่างสงบสุขมากจนความรู้สึกเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไป
กระทั่งวันนึงที่แสนสงบ มีพวกทหารที่มาตรวจตราตามปกติมากันแต่เช้า
เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่ได้มีแค่พวกทหารเท่านั้น
กลุ่มคนชุดคลุมสีดำท่าทางน่าเกรงขาม เดินอยู่ระหว่างพวกทหาร ท่าทางจะเป็นชนชั้นสูง เพราะพวกทหารของจักรวรรดิทุกคนให้ความเคารพกับคนกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก
ในฝูงคนกลุ่มนั้น ฉันได้เห็น หญิงสาวร่างสูง ท่าทางสง่า ใส่ถุงมือหนังสีดำ ใบหน้าเรียบเฉย ยืนอยู่ข้างหลัง ผู้ชายมีอายุมากที่สุดและน่าเกรงขาม ที่กำลังพูดคุยกับผู้อำนวยการ
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองมองจ้องคนตรงหน้าอยู่นานเท่าไหร่ เพราะผู้หญิงคนนั้นก็สบตาฉันกลับเช่นกัน
แม้จะเป็นแววตานิ่งๆ แต่ก็ทำให้ฉันต้องก้มหน้าหลบสายตาของเธอคนนั้นทันที
ในตอนนี้ฉันรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังเห่อร้อน ทั้งที่อากาศหนาวเย็น
เรามารู้กันทีหลังว่าคนเหล่านั้นเป็น ข้าหลวงที่ถูกส่งมาจากญี่ปุ่น และหญิงสาวที่ติดตามข้าหลวงมาก็คือ หลานสาวของท่าน
"พี่ตัวสูงคนนั้นสวยจังแฮะ ว่ามั้ย"
"อื้อ..." ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อน เธอคนนั้นสวยจริงๆ
วันนี้เป็นวันที่สองที่ ท่านข้าหลวง มาเยี่ยมชมสถานดูแลเด็กกำพร้า ทำให้พวกผู้ใหญ่ค่อนข้างเข้มงวดและพวกทหารที่พวกเราต่างก็กลัวกันมากันเยอะมาก จนน่าอึดอัด และทำให้น้องที่ฉันสนิทด้วยคนนึง เครียดจนเป็นลมไป ฉันจึงอาสาพาเธอไปพักและอยู่เป็นเพื่อนเธอ
ระหว่างที่ฉันกำลังจะกลับไปเก็บของที่ห้องเรียน ก็ได้ยินเสียงพวกทหารพูดคุยอะไรบางอย่างกัน แต่ฉันก็ไม่คิดจะไปใส่ใจ เพราะบางเรื่องได้ยินไป ก็ไม่เป็นประโยชน์กับเรา แต่ทว่า
"นี่นายรู้รึเปล่าว่าแม่ของหลานท่านข้าหลวงน่ะเป็นคนเกาหลี"
"ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ รู้แค่ว่าลูกชายท่านข้าหลวง เจ้าชู้มาก แต่ก็ไม่แปลกล่ะนะ"
"เออ ไม่เอาการเอางาน แถมยังหาภาระให้พ่อตัวเอง แต่ก็โชคดีนะที่ท่านเมตตารับคุณหนูมาดูแล"
"แต่ก็เป็นเลือดผสม น่าขยะแขยงชะมัดแฮะ"
เสียงนินทาของทหารยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าเธอจะมีสายเลือดเกาหลี แต่เพราะมีเลือดของญี่ปุ่นไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งทำให้เธอมีชีวิตที่แตกต่างจากพวกเรา
ทั้งที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่กลับถูกปฏิบัติเหมือนไม่ใช่มนุษย์
ฉันรีบเดินไปหยิบของเพื่อที่จะกลับไปที่ห้อง แต่ระหว่างนั้นเอง ก็ชนเข้ากับใครบางคน ฉันไม่ทันได้มอง แต่ด้วยความกลัว จึงได้แต่ก้มหน้าแล้วขอโทษคนตรงหน้า
"ไม่เป็นไร"
ภาษาเกาหลีชัดถ้อยชัดคำดังมาจากร่างสูงตรงหน้า ปกติแล้วพวกผู้ใหญ่จะใช้ภาษาญี่ปุ่นคุยกัน แต่น่าแปลกที่คนตรงหน้ากลับพูดภาษาที่แทบจะเป็นเรื่องต้องห้ามของที่นี่
ปลายคางของฉันสัมผัสได้ถึงถุงมือหนังที่ค่อยๆ เชยปลายคางของฉันขึ้นเพื่อให้เงยหน้าขึ้นมามอง
และภาพตรงหน้าที่เธอได้เห็นก็คือ คุณหนู ที่พวกทหารพูดถึงกันเมื่อสักครู่
แม้ใบหน้าจะเรียบเฉย แต่แววตาของเธอกลับดูอบอุ่นจนไม่สามารถละสายตาไปมองที่อื่นไม่ได้เลย
และนั่นเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเราสองคน.
______________________________
twitter: @W52HZ_
hashtag: #silvermoonfic
ความคิดเห็น