ฟันเฟืองกาลเวลากับคำสัญญาสองเรา - ฟันเฟืองกาลเวลากับคำสัญญาสองเรา นิยาย ฟันเฟืองกาลเวลากับคำสัญญาสองเรา : Dek-D.com - Writer

    ฟันเฟืองกาลเวลากับคำสัญญาสองเรา

    คำสัญญาที่เคยให้กันเป็นสิ่งที่ผกผันกับกาลเวลา ผมจึงเดินทางข้ามเวลาเพื่อมาพบเธอเพื่อยกเลิกคำสัญญานั้น

    ผู้เข้าชมรวม

    73

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    73

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ธ.ค. 65 / 20:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    คำสัญญา

     

    ความหมายตามพจนานุกรมคือคำมั่นหรือข้อตกลงที่คนหนึ่งคนใดทำกับอีกคน

    เพื่อยินยอมในสิ่งใดสิ่งหนึ่งร่วมกัน

     

    แต่สำหรับผมมันเหมือนเครื่องพันธนาการ ราวกับเป็นโซ่ตรวนที่จองจำผมเอาไว้

     

    พ.ศ. 2612

     

    ผมกวาดสายตาไปรอบๆ สายตาอันพร่ามัวที่พอจะสังเกตออกไปนอกกระจกของห้องแล็บสีทึมๆและสังเกตว่าผู้ช่วยของผมเริ่มเดินออกไปเกือบหมดแล้ว

     

    ผมก้มลงมามองมือของตัวเอง มันสั่นเทาจนแทบกำหมัดไม่ได้ ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองใกล้จะตายในทุกๆวัน ยิ่งทำให้ผมร้อนรนที่จะทำสิ่งๆนี้

     

    ผมเอามือสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา ราวกับมันเป็นเด็กทารกที่น่าทะนุถนอม

     

    "อาจารย์..ยังไม่กลับเหรอคะ"

     

    ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทักทาย

     

    "อ่า.. ว่าจะอยู่อีกสักเดี๋ยวน่ะ.."  ผมตอบเด็กสาวในชุดกาวน์ตรงหน้า

    "ถ้าเครื่องนี้ทำงานได้ มันจะปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์เลยนะคะ" เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้ๆ

    "เธอไม่เชื่อว่ามันจะทำงานได้งั้นเหรอ?"  ผมถาม

    "ฉันเชื่อสิคะอาจารย์  และฉันก็เชื่อในตัวอาจารย์ด้วยฉันถึงได้มาทำงานให้อาจารย์ไงคะ"  เด็กสาวยิ้ม

    "ความฝันที่จะเดินทางข้ามเวลา ตราบใดที่มนุษย์ยังทำมันไม่ได้ เราก็จะถวิลหามันอยู่แบบนี้แหละ" ผมตอบเธอ

    "อาจารย์จะตั้งเวลาย้อนไปทำอะไรเหรอคะ" เธอดูเหมือนเป็นเด็กที่ขี้สงสัย

    "มีบางอย่างที่ติดค้างในใจ อยากจะแก้ไขอยู่น่ะ" ผมตอบ

    "จะเสียมารยาทมั้ยคะถ้าฉันจะถาม" เด็กสาวยังถามต่อ

    "อันนี้ฉันก็เรียกว่าถามแล้วนะ แต่ไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอไม่รีบกลับ ฉันก็ยินดีเล่า"

    "ฉันอยู่คนเดียว ไม่มีเหตุผลจะต้องรีบกลับหรอกค่ะ"

    "งั้นเหรอ งั้นไปนั่งคุยกันในห้องพักอาจารย์เถอะ"

     

    ผมพาเธอเดินเข้าไปข้างในห้องส่วนตัว  ในสถาบันแห่งนี้ ห้องของชายแก่ๆที่มีแต่ของเก่าๆ กลิ่นเก่าๆอบอวลไปหมด มันไม่เหมาะที่จะรับแขกที่เป็นแค่เด็กสาว แต่เธอก็เข้ามานั่งที่โซฟารับแขกแล้ว

     

    "เอากาแฟไหม?" ผมหันไปถามเด็กสาว แต่ดูเหมือนเธอจะกำลังเทความสนใจไปให้กับสิ่งของรอบๆห้องจึงไม่ได้ยินเสียง

    "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่กินกาแฟ" เด็กสาวหันมายิ้มให้ผม

     

    แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์กำลังคล้อยลงเรื่อยๆ ท่ามกลางกระจกบานใหญ่ แสงสีส้มอาบแก้มของเธอ ราวกับแว่บหนึ่งผมจะเห็นภาพของเธอเป็นแฟนสาวที่เป็นรักแรก

     

    ผมเดินมานั่งที่โซฟารับแขก ขณะที่กำลังใช้ช้อนคนแก้วกาแฟไปเรื่อยๆ กลิ่นของมันก็ยิ่งออกมามากขึ้นจนอบอวลไปทั่วห้อง ซึ่งพอจะกลบกลิ่นเก่าๆลงไปได้

     

    เด็กสาวเริ่มบทสนทนาด้วยความใคร่รู้

    "ฉันอยากฟังเรื่องของอาจารย์ค่ะ มันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดี" เด็กสาวเอ่ยขึ้น

    "ถ้าเธอทนฟังเสียงแหบๆของฉันได้ ฉันจะเล่า"

    "ยินดีค่ะอาจารย์"

     

    ผมหลับตาลงครู่ใหญ่ ปล่อยเสียงรอบๆตัวลดระดับลงจนแทบจะได้ยินแต่เสียงหายใจของตัวเอง

     

    "ฉันตกหลุมรักเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง" ผมเริ่มมหากาพย์

    "ว้าว.." เด็กสาวร้องออกมา

    "ตอนนั้นน่าจะซัก พ.ศ. 2553 หรือยังไงนี่แหละ ฉันอยู่มัธยมปีที่ 4 เท่านั้นเอง"

    "เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงคะ?"

    "เธอดูเปล่งประกายอยู่เสมอ สดใสร่าเริง เธอชอบมัดผมหางม้าและบอกกับทุกคนว่ามันทำให้ดูกระฉับกระเฉง"

    "เธอต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักแน่ๆเลย"

    "อ่า.. เธอน่ารักจริงๆ ฉันตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง อันที่จริงแล้วพวกเราไม่ได้คุยกันมากนัก จนกระทั่งวันหนึ่งฉันรวบรวมเงินเพื่อที่จะซื้อของขวัญวันเกิดให้เธอ  พอฉันให้ไปมันก็ทำให้ฉันประหลาดใจที่เธอรู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉันชอบเธอ"

    "แล้วเป็นยังไงเหรอคะ เธอรับรักอาจารย์ไหมคะ?"

    "อ่า.. เธอรับ"

    "ฉันเขินแทนเลย"

    "ฮะฮะฮะ นั่นสินะ ความรักที่ได้รับการตอบสนองมันดีเสมอแหละ"

    "แล้วยังไงต่อคะ?"

    "พวกเราคบกันเรื่อยๆ เรียนจบมัธยม6และสมัครเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน สาขาเดียวกัน ชีวิตในรั้วมหาลัยเราเต็มไปด้วยสีสันนะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เหตุบ้านการเมืองกำลังร้อนเป็นไฟ มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปก็มาก เพียงเพราะแค่อยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้"

    "ฉันเกิดไม่ทัน และฉันก็คิดว่าตำราเรียนคงไม่ได้บอกความจริงพวกนั้น ใช่ไหมคะ?"

    "ฉันไม่รู้ว่าตำราเรียนปัจจุบันเป็นอย่างไรแล้วเหมือนกัน แต่มันอาจจะมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ต่างกัน ประวัติศาสตร์ที่แสนดำมืดของประเทศนี้อาจไม่มีวันถูกเฉลยออกมาเลยก็เป็นได้

    ฉันกับแฟนก็เป็นกลุ่มนักศึกษาที่ถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเราเข้าร่วมชุมนุม พวกเราโหยหาการเปลี่ยนแปลงการปกครอง น่าเสียดายที่เราทำสิ่งเหล่านั้นไม่สำเร็จเพราะอำนาจเผด็จการพวกนั้นแข็งแกร่งเหลือเกิน"

    "มันคงเป็นเรื่องที่แย่มากๆสินะคะ"

    "อ่า.. มันเหมือนกับ..ความหวังลมๆแล้งๆ ณ ช่วงเวลานั้น"

    "แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ประเทศเราถึงได้เปลี่ยนแปลงจนก้าวหน้าได้"

    "พวกเราแค่รอ รอให้เผด็จการเหล่านั้นตายไปเอง ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีใครไม่มีวันแก่เฒ่า"

    "ดูเป็นประเด็นที่ซีเรียสมากสินะคะ การที่ต้องรอให้คนที่เห็นแก่อำนาจเหล่านั้นตายไปเอง"

    "ประชาชนอดอยากนะ โรคภัยก็ระบาดใหม่ปีต่อปี เรียกว่าค่อนข้างวิกฤติเลยล่ะ  แต่พวกเราก็ผ่านมันมาได้"

    "แล้วแฟนอาจารย์ล่ะคะ? ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?"

    "เธอจากฉันไปแล้วล่ะ"

    "หา.. หมายถึง.. ตายแล้วเหรอคะ?"

    "อืม.."

    "เสียใจด้วยนะคะอาจารย์"

    "อย่า..  อย่าเสียใจ มันไม่จำเป็นอะไร"

    "ขอโทษค่ะ"

    "เธอติดเชื้อโรคร้ายที่ระบาดช่วงนั้น อันที่จริงทุกๆคนที่เสียชีวิตไป บางคนไม่ได้อยู่กับครอบครัวเลย บางคนต้องตายอย่างเดียวดายบนเตียงในห้องไอซียู  แย่กว่านั้นคือบางคนตายข้างถนนเพราะไม่มีเงินรักษาตัว"

    "เศร้าจัง อาจารย์คงเสียใจมากใช่ไหมคะ"

    "ฉันเสียใจที่เธออายุไม่ยืนพอจะได้เห็นว่าประเทศนี้เปลี่ยนแปลง เพราะเธอจากไปด้วยวัยแค่20กว่า น่าจะใกล้เคียงกับเธอตอนนี้แหละ ก่อนตายเรามีโอกาสได้คุยกัน ได้บีบมือเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะจากไป"

    "ฉันเพิ่งจะอายุ26ค่ะ"

    "นั่นแหละ ชีวิตเธอคงเต็มไปด้วยความฝัน จินตนาการใช่มั้ยล่ะ"

    "จริงอย่างที่อาจารย์พูดเลยค่ะ ฉันอยากทำอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมดเลย ว่าแต่ อาจารย์คุยกับเธอว่าอย่างไรคะ?"

    "ฉันบอกเธอให้รอ ฉันสัญญาว่าฉันจะกลับมารับเธอ ฉันอ้อนวอนไม่ให้เธอตาย"

    "แต่เธอก็..ไม่รอด สินะคะ?"

    "อืม"

    "แล้วเครื่องนี้ จะช่วยเธอยังไงคะ ฉันจินตนาการไม่ออกเลย หน้าตามันดูเหมือนแคปซูลแคบๆที่เอาไว้ใส่อะไรสักอย่าง"

    "ฉันเรียกมันว่า "พ็อด" เป็นที่ๆจะใส่สิ่งที่เราจะนำมันข้ามเวลาไป"

    "อาจารย์จะทดลองด้วยอะไรคะ?"

    "ฉันนี่แหละ"

    "หมายความว่ายังไงคะ?"

    "ฉันจะเอาตัวเองเข้าไปกับเครื่องนี้"

    "อะไรนะคะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจ"

    "มันคือเครื่องสร้างสนามพลังแม่เหล็กแรงสูง เธอนึกออกมั้ย โลกหมุนรอบตัวเองทุกวันนี้ได้เพราะมีสนามแม่เหล็กโอบล้อมดาว มีแมกมาไหลอยู่ใต้โลกตลอดเวลา แต่มันหมุนเอื่อยๆอยู่แบบนี้มาหลายพันล้านปีแล้ว

    สิ่งที่ฉันกำลังสร้างคือเครื่องสร้างสนามพลังแม่เหล็กที่หมุนรอบตัวเอง และหมุนได้เร็วกว่าอัตราการหมุนของสนามแม่เหล็กโลก"

    "หมายความว่า.."

    "มันสามารถหมุนได้เร็วกว่า เพื่อเร่งเวลาให้เดินไปข้างหน้าได้ แต่มันยังทำได้อีกสิ่งหนึ่ง"

    "มันหมุนกลับทิศได้สินะคะ"

    "เธอเป็นนักเรียนที่ฉลาดเอาเรื่อง  ใช่..มันหมุนกลับทิศได้ และการกลับทิศด้วยความเร็วที่สูงมากๆ มันจะทำให้สนามโน้มถ่วงของเวลาย้อนกลับ  ฉันจะสามารถกลับไปวันที่ฉันได้พบกับแฟนของฉัน"

    "อาจารย์.. พอได้เจอกันอีกครั้ง อาจารย์จะพูดอะไรกับเธอเหรอคะ?"

    "ฉันจะถอนคำสัญญา"

    "เอ๋? คำสัญญา"

    "ใช่.. ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ฉันไม่อาจรักใครได้อีกเลย แม้จะมีคนอยากให้รักมากมายแค่ไหนก็ตาม เพียงเพราะฉันสัญญากับเธอไว้ก่อนตายว่าฉันจะรอเธอ ไม่ว่านานแค่ไหน รอจนกว่าเธอจะกลับมา แต่เธอไม่กลับมาแล้วล่ะ"

    "อาจารย์ก็เลย..จะไปบอกเธอเหรอคะ"

    "อันที่จริงฉันยังไม่ได้คิดเอาไว้เลยว่าจะบอกยังไง จินตนาการว่าเด็กสาวคนหนึ่งเจอไอ้แก่ที่ไหนก็ไม่รู้มาบอกว่าเป็นแฟนจากอนาคต เธอต้องหาว่าฉันเป็นโรคจิตแน่ๆ"

    "งั้นอาจารย์ก็บอกแบบนี้สิคะ "Come with me if you wanna live."

    "ฉันนึกว่าเธอเกิดไม่ทันหนังคนเหล็กซะอีก"

    "มันรีบูทแล้วนี่คะอาจารย์  พระเอกก็เปลี่ยนคน ไม่ได้กล้ามใหญ่แบบคนเก่า แถมภาคล่าสุดหุ่นยิงเลเซอร์จากตาได้ด้วย"

    "เลอะเทอะจริงๆหนังสมัยนี้"

    "คิกๆ แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ยังทำคนเหล็กสังหารแบบในหนังไม่ได้สักทีนะคะ แต่ดันทำเครื่องย้อนเวลาได้"

    "นั่นแหละความเลอะเทอะของวิทยาศาสตร์"

    "ฟ้ามืดแล้ว ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ"

    "อืม นั่นสินะ"

    "อาจารย์..จะทดลองเมื่อไหร่คะ? ฉันอยากจะมาเห็นด้วยตาตัวเอง"

    "อืม..ฉันไม่อยากให้ใครรู้ด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าไม่คืนพรุ่งนี้ก็คืนมะรืนนี้แหละ"

    "ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูจะมาช่วยอาจารย์เอง"

     

    "เธอชื่ออะไรนะ ขอโทษที"

    "ลินค่ะ"

    "ลิน..อย่างนั้นเหรอ"

    "ค่ะ อาจารย์พักผ่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะมาช่วยอาจารย์เอง"

    "ขอบใจมาก  แต่..อย่าบอกนักเรียนคนอื่นนะว่าฉันจะทดลองเครื่องพรุ่งนี้"

    "ไว้ใจฉันได้เลยค่ะ"

     

    วันรุ่งขึ้น

     

    ผมร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกขนลุกตลอดเวลาทำให้ระบบประสาทผมตื่นตัวมากกว่าปกติ เหงื่อออกมากกว่าปกติ ผมข่มตาหลับเมื่อคืนแทบไม่ได้ จินตนาการถึงการเดินทางข้ามเวลา ภาพฉายซ้ำๆของหนังที่เคยดูมันพอกพูนออกมาเต็มไปหมด

    "ใช่แล้ว ฉันจะกลายเป็นนักเดินทางข้ามเวลาคนแรก ฉันไขความลับที่พวกฝรั่งไขมันไม่ออก"

     

    ผมขับรถมาที่สถาบันวิจัยตั้งแต่เช้า เพื่อมาเตรียมตรวจสอบ"พ็อด"เป็นครั้งสุดท้าย ตั้งค่าเวลาตามปฏิทินไว้เป็นช่วงก่อนที่จะเกิดโรคระบาดปี 2563 เรียบร้อย..

     

    ผมเดินกลับไปที่ห้องพักส่วนตัว นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเก่ามองเหล่านักศึกษาเดินอยู่ด้านล่าง หนุ่มสาวหยอกล้อกันดูน่าอิจฉา การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศมันคุ้มค่าสำหรับลูกหลานจริงๆ

    ผมลุกขึ้นมาหยิบอัลบั้มรูปเก่าๆที่เสียบไว้บนชั้นหนังสือออกมาเปิดดูอีกรอบ ความที่ไม่ค่อยเปิดจึงทำให้หลายๆอย่างละลายติดกันไปหมด พยายามแกะมันออกเบาๆ เพื่อเปิดดูรูปทีละหน้า ทีละหน้า

     

    "สวัสดีค่ะอาจารย์" เด็กสาวที่ชื่อลินเปิดประตูยื่นหน้าเข้ามาแล้วเคาะ

    "โอ้.. มาแต่เช้าเลยเหรอ เชิญๆ" ผมกวักมือเรียกเธอเข้ามา

    "ฉันไม่ได้มารบกวนใช่ไหมคะ?" เด็กสาวเดินเข้ามานั่งที่โซฟาตัวเดิม

    "ไม่หรอก พอดีฉันเปิดดูรูปเก่าๆอยู่ สนใจไหม?"

    "สนใจค่ะ"

     

    เด็กสาวกระโดดพรวดขึ้นมาจากโซฟา ค่อยๆวิ่งมาที่โต๊ะ  ผมจึงหมุนอัลบั้มรูปให้เธอดู

    "นี่รูปอาจารย์สมัยหนุ่มๆเหรอคะเนี่ย หล่อมากเลย"

    "เธอแกล้งชมใช่ไหม ฮะฮะ ฉันจีบใครไม่ติดเลยนะนอกจากแฟนฉันเอง"

    "แฟนอาจารย์.. ใช่คนที่ยืนข้างๆนี่รึเปล่าคะ"

    "อ่า..รูปมันจางๆแล้ว เลยเห็นหน้าเธอไม่ชัดเท่าไหร่"

    "อาจารย์จะจำเธอได้ใช่ไหมคะ ถ้าไปถึงที่นั่นแล้ว"

    "นึกว่าเธอจะถามว่าฉันจะไปถึงที่นั่นหรือเปล่าเสียอีก"

    "ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันเชื่ออาจารย์ว่ามันจะต้องสำเร็จ ฉันเลยถามอาจารย์ข้ามช็อตไปเลย"

    "ฮะฮะ นั่นสินะ ฉันหวังว่าฉันจะจำเธอได้นะ"

     

    หลังจากทำกิจกรรมระหว่างวันจนเสร็จ นักศึกษาทยอยกลับไปหมดแล้ว ผมจึงเปิดผ้าที่คลุม "พ็อด" ออกอีกครั้ง

     

    "อาจารย์จะไม่ถอด..เสื้อผ้าออกเหรอคะ?"

    "ถอดทำไมรึ?"

    "ในเดอะเทอมิเนเตอร์บอกว่าเครื่องมันส่งเสื้อผ้าไปไม่ได้ ก็เลย.."

    "ต้องเปลือยไปน่ะรึ ฮะฮะฮะ โดนจับเข้าคุกแน่ เธอไม่รู้หรอกว่าปี 2563 บ้านเมืองเป็นยังไง เป็นยุคมืดที่ตำรวจ.. ไม่เอาดีกว่า"

    "ไว้ค่อยกลับมาเล่าต่อก็ได้ค่ะ ฉันชอบฟังอาจารย์เล่า"

    "ได้เลย ...ถ้าฉัน กลับมาได้น่ะนะ"

     

    ผมเดินไปเปิดคันโยกเพื่อให้กระแสไฟฟ้าเข้ามาที่ "พ็อด" กระแสไฟฟ้าไหลเวียนไปทั่วเครื่อง เสียงดังเปรี๊ยะเป็นระยะๆ

     

    "มันจะปลอดภัยใช่ไหมคะ?"

    "ภาวนาให้มันปลอดภัยนะ  ฉันตั้งเวลาไว้หมดแล้ว พอฉันเข้าไปในเครื่องแล้วเปิดการทำงานของมันจากข้างใน มันจะระเบิดพลังงานจำนวนมหาศาล ระวังด้วยนะ"

    "ค่ะ"

    "แล้วก็..เก็บกวาดให้ทีนะ"

    "อาจารย์คะ"

    "หืม"

    "นี่เป็นสร้อยข้อมือของฉัน มันจะนำโชคมาให้ อาจารย์ใส่ไว้นะคะ"

    "ขอบใจนะ"

     

    ผมปิดฝาของ"พ็อด"ลง และเปิดการทำงานของเครื่องตามที่ได้โปรแกรมไว้ เครื่องเดินได้อย่างไม่มีสะดุด ผมใส่สร้อยข้อมือไว้ที่มือซ้ายก่อนที่จะเริ่มดำเนินการต่อ

    "เข้าสู่การหมุนกลับ" เสียง AI ที่คอยช่วยเหลือกำลังแจ้งขั้นตอน

    "กำลังหมุน"

    "กำลังหมุน"

    "กำลังเข้าสู่ภาวะต้านแรงเหวี่ยงของสนามแม่เหล็กโลก"

    "กำลังปรับแก้ไขการหักล้างสนามแม่เหล็ก"

    "กำลังหมุนย้อนกลับ"

    "ย้อนกลับ"

    "ย้อนกลับ"

    "เริ่มกระบวนการย้อนกลับ"

    ขณะที่กำลังฟังเสียง AI รายงานไปเรื่อยๆ ผมเริ่มสังเกตว่า "ลิน" นักศึกษาผู้ช่วยที่กำลังยืนมองด้านนอกผ่านกระจก แววตานั้นดูเหมือนแววตาของคนที่ผมเคยรู้จัก

    "เธอเป็นใครกันแน่?" ผมตะโกนออกมา

     

    "เตรียมตัวรับแรง G แบบย้อนกลับ"

    "อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"

     

    ด้วยแรง G ของเครื่องมันทำให้ผมหมดสติไปนานแค่ไหนไม่รู้เลย

     

     

     

    "เฮือก!!" 

    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพยายามขวนขวายอากาศหายใจ แต่ดูเหมือนว่าผมจะหลับไปนานเกินไปจนออกซิเจนถูกใช้ไปเกือบหมด  เมื่อมองหน้าจอบอกปริมาณแก๊สต่างๆในพ็อด ก็พบว่าระดับออกซิเจนต่ำมากจนแทบหายใจไม่ได้ ภาพข้างหน้าผ่านกระจกของพ็อดมองเห็นแต่ลานโล่งๆ ไม่ใช่ในห้องทดลองอีกต่อไปแล้ว

    "สำเร็จสินะ"  ผมพูดกับตัวเอง

     

    ผมซื้อที่ดินผืนนี้สร้างสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเพราะผมเห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆ มันรกร้าง มันอ้างว้างและไม่เคยมีใครซื้อที่ดินผืนนี้ทำอะไร ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นมันจึงทำให้ผมมั่นใจว่าถ้าผมสร้างสถาบันบนที่ดินผืนนี้ พ็อดจะส่งตัวผมกลับมายังที่ดินผืนนี้แน่นอน

     

    ผมค่อยๆเปิดประตูออก เป็นครั้งแรกที่ได้ย้อนเวลากลับมา ผมค่อยๆสูดหายใจเพื่อรับออกซิเจน

    "เจอตัวแล้วไอ้แก่  แกเอาเธอไปไว้ที่ไหน" 

    จู่ๆก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งน่าจะอายุราวๆ20กว่าพุ่งเข้าใส่ผม จนแทบไม่ทันตั้งตัว

    "เดี๋ยวๆไอ้หนู พูดเรื่องอะไร"

    "แกไม่ต้องมาทำเป็นไก๋ แกเป็นคนลักพาตัวเธอไปเมื่อสองวันก่อน ฉันแจ้งตำรวจไว้แล้วแกเจอดีแน่ เดี๋ยวฉันจะไปบอกตำรวจ"

    "เดี๋ยวๆ ฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ฉันว่าฉันไม่เคยลักพาตัวเด็กผู้หญิงไปสักคนเลยนะ"

    “อ๊ะ.. นั่นไง หลักฐาน สร้อยที่แกใส่ตรงข้อมือ นั่นมันสร้อยของแฟนผม ลุงเอาไปไว้ไหนบอกมานะเว้ย"

     

    ผมไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าหนูนี่บอกว่าผมลักพาตัวแฟนไปตั้งแต่สองวันก่อน แต่ผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก และอีกอย่างผมแค่จะมาบอกยกเลิกคำสัญญา ไม่ได้จะมาลักพาตัวใครเสียหน่อย

    "ใจเย็นๆ แนะนำตัวหน่อย" ผมพยายามพูดให้เด็กหนุ่มคนนี้ใจเย็นลง

    "แนะนำตัว? เพื่ออะไร?" เด็กหนุ่มยังคงพูดเสียงกระแทกกระทั้น

    "ฉันอยากจะยืนยันสิ่งหนึ่งไง" ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    "อัศ  ผมชื่ออัศ" เด็กหนุ่มค่อยๆเผยชื่อมา

    "หึ..  หึหึหึหึหึหึ ฮะฮะฮะฮะฮะฮะ"

    ผมไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้เลย มันบ้าบอสิ้นดี ผมหัวเราะราวกับคนเสียสติ

    "ขำบ้าอะไรวะไอ้แก่ แล้วแกล่ะชื่ออะไร"

    "เธอชื่ออัศ ที่มาจากชื่อเต็มอัศวินสินะ"

    "แล้วมันทำไม"

    "ฉันขำโชคชะตานี้ต่างหาก รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร"

    "แกมันก็แค่ไอ้แก่โรคจิตลักพาตัว.."

    "จะเชื่อหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ฉัน..คือตัวเธอในอนาคต ฉันคืออัศวิน"

    "หลอนอะไรของแกวะไอ้แก่ เดินทางข้ามเวลาเนี่ยนะ?"

    "อื้ม ด้วยสิ่งๆนี้แหละ"

    "โคตรไร้สาระเลย เชื่อก็โง่ละ บอกมาดีกว่าว่าแฟนผมอยู่ไหน"

    "เมื่อสองวันที่แล้ว เธอ..มั่นใจจริงๆใช่มั้ยว่าเป็นฉัน"

    "ใช่สิ เหมือนกันเป๊ะขนาดนี้"

    "เฮ้อ.. มัลติเวิร์สสินะ"

    "ห๊ะ.. พูดถึงการ์ตูนมาเวลรึไง"

    "ไอ้หนู.. ถึงเวลาจริงจังแล้ว ฉันมาที่นี่เพื่อมาตามหาแฟนสาวของเธอนั่นแหละ ถูกแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้พบกับเธอเพราะฉันเพิ่งมาถึงที่นี่ วันนี้ ตอนนี้ ฉันมาด้วยสิ่งที่อยู่ด้านหลัง มันถูกเรียกว่า พ็อด เป็นกระสวยสำหรับย้อนเวลา  ฉันกลับมาที่นี่เพื่อมาตามหาเด็กผู้หญิงที่ฉันสัญญาว่าจะรักเธอจนวันตาย ฉัน..จะขอให้เธอยกเลิกสัญญานั้นกับฉัน"

    "อะไรกัน.. คุณรู้ได้ยังไงว่าผมสัญญาอะไรกับแฟนผมไว้"

    "ฉัน..จำได้ไงล่ะว่าคำสัญญานั้นมันเกิดขึ้นวันไหน ฉันมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนฉันจะคาดคะเนผิดไปหน่อย เพราะดูเหมือนจะมีตัวฉันเองอีกคนมาที่นี่แล้วก่อนหน้านี้สินะ แสดงว่ามัลติเวิร์สมีจริง"

    "ลุงพูดบ้าอะไรของลุง ผมไม่เข้าใจ ถ้าลุงไม่ใช่คนที่ผมเจอก่อนหน้านี้ แล้วลุงจะมีสร้อยข้อมือของเธอได้ยังไง?"

    "สร้อยนี้อาจจะแค่เหมือนกันเฉยๆก็ได้นี่นา สร้อยเส้นนี้ฉันได้มาจากนักเรียนของฉันก่อนฉันเดินทางมาที่นี่"

    "มันก็จริง แต่มันดูเหมือนกันมาก"

    "ฉันมีภารกิจ ภารกิจที่เธอกับฉันจะต้องทำด้วยกัน ฉันรู้ว่าจะตามหาแฟนเธอได้ที่ไหน สนใจไหม?"

    "ยังไงครับ?"

    "เอาจริงๆ ถ้าหมอนั่นเป็นฉันจริงๆ ฉันคิดว่ามันมีสิ่งที่เราสามคนเชื่อมโยงกันอยู่นะ"

    "เชื่อมโยงกันเหรอ?"

    "ปี63 ตอนนี้ทุกคนกำลังลำบากสุดขีด อีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้แฟนของฉัน ของเธอ และก็ของหมอนั่น จะต้องป่วยและเข้าโรงพยาบาลก่อนที่จะจากไป ถ้าหมอนั่นเป็นฉันจริงๆ ฉันคิดว่ามีสถานที่ๆฉันจะไปเป็นประจำเวลาไม่สบายใจ"

    "ผมคิดว่าผมพอจะรู้"

    "เดาสิ จะได้รู้ว่าเธอเป็นฉันจริงๆ"

    "ผมไม่หลงกลคุณหรอก คุณพูดก่อน"

    "ริมแม่น้ำเจ้าพระยาไง"

    "ผมอยากหัวเราะกับโชคชะตาบ้างจัง นี่เราเดินทางข้ามมิติได้แล้วจริงๆเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย"

    "ไปตามหาเธอกัน  ว่าแต่เธอมีเงินอยู่ใช่ไหม?"

    "ครับ ผมมี"

     

    พวกเราสองคนเดินออกมาจากที่ดินอันว่างเปล่านั้น  แม้จะไม่รู้เหตุผลที่ผมเองมาปรากฏตัวที่นี่ แต่โชคดีที่ที่ดินแปลงนี้ไม่ไกลจากถนนใหญ่และชุมชนมากนัก  ผมไม่ได้เอาอะไรอำพราง"พ็อด"ไว้เลย เพราะยังไงก็ไม่มีคนใช้งานมันเป็นแน่ๆ

     

    พวกเรานั่งแท็กซี่เก่าๆมาตามถนนเรื่อยๆ ผมรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวตนของผมในอดีตแบ่งปันแมสก์ปิดจมูกมาให้ และทำให้ผมตระหนักถึงอันตรายของโรคระบาดและรัฐบาลที่ไม่สามารถควบคุมมันได้

    รถค่อยๆแล่นไป สายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา

    "ถ้าเราไม่เจอเขาล่ะ?"  เด็กหนุ่มถาม

    "นั่นสินะ ฉันยังไม่ได้คิดเอาไว้เลย แต่ยังไงเสียฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ"

     

    สายฝนเริ่มลงหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนคนขับจะพาเราจวนถึงที่หมายแล้ว หากแต่ว่ารถในกรุงเทพติดสุดๆ

    "ลงเดินกันดีกว่า" ผมชวนเด็กหนุ่มลงจากรถ

    "หา..แต่ฝนตกหนักมากเลยนะ"

    "ไม่เป็นไร จ่ายเงินไปเถอะ เราเดินต่อจากที่นี่กัน"

     

    พวกเราทั้งคู่เดินลงมาจากรถ และเดินลัดเลาะไปตามทางเท้า

    "ใต้สะพานตากสินสินะครับ"

    "อืม..เก้าอี้โทรมๆ กลิ่นแม่น้ำที่คุ้นเคย"

    "แล้ว..โลกที่คุณมา ของพวกนี้ยังมีอยู่ไหม?"

    "ไม่มีแล้วล่ะ ประเทศถูกพัฒนาไปไกลมากจากตรงนี้ ไม่มีการสู้รบโดยการหนุนหลังของผู้มีอำนาจ ไม่มีแล้ว"

    "จริงเหรอครับ?  ผมไม่เห็นว่ามันจะมีวันนั้นได้เลย"

    "ถ้าเธอเชื่อน่ะนะ  แต่ตอนที่ฉันอายุเท่าเธอ ไม่มีใครข้ามเวลามาบอกฉันว่ามันจะเกิดขึ้นนะ ฉันแค่เชื่อมั่นว่าประเทศนี้เปลี่ยนแปลงได้"

    "อ๊ะ.. นั่นไงๆ เขาจริงๆด้วย เขาเหมือนคุณจริงๆ"

     

    ผมกับตัวของผมในช่วงวัยรุ่นยืนมองชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่ท่าน้ำแห่งนี้ แววตาเขาดูเลื่อนลอย เหม่อมองออกไปโดยไม่สนใจผู้คนเลยแม้แต่น้อย

    ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไป

     

    "ว่าไง.. ตัวฉันอีกคน"

     

    ชายชราหันมามองตามเสียง

     

    "บ้าน่า.. เป็นไปได้ยังไง???"

     

    ชายชราคนนั้นทำหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นผม ราวกับภาพสะท้อนในกระจก

     

    "คุณเอาเธอไปไว้ที่ไหน?"  ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่าย

    "อนาคต" เขาหันกลับไปเหม่อมองเหมือนเดิม

    "หมายความว่ายังไง อนาคต" ตัวผมที่เป็นวัยรุ่นตะคอกถาม

    "ฉันส่งเธอไป ข้ามเวลาไปแล้วด้วยแคปซูลที่ฉันนั่งมา แกจะไม่มีวันเจอเธออีกแล้วไอ้หนู"

    "บ้าน่า.. อัง.. ผมจะไม่ได้เจออังเนี่ยนะ"

    "หืม? เธอว่าไงนะ"

     

    ผมสะกิดใจชื่อที่เด็กหนุ่มเรียกขึ้นมา

     

    "คุณจำไม่ได้เหรอ อังไง คุณจำอังไม่ได้เหรอ นี่คุณมาจากจักรวาลไหนกันแน่?"

     

    ผมไม่มีคำตอบให้

     

    "แล้วคุณจะกลับยังไงถ้าคุณส่งเธอไปอนาคตแล้ว"  ผมถามอีกตัวตนหนึ่งของผม

    "ผมไม่สนใจหรอก ยังไงผมก็กลับไปไม่ได้  แต่เธอจะไม่ตายแล้ว นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ"

    "หมายความว่ายังไง?" ผมยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากระทำ

    "คุณก็เหมือนผมใช่มั้ยล่ะ คุณมาเพื่อช่วยเธอ ถูกมั้ย? ก็นี่ไง ผมช่วยเธอไปแล้ว คุณ หรือเจ้าเด็กนี่ ต่างก็รู้ว่าปีหน้าเธอจะต้องตายด้วยโรคๆนั้น ผมไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นหรอก ผมจึงพาเธอไป เข้าเครื่องและส่งข้ามเวลาไปอนาคต ที่นั่นจะมีคนรอรับเธออยู่"

    "เปล่า.. ผมไม่ได้มาช่วยเธอ" ผมตอบคำถามของชายชราตรงหน้า

    "หมายความว่ายังไง ไม่ได้มาช่วย? แล้วมาทำอะไร?"

    "ผม..แค่จะมาขอให้เธอยกเลิกคำสาป" ผมตอบ

    "ฮะฮะฮะฮะฮะ คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนผมไม่ใช่เหรอ? นี่มันเรื่องปัญญาอ่อนอะไรกัน ข้ามเวลามาแล้วสมองเพี้ยนอย่างนั้นเหรอ?"

    "เปล่า..  คุณ ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ทรมานต่อการจากไปของ..แฟนตัวเอง เอ่อ..อัง อย่างนั้นเหรอ?" ผมถามกลับ

    "ทุกข์ทรมาน? ผมไม่มานั่งทนทุกข์เรื่องพวกนั้นหรอกนะ สิ่งที่ผมมีคือความปรารถนาที่จะให้เธอได้พบอนาคตที่ดี แต่ในเมื่อมันใช้เวลานาน ผมจึงต้องสร้างเครื่องย้อนเวลานั่น เพื่อกลับมาที่นี่และส่งเธอไปอนาคต เพื่อให้เธอได้มีชีวิตที่ดี  เพราะผมรักเธอยังไงล่ะ"

    "มันเป็นความต้องการของคุณเองไม่ใช่เหรอ อังไม่ได้อยากไปเสียหน่อย" เด็กหนุ่มที่อารมณ์พุ่งพล่านถึงกับกระชากคอเสื้อ

    "ฮะฮะฮะ ไอ้หนู เธออยากไป เสียใจด้วยนะ"  ชายชราหัวเราะด้วยเสียบแหบกร้าน

    "หืม.."  ผมอึ้งกับคำตอบนิดหน่อย

    "หมายความว่ายังไง?" เด็กหนุ่มลดโทนเสียงลง

    "เมื่อวานก่อนฉันจะส่งเธอไป ฉัน..นั่งคุยกับเธอทั้งคืน เล่าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อีกหลายสิบปีข้างหน้า เธอฟังอย่างตั้งใจเลยล่ะ และเธอก็ตื่นเต้นกับมันมากๆ ดังนั้นเธอจึงตกลงที่จะไปด้วยตัวของเธอเอง"

    "อะไรกัน"  เด็กหนุ่มลงไปนั่งกองกับพื้น "ผมคิดว่าเธออยากจะต่อสู้ไปพร้อมผมเสียอีก"

    "เธอทำได้แค่เป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองที่บิดเบี้ยว ไม่สามารถขบกันลงได้หรอก แต่ฉันบอกเธอได้เลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะเปลี่ยนแน่นอน"  ชายชราตอบกับเด็กหนุ่ม

    "ถ้างั้น.. ส่งผมไปหาเธอได้มั้ยครับ" เด็กหนุ่มมองหน้ามาที่ผม

    "หืม? หมายความว่ายังไง?" ผมถาม

    "ส่งผมไปอนาคต ผมจะไปตามหาเธอ" เด็กหนุ่มทำหน้าจริงจัง

    "เธอเห็นอะไรมั้ย การที่เธอเห็นฉันสองคนยืนอยู่แบบนี้มันก็หมายความว่าการข้ามเวลามันทำให้ฟันเฟืองของเวลาบิดเบี้ยว เธออาจจะถูกส่งกลับไปอีกเส้นทางหนึ่ง เส้นทางนั้นอาจไม่มี "อัง" อยู่ในอนาคตก็เป็นได้นะ" ผมพยายามไม่สร้างความหวังให้เด็กหนุ่ม

    "อาจจะมีวิธีก็ได้นะ" ตัวตนของผมอีกคนพูดขึ้นมา

    "ยังไง?" ผมถาม

    "สร้อยเส้นนั้น เป็นสร้อยที่เด็กคนนั้น ไม่สิ แฟนของเจ้าเด็กนี่ใส่มันไว้ตอนฉันส่งเธอไปอนาคต"

    "ไม่จริง ในโลกของฉันไม่มีเธออยู่ ฉันถึงได้มาที่นี่ไง" ผมค้านหัวชนฝา

    "แล้วคุณได้สร้อยข้อมือนี้มายังไง?" ตัวตนของผมอีกคนถาม

    "ผมได้มาจากนักเรียนของผม"  ผมตอบ

    "นักเรียนของคุณ? เธอหน้าตาเป็นยังไง?" เขาถามกลับมาอีก

    "เธอเปล่งประกายมาก ผูกผมหางม้า หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ผมไม่รู้จักชื่อของเธอจนกระทั่งเธอรู้ว่าผมจะใช้เครื่องนี้ส่งตัวเองกลับมา เธอจึงอาสาที่จะช่วยผม  และเธอก็ให้สร้อยเส้นนี้มาก่อนที่ผมจะเดินทางมาที่นี่"

     

    ตัวตนของผมอีกคนหันมองหน้ากับเด็กหนุ่มแล้วยิ้ม เด็กหนุ่มยิ้มตอบ

     

    "อะไร ยิ้มทำไม?"  ผมถามด้วยความสงสัย

    "ก็นั่นแหละเธอ!" เด็กหนุ่มและตัวตนของผมตอบมาพร้อมกัน

    "แต่เธอไม่ได้ชื่ออัง เธอบอกว่าเธอชื่อลิน" ผมแย้ง

    "ใช่ครับ เพราะชื่อเต็มๆคืออังศุมาลิน" เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง

     

    เสี้ยววินาทีหนึ่งเหมือนสมองของผมถูกกระชากด้วยไฟฟ้าอย่างรุนแรง ราวกับมีปฏิกิริยาจากชื่อ "อังศุมาลิน" ข้อมูลต่างๆที่เคยถูกปิดกั้น หลั่งไหลออกมาจากสมอง มันเป็นภาพที่ชัดเจนราวกับภาพถ่าย

     

    ผมทิ้งตัวคุกเข่าลงที่พื้น

     

    "จริงด้วย.. อังศุมาลิน เธอ..เธออยู่ที่นั่นมาตลอด" ผมเริ่มร้องไห้

    "ใจเย็นๆ ไม่ต้องร้องไห้หรอก" ตัวตนของผมอีกคนหนึ่งลงมาปลอบ

    "ฉัน..ฉันเสียใจ ฉันเสียใจจริงๆที่จำเธอไม่ได้ ภาพที่มีอยู่มันช่างเลือนราง ฉันยึดติดกับภาพเลือนรางนี่มาตลอดหลายสิบปี แต่เธอ เธอกลับไปอยู่ที่นั่น"  น้ำตาหยดลงบนมืออันหยาบกร้านของผม

    "ว้าว.." ตัวตนของผมอีกคนถอนหายใจ "ผมทำไม่สำเร็จแฮะ แสดงว่าเธอไม่ได้กลับไปในที่ๆผมจากมา"

    "หมายความว่าไงครับ?" เด็กหนุ่มถาม

    "หมายความว่า ฉันส่งเธอไป แต่เธอดันไปอยู่ในที่ที่หมอนี่เดินทางมายังไงล่ะ แถมดูเหมือนเธอจะช่วยเหลือให้หมอนี่ได้ย้อนเวลากลับมาซะด้วย"

    "ผมรู้แล้วว่าผมจะต้องทำยังไง" ผมปาดน้ำตาออก

    "อ่าฮะ ผมรอคำนั้นอยู่พอดี" ชายชราอีกหนึ่งตัวตนของผมหัวเราะ

    "ยังไงครับ?" เด็กหนุ่มถาม

    "ก็ส่งเธอไปอนาคตไง" ตัวตนอีกคนของผม และผมเองตอบพร้อมกัน

     

    พวกเราสามคนนั่งแท็กซี่กลับมาในที่แห่งเดิม พื้นที่รกร้างแห่งนี้ ที่ๆมีกระสวยข้ามเวลาของผม

     

    "เอาล่ะ มาบรีฟกันหน่อยไอ้หนู เครื่องนี้ต่างจากเครื่องที่ฉันสร้างนิดหน่อย แต่ดูเหมือน"อัง"จะแก้ไขข้อผิดพลาดของมันมาแล้วแน่ๆ ดังนั้นสิ่งที่นายต้องทำก็คือลงไปนั่งในเครื่องนี้และนั่งข้ามเวลาเพื่อกลับไปหาเธอ" ตัวตนของผมอีกคนอธิบาย

    "พวกเราไม่ต้องทำอะไรแล้วเพราะเวลาขากลับถูกตั้งเอาไว้เป็นคืนเดียวกันกับที่ผมเดินทางมา" ผมเสริม

    "โอเค งั้นนายลงไปนั่งซะไอ้หนู" ตัวตนของผมอีกคนเปิดประตูของพ็อดออก

    "ครับ แล้วยังไงต่อ" เด็กหนุ่มลงไปนั่ง

    "เอ่อ..จากนั้นพอเปิดสวิทช์ก็..สนามแม่เหล็กโลกจะหมุนและเครื่องนี้จะหมุนเร็วกว่า ก็จะเอ่ออ..." ตัวตนของผมอีกคนพยายามอธิบายเป็นวิชาการ

    "เลิกอธิบายแบบนั้นเถอะ มันทำให้ดูเป็นคนแก่เนิร์ดๆ เอาเป็นว่าพอเธออยู่ในเครื่อง มันจะทำให้เธอหมดสติและหลับไปแต่เมื่อเธอตื่นขึ้นมา"อัง"ก็น่าจะรออยู่ที่ปลายทางแล้ว" ผมบอกกับเด็กหนุ่ม

    "ครับ" เด็กหนุ่มพยักหน้า

    "เอานี่ไป มันจะนำโชคให้เธอ"  ผมถอดสร้อยข้อมือออกและส่งให้เด็กหนุ่ม ตัวของผมเอง

     

    ผมชี้จุดเปิดสวิทช์ และปิดประตูเพื่อให้เครื่องเข้าสู่กระบวนการ

     

    "เข้าสู่การหมุนเดินหน้า" เสียง AI ที่คอยช่วยเหลือกำลังแจ้งขั้นตอน

    "กำลังหมุน"

    "กำลังหมุน"

    "กำลังเข้าสู่ภาวะหมุนตามแรงเหวี่ยงของสนามแม่เหล็กโลก"

    "กำลังปรับแก้ไขการหมุนตามสนามแม่เหล็ก"

    "กำลังหมุนไปข้างหน้า"

    "ข้างหน้า"

    "ข้างหน้า"

    "เริ่มกระบวนการเร่งการหมุนไปข้างหน้า"

     

    เสียงเครื่องดังสนั่นไปทั่วบริเวณโดยรอบ จนผมและตัวตนอีกคนของผมต้องถอยหนีจากเครื่อง กระแสไฟฟ้าปั่นป่วนไปรอบๆบริเวณ ขณะที่บริเวณรอบๆเครื่องถูกฉีกออกเป็นริ้วๆและภาพของเครื่องที่กำลังถูกหมุนอย่างแรงหายวับไปต่อหน้า

     

    "คุณคิดว่าพวกเราจะส่งเขาไปเจออังมั้ย?" ผมหันไปถาม

    "จริงๆ ถึงแม้ระหว่างทางอาจจะมีเส้นทางแตกแขนงออกไปมากมาย แต่ถ้าตอนจบมันเป็นเส้นทางเดียวล่ะก็ พวกเราอาจจะหายไปจากโลกนี้ก็ได้"

    "ตอนจบเหรอ?" ผมถาม

    "คุณมาที่นี่เพราะอะไรนะ? ผมขออีกที" ตัวตนอีกคนของผมเหมือนยังคาใจ

    "ผมมาเพราะผมรู้ว่ายังไงเธอก็ต้องตาย ผมไม่ได้จะเปลี่ยนแปลงอะไร แค่มาเพื่อขอให้เธอยกเลิกสิ่งที่เคยสัญญากันไว้"

    "อืมมม ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ถึงคุณจะมาขอเด็กอายุ20กว่าๆให้ยกเลิกสัญญาไปเธอก็คงไม่เข้าใจหรอก" ตัวตนอีกคนของผมอธิบาย

    "แต่การอธิบายเรื่องข้ามเวลาเพี้ยนๆแล้วเธอเข้าใจนี่ มันไม่ยิ่งกว่าเหรอ?" ผมยอกย้อน

    "เธอเป็นแฟนหนังคนเหล็ก ไม่มีอะไรไม่เข้าใจหรอก" ตัวตนอีกคนของผมบอก

    "จริงเรอะ?" ผมถาม

    "คุณจำไม่ได้เหรอว่าพวกเราพาเธอไปดูหนังเรื่องนี้แทบทุกภาค" ตัวตนอีกคนของผมถาม

    "เออก็จริง ผมก็ยังว่า ทำไมตอนผมเจอเธอ หมายถึงที่โน่น เธออุตส่าห์บอกใบ้ผมขนาดนั้น ยังนึกไม่ออกเลย"

    "ก็คุณมันเป็นพวกไม่มีไหวพริบนี่น๊า ถึงได้จีบใครไม่ได้เลย" ตัวตนอีกคนของผมแซว

    "เฮ้อ ก็เหมือนกันนั่นแหละนะ"  ผมนั่งลงกับพื้นหญ้า มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

     

    ตัวตนของผมอีกคนเดินมานั่งข้างๆ

     

    "คุณว่าเด็กคนนั้นจะได้เจอเธอรึยัง" ผมหันไปถามตัวตนอีกคน

    "ก็..ถ้าเดินทางด้วยความเร็วแสง ภายในอีกหกสิบปีข้างหน้าจะคิดเป็นระยะทางสองหมื่นสามพันหนึ่งร้อย.."

    "พอๆเลย เลิกบ้าวิชาการเสียที" ผมปราม

    "ถึงแล้วล่ะ ป่านนี้" ตัวตนอีกคนของผมแหงนมองท้องฟ้าด้วย

    "รู้ได้ไงทีนี้" ผมถามกลับ

     

    ตัวตนอีกคนของผมไม่มีคำตอบ แต่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดไปด้วย "นี่ไงหลักฐาน"

     

    ภาพตรงหน้าผมทำให้ผมตกตะลึงอีกครั้ง มือของตัวตนอีกคนของผมกำลังค่อยๆสลายไป  ผมยกมือของตัวเองขึ้นมามอง มันก็ค่อยๆสลายไปเช่นกัน

    "ได้พบกันแล้วสินะ" ผมลุกขึ้นยืน

    "ลาก่อนสหาย ภารกิจของพวกเราจบแล้ว" ตัวตนอีกคนของผมยิ้มด้วยความยินดี

    "อ่า.. ลาก่อน" ผมยิ้มให้ชายชราตรงหน้า ก่อนที่จะมองท้องฟ้าในค่ำคืนนี้

    "ผมอยู่มานานเกินพอแล้ว ขี้เกียจดูเทอมิเนเตอร์แล้วด้วย ไร้สาระ" ตัวตนอีกคนของผมบอก ขณะที่ร่างกายค่อยๆสลายไปเรื่อยๆ

    "ภาคล่าสุด คนเหล็กยิงเลเซอร์จากตาได้" ผมยิ้ม

    "เฮ้ย.. สปอล์ยเห็นๆ ทำไมโลกของผมมันจบแค่ภาค8วะ" ตัวตนอีกคนของผมโวยวาย

    "อันนี้มันรีบูท คนละคนเล่นแล้ว" ผมตะโกนบอก เพราะเสียงจากทางนั้นเริ่มปลิวหายไป

    "ไอ้บ้าา"  ชายชราตรงหน้าผมหายไปแล้ว

    "โทษฐานที่โดนอังศุมาลินสปอล์ยมาก่อนไงล่ะ หึหึ เข้าใจความรู้สึกของคนโดนสปอล์ยหนังรึยัง" 

     

    และสติของผมก็วูบดับไป

     

     

     

     

    จบบริบูรณ์

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    "กำลังเข้าสู่สภาวะสมดุล"

    "กำลังจัดลำดับและแก้ไขค่าสนามแม่เหล็ก"

    "สนามแม่เหล็กขนานกับสนามแม่เหล็กโลก"

    "สิ้นสุดการเคลื่อนย้าย"

    "สิ้นสุดการเคลื่อนย้าย"

    "สิ้นสุดการเคลื่อนย้าย"

     

    "ก๊อก ก๊อก"

    "ได้ยินฉันไหม? เฮ้.. โอเคแล้วล่ะ ดูเหมือนอาจารย์จะทำสำเร็จ"

    เสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดอู้อี้ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

    "วื๊บบบบบ  ฟู่..."  เสียงประตูของเครื่องเปิดขึ้น

     

    ภาพตรงหน้า ปรากฏเป็นหญิงสาวคนหนึ่งผูกผมหางม้าท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเสื้อแขนยาวพร้อมสูท ยื่นมือให้

    "ยินดีต้อนรับสู่อนาคตนะ ..วิน"

    "ดีใจที่ได้เจอเธอนะอัง.."

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×