พบรักในสุสานกับนายผี - นิยาย พบรักในสุสานกับนายผี : Dek-D.com - Writer
×

    พบรักในสุสานกับนายผี

    โดย Pro writer

    เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อเจนี่ มีชีวิตพลิกผันไร้ครอบครัว เจนี่ต้องไปอาศัยอยู่กับน้าสาวที่ต้องใช้งานเหมือนกับทาส เธอโดนลอบฆ่าถึงสองครั้งเเต่ก็รอดมาจนได้มาอยู่ดินเเดนเเห่งหนึ่ง เรื่องจึงเริ่มขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    162

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    162

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ผจญภัย
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ย. 66 / 17:57 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทที่ 1 เรื่องร้ายๆของเจนี่

    มีครอบครัวหนึ่งชื่อตระกูล แอลวิด อาศัยอยู่ในชนบทที่อุดมสมบูรณ์ คือเมืองแทมมาฟิลล์ ซึ่งอยู่ห่างจากความเจริญในตัวเมืองไม่มากนัก แต่เดิมสมาชิกในครอบครัวนี้มีนายจิมมี่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว และนางมิมซ่าเป็นภรรยา มีลูกสาวชื่อ เจนี่ และลูกชายซึ่งเป็นลูกคนเล็กชื่อ แม็ก ตระกูล แอลวิด มีอาชีพทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์และไร่ปลูกพืชต่างๆสารพัด นายจิมมี่มีคนงานมากมายที่ซื่อสัตย์และรักเขามาก ฐานะครอบครัวนี้มีทรัพย์สินถึงระดับเศรษฐีและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดมา จนกระทั่ง 16 ปีต่อมา เจนี่ อายุได้ 22 ปี และแม็กน้องชายของเธออายุได้ 21 ปี แม็กต้องไปเกณฑ์ทหารโดยไม่มีกำหนดว่าจะได้กลับมาเมื่อไร เจนี่เดินไปหาแม็กเพื่ออำลาในคืนวันสุดท้ายที่แม็กจะได้อยู่ที่นี่ ขณะที่แม็กนั่งอยู่หน้าบ้านและมองไปที่ไร่ที่มีแสงสรัวๆของบ้านเรือนที่อยู่ห่างไกล บรรยากาศมีเสียงแมลงร้องเป็นระยะๆตามสถานที่ที่เป็นชนบทแม็กถ้ายังไงเมื่อเธอไปแล้วก็ส่งจดหมายมาบอกข่าวคราวกันบ้างนะ พี่คงจะเดาไม่ได้ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไง พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับผมไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะไปตายในสนามรบง่ายๆ ผมสัญญาว่าผมจะต้องกลับมาตายที่นี่ ที่บ้านเกิดของเรา สองคนคุยอะไรกันอยู่เหรอลูก เสียงนายจิมมี่เดินออกมาจากประตูถามลูกทั้งสอง แล้วเจนี่กับแม็กก็หันมายิ้มร่าพร้อมกัน พ่อว่านะมันก็ค่ำแล้วมีอะไรก็เข้าไปคุยในบ้านดีกว่า และอีกอย่างแม็กก็ควรจะพักผ่อนมากๆ พรุ่งนี้ลูกต้องออกแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ผมอยากจะดูไร่ของเรานานๆน่ะครับ ถ้าผมไปผมคงจะคิดถึงมันแน่ๆเลย ยังไงพ่อก็เชื่อใจลูก ลูกทั้งสองจะต้องมาช่วยดูแลไร่เราต่อไป และแม็กต้องกลับมาช่วยพ่อดูแลให้ได้นะ ถ้าพ่อเชื่อมั่นในผม ผมจะทำตามที่พ่อขอ แล้วทั้งหมดก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข เมื่อถึงเวลาเช้า แม็กก็แต่งตัวชุดธรรมดา ใส่เสื้อสีขาวกางเกงสีขี้ม้าพร้อมแบกสัมภาระในเวลาที่ฟ้ายังไม่ส่าง แม็กเดินไปกอดนายจิมมี่และนางมิมซ่า และสุดท้ายก็เดินไปจับมือเจนี่ เจนี่กอดแม็กและตบหลังให้กำลังใจนิดๆ ตระกูลแอลวิด ไม่มีใครเสียใจเท่าไรในการจากไปของแม็กถึงเสียใจก็ไม่แสดงความรู้สึกเพื่อไม่ให้แม็กกังวลและเป็นห่วง พวกเขายินดีที่ลูกชายได้รับใช้ชาติ ทุกคนต่างโบกมือลากันก่อนจะมีรถปิ๊กอัพคันเก่าๆพอควรจากไร่โดยมีคนงานขับมารับแม็กเพื่อไปส่งในเมือง แม็กยิ้มอำลาทุกคนครั้งสุดท้ายก่อนที่รถจะขับออกไป
    ต่อมานายจิมมี่และนางมิมซ่า ก็ต้องมาประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิตทั้งคู่ ขณะเดินทางกลับจากในตัวเมือง เจนี่เมื่อได้ทราบข่าวร้ายของพ่อแม่ของเธอจากโทรศัพท์ เธอก็เสียใจมาก ชีวิตของเธอเหมือนมีแต่สิ่งเลวร้ายโหมกระหน่ำแต่เธอยังมีสติเธอมีน้ำตาซึมที่ตาเล็กน้อยเธอพยายามเม้มปากเพื่อเก็บความรู้สึกเพราะเธอรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอ่อนแอ แต่ต้องคิดสิ่งที่เธอจะต้องนำเนินต่อไปอย่างไรเมื่อเธอไม่มีใครแล้ว นายทุนธุรกิจทั้งหมดต่างเลิกเซ็นสัญญารับผลผลิตในไร่ของนายจิมมี่เมื่อไม่มีผู้บริหารงานในไร่ฟาร์ม ส่วนเจนี่ยังเด็กนักยังบริหารอะไรไม่เป็น เจนี่จึงต้องใช้เงินที่นายจิมมี่เก็บไว้บางส่วนมาให้คนงานเป็นครั้งสุดท้าย แต่มีชายแก่อยู่ 3 คน คือ นายพ็อพ วิลเลี่ยน และนาย เวน พร้อมครอบครัว เป็นคนงานของ นายจิมมี่ เป็นคนงานที่สนิทใกล้ชิดพ่อของเธอที่สุด ซึ่งมีบ้านในละแวกใกล้เคียงกันอาสาที่จะดูแลไร่ สวน ที่กว้างใหญ่หลายไร่ต่อไป เนื่องจากไม่มีคนดูแล ซึ่งเจนี่ก็ไม่ได้ขัดข้องเพราะคนงานเหล่านี้ซื่อสัตย์และไว้ใจได้ เพราะพวกเขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนายจิมมี่มาก พวกเขาทำงานให้นายจิมมี่มานานตั้งแต่พวกเขายังไม่มีครอบครัว นายจิมมี่ คอยช่วยเหลือดูแลพวกเขามาโดยตลอด คนงานทั้งสามนี้ปลูกฝังให้ลูกของเขาทำงานในไร่ตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันนี้ลูกของพวกเขาโตถึงวัยกลางคน นายพ็อพมีลูกสาวชื่อ เมทรี้ และลูกชายอีกคนหนึ่งคือ เมอบิล ส่วนนายวิลเลี่ยนมีลูกชายหนึ่งคนคือ นายเจ็ตซึ่งแต่งงานกับเมทรี้ลูกของนายพ็อพ ส่วนนาย เวนมีลูกชายสองคนเป็นฝาแฝด คือ เดนนี่กับเดนนัล ลูกของพวกเขาถูกเลี้ยงและเล่นอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต จากนั้นเจนี่ก็ต้องเก็บของย้ายไปที่บ้านใหม่ คือบ้านของน้าน้องสาวของพ่อ คุณหนูค่ะ เสร็จหรือยังรถพร้อมแล้วค่ะ คนใช้ที่สนิทกับเจนี่ ชื่อ นาง เบลลี่ เธอแก่กว่าเจนี่ 5 ปี ส่งเสียงขึ้นมาจากชั้นล่าง เรียกเจนี่ที่กำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่บนห้อง และไม่นานเจนี่ก็เดินลงมาพร้อมกับสัมภาระ แล้วนางเบลลี่ก็มีน้ำตาซึมทันทีที่ตาของเธอ เมื่อเธอเห็นว่าเจนี่กำลังจะจากไป จากนั้นเธอก็เดินไปช่วยเจนี่ถือสัมภาระและเดินไปที่รถ เจนี่จึงกล่าวปลอบใจเธอครั้งสุดท้ายที่หน้ารถ อย่าเสียใจไปเลยพี่เบลลี่ ถ้าฉันตั้งตัวได้ฉันจะกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน เดี๋ยวน้าของฉันจะต้องหางานดีๆให้ฉันทำ ตอนนี้ฉันไม่มีสมบัติทรัพย์สินเงินทองพอที่จะจ้างคนงานได้นานนักหรอก ฉันฝากปิดบ้านด้วยนะ พี่เบลลี่ ฉันขอโทษที่ต้องทำให้พี่ตกงาน นางเบลลี่น้ำตาคลอเต็มหน้า ไม่เป็นไรค่ะคุณหนู ฉันก็คงจะกลับไปที่บ้านและหารายได้เล็กๆน้อยทำได้ ไม่ต้องเป็นห่วงนะค่ะ แต่คุณหนูซิค่ะจะอยู่ยังไง ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน น้าเขาดีกับฉันจะตาย ฉันไม่มีปัญหาอย่ากังวลน่า ฉันไปล่ะนะ เดี๋ยวจะค่ำเจนี่เปิดประตูรถ และเมื่อเจนี่เข้าไปนั่งในรถแล้วทั้งสองต่างโบกมืออำลาขณะที่รถขับออกไป เมื่อบ้านหลังนี้ไม่มีตระกูลแอลวิด คนในไร่ก็ต้องตกงานพร้อมทั้งคนใช้ บ้านจึงต้องโดนปิดร้าง ไร้คนอาศัย คนงานไปกันหมดเพราะตกงาน
    จนกระทั่งจวนพลบค่ำเจนี่ก็ได้มาถึงบ้านน้าของเธอ เจนี่ลงจากรถและเดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งระยะทางบ้านของนายจิมมี่กับนางเจเน็ตห่างกันพอสมควร น้าสาวของเธอและน้าเขยสามีของน้าเป็นครอบครัว ตระกูลพ็อต ตามนามสกุลน้าเขย นั่งอยู่ที่โซฟาภายในบ้าน โอ... มาถึงแล้วซินะนางเจเน็ตกล่าวอย่างหยิ่งยโสเล็กน้อยต่อหลานสาวของเธอ เจนี่ยืนนิ่งมองนางเจเน็ต เข้ามาซิจ๊ะ ยืนอยู่ทำไมล่ะนางเจเน็ตกล่าวเมื่อเห็นเจนี่ยืนนิ่ง แล้ว
    เจนี่ก็เดินเข้ามาหาตระกูลพ็อต สวัสดีค่ะคุณน้าทั้งสอง อืม จ๊ะนางเจเน็ตตอบรับอย่างไม่สนใจเท่าไหร่ ส่วนนายเจฟก็ไม่สนใจที่จะฟังด้วยซ้ำแต่นั่งดูบัญชีรายรับรายใจของธุรกิจในไร่ เอาของขึ้นไปเก็บซิจ๊ะ มีห้องว่างเตรียมไว้ชั้นบนนางเจเน็ตสั่งเจนี่ ค่ะจากนั้นเจนี่ก็เดินไปเก็บของที่ชั้นสองของบ้าน สองสามีภรรยาตระกูลพ็อตมองตาขวางขึ้นไป เมื่อเจนี่ขึ้นลับตาไปบนห้อง ทั้งสองจึงเริ่มคุยกัน มันมาให้เราฆ่าได้ถึงที่แล้ว เราจะได้หมดเสี้ยนหนามในไม่ช้านายเจฟพูดด้วยความชอบใจ แล้วสุดท้ายสมบัติก็ต้องมาตกอยู่ที่เรานางเจเน็ตพูดเสริม ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะทั้งคู่หัวเราะพร้อมกันแบบบ้าอำนาจล้นฟ้าทั้งถลึกถลนตาไปด้วยเหมือนพวกประสาทกิน นอกจากนั้นน้าทั้งสองของเจนี่ยังทำการค้าขายในไร่ฟาร์มที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ซึ่งงานที่ทำก็เกี่ยวกับการค้าขายข้าวสาร อาหารเครื่องเทศ ธุรกิจขนส่ง ทั้งสองอยู่ได้ทุกวันก็เพราะใช้วิธีคดโกงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการโกงตาชั่งจากการชั่งสินค้า ให้แรงงานต่ำแก่คนงานในไร่บ้าง และหวังมานานแล้วที่จะได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดของพี่ชายของตนคือนายจิมมี่ พวกเขาอิจฉานายจิมมี่ ที่ได้มรดกจากพ่อและแม่มากกว่าตน ในอดีตนายจิมมี่ทำงานได้ดีและได้รับคำชื่นชมจากผู้คนในละแวกนั้น ทำให้นางเจเน็ตและสามีของตนต้องอับอายเพราะพวกตนไม่สามารถจะทำให้ครอบครัวดีขึ้น นางเจเน็ตและสามีมักจะมาขอเงินและทรัพย์สินทางฝ่ายพ่อแม่ของนางเจเน็ตเองเสมอ หลังจากที่พ่อแม่ของนายจิมมี่และนางเจเน็ตได้เสียไป ทั้งคู่ก็เริ่มดิ้นรนหาทางรอด โดยหาซื้อที่ดินเล็กๆน้อยๆเพื่อทำไร่สวน จากนั้นก็เริ่มโกงสินค้าจนมีฐานะมั่งคั่งพอควร ทั้งคู่ยังมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อว่า ริช่า มีอุปนิสัยคตโกงและเห็นแก่ตัว ลโมภมาก ไม่ต่างจากพ่อแม่ของเธอนัก ริช่ามีอายุอ่อนกว่าเจนี่อยู่ 1 ปี พ่อแม่ของเธอสั่งสอนลูกไปในทางผิดๆมาตั้งแต่เล็กๆ ให้เธอมีเล่ห์เหลี่ยมในการค้าโดยการโกงให้มากที่สุด ไม่ได้ปลูกฝังให้เธอมีจิตเมตตาต่อคนและไม่ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใคร ไม่เช่นนั้นเราเองจะเป็นฝ่ายเดือดร้อนเองและปลูกฝังให้เกลียดญาติพี่น้องของตนโดยเฉพาะเจนี่ เพราะว่าเจนี่จะได้รับสมบัติจากมรดกทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งในพินัยกรรมยังมีสมบัติที่พ่อแม่ของนายจิมมี่และนางเจเน็ตมอบให้หลานต่อไป แต่จะได้รับก็ต่อเมื่อหลานๆมีอายุได้ 25 ปีตามที่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม ซึ่งเรื่องนี้มีเพียงนายจิมมี่กับภรรยาและนางเจเน็ตและสามีรับรู้เท่านั้น คนงานในไร่เกลียดชังตระกูลพ็อตมากแต่พวกเขาก็ต้องทำงานเพื่อแลกค่าแรง เมื่อคนงานไม่พอใจก็จะพากันบ่นกันเงียบๆและยังมีคนงานในไร่ของพ่อเจนี่บางส่วนมาทำงานต่อที่ไร่ของตระกูลพ็อต พวกเขาต่างบ่นกันว่านายใหม่ไม่ดีเหมือนนายคนเก่า ตระกูลพ็อตยังมีความคิดชั่วร้ายที่คิดจะทำมาเนิ่นนานเมื่อมีโอกาส พวกเขาคิดวางแผนที่จะฆ่าเจนี่มาโดยตลอด แน่นอนว่าอะไรก็ตามที่สามารถทำแล้วได้สิ่งที่ต้องการ น้าของเธอมักจะทำได้ทุกอย่างเพื่อครอบครองโดยไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะถูกหรือผิด เพราะพวกเขาคิดว่าน้องชายของเธอคงจะตายไปแล้วในสนามรบ เหลือเพียงเจนี่ที่เฝ้าคอยน้องชายอย่างไม่มีหวังเลย สำหรับตระกูลพ็อตแล้วก็คงจะกำจัดเธอไปโดยไม่ยาก พวกเขายังไม่รีบร้อนนักที่จะทำ เพราะเจนี่ยังมีประโยชน์ในการใช้งานให้พวกเขาอยู่ แล้วถ้าพวกเขาทำสำเร็จสมบัติในพินัยกรรมจะตกเป็นของตระกูลพ็อตทุกอย่างในทันที
    ในเวลาเช้า เจนี่ตื่นแต่เช้าไปเดินเล่นในไร่ ยืดเส้นยืดสาย เธอมองเข้าไปในไร่ตามคอกม้าคอกวัว แล้วเธอก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน นางเจเน็ตกำลังหยิบเสื้อผ้าลงมากองเท่าภูเขา และก็เหลือบมาเห็นเจนี่ที่ยืนอยู่ที่ปากประตู รู้สึกว่าจะไปเดินอิ่มปากอิ่มคอแล้วซินะ ที่นี่สวยดีนะค่ะ คุณน้าน่าจะไปเดินสูดอากาศ้าง เสียใจย่ะฉันไม่ใช่คนที่จะทำตัวว่างอย่างเธอ นี่เธอคิดจะมาอยู่ที่นี่เฉยๆงั้นเหรอ อ่ะ เปล่านะคุณน้า ไหนคุณน้าบอกว่าจะหางานดีๆให้ฉันทำ จะให้ฉันช่วยคิดรายรับรายจ่ายธุรกิจให้ก็ได้นะค่ะ เธอว่ายังไงนะ อยากจะทำงั้นเหรอ อะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ! เจนี่ทำหน้างง ฉงนในเสียงหัวเราะที่ไม่น่าจะดีนัก งานดีๆแบบนั้น รู้ไหมมันไม่คู่ควรที่จะให้แกทำหรอกนะเจียมตัวไว้มั่ง งานที่ดีที่สุดสำหรับแกก็คือคนใช้ยังไงล่ะ แต่ว่าค่าจ้างไม่จำเป็นต้องมีหรอกมั้ง แค่ค่าอาหารและน้ำก็ชดใช้กันไม่หมดแล้ว คุณน้าว่ายังไงนะ คุณน้าทำแบบนี้เพราะอะไรกันเจนี่ไม่เข้าใจสิ่งที่นางเจเน็ตจะให้เธอทำ เธอเข้าใจไม่ผิดหรอก ฉันเกลียดแกเข้าใจไหม เสื้อผ้าเอาไปซักให้หมด ฉันไปล่ะมีงานเยอะแยะนางเจเน็ตเดินสะบัดหน้าไป ทิ้งให้เจนี่ยืนร้องไห้อย่างเสียใจ และผิดหวังในชีวิต เธอไม่คิดว่าน้าของเธอจะเป็นคนเช่นนี้ จากนั้นมาทั้งสองสามีภรรยาตระกูลพ็อตใช้เธอทำงานบ้านทุกอย่างเหมือนทาส เจนี่ต้องเผชิญกับความยากลำบากโดยไม่มีความสุขเลยสักวันเหมือนแต่ก่อน เมื่อครั้งที่เธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น และเธอก็คิดถึงน้องชายมาก ตัวของเธอดูมอมแมมเพราะเธอทำงานหนักแทบจะไม่ได้พักเลย แต่เจนี่ก็ต้องทนไปวันๆเพื่อตอบแทนที่น้าทั้งสองเลี้ยงดูและให้ที่อยู่อาศัย และแล้ววันนี้เธอก็ทำงานไม่สำเร็จก่อนตะวันจะตกดิน งานสุดท้ายที่เธอทำคือหิ้วถังน้ำตักน้ำจากแม่น้ำหลังไร่มาไว้ในฟาร์มเพื่อเป็นอาหารสัตว์ เนื่องจากวันนี้เธอเหนื่อยมาทั้งวัน เมื่อหิ้วน้ำแต่ละครั้งใส่ถังก็ต้องนั่งพักอยู่นาน เธอรู้ว่าตัวเองต้องเผชิญกับอะไร น้าของเธอไม่ให้อาหารเธอแม้แต่น้ำอย่างแน่นอนเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเสมอ เธอจึงเดินไปเรื่อยๆที่ไร่และมองเห็นไร่ส้มแต่ไกลสุดลูกหูลูกตาไม่เท่าไหร่ นาทีนี้เธอยิ้มออกทันทีเมื่อจะได้อาหารลงท้อง ว่าแล้วเธอก็เดินไปด้วยความหิวจนลืมไปว่านั่นไม่ใช่ไร่ของเธอ เจนี่ได้ไปเก็บส้มที่ไร่ใกล้ป่าช้า เป็นไร่ของเศรษฐีที่รวยที่สุดในหมู่บ้าน เจนี่ไปขโมยมาด้วยความหิวโหยในตอนตะวันลับฟ้าไปแล้วยังไม่ค่ำมากนัก เพราะน้าทั้งสองไม่ยอมให้เธอทานอาหารเนื่องจากเธอทำงานไม่เสร็จก่อนพลบค่ำ เผอิญมีชายผู้หนึ่งเห็นเธอเข้า ชายผู้นี้ใส่ชุดสูทเหมือนผู้ดิบผู้ดี และยังดูหนุ่มมาก น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจนี่ เขาถามเจนี่อย่างสงสัยเธอมาทำอะไรที่นี่ คือ ฉัน เธอมาขโมยส้มในไร่ของฉันใช่ไหม ชายผู้นั้นถามด้วยเสียงมีอารมณ์โกรธเล็กน้อย เจนี่ไม่รอช้าเธอรีบวิ่งหนีทันที ชายผู้นั้นวิ่งตามมาคว้าแขนเธอไว้ เขาจับเจนี่ไปที่คอกม้าที่ห่างจากไร่ส้มไปไม่มากนัก เขาจับเจนี่นั่งลงแล้ว มัดมือและเท้าด้วยเชือกติดกับเสาที่คอกม้า เธอมองตาขวางใส่ชายคนนั้น เธอเป็นใครชายผู้นั้นถามขึ้น ทำไมฉันต้องบอกคุณ แล้วชื่อของเธอล่ะ คุณจะรู้ไปทำไมไหนๆคุณก็ต้องฆ่าฉันโทษฐานป็นหัวขโมย ฮึ ผมคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่าผมจะปล่อยคุณไป ทำไมคุณต้องมาปล่อยนางโจรอย่างฉันด้วย คุณก็บอกเหตุผลมาซิว่าทำไมคุณถึงทำแบบนี้ชายผู้นั้นถามเธอเพื่อเค้นคำตอบ คือ ฉัน ฉันก็แค่หิว วันนี้ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย ฉันทำงานจนเหนื่อย พวกน้าของฉันทานอาหารในบ้านหมดแล้วล่ะ คุณดูมอมแมมจัง ผมเชื่อว่าคุณทำงานหนักจริงๆ ถ้าไม่รังเกียจผมจะให้คุณทานอาหารที่นี่กับผมซะเลยเป็นไง คุณไม่ควรจะมาขโมย ถ้าเจ้าของเขาไม่ได้อนุญาต เอาเป็นว่าผมไม่อยากจะหาเรื่องผู้หญิงสักเท่าไหร่หรอก เจนี่สะบัดหน้าใส่ แค่ส้มแค่นี้ผมไม่หวงคุณหรอกนะ ตอนนี้ผมจะอนุญาตละกันคุณคงเก็บไม่กี่ลูก ขอบใจ คุณต้องการอะไรจากฉันหรือเปล่าถึงได้ทำตัวดีด้วย ผมก็มีทุกอย่างพร้อมหมดแล้วผมไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว เอาเป็นว่าผมปล่อยคุณล่ะกัน ผมถือว่าทำบุญ ชายคนนี้แก้มัดเชือกออก ผมชื่อ โทมัส เชลลีน ฉันก็ เจนี่ คุณไม่มีนามสกุลหรือ ฉันบอกไม่ได้ มันเป็นความลับน่ะซึ่งไม่ใช่สิ่งจำเป็นจะต้องรู้ อีกอย่างคุณก็ไม่ได้ต้องการรู้จักฉันสักเท่าไหร่หรอก คุณช่างเป็นคนลึกลับนะ ถ้าไม่รังเกียจผมขอให้คุณอยู่ทานอาหารเย็นกับผมจะได้ไหม ไม่เป็นไร ฉันรีบ ฉันขอแค่ส้มที่ฉันเก็บมาและกัน บายฉันไปนะ เจนี่รีบวิ่งออกไป ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทแล้ว โทมัส ได้แค่มองตามเธอเดินออกไป 


    บทที่ 2 งานเลี้ยงที่บ้านเศรษฐี


    รุ่งเช้า ลูก ริช่า จ๊ะวันนี้มีงานเลี้ยงรื่นเริงที่บ้านเศรษฐี แม่จะพาลูกไปแนะนำกับลูกชายของเขา เสียงน้าสาวของเธอพูดกับลูกสาว เจนี่แค่ยืนฟังและเดินออกไปทำงานที่ไร่อย่างไม่สนใจ ช่วงกลางวันในเวลาใกล้เที่ยงแดดส่องลงมาแรง เจนี่รู้สึกอ่อนล้าเธอจึงไปล้างหน้าที่แม่น้ำใกล้ไร่ส้มเศรษฐี หน้าของเธอดูมอมแมมมาก ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ริมแม่น้ำเพื่อชำระล้างร่างกายที่มอมแมม โทมัสก็มาเจอเธออีกครั้ง เขารู้สึกคุ้นกับหญิงสาวผู้นี้เขาจึงเดินเข้ามาถามว่า นั่นเจนี่หรือเปล่า เจนี่หันไปมอง วันนี้ฉันไม่ได้มาขโมยหรอกนะแค่มาล้างหน้า เธอมอมแมมอีกแล้วแล้วเจนี่ก็ก้มหน้า นำมือทั้งสองข้างตักน้ำขึ้นมาล้างหน้าจนสะอาด โทมัสยื่นผ้าเช็ดหน้าของเขามาให้ ขอบใจเจนี่รับมาและนำมาเช็ดที่หน้าให้แห้ง เมื่อเจนี่ยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งคืนคืนแก่เขา โทมัสถึงกับตะลึงในใบหน้าที่ขาวสะอาดสะสวยของเจนี่ ต่างจากที่เขาเห็นเมื่อคืน ความมอมแมมได้ซ่อนความงามของเธอไว้ เป็นอะไรหรือคุณเจนี่ถามอย่างงงงง ผม ไม่เคยเห็นหน้าคุณตอนที่ไม่มอมแมมเลย คุณก็เห็นแล้ว แล้วทำไมล่ะเจนี่หันหลังให้โทมัสและกำลังจะเดินออกไป คุณสวยมากโทมัสพูดออกมาทำให้เจนี่หยุดเดิน แล้วเจนี่ก็หันกลับไปมองโทมัสอีกครั้ง โทมัสพูดเมื่อเจนี่จ้องเขาตาไม่กระพริบคุณดูเหมือนไม่ใช่คนทำสวนทำไหร่สักนิด ถ้าผมไม่เห็นหน้าคุณตอนนี้ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคุณดูเหมือนลูกผู้ดีขนาดไหน คือฉันต้องรีบไปทำงานแล้วเจนี่ได้ฟังที่โทมัสพูดเธอตกใจและทำตัวไม่ถูกเธอจึงหันกลับและรีบเดินออกจากไป โทมัสยืนยิ้มน้อยๆ มองเธอเดินออกไปอีกครั้งจนเจนี่เดินลับสายตาของเขาไป จนกระทั่งถึงเวลาค่ำงานเลี้ยงก็จัดขึ้นที่บ้านของเศรษฐี ตระกูลพ็อตมาถึงงานอย่างรวดเร็วเพราะอยู่ใกล้เคียงบ้านของเศรษฐี เจนี่เป็นได้แค่คนถือของรับใช้ให้น้าของเธอ ริช่าเดี๋ยวลูกไปเดินเล่นก่อนนะจ๊ะ แม่ขอคุยกับเศรษฐีก่อน ค่ะริช่ายิ้มตอบกับนางเจเน็ตแล้วเดินออกมากับเจนี่แล้วริช่าก็เดินไปหยิบอาหารใส่จาน เจนี่เดินตามริช่าไป สวัสดีค่ะท่านเศรษฐี แทมมุส ดิฉัน เจเนต พ็อตน้าสาวของเจนี่แนะนำตัวกับเศรษฐีตามมาด้วยน้าเขยของเธอแนะนำตัวต่อ สวัสดีครับผมสามีของเธอ ผมชื่อ เจฟ พ็อต สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับพวกคุณทั้งสอง อันที่จริงดิฉันมีลูกสาวมาด้วย อยากจะแนะนำให้ท่านเศรษฐีได้รู้จัก มานี่เร็วลูก ริช่าน้าของเธอเรียกลูกสาวที่ยืนห่างกันไม่ไกลนัก เจนี่ เธอจะไปไหนก็ไปๆ ฉันจะไปหาแม่ของฉันเจนี่มองริช่าแล้วถอนหายใจก่อนที่ริช่าจะเดินไป หวัดดีท่านเศรษฐีซิจ๊ะ หวัดดีค่ะหนู ริช่า พ็อต จ้ะ พอดีผมก็มีลูกชาย ชื่อโทมัส ลูกชายของผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เขาเกิดที่นี่ก็จริงแต่ว่าผมส่งเขาไปเรียนตั้งแต่เล็กๆ เพิ่งจะได้กลับมาแหละครับ แล้วผมจะแนะนำให้คุณรู้จักละกันครับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อน เชิญค่ะ ริช่าจ๊ะ ถ้าลูกได้แต่งงานกับคุณโทมัสเราจะรวยทั้งชาติเลยนะลูก พวกตระกูลพ็อตยิ้มด้วยความโลภ แล้วเศรษฐีแทมมุสก็เรียกลูกชายของเขาหลังจากที่เดินแยกทางจากตระกูลพ็อตมาสักครู่ โทมัส ครับพ่อ โทมัสเดินมาหาเศรษฐี พ่อมีอะไรจะบอกลูก พ่ออยากจะให้ลูกทำความรู้จักกับลูกสาวที่ไร่ใกล้ๆไร่ของเราสักหน่อยพ่อเห็นว่าเราก็น่าจะอายุรุ่นๆเดียวกัน วันหลังพ่อจะแนะนำให้ลูกรู้จัก เธอเป็นลูกของนักธุรกิจ เจฟ พ็อต หรือครับพ่อ ถ้าลูกเดินในงานแล้วเจอหญิงสาวสวยก็ทำความรู้จักเขาไว้เถอะพ่อต้องร่วมงานกับพวกเขาอีกนาน เดี๋ยวพ่อไปรับแขกก่อน อืม ครับ โทมัสเดินไปตามงานที่มีผู้คนพลุกพล่านมากมายจนกระทั้งโทมัสเดินไปเตะโดนขาของหญิงสาวคนนึงเข้า ขณะที่เธอพยายามจะเดินออกจากฝูงคน โอ๊ะเสียงของเธอดูตกใจและกำลังจะหงายหลังล้มเมื่อโทมัสเตะโดนที่น่องของเธอเข้าอย่างไม่ตั้งใจ โทมัสยื่นมือสองข้างไปรับไว้ และรู้ทันทีเมื่อมองหน้ากันชัดๆ เธอคือเจนี่ เจนี่พยายามยืนทรงตัว โทมัสจึงสงสัยการเจอเจนี่ในงานและอยากรู้ว่าเจนี่เป็นใครมาจากไหนจึงถามออกไป คุณเป็นลูกสาวของคุณ เจฟ พ็อตหรือเปล่าเจนี่ถึงกับตลึงในคำถาม คุณรู้จักชื่อของญาติฉันได้ยังไง ญาติเหรอ นั้นคุณก็เป็นลูกสาวของเขาน่ะซิ ทำไมคุณต้องอยากรู้เรื่องของฉันจำเป็นด้วยเหรอแล้วเจนี่ก็เดินออกจากงานตรงไปที่ไร่ส้มที่ไม่มีผู้คน โดยมีโทมัสเดินตามออกไป เดี๊ยวก่อนคุณเจนี่เจนี่ไม่ฟังเสียงของเขา เธอวิ่งไปถึงไร่ส้มและหยุด โทมัสหยิบดอกกุหลาบในงานไปหนึ่งดอกแล้ววิ่งตามไปจนถึงที่ที่เจนี่ยืนอยู่ โทมัสนั่งคุกเข่าลงข้างหลังเจนี่ ขณะที่เจนี่ยืนหันหลังอยู่แล้วหันมามองอย่างตกใจ คุณโทมัส คุณจะทำอะไร แล้วโทมัสไม่รอช้าเขายื่นดอกกุหลาบให้ เจนี่ เจนี่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เธอเพิ่งเจอชายผู้นี้ไม่นานเธอก็คงไม่รู้สึกอะไรกับเขาอย่างที่เขาคิด เจนี่ยืนอ้ำอึ้ง คณะนั้นเศรษฐีเดินมากับตระกูลพ็อตเพื่อตามหาโทมัส ไปทั่วงาน จนเห็นโทมัสนั่งคุกเข่าอยู่ทึ่หน้าผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร่ส้ม ห่างจากงานไม่มาก เมื่อตระกูลพ็อตเห็นว่าเป็นเจนี่จึงตาถลนเหมือนจะลุกเป็นไฟ นังเจนี่แกหวังจะมาแย่งลูกเศรษฐีเหรอไม่มีวันนางเจเน็ตพูดออกมาเบาๆ แล้วตระกูลพ็อตก็ขอตัวกับ เศรษฐีไปเดินในงานก่อน ตระกูลพ็อตได้ไปว่าจ้างคนงานในไร่ 2-3 คนทันทีเมื่อเดินออกมาจากงานแต่ปล่อยให้ริช่าเดินอยู่ในงานเพื่อไม่ให้รู้สิ่งที่พวกตนจะทำ ตระกูลพ็อตสั่งให้คนงานทั้ง 3 กำจัดเจนี่ไปโดยการฆาตกรรม หลังงานเลี้ยงเลิก พวกแกต้องลงมือข้านางเจนี่ซะ ทำอย่างไรก็ได้ให้มันตายให้เร็วที่สุดแล้วนำศพมันไปทิ้งที่ป่าช้าแล้วพวกแกจะไ้รางวัลตอบแทนเพราะพวกเขาคิดว่าคงเก็บเจนี่ไว้ไม่ได้แล้ว เจนี่คงจะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปแน่ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกำจัดมันแล้วคุณเจฟเจเน็ตกล่าวกับสามี มันมาแย่งสมบัติเราแล้ว ยังแย่งของรักลูกสาวเรามันก็ต้องตาย ก่อนที่มันจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไป นายเจฟกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อย ขณะที่เจนี่ยืนอยู่ที่ไร่ส้มกับโทมัส อ้ำอึ้งไม่พูดอะไร คือฉันต้องกลับแล้ว เดี๋ยวก่อนคุณยังไม่ได้ตอบผมเลยว่าคุณเป็นใคร เจนี่รีบเดินออกไป โทมัสเดินตามหลังเธอมาห่างๆ จนเจนี่เดินมาเจอนางเจเน็ตนี่เจนี่ เธอช่วยไปเอาชุดที่ตัดในเมืองให้ทีฉันจะให้คนงานในไร่ขับรถไปส่ง ฉันไม่ค่อยไว้ใจใครเทาเธอ เธอช่วยไปเอามาให้ฉันได้ไหม ได้ค่ะ ดีมาก นางเจเน็ต พ็อตกระหยิ่มยิ้ม แล้วเจมี่ก็นั่งรถไปกับคนงาน 3 คน จนรถขับมาหยุดตรงถนนใกล้ป่าช้า เจนี่รู้สึกสังหรณ์ไม่ดี เธอระหวาดระแวงตั้งแต่ก้าวขึ้นรถเมื่อเห็นสายตาคนงาน คนงานจอดรถแล้วดึงตัวเจนี่ลงมา จะทำอะไรน่ะ ช่วยด้วยๆ คนงานคนหนึ่งปิดปากเธอ อีกคนหนึ่งจับแขนเธอไว้ อีกคนถือมีดจี้ที่คอของเธอ เจนี่สลัดมือแล้วกัดที่มือของชายที่ปิดปากของเธอ แล้วเธอพยายามผลักคนงานและถีบให้เซล้มเพราะเธอมีแรงเยอะอยู่แล้วเนื่องจากทำงานหนักๆทุกวัน เจนี่จึงหลุดออกมาจากน้ำมือมันได้เธอวิ่งเข้าป่า คนงานทั้งสามวิ่งตามเธอมาติดๆ เจนี่วิ่งสุดชีวิตโดยไม่หันกลับไปมอง ยิ่งวิ่งก็ยิ่งลึกเข้าไปทุกที จนเธอไปเตะหลุมศพหลุมหนึ่งเข้าซึ่งฝังไม่มิด เธอเตะล้มไปสักคู่แล้วเธอก็เหยียบแขนโครงกระดูกที่โผล่มาจากหลุมที่เธอเตะ แต่เธอก็ไม่ทันได้ดูว่านั่นเป็นอะไรเธอยังคงวิ่งต่อไป ชายทั้งสามรู้สึกได้ว่าบรรยากาศวังเวงมีลมแรงพัดอย่างประหลาดทั้งสามจึงรู้ว่าที่นี่เป็นเขตป่าช้าไม่มีบ้านคนไม่มีแสงไฟ คนงานทั้งหมดทำหน้าหวาดกลัวเหงื่อตกทั้งที่บรรยากาศยามค่ำคืนออกจะหนาวเย็นแล้วก็วิ่งมารวมกันก่อนจะวิ่งกลับไปที่รถแล้วไม่ตามหาเจนี่ต่อ เจนี่หยุดวิ่งเธอรอให้ชายพวกนั้นกลับไปแล้วเธอจึงค่อยๆเดินกลับมาที่เดิม เธอเหนื่อยหอบและคอแห้ง
    ถึงตอนเช้าเศรษฐีพาโทมัสมาเยี่ยมที่บ้านของตระกูลพ็อต โทมัสสวัสดีสองสามีภรรยาตระกูล พ็อต จ๊ะ หวัดดี ลูกของท่านเศรษฐีหน้าตาหล่อเหลาจริงๆเลยค่ะ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณน้าโทมัสพูดถ่อมตัว วันนี้ลูกสาวของน้าไม่อยู่หรอกนะ เธอไปช่วยน้าดูธุรกิจในเมือง ลูกสาวน้าขยันขันแข็งมาก เธอเป็นที่พึ่งของครอบครัว น้าก็พึ่งเธอได้คนเดียวล่ะจ้า นางเจเน็ตพูด คุณน้าหมายถึง เจนี่ใช่ไหมครับ สองสามีภรรยาพ็อตหันมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ นั่นเป็นคนใช้ของบ้านน้าเองจ้ะ ลูกสาวน้าชื่อ ริช่า จ้ะ เธอเรียบร้อยกว่าเจนี่ตั้งเยอะ ยัยนั่นออกจะขี้เกียจ นางเจเน็ต พูดกับโทมัส เหรอครับโทมัสพูดแบบครุ่นคิดน้อยๆ แล้ว นางเจเน็ต ก็แกล้งบีบน้ำตา น้าได้ข่าวว่าเธอหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วหลังงานเลี้ยงเลิก น้าเสียใจที่หาเธอไม่เจอ ฉันเห็นคนร้ายถือมีดจี้เธอแต่ไกลๆ มันขู่ว่าถ้าเรียกตำรวจมามันจะฆ่าทั้งครอบครัวของน้า ตระกูลพ็อตเสแสร้งเรื่องเจนี่แล้วรู้ไหมครับว่าเธอกับคนร้ายไปทางไหน โทมัสถามอย่างเป็นห่วงน้าไม่ทราบเลยจ้ะ ผมขอตัวก่อนนะครับ โทมัสบอกกับทุกคน จะไปไหนโทมัสเศรษฐีถามโทมัส เดี๋ยวผมจะกลับมาโทมัสรีบออกรถตระเวนหาทั่วเมือง จนกระทั่งสาย โทมัสก็ได้พบหญิงสาวนอนอยู่ข้างถนนขณะขับรถ โทมัสลงจากรถแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ เจนี่ คุณเป็นอะไร คุณเป็นยังไงบ้าง คุณตื่นซิโทมัสพยุงตัวเจนี่แล้วพาเจนี่ไปส่งที่โรงพยาบาลในเมือง หมอให้น้ำเกลือจนเจนี่ฟื้น แล้วหมอก็รายงานอาการของเธอ คุณโทมัส เธอไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ หมอให้น้ำเกลือเดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้วครับ ขอบคุณครับหมอเจนี่มองหน้าโทมัส เจนี่คุณช่วยบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องรู้นี่มันเรื่องของฉัน แต่ผมห่วงคุณนะ ฉันจะกลับบ้านโทมัสไม่ถามเธอต่อเพราะรู้ว่าเธอคงจะเหนื่อย โทมัสจึงพาเจนี่ขึ้นรถแล้วขับรถไปส่ง เจนี่ที่บ้าน เมื่อนายเจฟกับนางเจเน็ตเห็นโทมัสมากับเจนี่ ต่างก็ตกใจ แล้วนางเจเน็ต เสแสร้งทำเป็นร้องไห้อีกครั้ง โถ เจนี่ฉันนึกว่าต้องเสียเธอไปแล้ว แล้วนางเจเน็ต ก็เดินมาโอบกอดและลูบหัว เจนี่อย่างเป็นห่วงเป็นใยแบบผิดปกติ เธอปลอดภัยแล้ว ผมก็ขอลากลับก่อนนะครับ สวัดดีครับคุณน้า จ๊ะคุณโทมัส ขอบใจนะจ๊ะนางเจเน็ตพูด เมื่อโทมัสขับรถออกไปแล้ว นางเจเน็ตก็ใช้งานเจนี่ต่อ เจนี่สงสัยว่าทำไมคนงานถึงคิดจะฆ่าเธอ แต่วันนี้คนงานที่เธอเจอเมื่อคืนหายไปไหน ขณะนั้นนาง เจเน็ตและนาย เจฟ ยืนต่อว่าคนงานทั้งสาม พวกแกปล่อยให้มันหนีไปได้ยังไง พวกแกมีตั้งมากกับสู้มันไม่ได้ นาย เจฟกล่าวว่าในความผิดพลาดของคนงานงาน ฉันจะให้โอกาสพวกแกอีกครั้ง ถ้าพวกแกทำพลาดกันอีกฉันจะหักเงินเดือนซะ นาง เจเน็ตพูดขู่ ครับคุณนาย คุณผู้ชายคนงานตอบรับ


    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น