1939 นครออเดรย์ เป็นเมืองหลวงของประเทศออสวิน ประเทศในยุโรปตอนใต้ ในใต้ดินของประเทศออสวินนั้น เคยเป็นอารยธรรมโบราณที่เจริญมากๆเมื่อหลายพันปีก่อนและในนั้นเต็มไปด้วยน้ำมันอันเหนียวเหนอะหนะอยู่ใต้ร่าง ทําให้ประเทศนี้รวยจากการขายนํ้ามันให้ชาติต่างๆในยุโรป แต่ลึกลงไปใต้ดินของนครออเดรย์ ใต้ดินของเมืองๆนี้ มันไม่ได้มีแค่นํ้ามัน แต่มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่านํ้ามัน....
ลึกลงไปใต้ดินนั้น เราไม่รู้ว่าเหล่าหน่วยสํารวจ เจอกับสิ่งใดแต่ที่รู้ได้อย่างเดียวคือ มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่านํ้ามันมาก อ้างจากปากของหน่วยสํารวจ ที่ทำการสํารวจใต้ดิน ที่ตอนนี้กลายเป็นบ้า เพราะน่าจะเจออะไรบางอย่างที่ไม่ควรเจอ และหน่วยสํารวจที่ไปสํารวจใต้ดินนั้นจากสึ่สิบคนตอนนี้เหลือแค่เขาคนเดียว เราไม่รู้ว่าพวกเขาเจออะไร แล้วพวกที่ไม่รอดกลับมานั้นเป็นตายร้ายดียังไง มันมีสิ่งใดซ่อนอยู่นอกจากนํ้ามันหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วมันคือสิ่งที่มีค่ากว่านํ้ามันไหม เหล่าหน่วยสํารวจเริ่มทำการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น และหลังจากนั้นไม่นาน
ผู้บัญชาการหน่วยสํารวจคิมเบอร์ลี่ ชาลส์ ก็ตัดสินใจ ส่งทีมสํารวจไปทำการสํารวจใต้ดิน130คน นําการสํารวจครั้งนี้โดยหัวหน้า แพรี่ เดนเวอร์ ผู้ที่ผ่านการสํารวจใต้ดินมานับไม่ถ้วนและเป็นผู้ฆ่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดใต้ดินจํานวนมาก หน่วยสํารวจนั้นเป็นเหล่าทหารเหล่าหนึ่ง หน่วยทหารเหล่านี้มีหน้าที่ที่เสี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะใต้ดินของประเทศออสวินเคยเป็นนครโบราณที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีสิ่งแปลกๆต่างๆนาๆที่เหล่าหน่วยสํารวจต่างพบมักสิ่งที่น่ากลัวมากมาย ทั้งสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ คาบต่างๆ ที่น่าจะเกิดจากภัยร้ายที่ทำให้นครโบราณนี้ล่มสลาย ไวรัสต่างๆ หน่วยสํารวจต้องเป็นคนดูแลใต้ดินทั้งหมด ทั้งการหานํ้ามัน การขุดเจาะน้ำมัน การทดลอง วิเคราะห์ประวัติศาสตร์ว่าเมืองนี้เกิดอะไรขึ้น สืบค้นสิ่งต่างๆ และการสํารวจแต่ละครั้งข้อมูลที่ได้มาก็ไม่ได้มีมาก ทําให้ทหารของหน่วยนี้แทบไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไร รวมทั้งจุดหมายของการสํารวจแต่ละครั้งก็ไม่เป็นที่แน่ชัดเลยว่ามันคืออะไร และต้องจบอย่างไร ทำให้การสํารวจแต่ละครั้งต้องเสียกําลังพลไปอย่างละ1ใน3เลย และหลายครั้งมากที่การสํารวจนั้นปล่าวประโยชน์ และหน้าที่อีกอย่างของทหารหน่วยสํารวจก็คือ ปกป้องรักษาประเทศ ด้วยหน้าที่สุดอันตรายทำให้อาวุธของทหารเหล่านี้เป็นอาวุธที่ทันสมัยที่สุดในกองทัพออสวิน ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ปลย.33 ใช้กระสุนเงินขนาด10นิ้ว แต่เเรงทํารายล้างเท่าเหนือกว่ากระสุนขนาด7×39มม. บรรจุกระสุนได้12นัด ระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพอยู่ที่1กม. ปืนกลมือ ปกม.22 ใช้กระสุนเงินขนาด5นิ้ว แต่แรงทํารายล้างพอๆกับ กระสุนขนาด.45 บรรจุกระสุนได้30นัด ระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพอยู่ที่200เมตร ปืนสั้น ปส.14 ใช้กระสุนแบบเดียวกับ ปกม.22 ระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพอยู่ที่80เมตร บรรจุกระสุนได้10นัด
และดาบจากบริษัทไอเสะที่ตั้งชื่อตามช่างตีเหล็กที่ตีโดยชาวญี่ปุ่นที่ย้ายมาอยู่ออสวินนามว่า ไอเสะ โทกุกาวะ อ้างว่าเขาคือลูกชายต่างสายเลือดโบราณของญี่ปุ่น โทกุกาวะ ที่มีวิธีการตีดาบอันแปลกประหลาดทําให้ดาบนั้นคม มากกว่าดาบเล่มใดๆ ที่มันคมอย่างน่าแปลกใจ และลักษณะดาบที่ดูแข็งแรงและหักยาก ใช้ง่ายและที่แปลกคือสามารถหั่นเหล็กกล้าได้ง่ายดายเหมือนหั่นไม้ และดาบปลายปืนที่ตีโดยช่างคนเดึยวกัน และไอเสะก็ยังคิดค้นนํ้ามันทำความสะอาดดาบและปืนต่างๆด้วยรวมทั้งรองเท้าหนัง อีกอย่างคือเขาชงชากาแฟได้อร่อยมากโดยการผสมผสานการชงชาแบบอังกฤษกับญี่ปุ่นและรสชาติก็กมกล่อนเข้ากันอย่างดี และเขายังยอกอีกว่าตระกูลโทกุกาวะ จะคอยช่วยเหลือหน่วยสํารวจตลอดไป ถึงหน่วยสํารวจจะมีอาวุธที่ทันสมัยมากๆ แต่กําลังพลถ้าเทียบกับทหารเหล่าอื่นแล้วถือว่าน้อยมาก โดยกองทัพออสวินมีกําลังพลประมาณ1,200,000คน กองทัพบกมี1,000,000คน กองทัพเรือ150,000คน กองทัพอากาศ40,000คน แต่กองกำลังสํารวจนั้นมีแค่10,000คนเท่านั้น และถึงแม้จะมีอาวุธที่ทันสมัยแต่ก็ยังมีข้อเสียเปรียบที่ร่างกายของมนุษย์นัันอ่อนแอกว่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดใต้ดิน หน่วยสํารวจสมัยก่อนนั้นเคยใส่ชุดเกราะ ในการสํารวจใต้ดิน ผลลัพธ์ที่ได้คือตายกันยับเยิน พวกสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดใต้ดินนั้นมีแรงที่เยอะมากกรงเล็บของมันแหลมคมพ่อที่จะฉีกชุดเกราะออกเป็นชิ้นๆ ฟันของมันก็แหลมพอที่บดขยี้เกราะได้เหมือนสเต็ก ดังนั้นหน่วยสํารวจจึงหันมาใส่ชุดที่ไม่เทาะทะ และผู้ใส่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ผ้าที่ใช้ทำต้องใส่สบายและกันน้ำ กันไฟได้ระดับหนึ่ง ไม่ใส่อะไรที่เป็นเหล็กทั้งตัวเหมือนเกาะ ใส่แค่หมวกเหล็ก หมวกเหล็กของหน่วยสํารวจนั้น มีหน้าตาคล้ายหมวกของชาวเหมือง สามารถกันแรงกระแทกได้ระดับหนึ่ง และที่สำคัญที่อุดหู เมื่อเราอยู่ใต้ดินเสียงจะดังเป็นพิเศษเมื่อทําอะไรเสียงดังอย่างการยิงปืน ดังนั้นหน่วยสํารวจต้องมีที่อุดหูและจะสื่อสานกันได้สัญญาณไฟฉาย ไฟฉายแต่ละคนจะมีอยู่3กระบอก กระยอกแรกติดอยู่ที่หมวก กระบอกที่สองติดอยู่ที่ปลายปืน กระบอกสุดท้ายอยู่กับตัว เมื่ออยู่ใต้ดินแล้วถึงจะมีอาวุธที่ดีแต่บางครั้ง พื้นที่บางส่วนก็แคบเกินไป และปืนก็จะเสียเปรียบลง เมื่อพื้นที่แคบมากๆปืนปลย.33 ก็แทบจะใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมาใช้ปืนสั้นหรือไม่ก็ดาบ ในการสํารวจจะต้องเช็คทุกซอกทุกมุมเพื่อความปลอดภัยและสําคัญพยายามอย่ายิงโดนนํ้ามัน เพราะใต้ดินน้ำมันเยอะมาก สมัยก่อนนั้นมีหน่วยสํารวจยิงปืนไปเดินบ่อนํ้ามัน ทำให้ทหารตายพร้อมกัน60คน สัญญาณไฟสีแดงจึงถููกคิดขึ้นมาเพื่อบอกที่อยู่ของนํ้ามันหรือบ่อนํ้ามัน โดยการวางไว้ที่พื้น เป็นได้ทั้งที่บอกแหล่งน้ำมัน และทางเดินไปและกลับ ทุกครั้งที่สํารวจควรจะเตรียมหาทางหนีไว้ด้วย นอกจากบ่อน้ำมันที่ต้องระวังอีกอย่างก็คือเพดานถล่ม ถ้าเพดานมีรอยร้าวก็ควรเคาะๆดู ก่อนจะผ่านไป สมัยก่อนนั้นเคยมีเหตุการณ์อุโมงค์ถล่มฉับพลัน ทําเอาหน่วยสํารวจเสียชีวิตไปมากมาย และปัจจุบันศพของแต่ละคนก็อยู่ในจุดที่ถล่ม นี่คือสิ่งหลักๆที่หน่วยสํารวจทุกคนต้องรู้ การเป็นหน่วยสํารวจนั้นตายได้ตลอดเวลา ดังนั้นทุกคนต้องระวังทุกก้าวที่ข้าม ดังนั้นหน่วยสํารวจทั้ง130คน ที่นําโดยแพรี่ เดนเวอร์ นั้นจะต้องก้าวไปให้ถึงใต้ดินสุด ที่หน่วยสํารวจสี่สิบคนก่อนไปถึง....
ตอนนี้หน่วยสํารวจทั้ง130คน ก็เตรียมพร้อมแล้ว
ผู้บัญชาการคิมเบอร์ลี่ ชาลส์ ก็สั่งเริ่มทำการสํารวจได้เลยเมื่อพร้อม หัวหน้าแพรี่ เดนเวอร์สั่งว่า ถ้าเกิดพวกเขาไม่ขึ้นมาในห้าวัน ไม่ต้องส่งหน่วยสํารวจลงมาช่วยเหลือ หน่วยสํารวจทุกคนเรียงแถวเข้าไปใต้ดินทีละคนจนถึงคนสุดท้าย..
วันเวลาผ่านไปถึงสามวันจนวันที่หก ก็ไม่มีวี่แววว่าหน่วยสํารวจทั้งร้อยสามสิบคนจะกลับมา จนถึงเวลาห้าทุ่มพวกเขาก็กลับมาจนได้ จาก130คน ตอนนี้เหลือแค่32คนเท่านั้น แต่ดีมากๆที่พวกเขายังปกติ สิ่งที่ได้จากการสํารวจครั้งนี้คือแม่น้ำที่ทั้งหมดเป็นน้ำมัน เมื่อข้ามแม่น้ำมาได้ก็มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่ใต้ดินที่ข้างในมีเหรียญทองคําบริสุทธิ์ จํานวนมาก ลึกเข้าไปในคฤหาสน์ มีสิ่งนั้นสิ่งที่หน่วยสํารวจ40คนก่อนเจอ มันคืออะไรแล้วทหารสี่สิบคนนั้นหายไปไหนแล้วทหารคนอื่นร้อยกว่าคนเขาตายหมดแล้ว หรือว่าเป็นบ้าหรืออะไรกันแน่
ผู้บัญชาการชาลส์กับหัวหน้าเดนเวอร์และทหารอีก32คน เก็บไปเป็นความลับ แต่ความลับนั้นไม่สามารถเก็บเป็นความลับได้ตลอดไป สักวันมันจะคายออกมา และวันนั้นก็มาถึง...
ปี1939นั้นเยอรมันเริ่มบุกโปแลนด์และประเทศต่างๆในยุโรป รวมถึงอิตาลีที่เป็นพวกเดียวกับเยอรมันก็เริ่มรุกรานประเทศอื่นในยุโรปและแอฟริกา และออสวินก็เป็นหนึ่งในประเทศที่อิตาลีหมายหัวเอาไว้ อิตาลีส่งสายลับเข้ามาใหน่วยสํารวจ และนักล่าทั้ง130 คนนั้น มีสายลับอิตาลีอยู่4คน อีก3คนไม่ทราบสถานะ มีหนึ่งคนอยู่กลุ่ม32คนที่รอดกลับมาได้ และได้เผยความลับว่าชั้นบนสุดของคฤหาสน์ลึกลับนั้นมีอะไรอยู่แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก แต่เขาบอกสิ่งๆนึงที่เหล่าหน่วยสํารวจค้นหากันมานานก็คือว่า เมื่อ1000ปีก่อน เมืองนี้มีชื่อว่าอณาจักรนิแรน เป็นอาณาจักรที่เด่นเรื่องการแพทย์และมีนํ้ามันเยอะมากแต่คนสมัยนั้นไม่รู้ว่ามันมีค่า เลยเก็บเอาไว้เป็นแอ่งจํานวนมาก ต่อมาวันนึงมีเหล่าแพทย์ได้ทำการทดลองอะไรบางอย่าง แต่ด้วยการทดลองที่ผิดพลาด เลยกลายเป็นโรคระบาดหนักที่เปลี่ยนคนให้เป็นอสูรร้ายได้ โรคนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีแพทย์คนนึงคิดค้นยารักษาได้ และนำไปฉีดให้คนในครอบครัวเบเวอร์ลี่หรือครอบครัวที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ที่เหล่าหน่วยสํารวจไปเจอ เเพทย์คนนุ้นได้เก็บตัวยารักษาและยาฉีดโรคนั้นไว้ ชั้นบนสุด และเจ้าของคฤหาสน์ก็เก็บสิ่งๆนั้นเอาไว้ ที่เป็นความลับ แต่ไอสายลับมันไม่บอกว่าคืออะไร และหลังจากนั้นอาณาจักรนิแรนก็เต็มไปด้วยอสูรร้าย แต่จู่ๆก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มากๆ ที่ทำให้แผ่นดินนั้นซุดตัวลงและแยกตัวออกจากแผ่นดินใหญ่และจมน้ำลงไป แต่เกิดการรวมตัวเป็นเกาะใหม่นั่นก็คือประเทศอารอน สายลับอิตาลีคนนี้บอกความลับมาแค่นี้ และสิ่งที่สายลับอิตาลีคนนั้นนําขึ้นมาด้วยก็คือเชื้อโรคระบาดพันปีนั้นและนํามันไปแพร่ระบาดในนครออเดรย์ และปล่อยให้เหล่าสัตว์ประหลาดกัดกิน พวกหน่วยสํารวจ และเหล่าทหารต่างๆให้ตายให้หมด และกองทัพอิตาลีก็จะทำการยกพลขึ้นบกที่ออสวิน และบุกประเทศนี้อย่างเต็มรูปแบบ.....
และเรื่องราวต่างๆ ก็ได้เกิดขึ้น
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น