เดือนกุมภาพันธ์ คือเดือนแห่ง “ความรัก” เทศกาลแห่งวาเลนไทน์ กระแสแฟชั่นวันวาเลนไทน์ของวัยรุ่นไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่มากขึ้นทุก ๆ ปี ในปีนี้ก็คงจะเช่นเดียวกัน ยิ่งวันเวลาผ่านมากขึ้นเท่าไหร่ แฟชั่นแย่ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งเสื้อผ้าการแต่งกายที่แปลกแหวกแนว ทัศนคติในการคบหาระหว่างชายหญิง นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
ซึ่งแท้จริงแล้วแต่โบราณการบัญญัติกำหนดวันวาเลนไทน์ขึ้นมาก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของบุรุษนักบุญผู้หนึ่งใน คริสตศาสนา ผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่กลับต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารชีวิตในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ท่านผู้นี้มีนามว่า “เซนต์วาเลนไทน์”
ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้เขียนที่ได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้บอกเล่าถ่ายทอดคติสาระสำคัญของวันวาเลนไทน์ที่หลายๆ คนในสังคมไทยกำลังมองข้าม แล้วไปยึดกับแนวปฏิบัติอันจอมปลอมที่ผิดๆ กันเสียส่วนมาก ตามประวัติศาสตร์คริตศาสนากล่าวว่า วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เป็นวันมรณภาพของนักบุญท่านหนึ่งชื่อว่า เซนต์วาเลนไทน์ และถูกชาวโรมันบางกลุ่มจับลงโทษถึงแก่ความตายในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ ๒ (ก่อนคริสต์ศักราช ๒๖๙ ปี)
เนื่องจากเซนต์วาเลนไทน์ในสมัยนั้นชื่อว่า “วาเลนตินุส” (VALENTINUS) เป็นชาวโรมัน แต่นับถือศาสนาคริสต์ การที่ประชาชนชาวโรมันไปนับถือศาสนาศริสต์จะถือว่าเป็นกบฏ มีความผิดร้ายแรง ซึ่งในระยะเริ่มแรกสมัยนั้นศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิ์ โรมัน และกษัตริย์โรมันถือว่าศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในกรุงโรม ว่าเป็นลัทธิที่เป็นอันตรายต่อสังคมชาวโรมันเป็นอย่างยิ่ง จึงมีมติว่าผู้ใดก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ก็จะถูกจับตัวไปลงโทษอย่างรุนแรงต่อสาธารณชน เช่น ตรึงไม้กางเขนให้ตายบ้าง ให้สัตว์ป่ากัดตาย หรือเผาทั้งเป็น ใช้ไม้ทุบหัว เป็นต้น กลุ่มพวกที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องคอยหลบซ่อนตัวไม่บอกให้ผู้อื่นรู้ว่าตัวเป็นคริสต์ศาสนิกชน ครั้นเมื่อถึงเวลาทำพิธีกรรมทางศาสนา ก็ต้องแอบไปทำพิธีในอุโมงค์ที่ใช้เป็นสถานที่บรรจุศพ โดยอุโมงค์จะอยู่นอกกรุงโรม วาเลนตินุส ก็เป็นผู้หนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์และเป็นผู้กล้าหาญคอยช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่เสมอๆ จนกลายเป็นที่รักใคร่ของคริสนิกชนทุกคน แต่กลับกันวาเลนตินุสก็ถูกทางการของกรุงโรมเพ่งเล็งต้องการจับตัวมากที่สุด สาเหตุที่ทางการโรมันต้องการตัววาเลนตินุสมากนั้นไม่เพียงโทษที่คอยช่วยเหลือชาวคริสเตียน แต่เป็นโทษที่วาเลนตินุสเป็นหัวเรือสำคัญในการต่อต้านพระจักรพรรดิคลอดิอุสที่ ๒
เหตุเกิดจากที่ในสมัยนั้นจักรพรรดิคลอดิอุสที่ ๒ ทรงนิยมทำสงครามเพื่อขยายจักรวรรดิอาณานิคมใกล้เคียงให้แผ่พระราชอำนาจความเป็นใหญ่ที่สุด ในดินแดนแถบตะวันตก ซึ่งการทำสงครามแต่ละครั้ง ต้องเกณฑ์ทหารเข้าประจำการเป็นจำนวนมาก ครั้นพอสงครามสิ้นสุดก็สูญเสียทหารไปเป็นจำนวนไม่น้อย ทำให้ประชาชนเกิดความกลัว และไม่ต้องการจากครอบครัว คนอันเป็นที่รักไปออกรบ เมื่อประชาชนไม่ยอมไปเกณฑ์ทหารทางการจึงต้องออกกฎหมายบังคับให้ประชาชน วาเลนตินุสจึงคิดรวมตัวประชาชนเพื่อคัดค้านการออกกฎหมาย การคัดค้านครั้งนี้ สร้างความไม่พอพระทัยให้กับจักรพรรดิคลอดิอุสที่ ๒ เป็นอย่างมาก และเนื่องจากพลังมวลชนที่มากกว่าทำให้ทางการทำอะไรมากไม่ได้จักรพรรดิคลอดิอุสก็เลยออกกฎหมายแกล้ง ห้ามไม่ให้หนุ่มสาวชาวโรมันแต่งงาน เพื่อกีดกันไม่ให้หนุ่มสาวมีความรัก ผู้ชายจะได้ออกรบ โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ที่สำคัญจะได้ไม่มีใครใช้ความรักเป็นข้ออ้างไม่ออกทำสงครามกฎหมายนี้บังคับใช้ได้แค่ระยะหนึ่ง สถานการณ์กลับตึงเครียดมากขึ้น ประชาชนก็แสดงพลังต่อต้านมากขึ้น จนจักรพรรดิคลอดิอุสมีสั่งฆ่าทุกคนที่ขัดขวาง และสั่งจับวาเลนตินุสผู้บงการไปขังคุกตัดสินประหารชีวิตนักบุญวาเลนไทน์ ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๒๗๐
เมื่อประชาชนชาวโรมันทราบข่าวการถูกประหารของวาเลนติอุสก็มีความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาที่วาเลนตินุสถูกประหาร ก็มีคนฆ่าตัวตายตามเป็นจำนวนมากและนับแต่นั้นมา
ชาวโรมันก็ยกย่องวาเลนตินุสเป็น “เซนต์วาเลนไทน์” และเรียกเซนต์วาเลนไทน์ว่า
“เทพเจ้าแห่งความรัก” แต่บางตำรากล่าวว่า วาเลนตินุสคือนักบุญผู้นำอาหารไปวางไว้หน้าประตูบ้านคนยากจน และคอยช่วยเหลือผู้นับถือศริสศาสนา จนถูกทางการเพ่งเล็งและถูกจับขังคุก ระหว่างอยู่ในคุก ได้พบรักกับลูกสาวผู้คุมคุกชื่ออัสเตริอุส (ASTERIUS) และเป็นผู้มีจิตเมตตาคอยช่วยเหลือวาเลนติอุสอยู่เสมอ วาเลนติอุสจึงตอบแทนโดยอธิษฐาน ทูลขออำนาจจากพระเจ้า ให้รักษาลูกสาวผู้คุมที่ตาบอดให้หายเป็นปกติ ครอบครัวผู้คุมเกิดความเชื่อและศรัทธาประกาศตนเป็นคริสเตียน เรื่องทราบถึงจักรพรรดิคลอดิอุสที่ ๒ พระองค์ทรงกริ้วมาก รับสั่งให้ประหารชีวิตวาเลนติอุส ก่อนถึงแท่นประหาร วาเลนติอุสได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้ให้ลูกสาวผู้คุม มีเนื้อความซึ้งกินใจ และลงท้ายว่า
"จากวาเลนไทน์ของเธอ!"..."From Your Valentine!"ในสมัยโรมันเมื่อประมาณสองพันกว่าปีก่อน วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เป็นวันที่เรียกว่า
“ลูเปอร์คาเลีย”(lupercalia) มีความสำคัญมากในทางเพศ ผู้ชายจะวิ่งแก้ผ้าหาคู่เพื่อฉลองตรุษโดยจับฉลากชื่อหญิงสาวแล้วเกี้ยวพาราสีจนได้เป็นภรรยา
ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ของทุกๆ ปี หนุ่มสาวหรือคนบางกลุ่มนิยมส่งดอกกุหลาบสีแดง ช็อกโกแลต การ์ดอวยพร ให้แก่คนที่รัก จะเห็นได้ว่า
วันวาเลนไทน์ตามตำนาน จึงไม่ได้หมายถึงความรักฉันชู้สาวเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงความรักที่มีต่อครอบครัว เพื่อมนุษย์ และทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
ส่วนเหตุที่ว่าทำไมถึงต้องใช้ดอกกุหลาบแทนดอกไม้แห่งความรัก และยิ่งกว่านั้นในสมัยโบราณทำไมจึงเน้นนิยมเพียงกุหลาบสีแดง จากการสอบถามจากผู้รู้บางท่านก็ให้ทัศนคติว่า กุหลาบเป็นไม้ดอกที่มีอายุคู่กับมนุษยชาติมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่ราว ๕๐๐๐ ปีที่ผ่านมา จากชนชาติสุเมเรียน ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแม่น้ำไทกริสและยูเกรตีสหรือบนพื้นที่ๆ อุดมสมบูรณ์ (ปัจจุบันคือประเทศอิรัก) หรือราว ๑๗๐๐ ปี ก่อนคริสตศตวรรษที่เกาะครีต บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ พบหลักฐานภาพเขียน บนฝาผนังในวังเรียกว่า BLUE RIRD FRESCO มีภาพเขียนรูปกุหลาบแต่ยังดูไม่เหมือนกุหลาบจริงสักเท่าใดนัก หรือ
พระราชินีของกษัตริย์นโปเลียนที่ ๑ แห่งฝรั่งเศส พระนามว่า “โจเซฟิน” เป็นผู้เก็บรวบรวมพันธุ์กุหลาบชนิดต่าง ๆ ตลอดจนลูกผสม ถึง ๒๕๐ พันธุ์ กุหลาบพันธุ์ต่าง ๆ ในสวนของพระนางโจเซฟินนี้มีสีแดงเข้ม สีชมพู และสีขาวโดดเด่นที่สุด จากบันทึกนี้จึงเห็นว่าแม้กุหลาบมีมากถึง ๒๕๐ พันธุ์ แต่สีที่คนในสมัยนั้นนิยมมีเพียงไม่กี่สีเท่านั้น และสีที่ทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ดีมาก คือ กุหลาบ ROSE OF CASTILE อีกหลักฐานหนึ่งอธิบายว่า กุหลาบกำเนิดที่เขาคอเคซัส ในประเทศเปอร์เซีย และเรียกว่า “คุล” ในภาษาเปอร์เซียกล่าวว่า คุลแปลว่า กุหลาบ หรือแปลว่า สีแดง ก็ได้ จึงอาจเป็นไปได้ว่าสีกุหลาบในสมัยก่อนนั้นคือสีแดง เข้มถึงแดงอ่อนและประกอบกับที่
บางกลุ่มเชื่อว่ากุหลาบสีแดง หมายถึง ดอกไม้ของคิวปิดและอีรอส (กามเทพ) เป็นดอกไม้แห่งการมอบความรักและความปรารถนาดีแก่ผู้หญิง ในเอเชียถือว่ากุหลาบแดงคือการมอบความสุข ความรักที่จริงใจ ด้วยเหตุผลต่างๆ มากมายจึงทำให้กุหลาบแดงได้รับความนิยมมากที่สุดก็เป็นได้
ในประเทศไทยยังไม่พบบันทึกว่ากุหลาบเข้ามาเผยแพร่เมื่อใด แต่บันทึกของลาลูแบร์ ว่าเห็นกุหลาบมาแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และที่ได้รับการนิยมมากที่สุดคือในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงโปรดกุหลาบสีแดงและชมพูมากที่สุด ตำนานการเกิดดอกกุหลาบมีหลายตำนาน เช่น ชาวคริสต์เชื่อว่า ขณะที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนอยู่นั้น พระโลหิตได้ไหลหยดลงไปโดนต้นมอสส์ ด้วยอานุภาพให้บังเกิดเป็นต้นกุหลาบที่มีดอกสีแดง หรือ คอลรีสเทพธิดาแห่งดอกไม้ เสกให้นางไม้กลายเป็นต้นกุหลาบ แล้วยกย่องให้เป็นราชินีแห่งดอกไม้
ตำนานวันแห่งความรักนั้นมีมากมายหลายตำนาน มิใช่เฉพาะแต่ชาวโรมันหรือชาว ยุโรปเท่านั้น ในเอเชียก็มีเช่นเดียวกัน แต่เป็นตำนานที่เกี่ยวกับเทพเจ้า เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายคงจักกันในนาม
“กามเทพมหาเทพแห่งความรัก” ท่านเป็นเทพเจ้าตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ที่ทรงมหิทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่ ในด้านการประทานความรักแก่มวลมนุษย์ หรือแม้กระทั่งเหล่าเทวาทั้งหลาย อำนาจความรักในที่นี้มิได้หมายรวมเฉพาะแต่เรื่องของกามารมณ์ร่วมประเวณีเพียงอย่างเดียว แต่มีนัยรวมหมายถึงการที่จิตวิญญาณมีความเกี่ยวพันสร้างพันธะแก่กัน หากศึกษากันให้ถึงแก่นแท้ในสาระแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำภีร์พระเวทย์ หรือพระไตรปิฎก จะเข้าใจว่ามันก็คือสภาวะธรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์แสดงความปรารถนาดี เมตตา เอื้ออารีต่อกัน
ความจริงเรื่องของอารมณ์ความรักของมนุษย์เป็นนามธรรมตามธรรมชาติที่มีความละเอียดซับซ้อนที่ยากจะอธิบายถึง หากมีการยอมรับและศึกษาอย่างถูกต้องเหมาะสมตามความเป็นจริงก็จะทำให้เข้าใจความมีชีวิตและใช้ชีวิตที่มีอยู่ได้อย่างมีคุณค่าฉะนั้นจากเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น อาจพอสรุปได้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ชนชาติไหนต่างก็แสวงหาความรักกันทั้งสิ้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ก่อตัวมากขึ้นจนทำให้มนุษย์รู้จักการสร้างเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เพื่อปลอบประโลมเป็นกำลังใจให้ตัวเอง เครื่องรางในรูปแบบต่างๆ จึงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เพื่อเป็นการชดเชยในสิ่งที่มนุษย์คิดว่ามันขาดหายไป
สุดท้ายนี้ขอความปรารถนาดี และความรักที่เที่ยงแท้ บริสุทธิ์จากใจผู้ให้จงปรากฎแก่ผู้อ่านทุกท่านทุกคนเทอญ
.
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น