ตอนที่ 5 : 4 : Silent Disaster
มินกยู...คิมมินกยู........
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่!?
ยูคยอมครุ่นคิดพลางมองอีกฝ่ายอย่างร้อนใจปนสงสัยอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ในที ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้จองกุกที่อยู่วงนอกก็สงสัยไม่น้อย โดยเฉพาะการที่เจ้าแวมไพร์ที่เห็นหน้ากันอยู่ทุกวันเอ่ยทักคนแปลกหน้าออกไปแบบนั้นราวกับคนรู้จัก
หากแต่อีกฝ่ายนั้นก็ทำเพียงแค่ยกยิ้มแต่สายตากลับมองเลยไปยังเอ็กโซซิสต์หนุ่มที่ถูกบังอยู่ด้านหลัง
“เป็นคนตระกูลหลักนี่ดีจังเลยเนอะ จะเอาแต่ใจยังไงก็ได้”
น้ำเสียงเย้ยหยันเย็นเยียบดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้จากเดิมยูคยอมตอนนี้หน้าเครียดอยู่แล้วกลับขมวดคิ้วเพิ่มขึ้นอีก
“พนันได้ว่าตอนนี้นายเข้าใจกันไปคนละอย่างกับฉันแล้วแน่ๆเลยว่ะ”
“เหรอ งั้นนายมีคำอธิบายดีๆสำหรับสถานการณ์ตอนนี้มั้ยล่ะ?”
“...”
ใบหน้าหล่อร้ายยิ้มเยาะเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ ขณะที่ดวงตาของเขานั้นสะท้อนเห็นเป็นสีเทาเงินวาว
“ไม่ได้เรื่อง”
“มินกยู...!”
ตอนนี้มือทั้งสองข้างของร่างสูงที่ยืนบังคุณมือปราบอยู่นั้นกำแน่นจนเส้นเลือดที่แขนนั้นชัดเจนขึ้นตลอดจนเห็นแผ่นหลังที่เหมือนจะสั่นไหวเล็กน้อยแต่ก็ค่อยๆสงบลงในเวลาไม่นาน ถึงมองไม่เห็นสีหน้าในตอนนี้แต่เดาได้ว่าคนข้างหน้าตนต้องไม่พอใจเอามากๆ ซึ่งจองกุกไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้จากยูคยอมมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หากแต่บรรยากาศที่เริ่มจะกลิ่นไม่ค่อยดีนั้นก็จางลงไปกับการมาถึงของบุรุษอีกคน
“คุณมินกยู เรารีบไปกันเถอะครับ ช้ากว่านี้จะลำบาก”
“กลัวพวกมันเหรอไง”
ชายคนนั้นจากตาที่เรียวคมอยู่แล้วก็ยิ่งหรี่จนดูเล็กกว่าเดิม
“ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาเดินเล่นชมจันทร์หรอกนะ อย่าลืมสิครับว่าตอนนี้เราอยู่ต่างที่แล้ว”
อีกฝ่ายจิ๊ปากอย่างขัดใจเบาๆแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรอีก เขายืนเฉยๆปล่อยให้คนมาใหม่นั้นเดินเข้ามายืนอยู่เคียงข้างจนเห็นว่าคนคนนั้นตัวเล็กกว่าชายชุดดำนี่ กระทั่งเงาดำของทั้งสองที่อยู่บนพื้นค่อยๆหดตัวเคลื่อนขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายไว้ และสลายไปเหลือเพียงแค่ผีเสื้อกลางคืนปีกดำสองตัวที่มีลวดลายประหลาดสีเงินบนปีกโผบินหายไปในความมืดยามราตรี
ยูคยอมนั้นมองตามไปแล้วก็ลอบถอนหายใจอีกครั้ง
“นายรู้จักสองคนเมื่อกี้เหรอ?”
และเดาไม่เคยผิดเลยว่าจองกุกต้องถามอย่างแน่นอน เจ้าหนูจำไมตัวโตอยู่นี่แล้ว
“.....ก็... ก็รู้จักล่ะนะ”
“เห็นผู้ชายคนนั้นเรียกนายว่าตระกูลหลัก”
“.........”
“หมายความว่าไงยูคยอม นั่นญาตินายเหรอ เขาเป็นแวมไพร์เหมือนนายใช่มั้ย”
“ขนาดนี้ฉันคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มแล้วมั้ง...” ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ แต่ดูเหมือนคนโตกว่ายังต้องการเอาความที่ชัดเจนกว่านี้ให้ได้
“นายไม่มีสิทธิ์บ่ายเบี่ยงในเมื่อมันเห็นอยู่ตำตา บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”
“โอเคๆ เอางั้นก็ได้ หมอนั่นน่ะเป็นญาติของฉันจริงๆ ชื่อคิมมินกยู”
สุดท้ายยูคยอมก็ยกสองมือยอมแพ้และแนะนำผู้มาเยือนแปลกหน้า อันที่จริงเขาก็สงสัยไม่น้อยเนื่องจากไม่ได้มีวี่แววที่อีกฝ่ายนั้นจะมาที่นี่เลยสักนิด แล้วทำไมจู่ๆก็มาโผล่ที่นี่
และสิ่งนี้ล่ะ ทำให้เขาเริ่มสังหรณ์อะไรแปลกๆขึ้นมา
“เขาเป็นลูกหลานของคิมตระกูลรอง อย่างที่ฉันเคยบอกไปว่าญาติฉันเยอะ มันก็เลยมีสายแบ่งแยกย่อยกันไปแบบเนี้ย”
“นายสนิทกับเขามั้ย”
“....เอ่อ... สนิทเหรอ...ก็...ไม่ค่อยเท่าไหร่ ฉันอยู่คนละบ้านกับเขาแต่ก็เคยเจอกันตอนที่ฉันยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่”
ตอนที่ยูคยอมกำลังเริ่มเล่าก็ได้โอกาสทบทวนความจำเมื่อครั้งอดีตไปด้วย จนกระทั่งเขาตระหนักถึงเรื่องสำคัญเกี่ยวกับญาติของตนขึ้นมาได้
“จองกุก กลับบ้าน”
“?”
“กลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย ฉันจะไปส่ง” พูดไม่พูดเปล่าเมื่อเขาคว้าแขนของเอ็กโซซิสต์หนุ่มให้เดินตามมาด้วยแต่ก็ถูกสะบัดทิ้งตามคาด
“อะไรของนาย เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ แล้วทำไมต้องรีบกลับ”
“จากนี้ไปนายไม่ควรออกมาเดินกลางคืนอีกแล้วนะ”
“ถ้านายไม่อธิบายเหตุผลว่าทำไม ฉันก็จะไม่ทำตามที่นายพูดแน่ๆ”
...อ่า ดื้ออะไรอย่างนี้นะจอนจองกุก!
ร่างสูงหันกลับไปหาคุณมือปราบด้วยใบหน้าจริงจังจนผิดสังเกต และท่าทีที่บ่งบอกว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ล้อเล่นอะไรอีกแล้ว
“เพราะมินกยูไง นายต้องระวังหมอนั่นไว้”
“...ทำไม?”
“เถอะน่า ตอนนี้ฉันคงพูดได้แค่นี้ ให้ฉันไปส่งนายเถอะจองกุก ขอร้องล่ะ”
“....”
นัยน์ตากลมโตนั้นยังไม่ทิ้งแววสงสัย หากแต่คนตรงหน้ากลับคว้ามืออีกฝ่ายขึ้นมาแล้วกุมไว้โดยปราศจากการดึงรั้งหรือกระชากรุนแรง
“เชื่อฉันก่อนเถอะนะ แล้วเราค่อยว่ากัน”
ทั้งคู่ยืนมองกันท่ามกลางความมืดที่โรยตัวอยู่รอบๆอีกครั้ง ไม่มีกลิ่นอายที่น่าอึดอัดแล้วก็จริงแต่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าปลอดโปร่งเท่าไหร่นัก ซ้ำร้ายว่ามันอาจจะเป็นเค้าลางถึงอะไรที่ไม่ดีมากกว่านั้น
สุดท้ายจองกุกก็ยินยอมที่จะให้ทางนั้นเดินไปส่งตนที่บ้านทั้งที่ยังมีเรื่องคาใจเต็มอก แต่เมื่อใกล้จะถึงแล้วก็เป็นฝ่ายมือปราบหนุ่มที่ขอว่าให้มาส่งถึงแค่ตรงนี้พอ เมื่อคุยกันแล้วว่าเดินต่อไปอีกแป๊บเดียวก็ถึง ยูคยอมจึงตกลงให้เจ้าตัวเดินกลับไปเองโดยที่ยังคงยืนมองจนแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นเข้าบ้านไปอย่างปลอดภัย
แน่นอนว่าหลังจากนั้นตนเองก็รีบกลับไปที่บ้านบ้างเช่นกันเพื่อที่จะแจ้งข่าวสำคัญต่อชายผู้เป็นพี่เลี้ยงตนมาแต่อ้อนแต่อก
“นี่ไม่ได้พูดเล่นใช่มั้ย”
“ช่วยเชื่อผมซักเรื่องเถอะพี่แจบอม ผมรู้ว่าหน้าตาผมมันดูไม่เหมือนคนจริงจังแต่เรื่องนี้ผมไม่ได้โกหกนะ”
เมื่อฟังน้องย้ำเช่นนั้น ตัวชายหนุ่มเองก็เริ่มขมวดคิ้ว ก็แน่ล่ะ พอเป็นเช่นนี้ก็เริ่มจะสงสัยเหมือนกันว่าเด็กนั่นมาทำไม แถมถ้าพกผู้ปกครองมาด้วยเช่นนี้แล้วแสดงว่าไม่ได้กะแวะมาเที่ยวแล้วกลับแน่นอน
“นายก็อยู่เฉยๆไม่ต้องไปยุ่งมากแล้วกัน ถ้าไม่ได้มาคนเดียวก็คงไม่เป็นไร”
“...แล้วพี่ไม่สงสัยเหรอ”
“สงสัยมันก็สงสัยแต่ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปซักไซ้นี่ รึนายข้องใจอะไร”
“........อ...เอ่อ เปล่าครับ” ยูคยอมเกิดติดอ่างกะทันหันแต่ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติเพื่อที่จะไม่ได้ผิดสังเกตแล้วโดนถามเสียเอง เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันก่อให้เกิดภัยต่อพวกตนง่ายกว่า
แล้วก็ยังไม่พร้อมจะโดนด่าเหมือนกับ ‘พี่ชาย’ ตัวเองหรอกนะ...
แต่ท่าทางจะหนีชะตากรรมไม่พ้นไม่วันใดก็วันหนึ่งจริงๆ
------------
มือปราบหนุ่มลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าอีกครั้งซึ่งเร็วกว่าเวลาตื่นปกติ
แม้ว่าเมื่อคืนนั้นจะพยายามข่มตาหลับลงไปจนได้ แต่สิ่งที่ยังติดค้างมันก็ทำให้ตัวเองรีบตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะค้นหาความจริง
ทั้งเรื่องของเอ็กโซซิสต์เขตอื่นที่หายตัวไปซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีชีวิตรอดอยู่แล้ว และเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้น เขายังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ว่ายูคยอมจะไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งการมาถึงของผู้ชายที่ชื่อคิมมินกยูนั่น ....ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นแวมไพร์เหมือนกันไม่มีผิด
รวมทั้งบางสิ่งที่สัมผัสได้จากชายคนนั้นว่ามีอะไรที่แตกต่างออกไป รังสีคุกคามชัดเจนจนเหมือนไม่คิดจะปกปิดตัวเองเลยด้วยซ้ำ
เขาขี่จักรยานมาถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้าและนั่งรอที่หน้าตึกคณะของตนจนกว่ายูคยอมจะมา
ตอนนี้ต่างคนต่างก็เหมือนมีสัญญาและข้อต่อรองผูกกันไว้อยู่ การหลบเลี่ยงที่จะเผชิญหน้านั้นจึงทำได้ไม่สะดวกใจเท่าไหร่นัก คุณแวมไพร์คิมจึงได้ถูกตั้งคำถามต่ออีกครั้งจากเมื่อคืน
“นายต้องบอกฉันเกี่ยวกับคนชื่อมินกยูมากกว่านี้แล้วนะ รู้มั้ยว่าเกิดเรื่องก่อนที่เจ้านั่นมันจะมาที่นี่”
“..หือ เรื่องอะไร”
“ถามจริง นี่นายไม่รู้อย่างนั้นเหรอ”
“ฉันไม่แน่ใจว่าเราจะรู้เรื่องเดียวกันรึเปล่าไง”
จองกุกพ่นลมหายใจออกมาแรงๆอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักแต่ก็ตัดสินใจเล่าให้ฟัง
“เอ็กโซซิสต์ถูกฆ่า แล้วยังมีคนที่ถูกดูดเลือดจนตาย”
“...”
“ว่าไง พอจะเป็นเรื่องเดียวกันได้รึยัง”
“นายคงไม่สงสัยฉันใช่มั้ย...”
“เคย แต่ตอนนี้ฉันสงสัยญาติของนายมากกว่า”
“จองกุก...เป็นไปได้นายอย่าไปยุ่งกับหมอนั่นเลย”
ยูคยอมรีบคว้าบ่าทั้งสองของอีกฝ่ายไว้และบังคับให้มองตัวเขา ที่กำลังใช้สายตาเป็นเครื่องรับรองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
หากแต่คนดื้อก็ยังคงเป็นคนดื้อเสมอต้นเสมอปลาย
“...นายรู้อะไรเกี่ยวกับมินกยูมาสินะ
“คือ....ก็ไม่เชิง แต่นิสัยของเจ้านั่นน่ะฉันไม่อยากให้นายเสี่ยง....”
“ฉันเป็นเอ็กโซซิสต์ด้วยความเต็มใจ ก็หมายความว่าฉันยอมที่จะแบกรับความเสี่ยงถึงชีวิตอยู่แล้ว”
“ให้ตายเถอะนายนี่มัน.....” บางทีเขาก็คิดนะว่าขนาดตัวเองก็ไม่ค่อยจะยอมฟังใครง่ายๆแล้ว ยังมีคนที่ขั้นกว่าแถมยังอายุมากกว่าอีกด้วย
“ฟังนะ ฉันไม่ได้คิดจะใส่ร้ายหรือนินทาอะไรญาติตัวเองหรอก ถึงจริงๆแล้วมินกยูจะไม่ใช่คนเลวร้ายแบบ..เอ่อ หมายถึงนิสัยแย่มากๆ แต่หมอนั่นน่ะไม่ใจดีหรอกนะบอกไว้เลย”
“แล้วไง?”
“ถ้าขอร้องให้ไว้ชีวิตเพราะเห็นแก่ครอบครัว เขาก็จะตามไปฆ่าให้หมดทุกคนไม่ให้เหลือเป็นข้อต่อรอง ก็เป็นคนแบบนี้แหละ นายคิดดีๆนะจองกุก”
ดูเหมือนจะได้ผลเมื่อยูคยอมเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของอีกฝ่ายซึ่งคล้ายกับว่ามีความไม่มั่นใจเจือปนอยู่ แต่เมื่อประโยคคำถามถัดมาออกจากปากเท่านั้นล่ะเจ้าตัวก็แทบจะหงายหลัง
“แล้วนายคิดว่ามินกยูอะไรนั่นจะรู้เรื่องเอ็กโซซิสต์ที่หายไปเมื่อสองปีก่อนมั้ย”
“....ฉันว่านายเริ่มโยงมั่วซั่วแล้วมั้ง”
“งั้นนายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่อีกใช่มั้ย”
“มีที่ไหนเล่า ก็เห็นมีแต่นายนั่นแหละเอาแต่พูดนั่นพูดนี่อยู่ฝ่ายเดียว” แต่ก็ยอมรับอยู่ในใจก็ได้ว่ามี แต่มันยังไม่ถึงเวลานี่นา....
ส่วนจองกุกเองก็ถอนหายใจพลางขยี้ผมตัวเองแล้ววนกลับไปประเด็นเดิมอีกครั้ง เพราะเมื่อพิจารณาจากนิสัยที่ตนเองรู้มาเบื้องต้นของแวมไพร์ตนนั้นมาแล้ว การที่จะเกี่ยวข้องเรื่องฆาตกรรมเอ็กโซซิสต์และมนุษย์ธรรมดามันก็ดูเป็นไปได้สูงมากทีเดียว..ไม่สิ ตอนนี้เขาว่ามินกยูนี่ล่ะคือคนร้ายอย่างไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว
“แต่ว่านะ นายอย่าลืมว่าฉันเป็นใครสิ และถ้าจับได้ว่าเจ้านั่นฆ่าคนอีกครั้งไม่ว่าจะใครก็ตาม ฉันนี่ล่ะจะฆ่ามัน”
“....”
เอ็กโซซิสต์หนุ่มเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าด้วยตาคู่สวยที่ลุกโชนอย่างแน่วแน่ด้วยปนิธานอันแรงกล้า
“และถ้านายคิดจะขัดขวางกันอีกครั้งล่ะก็ นายก็จะเป็นอีกคนที่ฉันจะยิงทิ้ง คิมยูคยอม”
ม้านั่งริมสระในสวนสาธารณะอันเงียบสงบในยามบ่ายนั้นเหมาะกับการอ่านหนังสือยิ่งกว่าอะไร
ชายหนุ่มพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆเมื่ออ่านจบในแต่ละหน้าอย่างไม่สะดุด แสดงให้เห็นถึงสมาธิอันดีเยี่ยม
หากแต่ขนนกมันปลาบสีดำที่ร่วงหล่นลงมาบนหน้าหนังสือนั้นเรียกความสนใจจากเนื้อหาบนกระดาษให้เงยหน้าขึ้นมองหาที่มาของเจ้าขนนกเส้นนี้ ซึ่งถ้าหากมันเป็นเพียงนกธรรมดา เขาก็แค่หยิบมันแล้วโยนมันทิ้งลงไปที่พื้น
และอย่างที่คิดจริงๆ เมื่อนกราเวนตัวใหญ่ที่สยายปีกบินโฉบอยู่เบื้องบนค่อยๆร่อนลงมาเกาะอยู่ตรงขอบพนักพิงหลังม้านั่งที่เขานั่งอยู่
((ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ วอนอู))
“ครับ ก็หลายปีอยู่”
เขายิ้มเล็กน้อยพลางขยับแว่นที่เลื่อนลงมานิดๆให้เข้าที่
((นึกยังไงถึงได้มาที่นี่ บ้านนายไม่ได้มีปัญหาอะไรกันใช่มั้ยน่ะ))
“บ้านน่ะไม่มีหรอกครับ แต่ก็......”
((เด็กคนนั้นสินะ))
ชายที่ชื่อวอนอูนั้นโคลงศีรษะรับคำแทนเสียงตอบรับ ก่อนจะหันไปข้างๆตัวซึ่งมีคู่สนทนาของตน
“ว่าแต่ผมไม่ยักรู้ว่าคนตระกูลหลักเขานิยมผูกมิตรกับนักบวชแล้ว”
((หมายความว่ายังไง))
“ลองกลับไปถามเด็กในปกครองพี่เองนะครับพี่แจบอม ว่ายังมีชีวิตรอดอยู่ได้ยังไงทั้งที่อยู่กับเอ็กโซซิสต์ทั้งคืน”
เมื่อเขาพูดจบ เจ้าราเวนตัวนั้นก็กระพือปีกพร้อมส่งเสียงร้องออกมา โดยที่ชายหนุ่มนั้นนึกขันอยู่ในใจว่าถ้าหากอิมแจบอมกลับเป็นร่างมนุษย์เช่นเดิมคงทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างสุดๆแน่ ก็ชายคนนี้น่ะพิสมัยเรื่องยุ่งยากที่เห็นแววแก้ไขไม่ได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่
((ขอบใจที่อุตส่าห์บอก นายเองก็ดูแลเด็กนายให้ดีด้วยเถอะ))
วอนอูไม่ได้ตอบอะไร กระทั่งเห็นแจบอมในร่างของนกราเวนนั้นทำท่าเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงกล่าวลาและออกบินจากไป
ไม่ช้าไม่นาน เจ้าของหัวข้อสนทนาเมื่อสักครู่นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของพี่เลี้ยงที่นั่งอยู่
“หึ เซนส์ยังไวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”
ร่างสูงโปร่งนั้นเดินเข้ามานั่งข้างๆพลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่ทุกข์ร้อน
ตอนแรกมินกยูก็แค่หนีมาหลบซ่อนที่นี่จากเขตที่ตนอาศัยอยู่ก่อนหน้าเนื่องจากรอให้เรื่องเงียบแล้วว่าจะย้ายที่ออกไป แต่สิ่งที่เขาได้เจอเมื่อคืนนั้นกลับมีแรงกระตุ้นบางอย่างที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
...น่าสนใจ
เจอของน่าสนใจเข้าแล้ว
“วอนอู นายคิดว่านักบวชนั่นเก่งแค่ไหน”
“...ผมไม่มั่นใจ แต่ก็คิดว่าน่าจะไม่เหมือนกับคนก่อนๆที่เราเคยเจอ”
“หึ ท่าทางยูคยอมมันหวงน่าดู แต่จะปกป้องกันไปได้ซักกี่น้ำ”
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
แวมไพร์หนุ่มผิวเข้มหัวเราะอยู่ในลำคอ เขามีวิธีที่ง่ายมากๆที่จะล่อให้คนแบบนั้นสามารถออกมาหาได้ แล้วยิ่งถ้าหากในพื้นที่นั้นมีเอ็กโซซิสต์ที่พร้อมจะต่อสู้เพียงไม่กี่คนล่ะก็...
มินกยูก็จะไม่ลังเลที่จะใช้ชีวิตคนเหล่านั้นเป็นเหยื่อล่อเลยไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เพราะไม่ว่าจะเห็นใครทรมาน มันก็น่าสนุกทั้งนั้น
ชักอยากจะลองเล่นกับนายเร็วๆแล้วสิเอ็กโซซิสต์
------------
>>Talk
ในที่สุดก็ได้มาต่อออออออออออออ TTvTT /แต่ง่วงมากเลยค่ะง่วงแบบตาจะปิดมากๆๆ ๆ ๆ ๆ ๆๆ ถ้าเจออะไรผิดๆเพี้ยนๆต้องขออภัยก่อนนะคะ
จริงๆก็อยากจะต่อเรื่องนี้ให้ได้อย่างน้อยสองสามตอนก่อนจะหมดปี แต่รู้สึกกลัวจะทำไม่ได้จังเลยค่ะ ฮือ.... ใครยังรออยู่ต้องขอโทษแล้วก็ขอบคุณด้วยนะคะ!
แง ไม่รู้จะทอล์คอะไรแล้วเพราะง่วงจนปวดตาไปหมด ใกล้จะหลับแล้ว ไม่เคยเป็นงี้เลย 555 เอาเป็นว่าไว้เจอกันตอนต่อไปนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
