เมื่อไม่เหลือใคร... - เมื่อไม่เหลือใคร... นิยาย เมื่อไม่เหลือใคร... : Dek-D.com - Writer

    เมื่อไม่เหลือใคร...

    ผมเป็นเด็กจากต่างจังหวัดเดินทางเข้ากรุงเทพเเละนี้คือชีวิตของผมเมื่อผมใช้ชีวิตผิดพลาดครั้งใหญ่

    ผู้เข้าชมรวม

    153

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    153

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 พ.ค. 59 / 15:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เมื่อไม่เหลือใคร...

      ผมเกิดในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี  แม่ของผมทิ้งผม น้องและพ่อตั้งแต่ผมยังเล็กๆเมื่อผมจบ ม.3 ผมได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่นี่โลกของผมเปิดออก ผมเป็นอิสระแล้ว ผมทำงานในบาร์ส่งตัวเองเรียน ด้วยการที่ผมไม่อยากเป็นภาระของใคร ผมตั้งเป้าไว้ว่าวันหนึ่งผมจะกลับไป จะส่งน้องเรียน ผมจะต้องได้ดีและพิสูจน์ให้ผู้ชายคนหนึ่งได้เห็นว่าไอ้ลูกชั่วๆคนนี้ก็ดีได้ด้วยตัวเองและผมก็บอกกับตัวเองว่าถ้าผมไม่ได้ดีผมจะไม่กลับไปให้ใครเห็นหน้า จะไม่กลับไปเหยียบบ้านให้เป็นขี้ปากใคร ผมใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นปกติทั่วไป

      .....กรี้งงงงงงงงงงงงงงงงง...

      “เอกนายอยู่ไหนเนี่ย” เสียงใสๆดังขึ้น

      “จะไปแล้วรออยู่นั่นแหละเดี๋ยวไปรับ”

      “เอกคืนนี้ไปกับพวกข้าป่ะ”บิ่นเดินเข้ามาทักผม

      “โทษจริงๆวันนี้ต้องไปรับหมิวที่หัวลำโพงพอดีพึ่งกลับมาจากน่าน”

      “อั้ยย่ะมีแฟนแล้วลืมเพื่อนเลยนะแกน่ะ”

      ...ณ หัวลำโพง... 

              “เอก!” ผมเห็นผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นยิ้มให้ผมอย่างสดใส

              “นี่!ยืนยิ้มอะไรของนายช่วยถือของหน่อย”

              “เอ้า..แล้วก็ไม่บอก”

              “แม้ฉันก็เห็นนายยืนยิ้มอยู่นั่น...คิดอะไรอยู่หรอ” เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอย่างกวนๆ

              “ก็คิดอยู่ว่าทำไมมีแฟนเตี้ยนัก 555”

              “นี่! อย่างฉันน่ะเค้าเรียกว่าน่าทะนุทนอมย่ะ”

               แล้ววันนั้นผมก็ไปส่งเธอที่บ้าน  หมิวร่าเริงและกวนประสาทผมตลอดเวลาผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้เธอเสื่อมเสียและจะไม่ทำให้เธอเสียใจเด็ดขาด

               และจุดเปลี่ยนชีวิตของผมก็เริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันพ่อแห่งชาติ

       5 ธันวาคม 2548 ทางมหาวิทยาลัยจะทำการจัดงานวันพ่อทุกปีและในปีนี้

              "เอกพ่อแกมาป่ะว่ะ”

              “ไอ้บิ่นแกก็รู้ๆอยู่  อย่าพูดเลย หงุดหงิดว่ะ”

              “ฝ่ายปกครองโทรถึงพ่อข้าให้มาร่วมงาน...เขินว่ะ”

              “จะเขินอะไรพ่อนายนะ  กราบพ่อตัวเองเสียหายตรงไหน” หมิวพูดขึ้น

              “โห่..หมิวผู้ชายนะเว้ย  ไม่เคยทำไรอย่างงั้นหรอก..โอ้ย..เครียด”

              “เอกเค้าพูดจริงๆนะนายน่าจะกลับไปหาพ่อนายนะโรงเรียนอุตส่าห์ให้หยุดตั้งหลายวัน”

              “ไม่” หมิวก็พยายามพูดต่อจนกระทั่ง 

              “แต่ฉันว่า...”

              “อยากจะไปไหนก็ไปเลยไป!!!! ก็บอกให้หยุดพูดเรื่องนี้ซักทีเถอะ...น่ารำคาญ”

              “มันเป็นไรของมันว่ะ...ไม่เป็นไรนะหมิว” หญิงสาวพยักหน้าเงียบๆ 

              ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมายุ่ง มาเซ้าซี้เรื่องส่วนตัวของผมนักหนา  ผู้ชายคนนั้นไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา ไม่เคยเห็นค่าของผม ผมไม่รู้เลยว่าพ่อจะสนใจรึป่าวว่าผมจะเป็นยังไงบ้าง พวกนั้นก็ชอบพูดแต่เรื่องนี้ก็รู้อยู่พูดทีไรก็ทะเลาะกันทุกที.

      ....ณ จ. เพชรบุรี....

             “ได้ข่าวลูกชายผมบ้างไหมครับ”

             “ขอโทษนะครับ ทางเรามีเรื่องเยอะอยู่แล้ว และเรื่องก็เกิดขึ้นมานานแล้วด้วย กลับไปเถอะครับลุง” ชายชราวัย 65 ปี เดินออกจากศูนย์แจ้งเหตุด้วยความเศร้าใจ   

             “เอกเองอยู่ไหน...กลับมาเถอะลูก” 

              ทุกวันเวลาสามทุ่มเขาจะมานั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้านเพื่อเฝ้าคอยเด็กคนหนึ่งเป็นภาพของเด็กผู้ชายที่วิ่งเข้ามาถามนู้นถามนี่แต่เมื่อเขาเริ่มโตขึ้นชายชราก็สัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป หัวใจของผู้เป็นพ่อก็หามีความสุขไม่ เมื่อไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกจะเป็นอย่างไรบ้าง

              ....ไนต์คลับแห่งหนึ่ง....

              จังหวะดนตรีดังหนักๆตลอดเวลาไปตามเสียงเพลง

       ในมุมหนึ่งของร้าน...

              “เฮ้ย!เอกแกใจเย็น...ไปทำไรมาว่ะ”

              “ทะเลาะกับหมิว” ไอ้บิ่นสีหน้าตกใจ

              “อีกแล้วเหรอว่ะ...จะไปรอดกันไหมเนี่ย”

              “กลับไปค่อยว่ากัน” บิ่นตบบ่าผมเบาๆ 

              “ก็แค่ผู้หญิง...ไม่ต้องไปสนใจอะไรมากนักหรอก”

              เสียงดนตรีเปิดตัวดังขึ้นดึงความสนใจจากคนในร้านทุกสายตาจับจ้องไปที่หญิงสาวคนหนึ่งผิวของเธอขาวตัดกับเดรสเกาะอกสั้นสีดำเดินออกมาจากเวทีเปิดตัวด้วยริมฝีปากสายตาและท่วงท่าเต้นอันเย้ายวนของเธอ ที่เคลื่อนย้ายไปตามจังหวะเพลงบนเวทีทำให้ผมชะงักในความงามของเธอ  เธอสวยมากจริงๆ

             “เฮ้ย!!เอกแกอยากลองดูป่าวว่ะ..เอ้ยยย..ปอดนี่หว่าก็นึกว่าแน่  เอาหน่านานๆที  ข้าไม่พูดเอ็งไม่พูดแล้วใครจะไปรู้ว่ะ”

           .....ติ๊ดๆๆๆๆ 

              “ฮัลโหล...ว่าไง...เออๆเดี๋ยวไป” เพื่อนผมมันดูลุกลี้ลุกลน 

              “เฮ้ยข้ากลับแล้วนะพอดีมีธุระด่วน”

              “เออๆ...เดี๋ยวเจอกัน”

      03.15 น.

       เวลานี้คนเริ่มทอยกันออกไปเพราะไนต์คลับใกล้จะปิดแล้ว 

              "ทำไมมาอยู่คนเดียวล่ะคะ” เสียงใสดังขึ้นข้างๆผม

              “คุณ..”

              “จีจี้ค่ะ...ไม่รู้ว่าอกหักมาจากไหนเนี่ย ต้องการใครนั่งเป็นเพื่อนรึป่าว”

      นี่คือหญิงสาวคนนั้นที่อยู่บนเวที ผมยอมรับว่าเธอสวยจริงๆ 

              “สนใจไปต่อกับฉันไหม” เมื่อได้ยินประโยคที่เธอถามผมจึงลุกขึ้นทันที

              “ขอโทษนะครับ..ผมไม่” 

      โครม!!!ด้วยฤทธิ์ของแอลกอร์ฮอล์ผมรู้สึกมึนมากและเซล้มลง เธอเบียดตัวใกล้ผมและ...เธอสวยจริงๆ

      ตอนนั้นทุกอย่างเหนือการควบคุมแม้ว่าผมจะพยายามในตอนแรกก็ตามแต่สุดท้ายผมก็ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณของผมเอง

      12.00 น. ณ  โรงแรมแห่งหนึ่ง...        

              “นี่ค่าตัวคุณ...เอาไปซ่ะคุณนี่มันร้ายนัก”

             “Thank  you  อย่าพูดแบบนั้นซิ เมื่อคืนก็เห็นคุณมีความสุขเอง ไปเถอะเดี๋ยวแฟนจับได้ไม่รู้ด้วยนะ...คิดถึงเมื่อไหร่ก็โทรมานะคะ ฉันจะรอ”

              ตั้งแต่วันนั้นผมไปหาเธอบ่อยขึ้น ผมได้เสพสุขเต็มที่กับเธอในทุกๆครั้ง เธอคือที่ระบายและปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจ ในตัว ในร่างกายของผม ผมกำลังหลงไปกับมันแต่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆและมันน่าเบื่อมาก คือ

             “เอก..นายไม่รับสายฉันอีกแล้วนะ”

             “พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ”

             “ยุ่งๆๆๆตลอดเลย!ฉันชักจะหมดความอดทนกับนายแล้วนะ”

           “เธอเคยเชื่อในสิ่งฉันจะพูดบ้างไหม..คนที่เขารักกันเขาต้องไว้ใจกันไม่ใช่มานั่งจับผิดกันแบบนี้”

      .....หมิว......

             ‘เธอเคยเชื่อในสิ่งฉันจะพูดบ้างไหม...คนที่เขารักกันเขาต้องไว้ใจกันไม่ใช่มานั่งจับผิดกันแบบนี้’ ประโยคนี้ดังก้องในใจของฉันตั้งแต่เช้าแต่ฉันสังเกตและสัมผัสได้ว่าเขาเปลี่ยนไป  2  ปี  ที่คบกันมาเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เขาเปลี่ยนไปจริงๆ

      2  วันต่อมา...  

            “ เอกนายอยู่ไหน”

            “อ้อหมิวเค้าขอโทษจริงๆนะเค้ามีธุรกับเพื่อนนิดหน่อยอ่ะ”

            “เอ้...จำได้ไหมน้าว่าวันนี้วันอะไร..”

            “วันจันทร์ครับผม...แค่นี้นะต้องไปแล้วเดี๋ยวเจอกันนะครับ”

            ‘วันนี้วันเกิดฉันเอง...สุขสันต์วันเกิดนะหมิว’ ไม่นึกเลยว่าวันเกิดปีนี้ฉันเบิร์ดเดย์ตัวเองฉันจำได้เสมอว่าเอกไม่เคยลืมวันเกิดของฉันเลย แต่ไม่เป็นไรฉันจะต้องไว้ใจเขา

      กลางดึกหญิงสาวเดินออกมาจากหอ ถนนแห่งอบายมุขข้างทางเต็มไปด้วยแสงสี ผับบาร์ต่างๆกำลังระดมเพลงไปตลอดทาง เมื่อเดินต่อไป หล่อนรู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆมาบีบหัวใจของหล่อนเมื่อ

               “เอกวันนี้เราไปต่อที่ไหนกันดีค่ะ” 

              เมื่อสายตาคู่นี้มองเห็นแฟนหนุ่มควงสาวเปรี้ยวคนหนึ่งออกมาจากไนท์คลับ ‘ นี่ใช่ไหมสิ่งที่นายเรียกร้องความไว้ใจจากฉัน  นี่ใช่ไหมคือของขวัญวันเกิดที่นายเตรียมไว้ให้  ขอบใจนะสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง.....ลาก่อนเอกน้ำใสๆไหลออกจากตาคู่สวยเมื่อได้รู้ว่า  คนที่หล่อนรัก ทรยศ

      พักกลางวัน... 

              “ เอ้ยช่วงนี้แลไม่เห็นแกจะอะไรกับหมิวเลยว่ะ”

              “เคลียร์กันแล้วไม่รู้เขาเป็นอะไร  เขาบอกว่าขอห่างกันซักพัก”

              “ผู้หญิงก็งี้แหละ..อย่าไปเอาอะไรมาก”

              “ป่าวฉันก็ไม่ได้คิดอะไรดีแล้วเหมือนกันจะได้ไม่ต้องมากังวล”

              “แม้!!!แต่ก่อนล่ะหมิวอย่างงู้น...หมิวอย่างงี้  เจอน้องจีจี้ทีเดียวเป็นไงจอดเลยซิ”

              “ถามจริงเหอะเอกแกไม่กลัวติดโรคหรอว่ะ  ผู้หญิงอย่างว่านะเว้ย”

              “อย่าพูดอะไรบ้าๆฉันก็แค่เล่นๆ”

      1  ปี ต่อมา...

             ผมจำได้ว่าช่วงนั้นผมรู้สึกว่าบางอย่างในร่างกายของผมแปลกไปผมเริ่มป่วยอยู่บ่อยๆ.   มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ตอนนั้นผมคิดว่าอาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยอยากกินอะไร  ผมปล่อยให้เป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณหลายอาทิตย์แล้วจึงตัดสินใจไปหาหมอและวันนั้นเองจุดเปลี่ยนชีวิตของผมก็มาถึง

            “คุณเอกอดุลครับ  หมอเสียใจด้วยนะครับ  ผลเลือดของคุณเป็นบวกครับ”

               “ผมเป็น...”

               “คุณติดเชื้อ HIV ครับ”

           ทุกอย่างมันเร็วมากจนผมไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างถูกคิดวนเวียนอยู่ในสมอง  ผมเป็นเอดส์และผมกำลังจะตาย และด้วยสภาพร่างกายของผมในตอนนั้นมันทำให้ผมทุกข์ทรมานมากผมต้องกินยาที่หมอสั่งตลอด  แล้วยาบ้านั่นก็แพงมากๆสิ่งที่ผมต้องการตอนนั้นคือ เงิน

            “เฮ้ย...ไอ้บิ่นแกว่างป่ะว่ะ”

            “โทษจริงนะเว้ยตอนนี้ข้าไม่ว่างว่ะ...ต้องไปแล้วแค่นี้นะ”

              ตอนนี้ผมถูกเพื่อนรักของผมปฏิเสธ ผมพยายามโทรไปหาหมิวแต่เธอบอกผมว่าเธอมีแฟนใหม่แล้วและไม่ให้ผมไปยุ่งกับเธออีกเดี๋ยวแฟนเธอจะเข้าใจผิด จริงๆแล้วผมไม่อยากให้ใครรู้เลย แต่โรคของผมร่างกายของผมกำลังประจานตัวผมเอง

                 สุดท้ายผมก็ถูกไล่ออกจากงาน ยอมรับว่าเวลานั้นผมแค้นผู้หญิงชั่วคนนั้นที่เอาโรคมาติดผม  แค้นเพื่อนที่พอผมมีปัญหามันก็พากันทิ้งผมไป แค้นตัวเองที่โง่เอง โง่เองจริงๆ  ผมมันชั่วที่หนีออกจากบ้าน ชั่วที่ทิ้งหมิวและทำให้เธอเสียใจ ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่มีเพื่อน  ไม่มีแฟน ไม่มีครอบครัว พ่อคงเกลียดผมและคงสมน้ำหน้าที่ผมอยู่ในสภาพแบบนี้ 

                ผมมันเลวและไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปกับผู้ชายที่ไม่มีใครต้องการ ผมหาทางออกไม่เจอ จนกระทั่งคิดขนาดจะฆ่าตัวตาย ให้มันตายไปพร้อมกับโรคบ้าๆที่มันกัดกินผม ผมคงตายอย่างไม่มีใครจดจำ และชื่อของผมจะหายไปจากแผ่นดิน

              ในคืนนี้ พระจันทร์ดูมืดมนถนนภายในซอยเงียบกริบเห็นเพียงไฟสลัวๆตามทางซึ่งก็มีร้านอาหารและร้านขายของชำเปิดอยู่บ้าง และคืนนั้นที่ผมรู้ว่าโชคชะตาของผมก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไปเมื่อผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่ง  ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาเปิดอ่านและสะดุดตากับคอลัมภ์หนึ่งใจความว่า

              “เอก...กลับบ้านเถอะลูกพ่อขอโทษ” ใต้ข้อความมีรูปและชื่อของผมอยู่ด้วย ตอนนั้นผมสับสนไปหมดกำลังเกิดอะไรกับผม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเลยว่าพ่อจะสนใจผมตั้งแต่เด็กพ่อทำงานอย่างหนักไม่ค่อยอยู่บ้าน ตั้งแต่ที่แม่ทิ้งไปผมรู้ว่าครอบครัวของผมไม่ได้สมบูรณ์และมีความสุขเหมือนครอบครัวอื่นอย่างที่มันควรจะเป็น พ่อไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรให้ผมเห็น แต่ผมสัมผัสได้ว่าพ่อเป็นห่วงน้องมากๆและผมก็อยากจะถามพ่อเหมือนกันว่าพ่อเคยเป็นห่วงและเข้าใจผมเหมือนที่พ่อทำกับน้องบ้างไหม 

             แต่ผมเห็น...เห็นในสิ่งที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง พ่อขอโทษผม  พ่อขอให้ผมกลับบ้าน แล้วผมจะกล้ากลับไปไหม กลับไปสภาพนี้ไปหาพ่อที่ผมโกรธ ที่ผมอคติมาตลอด และถ้าพ่อรู้ว่าผมเป็นแบบนี้พ่อจะรับได้ไหม  น้องจะกลัวผมไหม และผมก็ตัดสินใจ  

             ( สวัสดีครับ...ใครครับ )

              “พ่อ...ผมเอง”

             ( เอก!เอกใช่ไหมเอ็งไปอยู่ไหนมา )

              “พ่อ...คือผม..กลับบ้านได้ไหม”

             ( นี่บ้านเอ็งนะจะขอพ่อทำไม..กลับมาเถอะ )

          เวลานั้นน้ำตาของลูกผู้ชายหลั่งไหลออกมาไม่ใช่น้ำตาแห่งความโศกเศร้าอีกต่อไปแต่เป็นน้ำตาแห่งความยินดี น้ำตาแห่งการสำนึกผิด  และความรู้สึกที่ได้รับการอภัยจากพ่อ ผมจะได้กลับไปอยู่บ้านอย่างน้อยก็ในช่วงสุดท้ายของชีวิตและผมก็กลับบ้านในคืนนั้น 

      ณ  จ. เพชรบุรี...

              ผมยืนหยุดอยู่ที่หน้าบ้านที่ผมจากมา ผมคิดถึง คิดถึงจริงๆ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมตตาผม ผมก้าวเข้ามาในบ้าน พ่อนั่งรออยู่แล้วพ่อหันมาดีใจและวิ่งเข้ามากอดผม ผมรู้สึกเอ่อร้นและได้รับการเติมเต็มผมไม่เคยรู้เลยว่าพ่อจะเสียใจและคิดถึงผมขนาดนี้และอึ้งที่เห็นพ่อร้องไห้

             “เข้าบ้านก่อนนะลูก...อาบน้ำอาบท่าแล้วพักซะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”   เสียงฝีเท้าหนักๆวิ่งลงมาจากบันได

            “พี่เอก!พี่กลับมาแล้ว” น้องวิ่งเข้ามากอดผม                        

            ผมอยู่กับน้องบนเตียงเรามองออกไปทางหน้าต่างที่แสงจันทร์ส่องสว่างเข้ามา

           “หลายปีที่พี่ไม่อยู่เป็นไงบ้าง” น้องมองหน้าผมอย่างเคืองๆ  

           “จะเป็นไงล่ะพี่รู้รึป่าวว่าพ่อเป็นห่วงพี่มากเลยนะตอนเช้าพ่อจะไปที่ศูนย์แจ้งเหตุทุกวัน ตอนเย็นพ่อจะให้หนูจัดกับข้าวเผื่อพี่ไว้ชุดนึง เผื่อซักวันพี่จะกลับมา แล้วพ่อก็นั่งรอพี่อยู่ตรงนั้นทุกคืนเลยนะ”

              เมื่อผมได้ยินที่น้องเล่าให้ฟัง หัวใจของผมก็เต็มไปด้วยความดีใจ ดีใจที่รู้ว่าพ่อเป็นห่วง ดีใจที่รู้ว่าผมก็อยู่ในสายตาพ่อเหมือนกัน ดีใจที่มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวผมมีคุณค่าและเสียใจที่ทำให้พ่อเสียใจ เสียใจที่เข้าใจผิดมาตลอด 

              หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จผมก็เดินลงมาข้างล่างพ่อยังนั่งอยู่ที่เดิม

             “พ่อ” พ่อหันหน้ามาหาผมด้วยสายตาที่ผมก็เดาไม่ออกเช่นเคย

             “ผม..” ผมคุกเข่าลงและกราบเท้าพ่อ

             “พ่อ...ผมขอโทษ ผมเสียใจ ผมมันเลว ผมมันชั่ว ผมมันไม่น่าให้อภัย” 

      พ่อจับผมให้ลุกขึ้น 

              “บ้านนี้เป็นของเอ็ง เอ็งจะไปหรือเอ็งจะกลับมาก็เป็นสิทธิ์ของเอ็ง แต่อยากให้เอ็งรู้ไว้นะว่าไม่ว่าเองจะเลวแค่ไหน จะหลงออกไปแค่ไหน พ่อก็จะรอ พ่อจะรอให้เอ็งกลับมาไม่ว่าจะมาสภาพไหนก็ตามพ่อก็ภาวนาให้เอ็งกลับมา  พ่อรอๆๆ และสุดท้ายเอ็งก็กลับมา...เออเอ็งป่วยรึป่าวทำไมดูโทรมๆหึ”

       ผมรู้สึกเศร้าใจและกลัวกับคำถามของพ่อ

              “พ่อ..พ่อรักผมไหม”

              “เอกพ่อทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงพวกเอ็ง ส่งเอ็งส่งน้องเรียนเอ็งเคยรู้บ้างไหมว่าใจพ่อแทบขาดวันที่เองไปแล้วไม่กลับมา  เอ็งไม่รู้จริงๆหรอว่าพ่อรู้สึกยังไง  ลูกทั้งคนนะ  พ่อไม่พูดก็ไม่ได้แปลว่าพ่อไม่รัก  พ่อเห็นเอ็งเป็นผู้ชายพ่อไว้ใจเอ็งเลยไม่ได้อะไรกับเอ็งมากเท่าน้อง  กับน้องมันเป็นผู้หญิงนะ พ่อเลยเป็นห่วงมัน เอ็งเข้าใจไหม” ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมด

             “พ่อผมมีอะไรจะบอก...พ่อผม...ผมเป็นเอดส์ผมกำลังจะตาย!” สีหน้าของพ่อซีดไปทันทีที่ผมพูดจบพ่อมองหน้าผมบรรยากาศเงียบไปพักใหญ่แล้วที่สุดพ่อก็ดึงผมเข้ามากอด น้ำตาของพ่อไหลอีกครั้งผมเจ็บปวดที่ต้องสารภาพ

             “ไม่เป็นไรนะ..เอ็งกลับบ้านมาแล้ว ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ไม่ว่าใครจะรังเกลียดเอ็ง เอ็งก็ยังมีพ่อมีน้องที่จะอยู่กับเอ็ง พ่อสัญญาว่าพ่อจะอยู่กับเอ็ง จะดูแลเอ็ง ไม่เป็นไรนะลูก พ่ออยากให้เอ็งรู้ไว้ว่าเอ็งเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อ  พ่อรักเอ็งนะ”

               แล้วผมกับพ่อก็กอดกันร้องไห้ ผมไม่เคยรู้สึกอบอุ่นแบบนี้มาก่อนเลย ทุกสิ่งที่ในใจของผมผูกเอาไว้ได้ถูกแก้แล้ว  ณ  ตอนนี้เมื่อได้ยินคำของพ่อ ผมมีความสุขมากๆแม้ว่าจากวันนั้นร่างกายของผมจะทรุดลงเรื่อยๆและตอนนี้ก็ผมนอนอยู่บนเตียงตรงนี้ได้  2  เดือนแล้วยิ่งวันผมยิ่งรู้ว่า วันเวลาของผมใกล้เข้ามาทุกที แต่สิ่งนี้สอนผมให้รู้ว่า พ่อคือคนที่ผมรักละรักผมมากที่สุดในชีวิต พ่อดูแลผมตลอด ให้กำลังใจผมเสมอ แม้ว่าผมจะไม่มีแรงทำอะไรแล้วก็ตาม

               ประสบการณ์ชีวิตทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หลายคนพยายามไขว้คว้า ใบปริญญามากมายที่คุณเรียนจะไม่มีความหมายเลยถ้าวันหนึ่งคุณต้องมานอนที่เดียวกับผมตรงนี้แล้วไม่มีใครซักคนที่อยู่กับคุณ  แต่ถึงเวลาที่ถึงจุดสุดท้ายของชีวิตของเพียงมีใครซักคนที่คุณรักอยู่กับคุณอยู่ข้างๆเตียงคุณและคุณจะรู้ว่าสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตและตอนนี้ผมก็พบแล้ว  พร้อมยอมรับการจากลาครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมาหาผมในอีกไม่นานนี้  และตอนนี้ผมอยากให้พ่อรับรู้ว่า “ ผมรักพ่อนะครับ ”


      ยินดีรับฟังทุกคำวิจารณ์นะคะ  เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกขอคำแนะนำด้วยนะ  ขอบคุณคร้าาาา!!!!!

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×