ตอนที่ 18 : ถ่านไฟเก่า (100% สวัสดีค่า)
18
ถ่านไฟเก่า
เช้าวันที่สองของแบมแบมที่ต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรด้วยตัวเองดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทางกว่าเมื่อวานหน่อย เพราะเช้านี้จำป้ายรถเมล์ที่จะลงได้ แถมวันนี้ก็ยังเตรียมเงินค่าโดยสารได้พอดิบพอดีรวมถึงมีสกิลการเกาะราวจับรถเมล์ที่ดีขึ้นกว่าวันแรกที่เซหน้าเซหลัง
การเปิดประสบการณ์ใหม่ที่อยากลองทำในวันนี้คือมามหาลัยเช้าขึ้นเพื่อจะไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหารคณะที่เขาว่ากันว่าข้าวราดแกงอร่อยมาก ๆ จนบางทีคนภายนอกและนักศึกษาจากคณะอื่นก็เหาะมากินที่นี่ นิยามของแกงหม้อใหญ่อร่อยจนต้องจับบัตรคิวมีให้เห็นที่โรงอาหารศิลปะศาสตร์
วันนี้อาจจะเพราะมาเช้ากว่าที่เคยมามาก ๆ คนในมหาวิทยาลัยเลยอาจจะไม่พลุกพล่านเท่าช่วงสาย ๆ แต่ก็ดีแล้วแบมแบมก็ไม่ค่อยชอบอะไรที่วุ่นวายมากนัก ร่างบางเดินทอดน่องไปอย่างไม่รีบร้อนเพื่อที่จะยืนรอรถลางที่ป้ายประจำทางที่มีคนอื่น ๆ ยืนรออยู่อย่างประปราย ไม่หนาตา พอรถลางมาก็ขึ้นไปนั่ง กินลมชมวิวไปเพลิน ๆ จนมาถึงป้ายหน้าคณะ มีบางคนที่ก็ลงป้ายนี้เหมือนกันแต่แบมแบมก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้นะหิวจนตาลายแล้ว อยากกินข้าวราดแกงร้อน ๆ จะแย่
“ขอโทษนะครับ” ช่วงนี้คงมีดวงพบปะคนแปลกหน้าแน่ ๆ เลย แถมจะต้องเป็นคนแปลกหน้าที่ขับรถด้วย เพราะในระหว่างที่เดินจ้ำอาด ๆ ไปยังโรงอาหารคณะก็มีรถซูซูกิสวิฟสีเหลืองน่ารักมาจอดเทียบข้างกับฟุตบาทที่ร่างบางกำลังเดิน ก่อนจะเลื่อนกระจกลงที่พูดประโยคเมื่อครู่
“ครับ?” แบมแบมขานรับ คนขับเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีเลยทีเดียวเขายิ้มจนลักยิ้มขึ้นแก้ม
“ห้องกิจกรรมของสาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารทางธุรกิจนี่ไปทางไหนหรอครับ” และเหมือนจะถามถูกคนเพราะห้องที่คนถามทางพูดถึงคือห้องกิจกรรมของสาขาแบมแบมเอง
“อ๋อ ต้องเข้าไปในตึกคณะอะครับ แล้วขึ้นลิฟต์ไปชั้นสี่พอออกลิฟต์แล้วเลี้ยวขวามือไปสุดทางเดินจะเจอป้ายเขียนอยู่เลยครับ” แบมแบมบอกทางอย่างฉะฉาน คนที่ถามทางยิ้มรับ
“ขอบคุณนะครับ” เขาคนนั้นเอ่ยขอบคุณก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้นแล้วขับไปทางตัวคณะที่อยู่ห่างโรงอาหารไปไม่มากนัก ร่างบางมองรถไปจนสุดสายตา แอบเดาเล่น ๆ ว่าอาจจะมาส่งใบสมัครค่ายหรือเปล่านะ ไม่ก็คงธุระปะปังอย่างอื่น แต่ช่างเถอะ ตอนนี้น่ะหิวจะแย่แล้ว
เพราะพึ่งรู้ข่าวเรื่องแอลเอแคมป์ปีล่าสุดจากมาร์คเพื่อนรักเมื่อตอนหัวค่ำ ตะวันเลยใช้เวลาถึงดึกดื่นในการกรอกใบสมัครเข้าค่ายที่มีคำถามและรายละเอียดหลายข้อ ด้วยความที่เพื่อนแนะนำมาว่าการมาค่ายจะทำให้ได้รู้อะไรมากขึ้น คนที่ซิ่วเพราะไม่เก็ทคอนเซ็ปสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเรียนอย่างตะวันเลยพิถีพิถันในการตอบคำถามใบสมัครเป็นอย่างมากเพราะอยากมาค่าย อยากมาทำความเข้าใจในคณะที่จะเข้ามาเรียนเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งสุดท้ายก่อนฤดูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะมาถึงในอีกไม่ช้า เมื่อใบสมัครเสร็จสิ้นก็ต้องวุ่นวายอีกเพราะ พบว่ามันหมดเขตส่งในเช้าวันถัดไปก่อนเที่ยง ซึ่งก็คือวันนี้ เลยตัดสินใจมาส่งใบสมัครด้วยตัวเองที่ตึกของคณะศิลปะศาสตร์ จากตอนแรกที่คิดจะส่งไปรษณีย์แต่ก็กลัวจะไม่ทัน เพื่อให้แน่ใจว่าใบสมัครนั้นจะถึงมือใครก็ตามที่เป็นคนรับใบสมัครอย่างแน่นอน
แต่พอขับรถเข้ามาแล้วก็งงตั้งแต่เข้าประตูมาเลย พยายามเปิดแมพดูก็โชคดีที่ทางในยูอีทีนั้นไม่ซับซ้อนมากเท่าไหร่นัก ขับรถเข้ามาก็รู้สึกถูกชะตาดีนะ ดูร่มรื่นดีสบายหูสบายตา ตึกเรียนมากมายเรียงรายสลับกับต้นไม้น้อยใหญ่ มีนักศึกษาเดินเข้ามาเรียนบ้างก็ขับรถ คละเคล้าไปกับบางส่วนที่ก็ขึ้นรถลางที่มหาลัยจัดเอาไว้สำหรับรับส่งนักศึกษา รู้สึกอยากจะเป็นชาวยูอีทีสีกรมแดงขึ้นเลยแฮะ
ขับไปขับมาก็มาถึงคณะศิลปศาสตร์ที่ก็ตึกใหญ่เอาเรื่อง ก็แน่ล่ะเมื่อคืนที่ค้น ๆ ดูศิลปศาสตร์ที่นี่ก็ปังใช้ได้ มีหลายสาขาให้เลือกเรียนมีแต่สาขาที่น่าสนใจทั้งนั้น แต่ในรายละเอียดที่เข้าไปดูเขาบอกว่าจะต้องขึ้นไปยังห้องกิจกรรมของสาขาซึ่งคนนอกที่ไม่เคยมาอย่างตะวันก็งงเป็นไก่ตาแตกกันเลยทีเดียว พอดีกับที่มีน้องผู้ชายคนหนึ่งที่ดูตัวเล็กปุ๊กปิ๊กน่ารักกำลังเดินอยู่เลยแวะถามทางซึ่งน้องผู้ชายที่ว่าก็ไม่ทำให้ผิดหวังบอกทางมาห้องกิจกรรมเพื่อส่งเอกสารใบสมัครค่ายได้สำเร็จ ต้องขอบคุณน้องคนนั้นมาก เอาจริง ๆ ก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าพี่หรือน้อง แต่ก็นะอายุของเขาตอนนี้ก็เทียบเท่ากับปีสาม แถมน้องคนนั้นก็ดูละอ่อนมากด้วย
อาจจะเพราะว่าเขาไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาและก็ไม่ได้แต่งตัวเรียบร้อยเกินกว่าที่จะเป็นอาจารย์ ในตอนที่เดินลงมาจากบันไดลาดถึงได้มีบางคนหันมามอง แต่เขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะตอนนี้กำลังส่งข้อความไปบอกมาร์คว่าตนได้ลองสมัครค่ายแนะแนวที่เพื่อนแนะนำมาให้เป็นที่เรียบร้อย
ตะวัน: แกเป่าหูเราสำเร็จละนะ
ตะวัน: (sent photo)
ตะวันเอียงตัวเซลฟี่ตัวเองกับตึกคณะศิลปศาสตร์พร้อมยิ้มโชว์ลักยิ้มแล้วส่งไปให้มาร์คเป็นการยืนยันคำพูดว่าดูเหมือนมาร์คจะเป่าหูเขาเรื่องที่ว่าอยากให้มาเรียนด้วยกันได้สำเร็จ มันรู้สึกถูกชะตานะ ขอให้ติดค่ายด้วยเถอะอยากสัมผัสกับที่นี่จะแย่
ในระหว่างที่ตะวันกำลังเซลฟี่อยู่นั่นเองก็เป็นเวลาเดียวกับที่แบมแบมเดินผ่านหลังตะวันไป
ห้องกิจกรรมของสาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารทางธุรกิจ ครึกครื้นขึ้นเมื่อถึงเวลาสี่โมงครึ่ง ปีหนึ่งที่อยู่ฝ่ายลงทะเบียนพอเรียนช่วงบ่ายเสร็จไปหาขนมกินคลายหิวแล้วขึ้นมาช่วยรุ่นพี่ปีสามคัดเลือกใบสมัครที่มีปริมาณมากกว่าที่ต้องการเกือบเท่าตัว
“สวัสดีครับ” เมื่อเข้าห้องไปก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้รุ่นพี่ปีสามที่อยู่ในห้องคอยคัดใบสมัครอยู่ก่อนแล้ว
“มากันเร็วเหมือนกันนะเนี่ย” พี่นิ้งหัวเรือของฝ่ายทะเบียนเอ่ยทักทายก่อนจะกลับไปสนใจใบสมัครในมือ แบมแบมถอดกระเป๋าสะพายออกก่อนจะวางมันลงกับโต๊ะและหาที่นั่งเหมาะ ๆ สักที่เพื่อช่วยพี่ ๆ คัดเลือกใบสมัครของน้องมัธยมปลายที่ส่งมา
“พี่ครับ พวกผมซื้อขนมมาฝาก ทานได้นะครับ” แจบอกกับพี่ ๆ ที่นั่งอยู่ก่อนจะวางขนมไว้ตรงโต๊ะยาวตัวหนึ่งที่อยู่กลางห้องเพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการมาหยิบกิน พี่ ๆ พยักหน้ารับเป็นเชิงรับรู้และเอ่ยขอบคุณ
แบมแบมหยิบสมัครที่กองอยู่เป็นตั้ง ๆ ติดมาปึกหนึ่งเห็นจะได้ ก่อนจะเริ่มเปิดใบสมัครของน้องคนแรกที่ได้มา คนอื่น ๆ เองก็เช่นกัน สำหรับน้องคนแรกเป็นเด็กจังหวัดพังงามีการเขียนอธิบายเหตุผลของการอยากมาค่ายไว้อย่างน่าให้โอกาส แถมยังตอบคำถามเชิงจิตวิทยาที่พี่ ๆ เขาคิดไว้ได้อย่างดี อ่านไปได้จนจบใบสมัครก็ถูกวางแยกไว้ แล้วหยิบใบสมัครชุดใหม่ขึ้นมาอ่านเรื่อย ๆ วนอย่างนี้จนกว่ากองเอกสารที่เป็นตั้ง ๆ นี้จะหมดไป
เวลาล่วงเลยจากสี่โมงครึ่งมาได้ประมาณหนึ่ง ใบสมัครมากมายที่แบมแบมได้มีโอกาสคัดเลือกถูกแยกไว้สองกอง กองหนึ่งคือจะต้องเอาไปพิจารณาอีกทีส่วนอีกกองก็เป็นกองที่ต้องตัดออก
“เออนี่จะได้เวลาซ้อมสันฯ แล้วไม่ใช่หรอพวกเราไปซ้อมก่อนก็ได้นะ” พี่นิ้งพูดไปพร้อมกับก้มดูนาฬิกาข้อมือ พาให้รุ่นน้องในห้องพากันเงยหน้าจากใบสมัครที่ตัวเองกำลังคัด
“เออใช่ ๆ เดี๋ยวจะไม่รู้คิวเพลงว่าเต้นเพลงไหนก่อนหลัง” พี่ต๊อบ พี่ปีสามอีกคนในห้องเสริมขึ้นมา
“งั้นพวกเราไปกันดีกว่า” แจเลยวางใบสมัครลงและชวนคนอื่น ๆ ออกจากห้องกิจกรรมเพื่อจะลงไปซ้อมสันทนาการที่ลานข้าง ๆ คณะ ในระหว่างที่คนอื่น ๆ กำลังทยอยกันออกจากห้องแบมแบมยังคงนั่งอ่านใบสมัครอยู่ จนแจต้องเป็นฝ่ายเดินไปสะกิด
“ไม่ไปหรอแบม”
“เราเหลือแค่ชุดนี้ชุดเดียว ขออีกอันแล้วกัน คือคนนี้เขียนดีมาก เดี๋ยวอ่านเสร็จแล้วตามไป” ร่างบางบอกพร้อมกับชูใบสมัครที่เปิดอ่านค้างเอาไว้ในมือ พี่นิ้งก็ไม่ได้ว่าอะไรกับการที่แบมแบมจะขอนั่งอ่านต่ออีกหน่อย
“งั้นรีบตามมานะ” แจบอกพร้อมตบบ่าเพื่อน แบมแบมส่งยิ้มแล้วกลับมาอ่านต่อ ใบสมัครในมือน่าสนใจมาก เขาอ่านประวัติคร่าว ๆ ก็พบว่าเจ้าของใบสมัครนั้นอายุมากกว่าเขา นั่นหมายความว่าเป็นเด็กซิ่วสินะ ในข้อของการถามแรงบันดาลใจและเหตุผลในการมาเรียนที่คณะศิลปศาสตร์ คนคนนี้ตอบได้น่าสนใจและรู้สึกว่าอยากให้โอกาสในการมาเข้าค่ายแนะแนวนี้จริง ๆ เขาดูมาพร้อมความมุ่งมั่น
“พี่นิ้งครับ” แบมแบมละสายตาจากใบสมัครแล้วหันไปหาพี่ปีสามที่น่าจะให้คำตอบในสิ่งที่เขากำลังจะถามนี่ได้
“ว่าไง”
“ถ้าเป็นเด็กซิ่วเรารับเขาไหมครับ”
“หืมมีด้วยหรอไหน ๆ ขอดูหน่อย” พี่นิ้งละจากใบสมัครของตัวเองแล้วเดินมาหาแบมแบม ร่างบางแบใบสมัครในมือให้พี่นิ้งดู คนที่โตกว่าอ่านประวัติส่วนตัวในใจแล้วพยักหน้าหงึก ๆ แบมแบมไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไง
“ก็ตามเกณฑ์ที่แจ้งไว้คือสำหรับคนที่มีความสนใจจะเข้าเรียนในคณะเรา ถึงจะเป็นเด็กซิ่วแต่ก็เข้าข่ายนะ แล้วเขียนดีด้วย”
“ใช่ครับ” แบมแบมเห็นด้วยในประโยคท้าย
“รับไว้พิจารณาก็ได้ เดี๋ยวอย่างไงเราก็มาคัดรายชื่อกันอีกทีอยู่แล้ว” แบมแบมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะว่างใบสมัครของ คณานับ ลงบนกองที่ถือว่าเป็นใบสมัครที่น่าสนใจ
เวลาแห่งการรอคอยตลอดหนึ่งสัปดาห์ได้มาถึง ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงเช้า เป็นเวลาตามกำหนดการที่แอดมินเพจค่ายได้แจ้งว่าจะมีการประกาศรายชื่อของผู้ผ่านการคัดเลือก เอาจริง ๆ ตะวันก็หวังไว้มากอยู่ว่าจะผ่าน เขาเขียนดีที่สุดเท่าที่ตัวเองพอจะทำได้ แต่ก็นะ เห็นเมื่อวานมีการแจ้งผ่านแฟนเพจว่ามีผู้ส่งใบสมัครมาเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้ค่อนข้างกังวลหน่อย ๆ ว่าอาจจะไม่ติด นิ้วเรียวพิมพ์ชื่อแฟนเพจลงในช่องค้นหา ตากลมมองไปยังหน้าจอคอมพ์ มือขวาคลิกไปยังเพจที่พักนี้เข้าบ่อยเหลือเกินเผื่อจะมีอะไรอัพเดต ใช้นิ้วกลางเลื่อนตัวเลื่อนที่อยู่กลางเมาท์ก่อนจะพบว่าโพสต์ที่ต้องการเห็นได้โชว์หราอยู่กลางหน้าจอ ใจน้อย ๆ เต้นตูมตามอยู่กลางอก มันเป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่อตอนคะแนนแอดมิชชั่นออกสมัยเรียนมอปลาย
กิก
ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจดังคละเคล้าไปกับจังหวะที่หน้าต่างอินทอร์เน็ตอีกหน้าต่างเด้งขึ้นมาเพื่อโชว์ข้อมูลไฟล์ตระกูลพีดีเอฟ
“รายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมค่ายแอลเอแคมป์” ตะวันอ่านออกเสียง สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ใช้นิ้วเลื่อนลูกเลื่อนกลางเมาท์อย่างช้า ๆ
“ขอร้องล่ะ…” แอบภาวนากับตัวเองเบา ๆ ชื่อเขาขึ้นต้นด้วยคอควาย
“เจนจิรา กนกวรรณ จงรักษ์…” พึมพำรายชื่อที่ผ่านตาออกมาเบา ๆ
“ศรัณย์ คะ…คณาวุฒิ” ยิ่งเลื่อนลงมาแล้วเจอชื่อที่ค่อนข้างคล้ายก็แอบเหลือบไปมองนามสกุล ก็พบว่าไม่ใช่นามสกุล โยธาธิกรพัฒน์ ซึ่งเป็นนามสกุลของเขา
“เชี่ย!” แต่ก็ถัดลงมาเพียงสี่รายชื่อ คณานับ โยธาธิกรพัฒน์ ก็ปรากฏอยู่ในลำดับที่หกสิบเจ็ดตะวันถอนหายใจเอนตัวพิงพยักเก้าอี้อย่างโล่งอก ดีใจเหลือเกินที่มีชื่อของตัวเอง ตะวันคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้าง ๆ เมาท์ขึ้นมา
ตะวัน: แก!!!! เราติดค่ายด้วยล่ะ
ตะวัน: sent sticker
ใช่ มาร์คต้วนคือคนแรก ๆ ที่เขาอยากจะบอกว่าตอนนี้ติดค่ายแล้ว
ไอแดดช่วงเที่ยงวัน พระอาทิตย์ตรงหัวสาดแสงลงมาไม่หยุด สาดชนิดที่ครีมกันแดดเอสพีเอฟห้าสิบพีเอสี่บวกที่โบกมาก็ไม่น่าต้านทานไหว อาทิตย์หนึ่งเต็ม ๆ ทำเอาผิวของมาร์คเข้มขึ้นมาเกือบหนึ่งเฉดเห็นจะได้ หมดกันผิวพรรณอันขาวผุดผ่องที่ได้แม่มา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมเดินออกฟิลด์กลางแดดร้อน ๆ แบบนี้นี่นา หวังให้ผิวขาวเหมือนเดิมก็ไม่น่าได้
“หินมีลักษณะผิวเรียบ เงา สีน้ำตาลเข้ม กว้างสิบจุดสองห้านิ้ว สูงห้านิ้ว” มาร์คที่วันนี้รับหน้าที่เป็นคนจดบันทึกกำลังจดรายละเอียดที่แจ็คเป็นคนบอกลงไปในสมุดบันทึก ก่อนอาทิตย์จะรับหินจากมือแจ็คไปใส่ถุงซีลแล้วเขียนด้วยปากกาเคมีสีทึบลงไปอีกทีว่าหินนี้พบจากตรงไหน กว้างและสูงเท่าใด
ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์การทำงานก็จะวนลูปประมาณนี้ คือต้องเดินสำรวจหาหิน จดข้อมูลแล้วเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ตามหัวข้อของกลุ่มที่ตั้งเอาไว้ในช่วงบ่ายหรือเย็นตามแต่สมาชิกสะดวก แต่ตอนนี้จะต้องไปหาอะไรกินก่อน ซึ่งแน่นอนว่าต้องขับรถกลับโรงแรม ซึ่งรถที่ใช้ในการขับบุกป่าผ่าดงเข้ามาคือรถกระบะทึก ๆ ที่กำลังม้าดี ๆ หนึ่งคัน
“พักกันแค่นี้ก่อนดีเปล่าวะ แดดร้อนชิบหายเลย ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” มาร์คเสนอเพราะตอนนี้แผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ชุ่มไม่ต่างกับตอนไปเตะบอลกับไอ้บีเลยแม้แต่น้อย แล้วอีกอย่างในกลุ่มมีเพื่อนผู้หญิงอีกสองคน ขืนลุยไปมากกว่านี้กลัวเพื่อนจะไม่ไหวเอาเสีย พอร่างสูงพูดแบบนั้นคนอื่น ๆ ก็เหมือนจะเห็นด้วยเพราะไม่มีใครที่ต้านทานอากาศประเทศไทยได้ทั้งนั้น
“เฮ้ย พลอยแว่นทำไมหน้าซีดขนาดนั้นวะ จะเป็นลมปะเนี่ย” มาร์คคว้าไหล่เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มที่ชื่อพลอยแต่คนในสาขามักจะเรียกพลอยแว่นเพราะมีเอกลักษณ์ใส่แว่นที่ตอนนี้เพื่อนดูหน้าซีดมาก ๆ แถมเหมือนจะไม่มีแรงเดินอีกต่างหากถ้าหากเทียบกับกบที่เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งของกลุ่มล่ะก็นะ ตอนนี้หน้าพลอยแว่นน่ะเข้าขั้นไก่ต้ม
“แดดมันแรงอะ” พลอยพูดอ้อมแอ้ม
“ยาดมก่อนไหมแก” กบหยิบหายาดมในกระเป๋าเสื้อออกมาแล้วส่งให้พลอยแว่น ร่างบางรับไปตอนนี้เลยพากันไปหาร่มไม้ใหญ่เพื่อให้เพื่อนนักพักให้พอมีแรงเพื่อจะเดินไปที่รถที่จอดไกลออกไปอีกหน่อย
“ไหวนะ” มาร์คที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ พลอยเอื้อมมือไปอังหน้าผากก็พบว่าตัวเย็นเฉียบกันเลยทีเดียว
“อะน้ำ” อาทิตย์เอื้อเฟื้อโดยการหยิบน้ำส่งให้พลอยได้ดื่มส่วนแจ็คก็หยิบสมุดในกระเป๋าเป้ขึ้นพัดกระพือให้เพื่อนเป็นการบรรเทาอากาศร้อน
“เราดีขึ้นแล้ว” พอนั่งไปได้ครู่หนึ่งพลอยที่คิดในใจว่าไม่อยากถ่วงเวลาเพื่อนนักเพราะเพื่อนยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย พูดออกไปว่าตัวเองพร้อมออกเดินท่ามกลางแดดร้อนนี่แล้ว
“ไหวแน่นะ” มาร์คถามย้ำเพราะเห็นว่าเพื่อนยังคงหน้าซีดไม่หาย พลอยพยักหน้าเป็นการเน้นย้ำ และตั้งใจจะลุกขึ้นโชว์เพื่อนว่าไหวตามที่พูดแน่แต่เพราะลุกเร็วไปเป็นการฝืนสังขารทำให้เซจะล้มแต่โชคดีที่มาร์คผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุดคว้าตัวเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกับพื้นได้
“ใจหายหมดเลย เ_ดแม่” แจ็คสบถออกมาอย่างตกใจ
“แกซีดขนาดนี้เดินไม่น่าไหวแล้วล่ะ เดี๋ยวเราแบกแกไปง่ายกว่า” มาร์คที่ข้าวก็หิว ร้อนก็ร้อน อยากจะกลับไปกินข้าวจะแย่แต่ก็ไม่อาจทิ้งเพื่อนไปได้เสนอความคิด
“เอ้ยไม่เป็นไร เราเกรงใจ”
“แต่ถ้าวูบอีกคราวนี้ได้หัวฟาดหินแน่” อาทิตย์ออกปากเตือนไม่อยากให้พลอยดื้อ ร่างบางเม้มปากคิดไม่ตก ไม่อยากเป็นภาระเพื่อน แต่มาร์คก็ไม่รอให้การตัดสินใจสิ้นสุดลง เขาตัดสินใจตัดหน้าพลอยโดยการอุ้มพลอยขึ้นมา แน่นอนว่าเจ้าตัวกรี๊ดเพราะไม่ได้ทันตั้งตัว ท่อนแขนคว้าคออัตโนมัติเพราะกลัวตก
“เกาะแน่น ๆ ล่ะ” คนที่ไม่เคยถูกผู้ชายอุ้มมาก่อนก็ได้แต่ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก ออกอาการไม่คุ้นชินอย่างเห็นได้ชัด
“ตกใจหรอ” พออุ้มพลอยไปได้สักพักและสังเกตสีหน้าคนโดนอุ้มมาร์คเลยถามออกไป
“อะ… อืม ไม่ชินเท่าไหร่” พลอยแว่นตอบพร้อมหลบตา
“นี่ก็ไม่ชินเหมือนกัน ไม่อุ้มใครบ่อย ๆ พลอยก็คนแรก ๆ ในชีวิตเลยล่ะมั้งเนี่ย” มาร์คพูดออกไปโดยไม่คิดอะไร พลอยเองก็ได้แต่เม้มปากแล้วเสหันมองไปทางอื่น
เพราะรถไม่ได้อยู่ไกลมากมายเท่าไหร่นักเลยทำให้มาร์คพอจะมีกำลังอุ้มพลอยแว่นมาถึงรถได้อย่างที่กำลังแขนไม่มีตก
“กบ ๆ เรารบกวนเปิดประตูให้หน่อย” มาร์คเรียกกบที่ตอนนี้ถึงประตูรถเป็นคนแรก กบกุลีกุจอเปิดประตูให้ มาร์คเลยวางร่างของพลอยแว่นลงบนเบาะข้างคนขับเบา ๆ
“ขอบใจนะมาร์ค”
“ไม่เป็นไร สบาย ๆ” มาร์คส่งยิ้มแล้วก้าวถอยหลังออกมา
“ไป พวกเราขึ้นรถกัน”
“จะว่าไปมึงสองคนก็กำลังทำเหมือนอยู่ในละครอยู่เหมือนกันนะเนี่ย” แจ็คเดินมากระซิบกระซาบพร้อมกระทุ้งแขนใส่สีข้างเบา ๆ แล้วหัวเราะคิกคัก
“เพ้อเจ้อ” แต่ก็มิวายโดนมาร์คด่าจนได้
“คู่จิ้นหินจ๋า กูตั้งให้!”
“คู่จิ้นเหี้ยไรของมึง ไม่เอา ๆ พลอยแว่นได้ยินเขาจะไม่โอเคเอา” แต่ถึงอย่างนั้นแจ็คสันก็หัวเราะคิกคัดเดินขึ้นลงไป ทำเอาชายหนุ่มส่ายหน้ากับความอิลูกช่างจิ้นของเพื่อน
อาทิตย์หนึ่งเต็ม ๆ กับการที่อยู่ตัวคนเดียว ถือว่าตอนนี้แบมแบมน่ะเก่งขึ้นมาก ๆ เลยทีเดียวเพราะเชี่ยวชาญการขึ้นรถเมล์และมีเพื่อนมีฝูงเยอะขึ้นจากเพื่อนต่างคณะในวิชาเรียนรวม หรือแม้จะเพื่อนในฝ่ายลงทะเบียนที่ชวนกันไปกินข้าวอยู่เนือง ๆ และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ท้องของแบมแบมจะได้เต็มไปด้วยชาบูร้านดังแถวหลังมอ
“เราไปด้วยได้จริง ๆ หรอแบม” แจที่เสร็จจากเต้นสันทนาการและเสร็จจากการจัดเตรียมป้ายชื่อร้อยใบสำหรับน้องในค่าย ถามขึ้นเมื่อถูกแบมแบมออกปากชวนให้ไปกินชาบูกับเพื่อนคณะสถาปัตย์ฯ ที่แบมแบมไปเจอในวิชาเรียนรวม
“ได้ซี่ เราแชทไปถามเพื่อนแล้วเพื่อนบอกว่าไปได้ รถเพื่อนคันใหญ่นั่งได้หลายคน แจไม่ต้องกลัวนะ เด็กสถาปัตย์ฯ ตลกและใจดีมากเลย” แบมแบมบอกในขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนรอรถอยู่หน้าคณะเพราะวันนี้เราจะไปกินชาบูโดยที่มีเต๋าเป็นสารถี
“โอเค” พอได้ยินแบบนั้นแจก็สบายอกสบายใจขึ้นมาหน่อย
รออยู่ไม่นานมากนักรถคันเดินที่แบมแบมคุ้นเคยกำลังจอดเทียบฟุตบาท เหตุที่เริ่มคุ้นเคยก็เพราะหลังจากไปส่งในครั้งแรกก็มีน้ำใจไปส่งอีกตั้งครั้งสองครั้ง แบมแบมเดินไปเปิดประตูก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งและแจค่อยแทรกตัวเข้ามาตาม เสียงปิดประตูดังแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ต่อพงศ์พูดทักทาย
“ไงเพื่อน ทำค่ายเป็นไงบ้างวันนี้” แบมแบมยิ้ม
“วันนี้ตัดกระดาษทำป้าย และก็ร้อยเชือกกระดาษร้อยแผ่น ดูนิ้วเราดิโดนกระดาษบาดตั้งหลายรอบ” แบมแบมยื่นนิ้วชี้ไปให้ต่อพงศ์และเต๋าได้ดู
“นี่คือแจที่แบมบอกจะมาด้วยใช่ปะ” ดี้ ที่วันนี้ก็มาด้วยแถมยังอยู่เบาะหลังติดกับแบมแบมถามขึ้นพร้อมกับหันไปยิ้มให้แจ
“ใช่ ๆ ทุกคนนี่แจนะ เพื่อนสนิทเราเองส่วนแจ นี่ต่อพงศ์เต๋าแล้วก็ดี้เรียนอยู่ สถาปัตย์ฯ ปีหนึ่งเหมือนเรา” แบมแบมทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการทำความรู้จักกัน
“หวัดดีแจเราดี้นะ” ดี้ยื่นมือไปเชคแฮนด์ ตามประสาทคนกวน ๆ แจยิ้มเขิน ๆก่อนจะยอมเชคแฮนด์ด้วย
“เบาได้เบาไอ้ดี้ เดี๋ยวเพื่อนเขากลัว” ต่อพงศ์ที่นั่งอยู่ข้างเบาะคนขับ หันหลังมามอง
“ไม่เป็นไร” แจเกาหลังคอพร้อมยิ้มตาหยี
“โทษทีนะเพื่อน สถาปัตย์ไม่ค่อยเจอคนน่ารัก ดี้มันเจอคนน่ารักเลยจะนิสัยเสียหน่อย ๆ” ต่อพงศ์ว่าพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่สิ ก็สถาปัตย์ฯ น่ะไม่มีใครน่ารักในสายตามึงหรอกไอ้ต่อพงศ์ มีแต่เด็กเศรษฐศาสตร์เท่านั้นแหละที่น่ารักอะ” ประโยคท้าย ๆ ชะโงกหน้าไปที่เบาะคนขับราวกับจะพูดข้างหู
“ขี้ชิป!” มิวายคนที่เงียบมาตลอดตั้งแต่แบมแบมขึ้นรถก็หลุดด่าดี้ออกมาแบมแบมถึงกับหลุดหัวเราะ เมื่อครู่น่ะดี้แซ็วต่อพงศ์กับเต๋าอยู่มาด้วยกันวีคหนึ่งก็พอจะจับใจความจากดี้ได้ว่า ต่อพงศ์กับเต๋าน่ะสนิทกันมาก แถมดูแลกันอย่างดีจนเหมือนแฟน เพื่อนที่รู้จักกันเลยพากันแซ็วเอาฮา
“รู้จักพวกมึงสองคนมา กูอะสะกดคำว่าเพื่อนไม่เป็นเลย ทุกวันนี้เอาไม้เอกมาไว้บนอออ่าง” ดี้ยังคงทำหน้าที่ชิปเปอร์ให้คู่ต่อเต๋าอย่างต่อเนื่องมิวายคนขับรถอยู่เลยละมือซ้ายจากพวงมาลัยมาชูนิ้วกลาง
“โทษทีนะเพื่อน แต่ไอ้ชิปเปอร์นี่มันน่าทุบหลังจริง ๆ” เต๋าที่กลัวว่าแจที่พึ่งรู้จักกันจะตกใจกับการชูนิ้วกลางเลยบอกแจด้วยเสียงที่สุภาพและนุ่มนวลกว่าบอกดี้ ซึ่งแจเองก็โบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร
“ไม่เป็นไร สบาย ๆ เลยแบมเล่าให้ฟังแล้วล่ะว่าเพื่อนเป็นคนสบาย ๆ แถมตลก” และตลอดทางไปร้านชาบูภายในห้องโดยสารก็ไม่เงียบเสียงอีกเลยแถมการพูดคุยระหว่างเพื่อนใหม่อย่างแจกับเพื่อนหนุ่ม ๆ จากห้องเรียนรวมของแบมแบมก็ยังมีความสมูทขึ้นและทวีความสนิทสนมอย่างรวดเร็วอาจจะเพราะว่าแจนั้นเป็นคนช่างจ้อและหัวเราะง่ายเป็นทุนเดิม
เพราะร้านชาบูที่ว่าอยู่ไม่ห่างจากสถาบันฯเท่าไหร่นักฉะนั้นจากที่คุยจนน้ำลายแตกเป็นฝอยอยู่บนรถ ตอนนี้ก็กลายเป็นคุยกันต่อหน้าหม้อชาบูแทน แจและแบมแบมนั่งข้างกันตรงกันข้ามเป็นคู่เพื่อนสนิท ต่อพงศ์และเต๋าส่วนดี้นั้นได้ตำแหน่งหัวโต๊ะ เสียงจอแจโดยรอบแถมอาหารตรงหน้าก็แสนอร่อยสมกับเป็นร้านในตำนานยิ่งทำให้บทสนทนานั้นลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
“สถาปัตย์ฯ เขาให้ปีหนึ่งทำค่ายบ้างไหม” แจที่ตอนนี้เครื่องติดยิ่งกว่าแบมแบม จ้อกับเพื่อนใหม่ไม่หยุด
“มีนะ เห็นรุ่นพี่เกริ่น ๆ มาอยู่ แต่เหมือนจะไม่ใช่เดือนนี้” ดี้ตอบพร้อมคีบผักกาดที่ตอนนี้สุกได้ที่ขึ้นมาใส่จานตัวเอง
“อ๋อ แล้วเศรษฐศาสตร์ล่ะ” คราวนี้หันไปถามเต๋าบ้าง คนที่อยู่ตรงข้ามแบมแบมเงยหน้าขึ้นมาจากเต้าหู้ที่ต่อพงศ์ตักมาให้
“ของเราไม่มีนะ เหมือนจะมีโอกาสได้ช่วยตอนงานโอเพ่นเฮ้าท์เกือบ ๆ ปลายเทอมมากกว่าเห็นเขาว่างั้นกัน” เต๋าตอบก่อนจะเป่าเต้าหู้เข้าปาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องคายออกมาเพราะร้อน แบมแบมที่นั่งตรงกันข้ามก็ได้แต่ตกใจกับความว่องไวในการดึงทิชชู่ของต่อพงศ์
“เป่าดี ๆ ดิ ปากพองหมดละมั้งไหนดูดิ๊” เต๋าเจ่อปากให้ต่อพงศ์ดู ดูแลเอาใจดีใส่กันดีจังเลย เชื่อแล้วว่าคำว่าเห็นสองคนนี้แล้วสะกดคำว่าเพื่อนไม่เป็นแบบที่ดี้รู้สึกมันเป็นอย่างไงแบมแบมหลุบตาต่ำลงพร้อมยิ้มเศร้า ๆ คิดถึงพี่มาร์คขึ้นมาเลยแฮะ คิดถึงความอบอุ่นและความดูแลเอาใจใส่ที่พี่มาร์คมีให้ตอนอยู่ด้วยกันแต่ความเศร้าก็อยู่ไม่นานเมื่อแบมแบมเงยหน้าขึ้นตามเสียงหัวเราะของแจ แจหัวเราะคิกคักตอนหันไปหาดี้แล้วพบว่าดี้ทำสีหน้ากรุ่มกริ่ม
“แล้วนี่แจมีแฟนไหม ถามได้หรือเปล่า” ดี้ที่คีบผักบุ้งลงไปต้มพูดในตอนที่ต่อพงศ์ดูปากให้เต๋าเสร็จ
“โห เราหรอโสดสนิทเลยดี้อยากจะมีกับเขานะแต่หายากเหลือเกิน” แจทำหน้าเศร้า
“ของแบบนี้ต้องพึ่งดวงด้วยนะ”
“จริงหรอ?” แจเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“เชื่อมันเถอะ ไอ้ดี้เห็นแบบนี้ก็สายมูเหมือนกันนะ เช็คดงเช็คดวงตลอด” ต่อพงศ์เสริม
“ไหน เว็บไหนแม่น ๆ บ้างขอหน่อย” แจหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า
“นี่ ๆ เดี๋ยวเราดูให้เลย” กลายเป็นว่าบทสนทนาก็เข้าเรื่องดวงโดยอัตโนมัติและราวกับเรื่องดวงผูกอยู่ในจิตวิญญาณคนไทย เพราะตอนนี้ทุกคนชะเง้อรอดูจากดี้กันทั้งโต๊ะ
“อันนี้เป็นทำนายความรักรายวันนะ ดูกันไปเลยว่าวันนี้มันจะเจอไม่เจอ แจเกิดวันอะไร”
“วันจันทร์”
“อ่า วันจันทร์หรอ แป๊บนะ อ๋อเจอแล้ว ดวงช่วงนี้จะยังเงียบๆ ไม่หวือหวามากนัก แต่เขาคนนั้นคุณจะได้พบในไม่ช้า”
“หูยยยย เขาจะมาแล้วแจ” แบมแบมแตะบ่าแจที่ตอนนี้อมยิ้ม
“มาเลยจ้า สาธุ!” แจยกมือขึ้นท่วมหัวสาธุกลางร้านชาบู
“ดูให้แบมบ้างดีกว่า แบมเกิดวันอะไร”
“เราเกิดวันพุธ พุธกลางวัน”
“พุธกลางวันหรอ อ่า เดี๋ยวนะหาอยู่...ของแบมเขาบอกว่า ช่วงนี้ความรักพุ่ง มีเกณฑ์รีเทิร์นคนรักเก่าขอคืนดี หรือถ้างอนกับแฟนก็จะได้มีโอกาสปรับความเข้าใจ” แน่นอนว่าคนที่มีอดีตรักเก่าแบบแบมแบมก็คิดไปถึงคนคนนั้น รักแรกของชีวิต
จะว่าไปแล้ว... ตอนนี้จะเป็นไงบ้างนะ เห็นว่าไปเรียนต่อสายอาชีพ นับนิ้วไป ๆ มา ๆ ก็อาจจะใกล้ ๆ จบแล้วละมั้ง…
เมื่อชาบูที่แสนอร่อยจบลงไปแล้วเต๋าที่แสนใจดีและมีน้ำใจก็อาสาไปส่งทุกคนที่หอพัก แจที่บ้านอยู่ใกล้มอที่สุดเป็นคนแรกที่เต๋าไปส่งก่อนจะตามด้วยแบมแบม ที่ตอนนี้หนังท้องตึงหนังตาแบมแบมก็เริ่มจะหย่อนไปด้วย ร่างบางที่ซัดหมูสามชั้นไปจุก ๆพิงหัวกับพนักพิง แอร์เย็นเป่ารดผิวกายพาให้อยากจะเข้าสู่ห่วงนิทรา และก็คงจะได้เข้าจริง ๆ ถ้ารถของเต๋าไม่จอดเทียบหน้าคอนโดเสียก่อน
“ขอบคุณนะเต๋า แล้วเจอกันนะทุกคน” ดี้และคนอื่น ๆ กล่าวลาพร้อมโบกมือส่งแบมแบมให้ขึ้นน้อง ร่างบางยืนมองจนรถขับออกไปจนสุดสายตา หาวออกมาหนึ่งวอดบิดขี้เกียจควานห้าคีย์การ์ดที่เอาไว้สำหรับผ่านเข้าออกคอนโด ในจังหวะที่จะก้าวไปข้างหน้าสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นผู้ชายตัวสูงรูปร่างที่มองด้านหลังดูคุ้นตาพาให้แบมแบมขมวดคิ้ว ในหัวกำลังคิดอยู่หลายเรื่องเลยว่าคนที่ตนกำลังคิดอยู่ในหัวนี่จะปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไรในเมื่อบ้านเกิดเจ้าตัวอยู่เชียงใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นขาที่ในตอนแรกจะก้าวไปด้านหน้ากลายเป็นก้าวไปหาเจ้าของแผ่นหลังอันคุ้นเคย สาวเท้าเข้าไปใกล้
“ยู” เรียกใส่คนที่เดินหันหลัง แน่นอนว่าผู้ชายตัวสูงคนนั้นหยุดแล้วหันกลับมา
“ครับ?”
เจบีกำลังหอบหมอนสีขาวใบใหญ่แล้วเดินจ้ำ ๆ ออกมาจากห้องนอนของตัวเองในตอนดึก เดินมาตามทางเดินของโรงแรมก็สวนเข้ากับไอ้โอ๊ตเพื่อนร่วมกลุ่มของหมีจิน
“กูเคลียร์เตียงไว้ให้แล้ว มึงไปนอนได้เลย” แล้วโอ๊ตที่เดินสวนมาก็พยักเพยิดไปทางประตูห้องสามศูนย์เก้า
“ขอบใจเว้ยเพื่อน” เจบีละมือข้างหนึ่งที่ถือหมอนไปตบบ่าแสดงความขอบคุณโอ๊ตที่ยอมเปลี่ยนที่นอนกับเขาหนึ่งคืน โอ๊ตแท้จริงแล้วคือเพื่อนร่วมกลุ่มของหมีจินและโชคดีนักที่ไอ้เพื่อนรักคนนี้มันดันเรียนโรงเรียนมัธยมปลายมากับเขาไอ้การจะออกปากขอเปลี่ยนห้องไปนอนกับเมียมันเลยง่ายดายขึ้นมาก
ในตอนที่ตัวเขาแทรกตัวเข้าไปในห้อง รูมเมทคนอื่น ๆ ที่เหมือนจะเตรียมตัวจะนอนก็โงหัวขึ้นมาดูว่าใครแม่งเปิดประตูห้องเข้ามาในยามวิกาล
“หวัดดีพวกมึง” เขาออกปากทักทายคนอื่น ๆ กวาดตาไปทั่วห้องไม่ยักจะเห็นหมีจินเลย
“จินอาบน้ำอยู่” เหมือนก้าวหน้า หนึ่งในรูมเมทร่วมห้องอีกคนจะอ่านสายตาของเจบีออก ความจริงก็ควรจะอ่านออกนั่นแหละก็เล่นมองหาเสียขนาดนั้น
“ขอบใจที่บอก แล้วนี่ไหนเตียงมันวะ” ความจริงเขาก็เห็นเตียงที่ว่าง ๆ อยู่เตียงหนึ่งแล้วแหละเดาว่าน่าจะเป็นเตียงหมีจินเพราะมันเป็นคนเดียวที่ลุกออกไปอาบน้ำในตอนนี้ แต่ก็ออกปากถามเพื่อความแน่ใจ
“เออ เตียงนั้นแหละ” ก้าวหน้าพูดจบประโยคปุ๊บ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หมีจินเดินออกมาจากห้องน้ำพอดิบพอดี ตามคาด เจบีไม่คาดหวังการเห็นเนื้อหนังมังสาของหมีจินอยู่แล้วเพราะเจ้าตัวใส่เสื้อผ้าเสร็จมาตั้งแต่อยู่ข้างในห้องน้ำมีผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กแปะอยู่บนหัว หมีจินมองมาทางเจบีแล้วมุ่นคิ้วแปลกใจที่แฟนหนุ่มมาปรากฏตัวในห้องพักรวมแบบนี้ เล่นพิเรนอะไรอีกล่ะเนี่ย
“แกมานี่ได้ไง”
“คิดถึงไงเลยมาหา อยากนอนกอดจะแย่” ว่าพลางนอนตะแคงข้างตบที่นอนดังปุปุหมีจินที่กำลังจะเช็ดผมกวาดสายตามองเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ดูจะไม่ได้ว่าอะไรกับการมาเยือนของเจบี ก็แน่ล่ะรู้กันทั้งชั้นปีแล้วว่าหมีจินและบี๋น่ะเป็นแฟนกันอาจารย์ต๊อบขาโหดออกปากแซ็วตอนประชุมวีคพอดี
“กอดเกิดอะไรทุเรศมาก” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมทิ้งตัวนั่งตามที่ร่างสูงตบที่นอนใจคนหัวเปียกเต้นระรัว บอกเลยว่าถ้าอยู่กันสองต่อสองไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้เจบีนอนมองหน้าเขาอยู่อย่างนี้เป็นแน่ จะอมให้ล้มเลย หมายถึงอมมนต์คาถาเป่าเสน่ห์คำหวานให้ล้มพับไปกับพื้น หล่อดีนัก!
“อะ ๆ ไม่กอดก็ได้อยากมาคุยด้วยเฉย ๆ”
“คุย? ถึงกับต้องถ่อมาถึงห้องเราเลยหรอ” ว่าพลางขยี้ผมไปด้วย
“อยากเห็นหน้าด้วยไง อยากนอนมองไปจนเช้า” หมีจินส่ายหน้ากับคำพูดหวานหยดย้อย
“พูดมาสักทีว่าจะคุยอะไรกับเรา”
“คือ... เมื่อคืนกูฝันอะ ฝันแย่มากด้วย” หมีจินกรอกตาแค่ฝันถึงขั้นจะต้องหอบผ้าหอบผ่อนมานอนด้วยเลยหรือไง
“ฝันว่าอะไร ฝันว่าติดเอฟ’จารย์ต๊อบหรอ”
“ฝันแบบนั้นก็เหี้ยละ ฝันว่าไอ้มาร์คทิ้งน้องกูต่างหาก” หมีจินขมวดคิ้ว
“บ้าละ หมกมุ่นเกินไปไหน มาร์คจะไปทิ้งน้องได้ไงเขาสองคนก็ไปกันได้ดี”
“ก็ฝันไง แต่แบบไม่สบายใจอะ ทำไมต้องมาทิ้งน้องกูด้วยถึงแม้จะในฝันก็เถอะ” เจบีบ่นอุบอิบไม่หยุดจนหมีจินต้องเอามือไปบีบปากแล้วบอกให้ใจเย็น ๆ
“เราว่าแกค่อนข้างจะอคติไปหน่อยหรือเปล่า แล้วอย่างงี้เง่าเอาเรื่องความฝันของตัวเองไปงอนมาร์คในตอนเช้าล่ะ ถ้ารู้จะบ่นให้หูชาเลย”
“นี่มึงเป็นแฟนคลับไปไอ้มาร์คตั้งแต่ตอนไหนวะแม่ง” พอเอาความฝันมาเล่าแต่กลับไม่โดนเข้าข้างเจบีก็เลยทำหน้าหงอย ๆ
“ไม่ได้เป็นแฟนคลับอะไรทั้งนั้น แค่ไม่อยากให้แกกับมาร์คทะเลาะกัน” เจบีก็ได้แต่บ่นอุบอิบเท่านั้นทำอะไรไม่ได้และเช็ดผมให้แฟนต่อไป
ดึกดื่นคืนเปลี่ยวชายหนุ่มมองเวลาเด็กดีของเขาแชทบอกเขาในไลน์ว่ากลับถึงห้องแล้วและจะโทรมาคุยด้วยเมื่ออาบน้ำเสร็จซึ่งมันก็สิบนาทีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของน้อง อยากเห็นหน้าใจจะขาดแล้วในตอนนี้ และเหมือนพระเจ้าจะได้ยินคำเว้าวอนของมาร์คโทรศัพท์สั่นบ่งบอกถึงมีแจ้งเตือนบางอย่าง ร่างสูงที่นอนคว่ำบัดนี้รีบกุลีกุจอผุดขึ้นนั่ง แต่ก็พบว่าไม่ใช่แบมแบมแต่เป็นตะวันที่ยังไม่นอนและชวนเขาคุยต่อบทสนทนามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรื่องติดค่าย ตอนแรกก็แปลก ๆ ที่ต้องคุยกับแฟนเก่าแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มาร์คจะไม่ได้รู้สึกแปลกอีกต่อไป
เวลาเปลี่ยน ความรู้สึกเปลี่ยน ไม่มีสักวินาทีเดียวที่อยากจะพูดหยอดสองแง่สองง่ามใส่ตะวัน แต่กับแบมแบม คิดสกปรกใส่น้องได้ทุก ๆ ครั้งวันสองสามเวลาหลังอาหาร ตอนแชทตะวันจบแฟนเขาก็ส่งสติ๊กเกอร์บ่งบอกว่าถึงเวลาจะได้คอลคุยกัน และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถที่จะหยอกคำหวานใส่น้องท่ามกลางหมู่เพื่อนในกลุ่ม
ไอ้แจ็คได้ยิน ล้อกูไปสามชาติแน่ๆ
แก๊ก!
ประตูห้องปิดลงพร้อมกับมาร์คที่เดินออกมาตรงระเบียงห้องพักปลอดคนและเงียบพอที่จะได้ยินเสียงน้องชัด ๆ
แบมแบมในชุดนอนสีไวน์แดง เซ็กซี่แม้จะไม่ได้แต่งตัวเซ็กซี่ บ้าน่าผมคิดไปใกล้มากแล้วเพียงแค่เห็นหน้าเขา
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานจ้อยที่ไม่ค่อยจะมีใครได้ยินจากมาร์คดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มขณะเอ่ยทักทายคนน้องที่ตอนนี้ ใส่ชุดนอนแล้วนั่งพิงหัวเตียง ผ้าห่มผืนหนาห้องไอ้บีที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ร่วมเตียงกับน้องทำให้ภาพวันนั้นฉายชัด
เอาเลยหรอลูก เอาเลยหรอ
มาร์คพึมพำกับจิตใต้สำนึกที่พาให้แก่นกายที่เคยนิ่งสงบคับพองขึ้นทีละน้อย ไม่ได้เจอน้องนาน แถมไม่มีเวลาเอาออกเลยแม้แต่น้อยพาเขาแทบจะพาเขาคุ้งคลั่งเมื่อเห็นแบมแบม
(เป็นไงบ้างครับ)
“สบายดีค่ะ แบมแบมล่ะคะ สบายดีไหม” แบมแบมดีใจที่คนพี่ยังยิ้มแย้มแม้จะตากแดดตากนายออกภาคสนามแดดร้อน ๆ
(สบายดีครับวันนี้ไปกินชาบูมาด้วยอร่อยมาก) มาร์คฟังน้อยเจื้อยแจ้วถามน้องบ้างตอบน้องบ้างเขายิ้มไม่หยุดเลยที่ได้คุยกับแบมแบมและแน่นอนว่าสายตาก็มองคอเสื้อย้วย ๆ ไม่หยุดเช่นกัน หวังลึก ๆ อย่างหื่นกามว่าจะได้เห็นยอดอกสีหวานแต่ก็ต้องตบเข่าฉาดเพราะไม่มีเลยที่น้องจะก้มให้เขาแอบมองนมได้ บุญเก่ากูหมดแล้วแน่ ๆ ร่างสูงได้แต่คิดในใจ แก่นกายก็คับพองอยู่เนือง ๆ ประจานความหื่นกามไม่หยุด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เห็น
“หาวซะแล้ว ไปนอนกันดีกว่าครับเด็กดี” น้องขยี้ตาพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย
(ได้ครับ ฝันดีนะครับพี่มาร์ค) น้องว่าพร้อมกับหาวแล้วกางแขนบิดขี้เกียจ ลมแทบจับคนแก่ที่ถือสายคุยอยู่ตรงระเบียงเพราะชายเสื้อนอนของน้องยกขึ้นมาให้เห็นเอวคอดกิ่วที่เขาเคยจับแล้วก็จำได้ว่ามันลื่นมือขนาดไหน
“ขะ ครับฝันดีครับ รักนะคะ คิดถึงมาก ๆ เลยด้วย”
(งื้อ คิดถึงเหมือนกันครับ) ดีนะที่เลิกบิดขี้เกียจไม่ได้งั้นน้องชายเขาได้ผงาดขึ้นมาไม่สนอะไรทั้งนั้นแน่ ๆ
ติ๊ด
บทสนทนาจบลงเป็นเวลาเดียวกับที่มาร์คจ้ำอ้าวเข้าไปในห้องแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ
ต้องขัดดาบเสียหน่อยแล้วว่ะแม่ง!
100%
สวัสดีค่ะ หายไปนาน ยังอยู่นะคะ แต่ไม่ว่าง แบบไม่ว่างเลยจริงๆ แพชชั่นก็ไม่มีแถมที่สำคัญเลยคือลืมเนื้อเรื่อง 555 บัดซบมากค่ะข้อนี้ ก็พยายามจะมาต่อให้จบนะคะ ก็ถ้าใครลืมเรื่องก็ไล่อ่านใหม่ได้นะคะ อ่านไปพร้อมๆกับไรท์เพราะทางนี้ก็ลืมๆไปแล้ว ฟิคเรื่องนี้ใช้เวลาแต่งนานมาก ไม่ใช่ว่าเรื่องยาวแต่เพราะนักเขียนดอง 555 เอาเป็นว่าไว้เจอกันตอนหน้าค่ะแม่
Comment ตอนรับการกลับมาของเดี้ยนด้วยคำว่า สาธุ 99 ทีค่ะ อยากรู้จำนวนคนรอ #เอวมาร์คแบม @tofu_7
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอนะคะ
ไร้ท์กลับมาต่อเร็วๆ นะคะ ยังรออยู่จ้า
แอดจะไม่มาต่อให้จบเหรอคะเสียดายจัง🥺
ปล.ไร้คะ พาร์ทของตะวันซ้ำหนึ่งพารากราฟ
ไร้ท์ ช่วงต้นๆ ลงซ้้ำ หรือเปล่าค่ะ เหมือนมันจะซ้ำๆ กัน
เพราะเรารุ้สึกว่านายเอก(ทุกเรื่อง)เปราะบางกว่าพระเอก เราถึงได้หัวร้อน ถ้าพระเอกรับเอามือที่สามเข้ามา เรากลัวนายเอกจะเสียใจและเจ็บปวด แต่ถ้ามีมือที่สามฝั่งนายเอก ก็แบบ ธรรมดาป่ะคนมันน่ารัก 555
ถ่านไฟเก่าแบม : เอาเลยลูก จัดเลยลูก! เอาคืนพี่ม้าคเลยคนเก่ง ปั่นพี่เค้าเลยรู้กกกกกก
ทำไมพูดถึงถ่านไฟเก่าน้องแบม ไม่หัวร้อนเท่าถ่านไฟเก่าพี่มาร์ค เพราะอยู่ทีมน้องแบมนี่เอง