คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : หลอกกินเต้าหู้
หลังกลับจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันนั้น
ลี่เหม่ยจูก็มีโอกาสได้พูดคุยหารือปรึกษากับเฉินหย่งหมิงมากขึ้นบางครั้งนางต้องอยู่หารือกับเขาจนดึกดื่น
เรือนผิงอันที่เป็นเขตหวงห้ามมีนางเดินเข้าออกจนชินตาจนทุกคนภายในจวนร่ำลือว่านางมัดใจเขาเอาไว้ได้แม้นางอยากจะแก้ข่าวลือเพียงใดทว่าก็ไม่อาจควบคุมมันได้จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
ส่วนเหล่าอนุสองนางตอนนี้ก็เริ่มตั้งแง่ไม่พอใจนางเช่นกันแต่มีหรือนางจะสนใจ
เพื่อจะตามสืบหาสมุดรายชื่อที่หายไปเท่านั้นนางยังต้องสอดแนมเหล่าอนุทั้งสองโดยที่เขาคอยเปิดทางให้
ช่วยให้งานของนางราบรื่นไปได้มากเลยทีเดียว
"ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านแม่ทัพให้คนมาเชิญฮูหยินไปพบที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ"
ซือซือเดินเข้ามาบอกกับผู้เป็นนายด้วยสายตาวิบวับล้อเลียนเมื่อเห็นใบหูของผู้เป็นนายเปลี่ยนสี
จนได้รับสายตามองค้อนกลับมา
“เจ้าเองก็คิดเช่นเดียวกับผู้อื่นหรือข้ากับเขามีเพียงเรื่องงานเท่านั้นที่ต้องพูดคุย
ไม่มีเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากนั้นอย่างที่เจ้ากำลังเข้าใจผิด” ลี่เหม่ยจูแสร้งพูดเสียงดุ
“โธ่...ฮูหยินเจ้าคะ ข้ายังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเลย” ซือซือยังยิ้มหน้าบานล้อเลียนไม่สนใจสายตามองค้อนของผู้เป็นนายสักนิด
“ปากคนก็ลือไปเรื่อยเจ้าจะเชื่อข้าหรือเชื่อพวกเขา” ลี่เหม่ยจูทำหน้าบึ้งกลบเกลื่อนใบหน้าที่กำลังเห่อร้อนขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ
นางได้ยินแม้กระทั่งบ่าวไพร่ที่พูดว่านางเข้าออกเขตหวงห้ามทุกวันทุกคืน
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเหล่าอนุคงกำลังโมโหนางจนอยากจะฉีกอกนางแล้วกระมัง
“เจ้าค่ะๆ ข้าไม่ล้อท่านแล้ว ไปกันเถิด”
ลี่เหม่ยจูพยักหน้าอย่างพอใจ และเดินออกไปทันที
ห้องหนังสือภายในเรือนผิงอัน
เหล่าองครักษ์ต่างก็ทำหน้าที่อย่างแข็งขันตามหน้าที
และเคยชินกับแขกประจำไปเสียแล้วแม้ในตอนแรกจะแปลกใจบ้าง
“คำนับฮูหยินขอรัย...นายท่านรออยู่ด้านในแล้วขอรับ”
ตู้ฟ่านฉีเดินเข้ามาและโค้งคำนับก่อนจะผายมือเชิญให้นางเดินเข้าไปด้านใน
ลี่เหมยจูเลิกคิ้วมองหัวหน้าองครักษ์อย่างประหลาดใจ เมื่อครู่นางเห็นแววตาขององครักษ์ตู้มองสาวใช้ของนาง
แววตานั้นพิเศษกว่าผู้อื่นแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู
ทว่าซือซือเองกลับยังใสซื่อไม่รับรู้ความรู้สึกขององครักษ์หนุ่มที่มีให้
“ขอบใจมากองครักษ์ตู้...ถ้าเช่นนั้นข้าขอฝากซือซือไว้ตรงนี้ด้วยนะ”
ลี่เหม่ยจูหยั่งเชิงดูท่าทีของหัวหน้าองครักษ์ แม้ตู้ฟ่านฉีจะเป็นสุภาพบุรุษเอาการเอางานและซื่อตรงหากแต่นางก็ยังอยากทดสอบไรหลายๆ
อย่าง หากทั้งสองมีความรู้สึกตรงกันก็คงดีไม่น้อย
อีกอย่างหากมีบุรุษที่ดีมาดูแลซือซือได้นางก็เบาใจ
“ขอรับฮูหยิน” ตู้ฟ่านฉีรับปาก
และรับฝากด้วยความเต็มใจหากสังเกตให้ดีจะเห็นใบหูของเขาเปลี่ยนสีเล็กน้อย
“นายท่านขอรับ ฮูหยินมาแล้วขอรับ"
เฉินหย่งหมิงได้ยินเสียงองครักษ์เข้ามารายงานจึงละสายตาจากจดหมายข่าวในมือ
“อืม...ให้นางเข้ามา”
“คำนับท่านแม่ทัพ"
ลี่เหม่ยจูย่อคำนับตามมารยาท ตอนนี้นางสามารถเป็นตัวของตัวเองโดยไม่เสแสร้ง ไม่ต้องแสร้งพูดจาอ่อนหวานเช่นเดิมแล้ว
“นั่งลงตามสบาย” เขาผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
นางเองก็ไม่รอช้ารีบลงนั่งทันทีด้วยอยากรู้สาเหตุที่เขาเรียกนางมา เพราะข่าวที่นางรู้มานั้นได้บอกกับเขาไปหมดแล้ว
และช่วงนี้ก็ยังไม่ได้ออกไปหาข่าวใหม่อีกทั้งข้อมูลที่มีก็ยังไม่แน่ใจจึงไม่อยากจะพูดหากยังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด
"ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใดอีกหรือ”
ร่างเล็กขยับเล็กน้อยและเงยหน้าประสานสายตาคมที่เอาแต่จ้องนางไม่วางตา
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร...”
น้ำเสียงสงบมั่นคงของเขาทำให้ใจของนางเต้นผิดจังหวะ
ทว่าพอได้ฟังเหตุผลของเขาแล้วใบหน้างามก็เปลี่ยนเป็นเฉยชาและบึ้งตึงทันที “...เพียงอยากรู้ความคืบหน้าการจัดเตรียมงานแต่งฮูหยินรองเท่านั้น”
ที่แท้วันนี้ที่เขาเรียกนางมาก็เพราะเรื่องนี้เอง...นั่นสินะ
สำหรับเขานางก็เป็นเพียงคนที่ผูกมัดเขาเอาไว้และต้องการอิสระ หากภารกิจจบนางกับเขาย่อมต้องแยกทาง
เขาเองก็ย่อมอยากให้คนรักแต่งเข้ามาให้ถูกต้อง ทุกอย่างจะได้เข้าที่เข้าทางเสียที
แต่จะถามจากผู้ใดได้นอกจากนางผู้สวมบทบาทเป็นฮูหยินทั้งยังมีหน้าที่จัดเตรียมงานนี้อีกด้วยภายในคอรู้สึกขมปร่าอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ
ช้าได้จัดเตรียมงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รอเพียงวันและฤกษ์ยามเท่านั้น"
เฉินหย่งหมิงขมวดคิ้ว... นางไม่ยอมฟังเขาเอ่ยให้จบ
“เอ่อ...ข้า...”
เขาควรบอกเช่นรับนางดี
“ท่านไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ...ข้าจะไม่ทำให้งานผิดพลาดแน่”
อันที่จริงนางก็ไม่ได้อยากพูดเช่นนี้ แต่ก็อดแค่นยิ้มเยาะตัวเองไม่ได้
“เจ้าลืมเรื่องนั้นไปเถิด...ไม่ต้องใส่ใจยิ่งดี"
พอเห็นหน้าของนาง สายตาของนางเขาก็รู้สึกน้ำท่วมปาก
ไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายอย่างไรดี จะพูดจะทำสิ่งใดก็ดูติดขัดไปหมด
อีกอย่างสตรีนางนั้นก็เป็นน้องสาวของนางอีกด้วย
"ข้าจะรีบทำภารกิจให้จบโดยเร็ว
อย่ากังวลว่าข้าจะรั้งดึงเวลาท่านสบายใจได้เลยข้าจะหย่าให้ตามที่ฮ่องเต้ทรงตรัส
และเมื่อนั้นท่านจะได้แต่งสตรีที่รักเข้ามาโดยไม่ต้องบาดหมางกันเพราะข้า"
ลี่เหม่ยจูเอ่ยพูดเสียงหนักแน่น
ดวงตาของนางฉายแววจริงจังและบอกว่ารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
แต่เหตุใดเขาถึงมองเห็นว่ามันไม่ใช่ เขาเห็นเสี้ยวของความผิดหวังจากนัยน์ตาของนาง
“ข้าคิดว่าเจ้ากำลังเข้าใจข้าผิดนะ...เจ้ากำลังเสียใจใช่หรือไม่”
คำพูดตรงๆ ของเขาทำให้นางอึกอัก ลำคอตีบตัน
“ข้าหมายความอย่างที่พูด...อ๊ะ!” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอยู่ห่างจากใบหน้านางเพียงคืบสายตาสีเข้มลึกล้ำจ้องมาที่ตาของนางราวกับค้นหาบางอย่างในดวงตา
ร่างบางตกใจอึ้งผงะไม่กล้าขยับแต่ในอกข้างซ้ายกลับเต้นรัวเหมือนกลองศึกจึงพยายามดันตัวเองออกมาเกรงว่าเขาจะได้ยิน
“แต่ข้าไม่ได้หมายความอย่างที่เจ้าเข้าใจแน่นอน”
เฉินหย่งหมิงรวบเอวบางเอาไว้และดึงเข้ามาหาตัว ปลายจมูกได้กลิ่นอิงฮวาอ่อนๆ
จนไม่อยากปล่อยเนื้อนิ่มให้เป็นอิสระ
“ปล่อยข้า...อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ใบหน้างามขมวดคิ้วจริงจัง
พยายามใช้มือดันอกของเขาไม่ให้เข้าใกล้นางมากกว่านี้
“ไม่ปล่อย...จนกว่าเจ้าจะฟังเหตุผลของข้า”
น้ำเสียงห้าวอ่นลงราวกลับน้ำเสียงเกลี้ยกล่อมเด็ก
“ตามใจ” ลี่เหม่ยจูเอ่ยเสียงห้วนตัดรอน
จากนั้นนางก็พูดต่อด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“ข้าหมายความว่า..ท่านมีเหตุผลใดก็ไม่จำเป็นต้องบอกข้า...เพราะมันไม่จำเป็น”
ตอนนี้นางรู้สึกว่าตัวเองใจอ่อนที่สุดแล้ว
ทว่าที่มากกว่านั้นก็คือความปั่นป่วนในใจที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางแต่งกับเขาเพราะความจำเป็น ไม่เคยเกิดความรู้สึกอ่อนหวานใดๆ ทั้งสิ้น
ที่เคยอ่อนโยนก่อนหน้านั้นเพราะนางและเขายังสวมบทบาทสามีภรรยากันเท่านั้น
"หากฮ่องเต้ไม่ประทานใบหย่าให้ เจ้าคิดจะหย่ากับข้าหรือไม่"
คนถูกถามผงะไปไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้แม้ลี่เหม่ยจูจะพยายามเอาหูทวนลมทว่าใบหน้ายังเห่อวาบอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้า...” ไออุ่นซ่านอยู่ในทรวงอก
พยายามดิ้นรนหาทางระบายออก นางไม่แน่ใจตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งๆ
ที่นางควรพูดออกไปได้เต็มปากว่านางรอเวลาให้ฮ่องเต้ประทานใบหย่าแทบไม่ไหว
“...เหตุใดท่านจึงถามเช่นนั้น” นางไม่ตอบแต่กลับถามเขาคืน
“เอ่อ...”
นับตั้งแต่ที่เขาได้กลิ่นกายของนางและมั่นใจว่านางคือสตรีที่ช่วยชีวิตเขาก็ไม่อยากปล่อยมือจากนางไปอีก
เขาโพล่งออกไปโดยแทบไม่ต้องคิด “...เพราะข้าอยากให้เจ้าอยู่”
เฉินหย่งหมิงหัวใจเต้นรัว
ความหวาดกลัวเริ่มผุดขึ้นในใจหลังจากที่เอ่ยเช่นนั้นออกไป
ความหวาดกลัวที่จะสูญเสียที่ไม่เคยรู้จักม่าอนเกิดขึ้นได้อย่างไร
เขานิ่งคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจ มันเป็นความรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ
หวาดกลัวว่านางจะทำตัวเหินห่างกับเขามากยิ่งขึ้น
“แต่ข้าคงไม่สามารถใช้สามีเดียวกันกับน้องสาวตัวเองได้”
หลังจากที่นิ่งงันกับสิ่งที่ได้ยินลี่เหม่ยจูจึงเอ่ยตอบจากความรู้สึกจริงๆ
แม้ตอนนี้ไม่สามารถตอบได้ว่าหากไม่มีราชโองการหย่าจากฮ่องเต้นางจะยอมหย่าหรือไม่
เฉินหย่งหมิงนิ่งอึ้งกับคำตอบและครุ่นคิดตาม
เขาเองก็พอจะเดาได้ว่านางเป็นคนเช่นไร จะให้นางเป็นยอมรับเขาที่เป็นบุรุษที่มักมากได้อย่างไร
ทว่าเขาเองก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแผนแต่งลี่เหม่ยเจินเข้ามาได้เช่นกัน
ใบหน้าหล่อเหลาที่อ่อนโยนเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
"
อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าคือฮูหยินเพียงคนเดียวของข้า สิ่งที่ยังมาไม่ถึงข้าจะไม่นับ
ไม่สนใจและจะไม่พูดถึงมันอีก" เฉินหย่งหมิงอมยิ้ม นัยน์ตาของเขาฉายแววเจ้าเล่ห์
“ท่านอย่าได้กังวล หากนางมา ข้าก็จะอยู่ในส่วนของข้า
ทำหน้าที่ของข้าให้สำเร็จ" นางยังจำถ้อยคำของเขาที่ใหคำมั่นกับน้องสาวของนางในคืนเทศกาลหยวนเซียวได้ดี
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่พูดถึงผู้อื่นอีก” พูดจบริมฝีปากบางถูกกลืนทับด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน เขารุกไล้ชิมไปทั่วเขาลงโทษนางที่ยังฝ่าฝืนที่จเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก
"อื้อ..."
เสียงอู้อี้จากลำคอถูกขัดขืน เขาครอบครองริมฝีปากแดงเย้ายวนได้
พร้อมผ่อนปรนลงเพื่อชิมความหวานใช้ลิ้นตวัดเกี่ยวไปมาอย่างไม่รู้พอ และเอาแต่ใจ
มือไม้ก็เริ่มอยู่ไม่สุขไล้ไปตามร่องเอวคอดและก้นของนาง
ลี่เหม่ยจูพยายามเรียกสติที่หลุดลอยกลับมา
นางจะปล่อยใจไปกับเขาไม่ได้เด็ดขาด
หากเป็นเช่นนั้นจริงต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกแน่ๆ
นางไม่ปล่อยให้คนที่ล่วงเกินนางได้สำราญมากกว่านี้ขาเรียวยกตวัดขึ้นกลางเหวี่ยงเต็มแรงใส่บริเวณหว่างขาไม่ยั้ง
และออกแรงผลักไหล่กว้างออกไป จนร่างของนางก็ถลาถอยเช่นกัน
"อึก...เจ้า! "
เฉินหย่งหมิงคุกเข่าลงอย่างหมดแรง นางกล้าทำร้ายเขาถึงเพียงนี้เลยหรือ
ความรู้สึกตอนนี้จุกท้องยันถึงยอดอก หน้าเขียวคล้ำสลับแดงปากหุบอ้าพูดมิเป็นภาษาเขาไม่คิดว่านางจะขวัญกล้าถึงเพียงนี้
ดวงตาคมกริบจ้องมองใบหน้างามที่ขบเขี้ยวอย่างโมโห
"หลอกกินเต้าหู้ผู้อื่นก็สมควรต้องถูกกระทำเช่นนี้...หากมีครั้งหน้าข้าไม่ทำเพียงเท่านี้แน่”
นางขู่ฟ่อ และถอยหลังออกไปอย่างระแวงระวังตัว จากนั้นก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปข้างนอก
นางดึงอาภรณ์ลงและมองเหล่าองครักษ์ที่ยืนมุงอยู่หน้าประตู
พอทุกคนเห็นสภาพของนางแล้วก็ได้แต่ก้มหน้า
“ซือซือไปกันเถิด” นางลากแขนสาวใช้ที่ยืนตะลึงอ้าปากค้าง
เหล่าองครักษ์ต่างก็มองหน้ากัน
ส่งสายตาถามกันไปมาเพราะได้ยินเสียงร้องเมื่อครู่ พวกเขาไม่รู้จะเดาว่าอย่างไร
แต่พอเห็นสภาพฮูหยินเมื่อครู่ก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองอาจจะ....
"พวกเจ้าคิดว่า...เราควรเข้าไปดูนายท่านดีหรือไม่"
องครักษ์หมายเลขสองเอ่ยถามความเห็นจากเพื่อนองครักษ์
แม้แต่หัวหน้าองครักษ์เองยังมีสีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน
"หากนายท่านไม่พอใจ
คืนนี้เจ้าคงต้องไปวิ่งรอบจวนอีกเป็นแน่" องครักษ์หมายเลขสามออกความเห็น และเขายังไม่อยากวิ่งรอบจวนในเวลาเช่นนี้
ส่วนผู้ที่ถามเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
"ได้ข่าวว่าพวกเจ้าสี่และเจ้าห้าไปคุกเข่ารับใช้ฮูหยินแล้ว...เจ้ารู้หรือเปล่า"
องครักษ์หมายเลขสองรีบเปลี่ยนเรื่อง
อีกทั้งดูแล้วชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนองครักษ์ก็ดูจะสุขสบายขึ้นมาก
"คงเป็นจริงตามนั้น...เจ้าพวกนั้นแลดูมีความสุขยิ่งนัก
"องครักษ์หมายเลขสามเอ่ยทั้งยังมีแววตาเป็นประกาย
"พรุ่งนี้เราไปคุกเข่าให้นายหญิงดีหรือไม่"
องครักษ์หมายเลขสองเอ่ยทั้งดวงตาเป็นประกาย
หาแนวร่วมอย่างน้อยเมื่อถูกลงโทษจะได้ไม่เหงา
"เจ้าอยากวิ่งรอบจวนเหมือนเจ้าสองคนนั้นหรือ
ข้าบอกไว้ก่อนเลยคราวนี้ข้าไม่รอเจ้าวิ่งแล้วนะ"องครักษ์หมายเลขสามกระซิบเสียงเบา
ในใจก็อยากไปรับใช้ฮูหยินแต่ก่อนจะได้ไปต้องถูกลงโทษอย่างหนัก แต่ไม่รู้ว่าเจ้าพวกนั้นตัดสินใจรับโทษแล้วคุ้มค่าหรือไม่
รู้เพียงว่าเขายังไม่กล้าและไม่พร้อมรับโทษเท่านั้น
"ผู้ใดอยู่ข้างนอก" เฉินหย่งหมิงเริ่มรู้สึกทุเลาลงบ้างแล้วก็เกิดความคิดอย่างจะเอาคืนความร้ายกาจของสตรีร่างเล็ก
“นายท่านโปรดรับสั่ง"องครักษ์ทั้งสองรีบคุกเข่ารอรับคำสั่งทันที
“วันนี้ข้าจะไปรับอาหารเย็นที่เรือนใหญ่
ส่งคนไปแจ้งนางด้วย"
เฉินหย่งหมิงเอ่ยเสียงเรียบเพราะปิดบังความรู้สึกจนเคยชิน
"ขอรับ...เอ่อ...ให้ข้าน้อยตามหมอให้หรือไม่ขอรับสีหน้าท่านดูเขียวคล้ำ
เอ่อ...ดูเหมือนจะไม่สบาย"
องครักษ์หมายเลขสองมั่นใจแล้วว่าเมื่อครู่นายท่านกับฮูหยินไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่า
หากแต่ต้องปะทะฝีมือกันย่อมๆ แน่นอนอีกทั้งเจ้านายของเขาน่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เรพาะสภาพของฮูหยินเมื่อครู่ยังปกติดี
“ขอบใจที่เป็นห่วง ไปวิ่งรอบจวน 30 รอบ!!! " องครักษ์หมายเลขสองยิ้มค้าง
ก่อนที่จะเปลี่ยนไปคล้ายกำลังจะร้องไห้ นี่เขาทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ
"ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ
เอาล่ะ...ข้าจะไปแจ้งฮูหยินเอง ส่วนเจ้าก็ไปทำหน้าที่ตามที่นายท่านสั่งเถิด"
องครักษ์หมายเลขสามหันมาตบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจและรีบเดินออกไปทันที
เมื่อกลับถึงเรือนลี่เหม่ยจูก็รีบเดินเข้าห้องนอนปิดประตูลงกลอนแน่นหนา
ร่างบางนั่งลงหน้ากระจกและใช้นิ้วเรียวยาวนวดแตะลงที่ริมฝีปากบวมอย่างเหม่อลอย
เขาจูบนางเพียงเหตุผลที่ว่านางเอ่ยถึงเรื่องที่เขาไม่อยากให้เอ่ย
แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือนางกำลังหวั่นไหวไปกับจุมพิตของเขา ให้ตายเถิด!
"ฮูหยิน...ท่านไม่สบายหรือเจ้าคะ" ซือซือเรียกผู้เป็นนายอยู่หลายครั้ง
ตั้งแต่กลับจากห้องหนังสือผู้เป็นนายก็เอาแต่เหม่อลอย ไม่ยอมพูดจาทั้งยังหนีเข้าห้องไม่ยอมให้นางเข้าไป
"ข้าอยากอยู่คนเดียว เจ้ามีสิ่งใดไปทำก็ไปเถิด” ร่างบางเอ่ยออกไป
หากให้ซือซือเห็นหน้าของนางตอนนี้คงต้องถูกล้อเลียนเป็นแน่
สองมือขาวยกขึ้นกุมสองแก้มแดงปลั่งอย่างน่าอายไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำจะส่งผลให้หัวใจของนางเต้นแรงเพียงนี้
"ให้ข้าไปตามหมอมาหรือไม่" ซือซือร้องถามผู้เป็นนายขึ้นมาอย่างห่วงใย “ใบหน้าท่านแดงตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว”
“เอ่อ...คือ ข้าเพียงร้อนเท่านั้น
ไม่ได้เป็นอะไร นอนพักสักครู่น่าจะดีขึ้น” ลี่เหม่ยจูโกหกคำโต"ข้าง่วง เจ้าออกไปก่อนเถิด เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำค่อยเข้ามาปลุกก็แล้วกัน”
ทางที่ดีนางควรต้องเก็บตัวเงียบจัดการกับความรู้สึก
ความสับสนของตัวเองเสียก่อน
"ข้าลืมบอกไปเจ้าค่ะ
เมื่อครู่คนที่เรือนผิงอันมาแจ้งมาว่าท่านแม่ทัพจะมารับมื้อเย็นกับฮูหยิน"
เมื่อได้ยินว่าเขาจะมารับมื้อเย็นภายในหูของนางก็มีเสียงอื้ออึงไปหมดเหตุใดบุรุษผู้นั้นยังตามมาก่อกวนนางอีกตอนนี้นางยังไม่พร้อมที่จะพบเจอหน้าเขา
นางไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี
"ให้คนไปบอกเขาว่าข้าอยากพักผ่อนและข้าเข้านอนแล้ว"
นางควรเลี่ยงที่จะพบเขาสักพักให้ลืมความรู้สึกเช่นนี้ไปก่อน
"เจ้าค่ะ"
ความคิดเห็น