คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : เปิดเผยตัวตน (rewrite)
(จงหวินตี้ฮ่องเต้/ศิษย์พี่ใหญ่)
เบื้องหน้าตอนนี้มีประตูบานสีขาวขนาดใหญ่สูงตระหง่านสีแดง
ล้อมลอบด้วยกำแพงขนาดสูงเท่ากันมองไปสุดลูกหูลูกตาบ่งบอกอาณาเขตกว้างใหญ่ของวังหลวง
องครักษ์ยื่นบางอย่างให้แก่ทหารที่เฝ้าประตู จากนั้นก็มีสัญญาณให้รถม้าผ่านเข้าไปได้
จนไปถึงที่พระราชฐานส่วนในที่รถม้าก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้จึงต้องเดินเท้าต่อไปอีก
เมื่อรถม้าหยุดนิ่งสนิททว่าเขายังคงหลับตานิ่งนางจึงเอ่ยถาม
"ท่านไหวหรือไม่" ลี่เหม่ยจูเอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนของเขาเบาๆ
น้ำเสียงอ่อนโยนลงหลายส่วนเพราะความรู้สึกผิด
เฉินหย่งหมิงจึงยอมเปิดเปลือกตาขึ้นจ้องมองใบหน้างามเมื่อรับรู้ถึงน้ำเสียงที่รู้สึกผิดปนห่วงใยเล็กน้อย
"ข้ายังไหว"
เสียงห้าวยังดูอ่อนแรงและขยับตัวก่อนจะก้าวออกมาจากรถม้าเฉินหย่งหมิงไม่คิดว่าขาของเขาจะไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ทันทีที่ปลายเท้าแตะลงพื้นก็คล้ายกลับว่าหัวของเขาหมุนอีกรอบ
เขาหน้ามืดลงกับพื้นพร้อมสติอันเลือนรางวูบดับไป
ภายในตำหนักรับรอง
กลิ่นเครื่องหอมและสมุนไพรต่างๆ ทำให้ร่างสูงที่หมดสติไปรู้สึกตัว เฉินหย่งหมิงค่อยๆ
เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้น และเขายังรู้สึกมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก
จมูกได้กลิ่นยาหอม สมุนไพรจนฉุน
คิ้วหน้าขมวดย่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่แสนคุ้นเคย
เสียงใสกังวาลนั้นย่อมเป็นของล่เหม่ยจูอย่างไม่ต้องคาดเดา
แต่เหตุใดนางจึงได้เอ่ยพูดคุยฉอเลาะราวกับกำลังพูดคุยกับคนคุ้นเคยหรือสหายสนิทเช่นนั้นหรือเขาหูฝาดไป
เขาพยายามดันตัวลุกขึ้นเพราะอยากรู้ว่านางกำลังพูดกับผู้ใดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
“รู้สึกตัวแล้วหรือข้านั่งรอเจ้า...และพูดคุยกับฮูหยินรอตั้งนาน"
จงหวินตี้ฮ่องเต้ตรัสเสียงเรียบปนขำขันเมื่อมองเห็นสหายพยายามดันตัวขึ้นด้วยความระโหยอ่อนแรงและหมดท่าแม่ทัพไร้พ่ายผู้น่าเกรงขาม
ใบหน้าดุดันขาวซีดจะมองกี่ครั้งมังกรหนุ่ม็รู้สึกขำขัน ทว่าพอพบเจอกลับสายตาดุดันของคนป่วยมังกรหนุ่มก็กระแอมกลั้นขำเอาไว้
เฉินหย่งหมิงค้อมหัวคำนับนายเหนือหัว
จากนั้นก็ปรายสายตามองสตรีร่างเล็กที่ยังมีท่าทางสบายใจไม่ได้เกร็งหรือหวาดกลัวอย่างที่เขากังวลมาตลอด
นางยังมีใจนั่งจิบชาด้วยท่าทีสบายทั้งยังคล้ายว่าคุ้นเคยกับที่แห่งนี้เป็นอย่างดี
แม่ทัพหนุ่มได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ยิ่งท่าทีสนิทสนมกับฮ่องเต้เช่นนั้นคือสิ่งใดหรือนางไม่ได้เคยพบกับฮ่องเต้เป็นครั้งแรก!
ลี่เหม่ยจูเห็นสายตาเต็มไปด้วยคำถามของเขาก็รีบกลืนน้ำชาลงคอและรีบเอ่ยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
"เรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้บอกกับผู้ใดเลยนะ...แต่เพราะท่านแสดงอาการเอง
ข้าไม่ผิด" ใบหน้างามใสซือจ้องมองตาใสเขาไม่ตอบทั้งยังหันไปพูดคุยกับฮ่องเต่แทน
ลี่เหม่ยจูเห็นเช่นนั้นก็ยู่ปากเล็กน้อย
"ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงกรุณา
กระหม่อมดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เฉินหย่งหมิงค้อมหัวเล็กน้อยและเริ่มรู้สึกว่าความวิงเวียนนั้นได้หายไปแล้ว
แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าเหนือหัวตรัสเขาก็แทบจะวิงเวียนอีกรอบ
ใบหน้าซีดขาวตอนนี้มีสีเข้มเล็กน้อย
" ฮ่าๆ เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจโดยแท้
ไม่คิดว่าแม่ทัพเฉินผู้ยิ่งใหญ่ผู้ผ่านสนามรบและศัตรูมากมายจะพ่ายแพ้แก่รถม้าแค่คันเดียว...แต่เป็นการเอาใจฉูหยินเจ้าจึงต้องลงแรงเพียงนี้ช่างน่านับถือ"
น่านับถือ! เฉินหย่งหมิงหันไปมองลี่เหม่ยจูที่จ้องมองเขาราวกับรอฟังคำตอบ
คำลอบกลืนน้ำลายก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง...สิ่งน่าอายเช่นนั้นจะให้เขาเอ่ยออกไปก็ไม่แคล้วถูกมองว่าแก้ตัวสู้ไม่สนใจน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
"ฝ่าบาทคงมีเรื่องสำคัญจึงรับสั่งให้กระหม่อมพานาง...เอ่อ
ฮูหยินมาเข้าเฝ้า" ลี่เหม่ยจูชะงักนิ่งเมื่อได้ยินคำว่า ‘ฮูหยิน’ นางปรายสายตามองเขาซึ่งเขาเองก็กำลังมองมาที่นางเช่นกัน
ดวงตากลมโตมองหาความผิดปกติในแววตาของเขาทว่ามีเพียงความเรียบเฉย คาดเดาไม่ออกเท่านั้น
"นั่นสินะ...ถ้าเช่นนั้นไปห้องทรงอักษรก็แล้วกัน”
จงหวินตี้ฮ่องเต้ยกยิ้มอย่างประหลาดใจที่ได้ยินคำว่าฮูหยินเพราะคาดไม่ถึงว่าเฉินหย่งหมิงจะกล้าเรียกลี่เหม่ยจูเช่นนั้นผิดไปจากที่พระองค์คิดไว้มาก
มังกรหนุ่มลอบมองท่าทีของสตรีร่างเล็กที่คล้ายจะแปลกใจไม่น้อยจากนั้นก็เดินนำออกไปด้วยพระพักตร์เรียบนิ่งไม่มีท่าทีล้อเล่นเช่นเดิม
ลี่เหม่ยจูเองก็รอให้ทั้งบุรุษสองเดินออกไปก่อนและคิดว่าจะเดินตามหลัง
แต่แล้วเขายิ่งกลับทำให้นางประหลาดใจเพราะเขายืนรอให้นางเดินไปพร้อมกัน
ภายในห้องทรงอักษรที่ตกแต่งเรียบง่ายสบายตา
ของตกแต่งน้อยชิ้นแต่ล้ำค่าควรเมือง
ตรงกลางห้องถูกวางด้วยโต๊ะทรงงานของโอรสสวรรค์ บนโต๊ะถูกวางด้วยกองฎีกามากมายจนล้นแทบไม่เห็นพื้นที่วาง
มังกรหนุ่มจึงแผ่พระหัตถ์เชิญแขกไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาแทน
ลี่เหม่ยจูลอบมองพระพักตร์ของจงหวินตี้ฮ่องเต้ที่ไม่มีแววความล้อมเล่นเช่นก่อนหน้าจึงได้แต่นั่งลงตามอย่างเงียบๆ
นางเองก็เดาไม่ออกว่าพระองค์ต้องการพูดเรื่องใดแต่คิดว่าเรื่องที่ต้องการตรัสคงสำคัญมากทีเดียว
จงหวินตี้ฮ่องเต้ยังไม่ทรงตรัสสิ่งใดเพียงแต่ทรงทอดพระเนตรมองท่าทีของทั้งสองคนสลับไปมา
จากนั้นก็เริ่มตรัสเรื่องราวการก่อกบฏเมื่อราวปีที่แล้ว
โดยหยวนอ๋องผู้เป็นพระปิตุลา[1]
ร่วมมือกับชนเผ่านอกด่านก่อกบฏเพื่อแย่งชิงบัลลังก์หากแต่ไม่สำเร็จและตอนนี้กำลังดึงหนานอ๋องแคว้นหนานที่หลงใหลในอำนาจอยากครอบครองแคว้นมู่เป็นผู้หนุนหลังลับๆ
“ข้ารู้มาว่าหยวนอ๋องนั้นหลบซ่อนอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงแต่ก็คงไม่ใกล้นัก”
จงหวินตี้ฮ่องเต้หันมามองนางราวกำลังจะสื่อถึงบางอย่าง ส่วนลี่เหม่ยจูนั้นก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรดี
ที่ฮ่องเต้ทรงมองนางเช่นนี้หมายความว่าจะให้นางเปิดเผยความจริงให้เฉินหย่งหมิงรู้อย่างนั้นหรือ
ถ้าเช่นนั้นความลับก็คงมิใช่ความลับตามที่ตกลงกันอีกต่อไป
ทั้งที่จริงนางก็ไม่อยากเปิดเผยให้ผูใดรู้เพราะนั่นจะทำให้การทำงานของนางยากขึ้น
“พะย่ะค่ะ หน่วยข่าวกรองรายงานมาว่าพวกกบฏยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
เมืองหลวงคิดว่าหยวนอ๋องเองก็คงอยุ่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าใดนั้น
อีกทั้งเขาต้องความช่วยเหลือจากเหล่าขุนนางที่เคยสนับสนุนเขาแน่"
เฉินหย่งหมิงเอ่ยรายงาน ทว่ายังยั้งคำพูดด้วยไม่แน่ใจว่าฮ่องเต้ทรงกำลังคิดสิ่งใดเรื่องสำคัญเช่นนี้พระองค์อยากให้ลี่เหม่ยจูทราบด้วยอย่างนั้นหรือ
และสายตาของมังกรหนุ่มที่มองสตรีร่างเล็กเมื่อครู่ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตเห็น
เขาเชื่อว่าทั้งสองคนต้องรู้จักกันและเคยพบหันมากกว่าสองครั้งแน่
“เป็นอย่างที่ท่านแม่ทัพบอกหรือไม่...” ลี่เหม่ยจูเงยหน้าสบพระเนตรคมกริบใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าอนุญาตให้นางพูดได้
ตอนนี้นางเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วฮ่องเต้ต้องการให้นางเปิดเผยตัวตน แม้จะข้องใจและต้องการเหตุผลจากโอรสสวรรค์แต่นางก็ไม่อาจร้องขอได้ในตอนนี้
ใบหน้างามหลุบตาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจตอบตามที่มังกรหนุ่มเอ่ยถาม
"เป็นเช่นนั้นเพคะ...พวกมันกำลังรวบรวมเงินหาซื้ออาวุธ
ดาบ รวมทั้งสะสมกำลังคน พวกมันกวาดซื้อทาสชายเพื่อนำไปฝึกการต่อสู้
รวมทั้งลักพาตัวสตรีเพื่อเอาไปรับใช้ในค่ายคาดว่าหากพวกมันพร้อมทั้งกำลังคนและอาวุธการก่อกบฏครั้งที่สองย่อมเกิดขึ้นแน่"
เฉินหย่งหมิงหันขวับมามองใบหน้างามทันที นางรู้ได้อย่างไร นางคือผู้ใดกันแน่!อะไรกัน...
“แล้วค่ายของพวกมัน”
มังกรหนุ่มเอ่ยถามต่อ
"ค่ายของพวกมันอยู่ในป่าอาถรรพ์หลังเขาถัดไปจากเมืองหลวงไปราว
40 ลี้ (20 กิโลเมตร)
ส่วนทางเข้าออกนั้นถูกวางค่ายกลที่ที่อันตรายหากผู้ที่ไม่ชำนาญเรื่องค่ายกลย่อมไม่ต่างกับการเอาชีวิตไปเสียงซึ่งหม่อมฉันเองก็ยังหาวิธีเข้าไปไม่ได้
ตอนนี้ทำได้เพียงเฝ้าสังเกตการเข้าออกของพวกมัน ส่วนการจะเข้าไปข้างในต้องให้คนที่อยู่ด้านในแก้กลและเปิดประตูให้ไม่มีทางที่คนภายนอกจะเข้าไปได้เอง"
ลี่เหม่ยจูกราบทูลต่อ
หลังจากที่นางปลีกตัวออกไปทำภารกิจด้วยความยากลำบากมากขึ้นหลังต้องแต่เข้ามาเป็นฮูหยิน
“นั่นสินะ
ท่านอาชำนาญเรื่องค่ายกลย่อมต้องวางกลไม่ธรรมดา” มังกรหนุ่มพยักหน้าตาม
"เหตุใดเจ้าต้องเอ่ยราวกับเป็นสายข่าวพบเห็นด้วยตาของตนเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าดารกราบทูลความเท็จมีโทษถึงประหาร"
ผู้ที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นทั้งยังไม่อาจจะทำใจยอมรับว่าสตรีร่างบางข้างกายคือสายข่าวที่เขาสงสัยมาตลอด
มิน่าเล่าพี่ชายของนางจึงมีท่าทางประหลาดยามที่เขาเอ่ยถามถึงสายข่าวผู้นั้น
"ก่อนที่ข้าจะกราบทูลสิ่งใดนั้นข้าล้วนแต่พบเจอมากลับตัว...”มังกรหนุ่มเห็นบรรยากาศที่อึมครึมจึงรีบยกมือขึ้นปราม
ทั้งสองสามีภรรยาจ้องหน้าจ้องตากันไปมาราวจะกินเลือดกินเนื้อกันยังดีที่ยังเกรงไว้หน้ามังกรหนุ่มบ้าง
"หย่งหมิง...นางพูดเรื่องจริง
แม้จะเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ ทว่าข้าคิดดีแล้วว่าเจ้าควรรู้จักนาง...และต้องพึ่งพาการหาข่าวจากนาง"
มังกรหนุ่มเอ่ยด้วยแววตาจริงจัง
มองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมาแม้จะรู้ว่าสหายไม่อาจทำใจยอมรับกับเรื่องที่ได้รู้ทว่านั่นก็คือเรื่องจริงที่ลี่เหม่ยจูคือสายข่าวที่ขึ้นกับพระองค์เท่านั้น
“กระหม่อมพอจะเข้าใจแล้วพะย่ะค่ะ” แม้จะไม่เข้าใจทว่าเฉินหย่งหมิงก็จำเป็นต้องตอบเช่นนั้นหากเป็นเช่นนั้นจริงทั้งสองคงจะรู้จักกันมานานแล้วและลี่เหม่ยจูเองก็คงจะมีฝีมือไม่ธรรมดาที่ทำให้โอรสสวรรค์ยอมรับได้เช่นนี้
หากแต่สายตาที่มังกรหนุ่มมองสตรีร่างเล็กนั้นเล่า...แววตาเอ็นดูห่วงใยนั่นคือสิ่งใด
“หากเจ้าเข้าใจแล้วก็ดี
มีอีกเรื่องที่ข้าจะบอกแก่พวกเจ้า...” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหันไปหาโอรสสวรรค์
“...การที่ลี่เหม่ยจู่แต่งเข้าจวนแม่ทัพก็เป็นหนึ่งในแผนการครั้งนี้เช่นกัน”
แต่อีกเหตุผลอีกข้อโอรสสวรรค์เลือกเก็บไว้ในพระทัยและยังไม่ตรัสออกมาเพราะยังไร้ซึ่งหลักฐานที่แน่ชัด
“...”
ทั้งสองคนมอหน้ากันอีกรอบไม่คิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของโอรสสวรรค์ทั้งสิ้น
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือการกลั่นแกล้งใดๆ อย่างที่เข้าใจ
“ที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เพื่อให้นางเป็นผู้ช่วยเหลือกระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ”
เฉินหย่งหมิงขมวดคิ้ว เขายังเดาไม่ออก ว่าสตรีร่างเล็กจะช่วยเหลือสิ่งใดได้ยอกจากหาข่าวและก็คงช่วยเขาออกรบก็คงไม่ได้
“...นางเป็นเพียงสายข่าวจะให้นางช่วยสิ่งใดอีกหรือพะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เฉินหย่งหมิงพูด
ลี่เหม่ยจูก็หันมองตาขวางทันทีก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างเหลืออด “สายข่าวแล้วอย่างไร
มิใช่ข่าวจากข้าหรือที่ทำให้ท่านวางแผนรับมือได้
หากได้รู้เพียงข่าวลวงมีหรือจะทำสิ่งใดได้นอกจากพาเหล่าทหารนำชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า”
เฉินหย่งหมิงนิ่งเงียบแม้จะเห็นด้วยกับคำพูดของนางทว่าก็ยังยากจะเชื่อ
“นางไม่ได้เพียงหาข่าวที่แม่นยำ แต่นางจะช่วยสอดแนมเหล่าอนุของเจ้ามีเพียงตำแหน่งฮูหยินเท่านั้นที่จะทำหน้าที่สอดส่องโดยไม่น่าสงสัย”
แววตาของเฉินหย่งหมิงไหววูบเล็กน้อย
“หมายความว่าอนุทั้งสองมีส่วนเกี่ยวข้องกับกบฏ”
อะไรกัน! ทั้งสองนางอยู่เพียงใต้จมูกเขาแต่เขากลับไม่เอะใจสงสัย
อายสังหารถูกแผ่ออกมาจนบรรยากาศรู้สึกอึดอัด “แต่อนุทั้งสองนางนั้นฝ่าบาทเป็นผู้ประทานให้กระหม่อมมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินหย่งหมิงนึกได้ว่าฮ่องเต้ประทานพวกนางให้เข้าโดยที่เขาคัดค้านจนต้องจำใจรับเข้ามา
ที่แท้ก็มีสาเหตุ
“ข้ายังไม่มั่นใจ...แต่คิดว่าพวกนางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
บางทีเราอาจจะใช้ประโยชน์จากพวกนางได้”มังกรหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของสตรีเพียงคนเดียวที่มีสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อยเมื่อได้ทราบถึงจุดประสงค์ทีแท้จริง
ทว่าภายในใจกลับดีใจมีความหวังขึ้นมาหากภาระกิจเสร็จนางก็จะเป็นอิสระได้ใช่หรือไม่
ใบหน้าที่เหี่ยวเฉาเริ่มมีสีขึ้นมาเล็กน้อย
" พ่ะย่ะค่ะ!"
เฉินหย่งพูดด้วยเสียงกดต่ำในลำคอ
“ในเมื่อเจ้าสองคนเข้าใจความต้องการของข้าแล้วก็คงไม่ต้องค้างคาใจอีก
ข้าเองก็จะได้สบายใจที่ไม่ต้องปิดบังพวกเจ้า” มังกรหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “...เรื่องสมุดรายชื่อไปถึงไหนแล้ว”
ลี่เหม่ยจูสังเกตห็นแววตาแห่งความสงสัย
ความไม่ไว้ใจ และความสับสนที่ฉายออกมาจากดวงตาของเฉินหย่งหมิง
หากเดาไม่ผิดเขากำลังสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับฮ่องเต้ ในเมื่อฮ่องเต้ไม่คิดจะเปิดเผยนางก็ไม่จำเป็นต้องบอก
ในเมื่อแท้จริงแล้วนางก็เป็นเพียงฮูหยินของเขาตามหน้าที่เท่านั้น
หากภาระกิจเสร็จสิ้นนางและเขาก็ไม่ต่างจากเส้นขนานไม่มีเหตุผลใดต้องอธิบายหรือแก้ต่างความเข้าใจผิด
เขาจะเข้าใจหรือคิดสิ่งใดล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
"ในตอนแรกสมุดรายชื่อถูกส่งมาให้ใต้เท้ากรมโยธาเป็นผู้ที่เก็บเอาไว้แต่ต่อมาเขากลับถูกลอบสังหารเพื่อปิดปากด้วยพิษของยางไม้
ทำให้ตอนนี้ไม่รู้ว่าสมุดอยู่ที่ใด" เฉินหย่งหมิงลอบมองใบหน้างามที่ดูจริงจัง
นางรู้ลึกขนาดนั้นเชียวหรือ
แล้วนางใช้เวลาไหนในการออกไปหาข่าวในเมื่อนางเองอยู่ในจวนตลอดเวลาหรือเจ้าพวกองครักษ์นั่นรู้เห็นเป็นใจไม่รายงานเขายามที่นางออกจากจวน
“ที่แท้เขาก็ไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่ถูกลอบฆ่าพวกมันอาจกำลังกำจัดผู้ที่รู้เรื่องมากเกินไป
หรือไม่ก็เกิดการหักหลังเกลือเป็นหนอน” มังกรหนุ่มคาดเดา
ตอนนี้ยังไม่อาจปักใจทั้งหมด
เพราะเสด็จอาของพระองค์นั้นล้ำลึกเจ้าแผนการทุกอย่างอาจป็นเพียงแค่แผนลวงทางที่ดีควรมีแผนสำรองหลายๆ
แผน
“ข่าวที่ได้มาช่างละเอียดนัก
ช่างน่าแปลกข้าเองก็เห็นเจ้าอยู่ที่จวนตลอดแต่กลับหายไปสืบข่าวเมื่อใดกัน” เสียงห้าวเอ่ยเสียดสีเล็กน้อยที่นางต้องทำงานลำบากขึ้นก็เพราะกลัวว่าเขาจะรู้แต่ตอนนี้เขารู้แล้วคงไม่ต้องหลบๆ
ซ่อนๆแล้ว
“ข้าไม่จำเป็นต้องรายงานท่านทุกเรื่องเจ้าค่ะ”
นางหมั่นไส้ใบหน้าเย็นชาของเขาเหลือเกิน
“เอาเถิด...ตอนนี้เราต้องรู้ให้ได้ว่าสมุดรายชื่อนั้นอยู่กับผู้ใด
หากจบภารกิจนี้เมื่อไหร่ข้าจะประทานรางวัลให้...เป็นสิ่งใดดีนะ”มังกรหนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิด
“ออกราชโองการใบหย่าให้เป็นรางวัลดีหรือไม่
ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุม ลี่เหม่ยจูยิ้มน้อยๆ
รู้สึกพอใจกับรางวัลที่จะได้รับอย่างที่คาดไว้
ทว่าพอหันไปมองหน้าหล่อเหลาของบุรุษที่นั่งข้างๆ ที่มีท่าทีเรียบนิ่งไม่ดีใจ
ลี่เหม่ยจูเม้มปากครุ่นคิด นี่คือสิ่งที่เขาเองก็ต้องการไม่ใช่หรือ อิสระที่เขาและนางโหยหา
แต่พอเห็นท่าทางของเขาเหตุใดจึงรู้สึกจุกในลำคอกัน ตอนนี้นางกำลังเป็นอะไร จริงๆ
ควรเอ่ยขอบพระทัยโดยไม่ต้องคิดไม่ใช่หรือ
ความคิดเห็น