ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลี่เหม่ยจูสตรีผู้ทรนง

    ลำดับตอนที่ #4 : ตระกูลลี่ (rewrite)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 32.95K
      1.3K
      20 พ.ย. 62


    www.printerest.com

    (ลี่เหม่ยจู)

    ตระกูลลี่นั้นได้รับใช้ราชสำนักมาชั่วอายุคนไม่ว่าจะเป็นด้านบุ๋นและบู๊ผู้นำตระกูลลี่คนปัจจุปันคือ ลี่เหวินโจว อัครเสนาดีฝ่ายซ้ายเป็นขุนนางขั้นหนึ่ง คานอำนาจกับอัครเสนาบดีฝ่ายขวา หรืออัครเสนาบดีไป๋ฮุ่ยฟง

    ในฮ่องเต้รัชกาลก่อนลี่เหวินโจวได้รับพระราชทานสมรสกับอวี้อันผิงเช่นกันเขามีบุตรชาย และบุตรีที่เกิดจากฮูหยินเอก คือลี่เหวินหยาง และลี่เหม่ยจู ส่วนบุตรที่เกิดจากหลี่หรงเพ่ยฮูหยินรองคือลี่เหม่ยเจิน ซึ่งหลี่หรงเพ่ยเป็นเองบุตรสาวขุนนางที่จงรักภักดีที่ฮ่องเต้ทรงประทานเข้ามาเป็นฮูหยินรองในภายหลังลี่เหวินโจวเองก็ดูแลเอาใจใส่ฮูหยินทั้งสองอย่างเท่าเทียมและรักในตัวของบุตรเท่ากัน

    ภายในเก๋งไม้สีขาวกลางสระมีดอกบัวหลากหลายสีกำลังเบ่งบานชูช่อล่อแมลงให้เข้ามาดอมดม สายลมโชยอ่อนในยามเช้าพัดเอากลีบดอกอิงฮวา ให้ปลิวมาติดบนเรือนผมดำขลับที่ถูกเกล้าแบบหลวมปล่อยปรอยผมเล็กๆ ให้เคลียคลอกรอบหน้า บนมวยผมดำถูกปักด้วยปิ่นดอกอิงฮวาเล่มเล็กแสนเรียบง่าย

    หญิงสาวรูปร่างสมส่วนเย้ายวนสวมอาภรณ์สีส้มอ่อนไล่เข้มงดงาม คอเสื้อปักลายดอกเหมยกุ้ย[1]ส่วนเอวกิ่วถูกคาดด้วยผ้าไหมเนื้อดีสีส้มทองตัดกับสีอาภรณ์ดูโดดเด่นกำลังหลับตาพริ้มจิบชาอิงฮวาสัมผัสกับบรรยากาศยามเช้าในเรือนอิงฮวาที่สงบเงียบของนาง

                   เหม่ยจูหมายไข่มุกที่งดงาม คือชื่อของนางตอนนี้ใบหน้างามกำลังและครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ได้พบและได้ยินอีกทั้งที่นางเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวหรือหาทางรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านางต้องแต่งให้กับบุรุษที่มีใจให้กับน้องสาวต่างมารดาของนาง ซึ่งการแต่งงานครั้งนี้ยังเป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้และคงจะหมดหนทางที่จะปฏิเสธ ร่างบางเผลอถอนหายใจอยู่หลายครั้งด้วยเพราะคิดไม่ตกและลำบากใจเกินกว่าจะทำใจให้ยอมรับเรื่องการออกเรือน

     

    ลี่เหม่ยจูไม่อาจเห็นแก่ตัวหนีเอาตัวรอดทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลังเพื่อรับโทษแทนนาง ราชโองการของโอรสสวรรค์นั้นหากปฏิเสธตระกูลของนางก็จะกลายเป็นกบฏทันที ตอนนี้นางจึงได้แต่คิดปลอบใจตนเองว่าโอรสสวรรค์คงมีเหตุผลบางอย่างถึงได้ทรงทำเช่นนี้

               

    ลี่เหวินหยางรองแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกลผู้หล่อเหลาใบหน้าของเขาคล้ำแดดเนื่องจากการฝึกรบอยู่ตลอดเพื่อเตรียมพร้อมคิ้วหนาพาดเฉียง ดวงตาคมดุ สันจมูกโด่งคม ริมฝีปากได้รูปลงตัวรับกับใบหน้าเป็นอย่างดีกับผู้อื่นนั้นเขาเย็นชาเรียบนิ่งทว่ากับน้องสาวแล้วเขาเป็นพี่ชายที่อ่อนโยนยิ่ง      ลี่เหวินหยางเข้ารับราชการทหารโดยใช้ความสามารถ ความพยายาม และอดทน ฝึกฝนดิ้นรนด้วยตัวเองเพื่อก้าวจากนายกองขึ้นสู่รองแม่ทัพ จนเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเขากับแม่ทัพใหญ่เฉินหย่งหมิงร่วมกันปราบกบฏหยวนอ๋องเขาได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือท่านแม่ทัพที่พลาดถูกอาวุธอาบพิษยางไม้จึงมีความดีความชอบได้รับตำแหน่งนี้มา

    ในฐานะพี่ชายที่รักและห่วงน้องสาวยิ่ง เขาหนักใจและเป็นกังวลอย่างว่าหากน้องสาวได้ทราบว่า ว่าที่เจ้าบ่าวของนางนั้นมีใจให้กับลี่เหม่ยเจินน้องสาวต่างมารดาของตนเองนางจะเสียใจเพียงใดจะทุกข์ใจเพียงใด  และที่สำคัญน้องสาวคนรองของเขาเองก็คงจะเสียใจไม่น้อยเช่นกันที่คนรักของนางต้องแต่งให้กับพี่สาวนี่มันเรื่องอะไรกัน!! เขาอยากทราบเหลือเกินว่าฝ่าบาททรงคิดสิ่งใดหากจะบอกว่าทรงกลั่นแกล้งก็คงจะดูแรงเกินไป เขาครุ่นคิดอยู่ที่เรือนตัวเองพักใหญ่ว่าจะเข้าไปพูดกับน้องสาวดีหรือไม่ หากแต่คิดอีกทีจะไปตอนนี้ก็เกรงว่าจะทำให้น้องสาวคิดมากและไม่สบายใจเสียเปล่าเขาจึงตัดสินใจกลับจวนรองแม่ทัพแทน

      

              ขณะเดียวกันที่เรือนชมจันทร์... เสียงพิณเศร้าลอยแว่วมาตามลมทำเอาคนฟังน้ำตาคลอและเศร้าไปกับเสียงพิณ หลี่หรงเพ่ยยกเเขนเสื้อปักลายดอกโบตั๋นหรูหราขึ้นซับน้ำตาให้กับบทเพลงที่บุตรสาวของนางที่นั่งบรรเลงมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้วยังไม่ยอมหยุดเล่น นางนั่งมองนัยน์ตาดอกท้องดงามของบุตรีที่แดงก่ำ ใบหน้างามซีดขาวอาบด้วยน้ำตาทำให้ผู้เป็นมารดาเห็นแล้วทรมานใจอย่างยิ่ง

    เหม่ยเจินหรือสมบัติที่งดงาม นางเกิดจากหลี่หรงเพ่ยฮูหยินรองรูปโฉมงดงามไร้ที่ติ ทั้งยังน่าทะนุถนอม ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูบ้านใดก็อยากจะเป็นสหายกับนางทั้งสิ้นถึงแม้นางจะเป็นเพียงบุตรีที่เกิดจากฮูหยินรองหากแต่บิดาคืออัครเสนาบดีและมารดาของนางแม้จะเป็นฮูหยินรองทว่าฮ่องเต่พระองค์ก่อนก็ทรงเป็นผู้ประทานใก้ทุกเช้าลี่เหม่ยเจินจะตั้งโรงทานให้แจกจ่ายข้าวต้มให้กับคนยากจน คนเร่ร่อนจนทำให้ชื่อเสียงของนางโด่งดังผู้คนในเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้จักนาง

    เมื่อปลายปีที่แล้ว ขณะที่นางกำลังเดินทางไปแจกจ่ายสิ่งของให้กับผู้คนในเมืองที่เกิดภัยแล้งระหว่างทางนั้นนางได้พบกับบุรุษผู้หนึ่งในตอนนั้นร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล โลหิตสีเข้มไหลออกจากปากและจมูกจนนางคิดว่าจะไม่รอด ร่างกายของเขาอาบไปด้วยเลือดราวกับพึ่งผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักในตอนนั้นนางนางไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ใดทว่ามีคนกำลังจะตายไปต่อหน้าจึงได้ให้บ่าวไพร่ช่วยเหลือ

    ครั้นเมื่อดูแลจนหายดีจึงได้สอบถามชื่อแซ่จนทราบว่าบุรุษที่นางช่วยเหลือเป็นถึงแม่ทัพของแคว้น แซ่เฉินนามหย่งหมิง นางเองก็เคยได้ยินเพียงชื่อแต่ไม่เคยได้พบเห็นหน้าสักครา

    เฉินหย่งหมิงผู้นี้เป็นบุรุษที่มีใบหน้าคมเข้ม องอาจเฉกเช่นนักรบ นัยน์ตาสีนิลของเขาเปี่ยมด้วยเสน่ห์และดุดันแม้จะมีใบหน้าที่เย็นชาแต่ทว่าช่างน่าหลงใหลชวนให้ค้นหายิ่งพอลองได้พูดคุยกับเขาแล้วยิ่งทำให้ลี่เหม่ยเจินหวั่นไหวนางคิดว่าท่านแม่ทัพผู้นั้นก็คล้ายจะมีใจให้นางเช่นกัน หลังจากวันนั้นนางและเฉินหย่งหมิงก็หมั่นส่งจดหมายถามไถ่ถึงกันไปมาไม่ขาด จนวันเทศกาลหยวนเซียว เขาได้ขอให้นางแต่งเข้าจวนในฐานะฮูหยินของเขา ตอนนั้นนางทั้งตื่นเต้นและดีใจมากหากแต่นางยังไม่ตอบตกลงเพราะยังต้องการให้เขาหลงใหลนางมากกว่านี้เพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่นางปรารถนา บุรุษหากได้หลงใหลในสตรีแล้วเพียงเอ่ยปากทุกอย่างที่ต้องการล้วนมากองอยู่ตรงหน้า มารดาของนางกล่าวเช่นนั้น

     

              “เจินเออร์ลูกรัก แม่ว่าเจ้าควรเข้าไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่หลี่หรงเพ่ยไม่อาจทนมองดูบุตรสาวนั่งอมทุกข์ เหม่อลอยราวกับคนไร้วิญญาณเช่นนี้ได้อีกจึงเดินเข้ามาปลอบโอบกอดและไล่ซับน้ำตาที่อาบแก้มให้อย่างแผ่วเบาทะนุถนอม

    หลี่หรงเพ่ยเองก็ไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องสมรสพระราชทานของลี่เหม่ยจูได้เช่นกัน หากแต่จะให้ฟูมฟายเฉกเช่นบุตรสาวของนางก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใดได้ หากจะมัวมานั่งเสียใจ หรืออ้อนวอนสามีให้ออกหน้าหรือทักท้วงฮ่องเต้ก็ไม่สามารถทำได้รังแต่จะทำให้เรื่องราวยิ่งแย่ไปอีก ที่ทำได้ในตอนนี้คือตั้งสติและวางแผนหาหนทางใหม่เท่านั้น นางเข้าใจดีว่าบุตรียังด้อยประสบการณ์คงยังไม่สามารถทำใจและรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้

             

              “เจินเออร์หากเจ้ายังมัวมานั่งเสียน้ำตาสิ้นหวังเช่นนี้ ก็จงมองนังลี่เหม่ยจูได้ครอบครองบุรุษที่เจ้าพึงใจเถิด" ลี่หรงเพ่ยเอ่ยเสียงดังเล็กน้อย นางเองไม่เคยสอนให้บุตรสาวขี้ขลาดหรือพ่ายแพ้ให้กับเรื่องเท่านี้นี้ ที่ผ่านมาบุตรีของนางนั้นล้วนโดดเด่นกว่าอีกฝ่ายอยู่มาก หากพลาดจากแม่ทัพใหญ่ไปสักคน เหล่าขุนนาง เชื้อพระวงศ์ยังมีอีกมากมาย

     

              "ฮึก...เจ้าค่ะ ท่านแม่" ลี่เหม่ยเจินได้สติจึงรีบหันไปตอบมารดาพลางใช้ผ้าซับน้ำตาที่รินไหล บ่าเล็กสั่นไหวไปตามแรงสะอื้นปานจะขาดใจนางทั้งเจ็บใจและแค้นใจอย่างยิ่ง บุรุษที่นางหมายปองกลับถูกแย่งชิงไปอย่างถูกต้องเพราะรับสั่งราชการของฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง

    หลี่หรงเพ่ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และกุมมือบุตรสาวอย่างให้กำลังใจ ตอนนี้ภายในอกของหลี่หรงเพ่ยเองทั้งยังเจ็บใจและโกรธเกลียดในโชคชะตา สตรีที่จะได้แต่งเข้าจวนแม่ทัพควรเป็นบุตรสาวของนาง ส่วนนังลี่เหม่ยจูนั้นวันๆ ไม่ออกไปไหนหรือทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ นั่งๆ นอนๆ แล้วเหตุใดฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้นาง ช่างไม่ยุติธรรม..

              "อย่างไรเสียข้ากับท่านแม่ทัพต่างก็พึงใจกันข้อนี้ผู้คนต่างรู้ดี อีกทั้งเขายังขอให้ข้าเป็นฮูหยินเอกของเขานะเจ้าคะ" ลี่เหม่ยเจินเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้มารดาฟังทั้งน้ำตาปนเจ็บใจจุกในอก หากย้อนเวลากลับไปได้นางจะไม่อิดออดบ่ายเบี่ยงเขา วันนี้นางคงได้เชิดหน้าชูคอเป็นฮูหยินของเขาแล้วกระมัง เพราะนางมัวแต่ชะล่าใจนังพี่สาวตัวดีถึงได้ท่านแม่ทัพไปก่อน

              "แล้วเหตุใดวันนั้นเจ้าไม่ตอบตกลงเขาไป หากท่านแม่ทัพมีสตรีที่หมายปองและกำลังจะออกเรือน มีหรือฮ่องเต้จะประทานสมรสให้" หลี่หรงเพ่ยคะยั้นคะยอถามหากบุตรสาวตอบตกลงตั้งแต่วันนี้เรื่องเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น และนางคงไม่ต้องมานั่งจมทุกข์เช่นตอนนี้ ป่านนี้นางเองก็จะกลายเป็นแม่ยายของแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว มีบุตรีที่เป็นถึงเอกฮูหยินของแม่ทัพ จะผู้ใดหน้าไหนกล้ารังแกนางได้อีก

             “ข้าเองก็มิได้ตอบรับหรือมิได้ปฏิเสธเสียทีเดียว เพียงตอนนั้นข้าเพียงบอกเขาให้รอพี่ใหญ่ออกเรือนก่อนเพราะข้ากลัวว่าจะถูกนินทา...ท่านแม่ข้าช่างโง่งม ข้ายังด้อยความคิดนัก" ลี่เหม่ยเจินเอ่ยทั้งน้ำตาเจ็บใจที่ตนเองมัวรีรอให้เขาหลงใหลนางจนมีสมรสพระราชทานมาตัดหน้านางไปเช่นนี้ ป่านนี้นั่งลี่เหม่ยจูคงกำลังหัวเราเยาะเย้ยนางอยู่เป็นแน่คิดแล้วช่างเจ็บใจนัก

               เพล้ง!

    เสียงถ้วยชาราคาแพงถูกปัดลงจากโต๊ะด้วยมือของหลี่หรงเพ่ยนางไม่คิดว่าบุตรสาวจะไร้ความคิดโง่งมเช่นนี้

    “เจ้าไม่ได้จำในสิ่งที่ข้าเสียเวลาพร่ำสอนเลยหรือ...เฮ้อ..เอาล่ะ เดี๋ยวแม่จะหาวิธีช่วยให้เจ้าได้แต่งเข้าจวนท่านแม่ทัพอย่างแน่นอน” หลี่หรงเพ่ยเอ่ยขึ้นจะมัวมาโกรธเคืองในความโง่งมของบุตรสาวก็มิใช่ แววตามาดร้ายเปล่งประกายระยับ

    “ขอเพียงให้ข้าได้แต่งเข้าไปนะเจ้าคะ ไม่ว่าจะเป็นรองหรืออนุข้าก็ยอมทั้งนั้น” ลี่เหม่ยเจินเอ่ยบอก ตอนนี้นางคงต้องยอมไปก่อน และต้องหาวิธีเข้าจวนแม่ทัพให้ได้!

    “เจ้าจะแต่งเข้ารองนังลี่เหม่ยจูหรือ ข้าไม่ยอมเด็ดขาดเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฐานะของข้าและมารดาของนาง” หลี่หรงเพ่ยค้านหัวชนฝา ตลอดชีวิตนางดิ้นรนเพื่อให้ตนสองแม่ลูกอยู่เหนือกว่าแล้ววันนี้บุตรสาวกลับอยากแต่งเข้าไปเป็นรองของมันนั้นนางไม่เห็นด้วยและไม่เอาเด็ดขาดแม้นางจะพึงพอใจในตัวของเฉินหย่งหมิง หากแต่จะให้ไปเป็นรองผู้ใดอีกนางยอมหาบุรุษอื่นเสียดีกว่า

                “แล้วข้าจะทำเช่นไรได้เจ้าคะ นางถือราชโองการอยู่เช่นนั้นไม่มีทางที่ข้าจะเป็นฮูหยินเอกได้”

                “เจ้าก็ทำให้นางเป็นผู้ขอหย่าเอง ให้นางทนไม่ได้แล้วเป็นผู้จากไปเอง โดยทั่วไปแล้วสตรีหากรู้ว่าสามีของตนมีสตรีที่พึงใจอยู่แล้วล้วนไม่อยากอยู่ให้ทรมาน” ผู้เป็นมารดากล่าวเสริม

    “เพราะอย่างไรเสียท่านแม่ทัพก็รักและหลงข้าหากเจ้าได้แต่งเข้าไปมีหรือนังลี่เหม่ยจูจะอยู่ในสายตาท่านแม่ทัพ จริงหรือไม่เจ้าคะ” ลี่เหม่ยเจินยิ้มเยาะริมฝีปากบิดขึ้นอย่างสาแก่ใจ


    “ก็จริงอย่างเจ้าพูด ท่านแม่ทัพรักจ้าอย่างไรเสียคงไม่สนใจใยดีมันอย่างแน่นอนถึงเวลานั้นท่านแม่ทัพอาจเป็นฝ่ายมอบสัญญาหย่าให้นังเหม่ยจูส่วนลูกแม่ก็จะขึ้นมาเป็นเมียเอกแทน ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะสะใจของผู้เป็นมารดาทำให้ลี่เหม่ยเจินยิ้มตาม ดวงตาดอกท้อเปล่งประกายยากจะคาดเดาออกมาและจางหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลบ่าก่อนหน้า ร่องรอยความเสียใจก่อนหน้าก็ได้หายไปเช่นกันราวกับไม่เคยเกิดขึ้น



    [1]เหมยกุ้ย หมายถึง ดอกกุหลาบ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×